เบื้องหลังของผลงานละครที่เผยแพร่ออกมาให้คนชม นอกจากจะมอบความสนุกสนานแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดคนดูต้องได้อะไรที่ดีและมีคุณค่ากลับไปด้วย นี่เป็นความตั้งใจของผู้จัดละครสาว ขวัญ – พิมพ์อัปสร บุตรสาววัย 39 ปีของนักแสดงชื่อดัง เอก – สรพงศ์ ชาตรี และโย – ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา
คลุกคลีบรรยากาศการทำงานในกองถ่ายละครมาตั้งแต่เด็ก เพราะต้องตามไปนั่งดูคุณแม่โยแสดงละคร จากเด็กตัวเล็กๆ ที่ต้องนั่งรอหลายชั่วโมง รอทานไอศกรีมหลังคุณแม่เลิกงาน แต่กว่าจะเสร็จเวลาก็เดินไปถึงเที่ยงคืน จึงทำให้เด็กหญิงพิมพ์อัปสรในตอนนั้นรู้สึกเบื่อและไม่ได้สนใจงานในวงการบันเทิงมากนัก
หลังเรียนจบปริญญาตรีและปริญญาโทจากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขวัญ – พิมพ์อัปสร ได้ลองทำงานสายอื่นๆ เช่น การเป็นแอร์โฮสเตส แต่โชคชะตาคงกำหนดมาแล้วว่า สิ่งที่ไม่คิดว่าใช่แต่แรกอย่างการต้องมานั่งคลุกคลีทำงานในกองถ่ายละครทุกๆ วัน แล้วบทบาทเปลี่ยนไปในทางที่โตขึ้นในฐานะผู้จัดละคร นั่นคือการทำงานที่มีความสุขและสนุกในแบบที่เธอชอบที่สุดแล้ว
โดยปัจจุบันคุณขวัญเป็นผู้จัดฯค่าย Firstclass Entertainment Group ซึ่งผลิตละครให้ช่อง 7 ไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยร้อยเล่มเกวียน, คีตโลกา, สุดรักสุดดวงใจ, ลูกไม้ไกลต้น และที่กำลังออนแอร์ให้ทุกคนได้ชมอยู่ตอนนี้นั่นคือ แม่อายสะอื้น วันนี้แพรวดอทคอมจึงจะพาไปรู้จักผู้จัดฯสาวคนนี้กันให้มากขึ้นว่าเธอมีมุมมองเรื่องงาน ครอบครัว และความรักอย่างไรบ้าง
พูดคุยทุกมุมของผู้จัดฯ ขวัญ – พิมพ์อัปสร ที่กำลังมีผลงานละครแม่อายสะอื้นออนแอร์ตอนนี้
ความรู้สึกแรกในฐานะผู้จัดฯที่ต้องมาดูแลละครเรื่องแม่อายสะอื้น
คุณขวัญ : จริงๆ รู้สึกเป็นเกียรติ เพราะว่าจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่เราอยากทำมาตลอดในฐานะผู้จัดละครนะคะ แต่เรารู้สึกว่าเราเด็ก หมายถึงว่าเมื่อเทียบกับผู้จัดฯท่านอื่นๆ ที่เขามีประสบการณ์มากมาย สาเหตุที่อยากทำเพราะเป็นบทประพันธ์ของครอบครัวเรา คือคุณป้าชุดา ผู้ประพันธ์เรื่องแม่อายสะอื้นเป็นคุณป้าแท้ๆ ของเรา เป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณแม่ค่ะ แล้วแม่อายสะอื้นเมื่อตอนทำเป็นภาพยนตร์ปี 2515 เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่คุณแม่เล่นและแจ้งเกิดท่านในวงการ เพราะฉะนั้นมันก็มีความเกี่ยวพันกันหลายอย่าง รู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาสทำละครเรื่องนี้ในฐานะผู้จัดละครก็ถือเป็นความฝันเลย เพราะอยากทำมาก
สุดท้ายพอได้มีโอกาสทำจริงๆ ก็ตื่นเต้น ตอนแรกเราไม่นึกว่าผู้ใหญ่ทางช่องจะมอบบทประพันธ์ระดับนี้ให้เราทำ เพราะอย่างที่บอกว่าเรายังไม่ได้มีประสบการณ์เยอะ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสและไว้ใจค่ะ ก็ตั้งใจว่าจะต้องทำให้ได้ดีที่สุดในตอนนั้นนะคะ ก็ดีใจมากๆ ตื่นเต้นมากๆ
แม่อายสะอื้นถือเป็นละครขึ้นหิ้งไปแล้ว มีคนจดจำจำนวนมาก เมื่อนำมารีเมค มีวิธีเตรียมตัวทำงานตรงนี้อย่างไรบ้าง
คุณขวัญ : จริงๆ ทำละครรีเมคมาเกือบทุกเรื่องเลยค่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องรีเมคเราไม่ห่วงเลย อย่างแม่อายสะอื้น ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหนคนก็รัก คนที่ทำก็รักบทประพันธ์เรื่องนี้ อยากทำให้ดีที่สุด เราเองก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นมันคือจุดมุ่งหมายเดียวกันของทั้งแฟนละครเรื่องนี้ คนสร้างละครเรื่องนี้หรือหนังเรื่องนี้ เรามาทำเราก็อยากทำให้ดีเหมือนที่คนเก่าๆ ได้ทำไว้ อยากทำให้ดีที่สุด เพราะเรารักบทประพันธ์เรื่องนี้ ไม่อยากให้คนดูผิดหวัง เพราะฉะนั้นเรามองว่ามีแต่เรื่องดีๆ
การรีเมคไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเรานะคะ เรารู้สึกว่ามันเป็นความท้าทาย ไม่ได้อยากทำให้ดีกว่าคนอื่น แต่อยากทำในแบบของเราให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ซึ่งทางช่องก็น่ารักมาก เขาไม่เคยมาก้าวก่ายเลยว่าเราอยากจะทำแบบไหน ไม่ได้นะ แบบนี้ขายไม่ได้ในตลาด คือเปิดโอกาสให้ได้ทำเต็มที่ค่ะ ก็สนุกมาก แล้วผลงานก็ออกมาตามที่เราตั้งใจเอาไว้
จะเห็นความแตกต่างของเวอร์ชั่นนี้กับเวอร์ชั่นก่อนอย่างไรบ้าง เช่น เรื่องการปรับบท
คุณขวัญ : ค่ะ ต้องยอมรับว่าเวลาเราทำละครรีเมค เราพยายามที่จะไม่ดูของเวอร์ชั่นเก่าๆ เพราะไม่อยากติดภาพจำอยู่ในหัวค่ะ อาจจะถาม ฟัง อ่านฟีดแบ็กในเน็ตหรืออะไรก็แล้วแต่ คือถ้าดูปุ๊บมันจะติด แล้วเดี๋ยวจะเอามาทำ คือทำละครทุกเรื่อง ไม่ว่าจะรีเมคหรือไม่รีเมค เราก็เริ่มจากศูนย์ทุกครั้ง แม่อายสะอื้นก็เช่นกัน ถ้าพูดถึงเรื่องการเตรียมตัว จริงๆ เวอร์ชั่นนี้ไม่ได้คิดว่าจะแตกต่างจากเวอร์ชั่นเก่ายังไง แต่คิดว่าถึงทุกคนทำเรื่องเดียวกัน มันออกมาไม่เหมือนกันหรอก เพราะแต่ละผู้สร้างมีลายเซ็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นพยายามตั้งใจทำให้เหมือน มันก็ไม่เหมือน มันเหมือนงานศิลปะ ให้ทุกคนเขียนเรียงความเรื่องเดียวกัน มันก็ยังออกมาไม่เหมือนกันเลย
และเราก็ตีความตามยุคสมัยค่ะ อย่างบทประพันธ์นี้เป็นบทประพันธ์เก่า เวลาเอามาทำเลยมีข้อจำกัดบางอย่าง อย่างเรื่องเทคโนโลยีจะเจอเสมอนะคะ เช่น เรื่องการหายตัวไปของนางเอก หายไปจากบ้านที่แม่อาย ก็ทำลำบากมากขึ้น เพราะมันมีกูเกิ้ล มีสารพัดแอพให้ช่วยตามหาใช่ไหมคะ ทีนี้เราก็ต้องปรับทุกอย่างตามยุคสมัย ไม่ใช่เราปรับแล้วเนื้อเรื่องเสียไปเลย แก่นของเรื่องคืออะไร แล้วเราทำอะไรได้มากกว่านั้นหรือเปล่า ต้องให้คนดูสนุกด้วยนะ ไม่ใช่คนดูสมัยก่อนอาจสนุกอีกแบบหนึ่ง แต่คนสมัยนี้อาจจะมีชีวิตเร่งรีบ มาเอิงเอยมากๆ มันก็จะเบื่อ ก็ต้องตามคนดูสมัยนี้ด้วย แต่ทุกอย่างคุณค่าต้องเก็บไว้ สิ่งที่ดีๆ ต้องเก็บไว้
ส่วนตัวคาดหวังกับเรตติ้งและกระแสตอบรับไหมคะ
คุณขวัญ : จริงๆ ทำทุกเรื่องเราก็คาดหวังนะคะ แต่สุดท้ายมันเป็นผลที่ตามมา ตลอดเวลาที่ทำงาน เราจะก้มหน้าก้มตาทำ แล้วพอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ถึงจะรู้ว่า ฮะ เรตติ้งเท่านี้เหรอ ทุกครั้งจะเป็นอย่างนี้หมดเลย เราไม่รู้หรอกว่า เราถูกออนชนเรื่องอะไร หรือเราไม่รู้หรอกว่ามันจะยังไง แต่สุดท้ายได้แต่คิดทุกวินาทีว่าจะทำยังไงให้มันออกมาดี แล้วสุดท้ายมันก็จะแบบว่า อุ๊ย คนดูชอบ อุ๊ย ขอบคุณมาก ก็ก้มหน้าทำต่อ มันจะเป็นอย่างนี้ตลอด จากความที่เราโฟกัสตรงนี้มาก ใครๆ ก็อยากทำละครแล้วกระแสตอบรับดี ใครๆ ก็อยากทำละครแล้วเรตติ้งดี สำหรับเราจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าไม่ใส่เกินร้อยกับสิ่งที่เราทำ
บท “กลอง” ลูกชายดาวนิลที่พิการ มีการนำน้องที่พิการจริงมาเล่นด้วย ที่มาในการคัดเลือกเชิญน้องมาเล่นเริ่มต้นอย่างไร เพราะแฟนๆ ชื่นชมกันมาเยอะมากว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กกลุ่มนี้ได้แสดงความสามารถ
คุณขวัญ : เหรอคะ (ยิ้ม) เราไม่ได้ดูคอมเมนต์เลย เพราะมัวแต่ก้มหน้าโฟกัสเรื่องงาน เช่น ตัดเสร็จหรือยัง (หัวเราะ) คือจริงๆ ลูกชายดาวนิลในเรื่องชื่อน้องกลอง บทประพันธ์เดิมเป็นเด็กที่เป็นโปลิโอ แต่อย่างที่บอกว่าพอมาสมัยนี้โปลิโอไม่มีแล้ว เราจะฝืนทำเด็กที่เป็นโปลิโอก็จะแปลก เพราะฉะนั้นจึงต้องปรับให้เป็นเด็กพิการ จะพิการอย่างไรก็ต้องปรับอีก ปรับบทในเรื่องนิดนึงว่าทำไมน้องคนนี้ถึงพิการ ทีนี้พอตั้งโจทย์ว่าเป็นเด็กพิการ ก็มีการพูดคุยกับทางช่องเยอะมาก
เราไม่อยากเอาเด็กที่ไม่พิการมาเล่นเป็นพิการ เพราะเราตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมถึงใช้เด็กพิการจริงๆ ไม่ได้ ก็ขอบคุณช่อง 7 มากๆ ที่ไว้ใจเราสุดๆ เพราะด้วยความที่เป็นผู้จัดฯ ทุกอย่างเราต้องคุมว่าวันหนึ่งต้องถ่ายคน ถ่ายได้กี่ฉาก บริหารทั้งงบ เวลา เนื้องาน การที่เอาเด็กพิการมาก็เสี่ยงหลายอย่าง คือไม่ใช่ว่าน้องเขาไม่ดี แต่บางทีเด็กที่เล่นละครได้อยู่แล้วทำให้การทำงานเร็วขึ้น แต่การที่เอาเด็กที่ใหม่เลย ต้องสเป็คตามที่เราอยากได้ หน้าตาน่ารัก หน้าตาชวนน่าสงสาร ต้องเป็นเด็กที่เราวางคาแร็คเตอร์ว่าเขาต้องประมาณนี้ คืออย่างนี้ก็ไม่ได้ ซ้ำซ้อนก็ไม่ได้ ต้องให้ตรงกับบท
เราวางให้เขาเป็นตัวละครที่คิดบวก คือเราไม่ได้ตั้งใจเอาน้องที่พิการมาเล่นแล้วต้องซ้ำเติมว่าเขาไม่ดี มีความผิดปกติ แต่เราอยากให้ตัวละครตัวนี้ แม้ร่างกายจะเป็นยังไง นั่นส่วนหนึ่ง แต่เขาเป็นตัวละครที่ถึงแม้แม่ดาวนิลจะเศร้า จะป่วย ปู่ย่าจะเศร้าแค่ไหนไม่รู้ แต่ตัวเด็กโลกสวย ทัศนคติด้านบวก เป็นตัวละครที่เข้มแข็งที่สุด มีความสุขที่สุดในเรื่องแล้ว เราอยากให้คนดูรู้ว่าชีวิตจะเป็นยังไงไม่เกี่ยวกับทัศนคติเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นตัวแทนในด้านนี้
คัดเลือกน้องๆ จากทั่วประเทศ
คุณขวัญ : เราคัดน้องทั่วประเทศเลยค่ะ ทางช่องก็บอกว่ายากนะ เอาเหรอ เอาจริงมันเสียเวลาอยู่นะ ผู้จัดฯเอาเด็กที่เล่นได้ก็จะง่ายกว่า แต่เรามีหน้าที่ในฐานะผู้จัดละคร ที่ไม่ใช่ทำละครแล้วได้แค่ความสนุก สำหรับเรามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำมาทุกเรื่อง เรื่องนี้ก็อยากให้คนเห็นว่าคนพิการทำทุกอย่างได้เหมือนเราปกติ เพราะฉะนั้นบทก็เป็นของเขา มันไม่มีเหตุผลที่จะไม่เอาเด็กพิการมาเล่น ก็คัดเลือกกันจนไปเจอ “น้องตาร์” ที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ เป็นโรงเรียนที่สอนเด็กพิการ นักเรียนน่ารักมาก คุณพ่อคุณแม่น้องตาร์ก็น่ารักมาก และช่องจะบอกเราว่า ข้อหนึ่ง ต้องไม่ให้คนดูเข้าใจผิดว่าเราเอาน้องมาใช้แรงงาน ซ้ำเติม สองคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องยินยอม เพราะว่าน้องเด็ก ซึ่งเราก็ป้องกันทุกวิถีทางไม่ให้คนดูคิดไปทางที่ผิดจากที่เราตั้งใจสื่อสาร
วันที่เข้าไปเจอน้อง เราบอกคุณครูว่าอยากได้น้องที่เห็นแล้วเรายิ้มได้ ร้องไห้อยู่ แต่เรายิ้มได้ ทางโรงเรียนก็จัดน้องประมาณ 10 คนมานั่งในห้อง วินาทีแรกที่หันไปเห็นน้องตาร์ ห้องสว่างอย่างนี้เลยค่ะ เขายิ้ม รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีอะไรบางอย่าง พอเราต้องแคสต์สัมภาษณ์ทุกคนว่าทำอะไรได้ ไหนทำหน้าเศร้า ทำหน้าดีใจ ร้องไห้ ยิ้มซิ จำได้เลยว่าน้องตาร์บอกว่าว่ายน้ำได้ครับ วิ่งได้ เตะบอลได้ คือเราแบบฮะ…เรายังว่ายน้ำไม่ได้เลย (หัวเราะ) ก็ให้เขาทำหมด ไหนตาร์ลองทำหน้าเศร้าซิ ร้องไห้ได้ไหม เขาตอบกลับมาว่า พี่ ตาร์ร้องไห้ไม่ได้ ไม่เคยร้องไห้อะ โอ้โห ทีมงานที่ไปกับเรานี่แบบฉันอายจัง คือมันไม่เกี่ยวกับทุกอย่างจริงนะ ความสุขอะ น้องตาร์ก็สอนเราเยอะมาก สอนโดยที่น้องก็ไม่รู้ตัว แล้วพอเราเอาเขามาทำงานจริงๆ ก็เริ่มสอนการแสดงให้เขา เขาต้องพูดภาษาเหนือด้วย ตาร์เป็นเด็กที่สร้างรอยยิ้มให้ทุกคนในกองจริงๆ ไม่ต้องห่วงเขาเลย เรียนรู้ไว แล้วก็เก่งอย่างที่เด็กคนหนึ่งจะเก่งได้ น่ารักอย่างที่เด็กคนหนึ่งจะน่ารักได้
เราไม่คิดเลยว่าเขาเป็นเด็กพิการ อาจจะช่วยแค่เวลาทานข้าว ช่วยอุ้มเขามา แต่นอกนั้นเขาทำอะไรเองได้หมดทุกอย่าง วิ่งเร็วกว่าคนปกติอีก ถึงบอกว่าเขาเองมีความสุขกว่าบางคนที่เราคิด คือเราไปคิดแทนเขาว่าน่าสงสาร แต่เขาน่ารักมาก แล้วเราก็ดีใจที่เขาได้ช่วยเหลือคนที่บ้าน ทำเงินให้คุณพ่อคุณแม่ ช่วยเหลือจุนเจือ เราก็อยากจะบอกว่าอย่างน้อยคนพิการก็ทำเองได้ทุกอย่างเหมือนเรานี่แหละ เขาเป็นอะไรก็ได้ที่อยากจะเป็น ไม่ใช่ว่าเราเองที่ไปจำกัดเขา รู้สึกว่าถ้าเราทำอะไรตรงนั้นได้ก็ยินดีจะทำ
ในเรื่องนี้คุณพ่อสรพงษ์ – คุณแม่โยมาเล่นด้วย ทำงานด้วยกันยากไหม หรือมีช่วยอะไรกันเป็นพิเศษหรือเปล่า
คุณขวัญ : ไม่ต้องช่วยแล้ว ทำงานด้วยกันไม่ลำบากเลยค่ะ คือคุณพ่อคุณแม่ทำงานมากี่สิบปีแล้วก็ไม่รู้ในวงการ เราเรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่โดยที่ท่านก็ไม่ได้มานั่งสอนนะคะ คือส่วนสอนมันก็มี แต่ไม่รู้นะ ข้อดีที่เราได้ทำงานร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ที่รู้สึกเลยคือ บางทีเห็นตัวเอง ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นด้วยซ้ำ บางทีเห็นคุณพ่อ คือระดับคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นปรมาจารย์แล้ว เป็นโปรเฟสชั่นนัลกันหมดแล้ว บางทีเราเห็นตัวเองว่าเราจะได้ไหมเนี่ย รู้สึกท้อ แต่พอเห็นคุณพ่อคุณแม่ที่สู้ไม่ถอย สู้ตายอะ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พ่ออายุจะ 70 ปีแล้ว ยังต้องเล่นเป็นคนตาบอด ไม่สบาย ไอด้วย ไอจะตายอยู่แล้ว พูดเหนือก็ต้องพูด พูดเหนือเสร็จต้องตีกลองอีก คือในฉากเดียวทำเยอะมาก… แต่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับการทำงานของพ่อ รวมถึงแม่ด้วย
บางทีเราก็เกรงใจว่าขอเขาเยอะเกินไปหรือเปล่า แต่แม่ก็จะแบบ ทำไม ไม่เคยทำ ดีออก คือทุกอย่างมันดูง่ายไปหมดเลย แล้วพอเราเห็นตัวเองว่าส่วนนี้เราคงได้มาจากพ่อแม่ว่าเขายังไม่ท้อ เราก็ต้องสู้ มันก็จะคนละฟีลกับการที่เราเป็นพ่อแม่ลูกนะคะ ไม่เหมือนกันเลย แต่พอมาทำงานก็จะอีกฟีลหนึ่งที่เราได้อะไรมากมายมหาศาล และเราก็ดีใจมากๆ ที่ได้ทำงานร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ ท่านเองก็ทุ่มมากๆ ในฐานะนักแสดง คุณแม่ก็เป็นแอ๊คติ้งโค้ชในกองด้วย แล้วบวกกับที่เป็นกองของลูก เขาก็จะยิ่งเกินร้อย
ถามถึงพระนางบ้าง ทำไมถึงเลือกปุ๊กลุก – อ๋อมมารับบทดาวนิลกับทรงพล
คุณขวัญ : การแคสติ้งนักแสดงคนนึงมาเล่น อย่างแรกที่เราคำนึงก็คือความเหมาะสมของตัวละคร คนนี้เหมาะสมแค่ไหน บางตัวละครเราอาจไม่ได้หานักแสดงที่ใช่ทุกอย่างร้อยล้านเปอร์เซ็นต์ บางทีมันไม่มี ต้องบอกจริงๆ ว่าไม่ได้มีรายละเอียดเป๊ะขนาดนั้น แต่ใครล่ะที่เหมาะที่สุด ใครที่เหมือนดาวนิลที่สุด ซึ่งอาจจะไม่ครบ 10 ข้อ อย่างปุ๊กลุกบอกได้เลยว่าเขาผิวเข้ม ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องจริง แต่เขาก็เล่นจนกลบจุดด้อยตรงนั้นที่ว่าทำไมคนเหนือผิวเข้มล่ะ แต่เขาทำอย่างอื่นจนเราลืมความผิวเข้มตรงนั้นไปเลย เรื่องนี้มันเปลี่ยนไม่ได้ แต่บางอย่างมันทดแทนกันได้ เหมือนนางเอกบางคนไม่สวย แต่เล่นจนลืมไปเลยว่าเขาไม่สวย เพราะฉะนั้นเราก็เลือกนักแสดงจากความเหมาะสมเป็นหลักค่ะ
ด้านอ๋อมเอง บททรงพลก็เหมาะกับอ๋อม เป็นคนเท่ๆ นิ่งๆ แล้วเราก็ต้องช่วยกันตีความให้ทรงพลเล่นอินเนอร์ลึกๆ ได้ ส่วนการรำฟันดาบของปุ๊กลุก เราเห็นกระแสก็มั่นใจในตัวน้อง เราพาน้องไปเรียนรำ ปุ๊กลุกก็มีดาบเป็นของตัวเอง รำจนเหมือนดาบอยู่ข้างกายตลอด เขาไปเรียนเพิ่มอีก เพราะรู้สึกว่าสาวเหนือจะดูอ้อนแอ้น คือทุกอย่างที่เป็นรายละเอียดใส่ลงไปปุ๊บ มันทำให้เขาเป็นสาวเหนือที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ก็รู้สึกว่าทุกๆ คนพยายามอย่างเต็มที่ แล้วพอเล่นจริงๆ ก็รู้สึกว่าเลือกไม่ผิด เพราะถ้าได้นักแสดงที่อ่อนวินัยไปนิดนึง แม้กระทั่งคิวอีเว้นต์แน่น เราจะไม่สามารถได้งานที่ดีขนาดนี้ค่ะ ต้องเอาคนที่ทุ่มเทจริงๆ
ใช้เวลาถ่ายทำนานเท่าไหร่
คุณขวัญ : ใช้เวลาถ่ายทำปี 1 เต็มๆ นะคะ แต่เตรียมงานมาเกิน 6 เดือน ปี 2558 เตรียมงาน ปี 2559 ถ่ายทำทั้งปี ปี 2560 ทำโพสต์ ก็เรียกว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่ค่อนข้างนาน อย่างที่บอกว่าพยายามเก็บรายละเอียด แล้วเรารู้สึกว่าเป็นทางถนัดของเรา เป็นแนวดราม่า แต่เราจะทำยังไงถึงจะขยี้ให้คนอินยิ่งกว่าอินไปได้ แล้วก็ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ในจุดนี้ เพราะบางทีเราทำบทว่าพ่อจะต้องทำแบบนี้สิ พ่อรู้ความจริง พ่อจะต้องทำแบบนี้นะ แต่เราไม่มีลูก บางทีเราคิดไม่ถึง พ่อแม่ก็จะบอกเลย คุณแม่จะช่วยเรื่องบทเยอะมาก เขาจะบอกว่า ไม่หรอก คนเป็นพ่อเป็นแม่มันไม่ทำแบบนี้ มันนึกถึงใจลูกมากกว่านั้น เราฟังก็อ๋อ…จริง ก็รู้สึกอึ้ง เราได้เรียนรู้เลยว่าความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่ มันไปไกลกว่าที่เราคิดมากเลย ก็ทำให้บทสมบูรณ์ในทุกพาร์ตเลย ซึ่งมันเยอะมาก แต่เพราะทุกคนช่วยกันทำ มันก็ไปได้ไกลเกินกว่าที่เราตั้งไว้แต่แรกค่ะ
ปัจจุบันทำงานในฐานะผู้จัดฯมาได้กี่ปีแล้ว
คุณขวัญ : ประมาณตั้งแต่ปีน้ำท่วม ตั้งแต่ปี 2554 ค่ะ ตอนนี้ก็ได้ 7 ปี
จากวันแรกจนถึงวันนี้เห็นตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เพราะงานผู้จัดฯไม่ใช่งานแรกที่ทำในวัยทำงาน
คุณขวัญ : ใช่ค่ะ ก็ต้องบอกว่าโชคดีที่งานผู้จัดฯไม่ใช่งานแรก ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาทำงานในกองถ่าย เพราะว่าเด็กๆ เราโตมาในกอง มันมีทั้งความสนุก และก็มีความที่แบบแม่ถ่ายช้าจังฉากนึง ไหนบอกว่าจะเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะพาไปกินไอติม จะเที่ยงคืนแล้ว นึกออกไหมคะ ต้องมาอยู่กองทุกวันก็เบื่อ ซึ่งก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาทำงานกองถ่าย แต่โชคดีที่ได้มาทำหลังจากเราผ่านงาน ผ่านการค้นหาตัวเอง รู้ว่าอันนี้เราชอบ อันนี้เราไม่ชอบ เป็นแอร์โฮสเตสมา อันนี้ชอบไหม จนมันตกตะกอนค่ะ พอมีโอกาสมาทำงานผู้จัดฯจึงได้รู้ว่า เฮ้ย เราชอบงานนี้ เพราะว่าเราไม่ชอบงานที่จำเจ พอทำละครเรื่องใหม่ก็เหมือนได้เริ่มต้นใหม่ ได้ท้าทายความสามารถ ได้คิดเยอะแยะมากมาย ได้สนุกสนาน ได้ทำงานกับคน ได้ฝึกตัวเอง
ที่สำคัญ ที่รู้สึกเลยว่าเราเปลี่ยนไปคือ เราเข้าใจทุกคนมากขึ้น เพราะเราพยายามเข้าใจตัวละคร กลายเป็นว่าละครยังไม่ต้องสอนคนดูเลย สอนเราก่อนว่าตัวละครนี้ทำไมถึงทำแบบนี้ ก็พยายามจะเข้าใจ กลายเป็นว่าเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นผ่านการตีความตัวละคร กลายเป็นว่าเราโกรธคนยากขึ้น เราเข้าใจคนโดยปริยาย เช่น คนที่เลวก็ไม่ได้อยากเลวนะ แต่เขาโดนกระทำอย่างนี้มา มันก็เลยเหมือนฝึกให้เราเข้าใจคนไปด้วย
เป้าหมายข้างหน้าอยากทำละครแนวไหนเพิ่ม หรืออยากจะลองกลับมาแสดงเหมือนตอนเด็กๆ ไหมคะ
คุณขวัญ : อุ้ย ตอนเด็กๆ เอาจริงไม่ได้คิดเลยว่ามาทำงานแสดง คิดว่ามาวิ่งเล่นอยู่ในกองถ่ายเหมือนปกติ (หัวเราะ) ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่านี่ฉันมาทำงาน แต่ในฐานะผู้จัดฯก็อยากทำให้งานเราดียิ่งขึ้น เรารู้สึกว่ามันท้าทายเราไปเรื่อยๆ แล้ว รู้สึกว่ามันดีได้อีก ดีกว่านี้ได้อีก แล้วก็ไม่รู้หรอกว่าใครจะมองว่ามีคนข่มขืนเพราะดูละคร แต่สำหรับเรา ตอนเด็กๆ เราก็โตมากับละคร นั่งดูมา มันก็สอนเรานะ ไม่ได้ทำให้เราอยากจะไปปล้น ฆ่า ข่มขืน หรืออะไร สำหรับเรามันเป็นสิ่งที่ดี บางทีเราได้ยินว่าไม่อยากให้เด็กดูละคร เรารู้สึกว่าเราอยากให้ละครได้มีโอกาสเป็นสื่อดีๆ เพราะเราเชื่อในความเป็นสื่อที่ดี อย่างเราทำละครก็อยากจะนำเสนอแต่สิ่งดีๆ เพราะฉะนั้นมันก็จะเป็นสื่อดีๆ ชนิดนึงว่าเราอยากทำละครที่ให้สิ่งดีคนดู
เราก็พยายามทำให้บรรลุจุดประสงค์ทุกเรื่องเลย ก็ต้องตอบตัวเองให้ได้เสมอว่าเลือกเรื่องนี้มาทำเพราะอะไร ความสนุก ต้องทำให้มันสนุกอยู่แล้ว แต่มันให้อะไรคนดู ที่เขาสละเวลา 1 นาทีของเขา วันละ 2 ชั่วโมงของมาดูเรา ถ้าไม่ได้อะไรกับชีวิตก็คงเกินไปหน่อย มันต้องได้อะไรบ้างสิ มันเป็นหน้าที่ของเรา แล้วด้วยความที่โตมากับวงการบันเทิง เรารู้สึกว่าเราทำอะไรได้มากกว่านี้ ก็พยายามจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
ตัวตนจริงๆ ของคุณขวัญเป็นคนยังไง
คุณขวัญ : เป็นคนยังไงเหรอ อืม…ก็ปกติเนี่ยแหละ อาจจะเรียกว่าบ้างานก็ได้นะ แต่ที่บ้าเพราะสนุกค่ะ ถ้าไม่สนุกก็เบื่อเหมือนกัน เพราะเราก็เคยทำงานที่ไม่ได้สนุก ก็จะรู้สึกว่าไม่ขยัน แต่งานผู้จัดฯก็สนุกตรงที่ได้คิด คิดทุกวินาที คนอื่นก็อาจจะรู้สึกว่าเราทำงานทุกวัน ทุก 7 วัน แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ไง ไม่มีวันหยุดก็ไม่เป็นไร เพราะเราสนุก แล้วเกิดมาทั้งทีเนอะ เป็นลูกพ่อลูกแม่ ท่านทำอะไรไว้มากมาย เราก็รู้สึกว่าเขาทำได้ไง เราก็อยากทำให้ได้ครึ่งนึงของเขาก็ยังดี
แล้วนอกเวลางานปกติจะทำอะไร
คุณขวัญ : อยู่บ้านค่ะ (หัวเราะ) คือรู้สึกว่าอยู่กองก็เหนื่อยแล้ว อยู่บ้านนิ่งๆ เล่นแมวก็มีความสุขแล้ว กลับมาจากกองก็มานอน โอ้ ทำไมเตียงสบายจังเลย (หัวเราะ) แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ
เรื่องความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
คุณขวัญ : ตอนนี้เหรอคะ จริงๆ ถ้าเป็นรุ่นเดียวกันก็จะแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้วเนอะ จริงๆ ความสุขของคนอาจจะไม่ได้เหมือนกันในรายละเอียด เราก็ดันสนุกอยู่กับงาน พอหันไป อ้าว เพื่อนแต่งงาน อุ้ย! ดีใจด้วย อะไรอย่างนี้ แต่เราไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้เดือดร้อน ชอบมีคนถามเราว่าอายุเท่านี้เมื่อไหร่จะแต่งงาน เราก็ไม่รู้ค่ะ (ยิ้ม) เดี๋ยวแต่ง เราก็ไม่รู้หรอกว่าอายุเท่าไหร่หรือทำอะไร แต่เรารู้สึกสนุกกับทุกวัน กับสิ่งที่เป็น ทุกอย่างก็ทำให้ดีที่สุด เรื่องความรักก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เป็นกำลังใจ แต่เราก็อยากให้มันเป็นไปตามครรลอง ไม่ใช่ว่าอายุเท่านี้ต้องแต่งแล้ว ไม่ใช่อะ มันคือชีวิตเรา เราเป็นคนกำหนด เป็นคนเลือก อยากแต่งตอนไหนก็จะแต่งตอนนั้น แต่ตอนนี้ไม่อยากแต่ง อายุเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยว
บางคนมีความสุขกับการเป็นแม่บ้าน มีลูก เราก็ หูย…ยากอะ การเป็นคุณแม่มันยากมาก การเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง อย่างคุณแม่เราทำงานไปด้วย หรือบางคนทุ่มเทตัวเองให้ครอบครัว เรายังดูแลตัวเอง คือถ้าไม่มีคุณแม่ ไม่มีคนที่ดูแลบ้าน ไม่มีทีมลูกน้อง บางทีเราก็ทำคนเดียวไม่ได้ เรารู้สึกว่าคนที่ต้องดูแลทุกคนในบ้านได้นี่เก่งมาก แต่ก็นั่นแหละ แต่ละคนก็มีทางของตัวเองค่ะ เพราะฉะนั้นอย่างเรื่องความรักไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ตอนนี้สนุกกับอะไรแค่นั้นเอง คือมันก็ควบคู่กันไป
คนแบบไหนที่คุณขวัญชอบ
คุณขวัญ : (นิ่งคิด) เข้าใจ ก็ต้องเข้าใจเรา เพราะเราทำงานเยอะ (หัวเราะ) ก็ไม่ได้ตั้งใจทำงานเยอะ อย่างที่บอกค่ะ ก็มันสนุก ก็ต้องรักและเข้าใจเรา เราก็ไม่ได้เป็นเด็กวัยรุ่นที่ต้องหล่อหรืออะไร มันไม่ใช่จุดนั้นค่ะ เพราะฉะนั้นเราก็อยากได้คนที่คอยอยู่ข้างๆ ซัพพอร์ตเราได้ทั้งเรื่องให้กำลังใจ ความคิด ชี้แนะ แต่สุดท้ายมันก็คือความเข้าใจกับการที่เราจะบ้างานโดยที่เราสบายใจ (หัวเราะ)
สุดท้ายฝากละครเรื่องแม่อายสะอื้นกันหน่อย เพราะมีแฟนๆ รอชมกันมาข้ามปีเลย
คุณขวัญ : ใช่ พอมีข่าว ทุกคนก็รอติดตาม เราก็ขอบคุณนะ ไม่รู้หรอกว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ก็ขอบคุณที่เขารอไม่เสื่อมคลาย แล้วก็ขอบคุณที่รักบทประพันธ์นี้ อยากจะฝากแม่อายสะอื้นเวอร์ชั่นนี้นะคะ
หลายคนบอกว่าอยากดูเพราะเวอร์ชั่นก่อนๆ ขึ้นหิ้งไปแล้ว เราไม่ได้คิดให้คนดูมาชอบเวอร์ชั่นนี้มากกว่า เรารู้สึกว่าแค่อยากทำบทประพันธ์ที่เรารักให้มันดีที่สุด ให้คนดูได้ดูอีกหนึ่งงานที่เราอยากปั้นให้มันดี ซึ่งดีหรือไม่ดีกว่าอันที่แล้วไม่ได้คิดเลย เพราะเรารู้สึกว่ามันเทียบกันไม่ได้ แล้วทุกคนก็ตั้งใจทำกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะรักน้อยกว่าหรือรักเท่ากัน หรือรักทุกเวอร์ชั่น เพราะเราก็รู้สึกว่ารักทุกเวอร์ชั่น ไม่ได้จำเป็นว่าฉันรักอันนี้แล้วรักอันอื่นไม่ได้ คือไม่จำเป็นต้องเลือก แต่มันก็เป็นสิทธิของคนดูค่ะ อยากให้คนดูให้โอกาส เปิดใจ สุดท้ายการเปรียบเทียบก็มีอยู่แล้วละ ก็เป็นสิทธิของพวกเขาเลย จะรักเวอร์ชั่นไหน เวอร์ชั่นก่อนก็ยินดีมาก เพราะสุดท้ายมันคือบทประพันธ์ที่เรารักและงานที่เรารัก
และสุดท้ายเองบทประพันธ์แม่อายสะอื้นได้ให้อะไรคนดูมาก ไม่ว่าคนดูจะดูเวอร์ชั่นไหน แต่ก็อยากให้เขามาดูเวอร์ชั่นเราบ้าง ก็ฝากละครแม่อายสะอื้นที่รอกันมานานทางช่อง 7 ด้วยนะคะ
เรื่อง : บะหมี่กุ๊งกิ๊ง_แพรวดอทคอม
ภาพ : วรสันต์ ทวีวรรธนะ, IG @kwan_saeneewong