สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงปลื้มปิติ และภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทรงทราบว่า อาร์เธอร์ แชตโท วัย 22 ปี พระนัดดาใน เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต เคานท์เตสแห่งสโนว์ดอน เตรียมขึ้นแท่นเป็นราชวงศ์องค์แรกในฐานะนายทหารนาวิกโยธิน นับตั้งแต่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดออกจากการฝึก
ทั้งนี้เว็บไซต์ เดอะซัน รายงานว่า อาร์เธอร์ แชตโท ได้ผ่านการฝึกอบรมเป็นนายทหารในกองนาวิกโยธิน ซึ่งเขาได้นำข่าวอันน่ายินดีนี้ไปบอกกับ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ด้วยตัวเอง กล่าวกันว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรง ‘ยินดีและภาคภูมิใจ’ กับข่าวของพระราชนัดดาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะนับตั้งแต่ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ พระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ที่ทรงเคยเข้าร่วมหลักสูตรคอมมานโดที่ฝึกอย่างทรหดในปี 1986 ก็เป็นเวลานานเลยทีเดียว
ทั้งนี้มีรายงานว่า อาเธอร์ ได้ออกไปเดินป่าเป็นระยะทาง 20 ไมล์ และไปตั้งแคมป์ในป่าในที่ราบสูงสกอตติช เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝึกขณะไปเยี่ยมควีนเอลิซาเบธที่ 2 และครอบครัวที่ปราสาทบัลมอรัลเ มื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับ อาเธอร์ แชตโท วัย 22 ปี ชายหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ มีหน้าตาที่หล่อเหลา และ รูปร่างที่กำยำ เป็นบุตรชายคนเล็กของ ดาเนียล แชตโท และ เลดี้ซาราห์ แชตโท มีพี่ชายชื่อ ซามูเอล แชตโท ซึ่งทั้งคู่เป็นหลานใน เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต เคานท์เตสแห่งสโนว์ดอน พระราชธิดาพระองค์เล็กในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 กับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ และพระขนิษฐาในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระประมุขแห่งอังกฤษองค์ปัจจุบัน
เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก อาเธอร์เคยได้ทำหน้าที่สำคัญอย่างการเป็น Page of Honour ให้กับ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งมีศักดิ์เป็นยายของเขาในปี 2009 ถึง 2015 ซึ่งหน้าที่จัดว่ามีความสำคัญอย่างมาก โดยอาเธอร์จะมีหน้าที่ถือชายเสื้อคลุมให้กับเสด็จยายในพิธีสำคัญต่างๆ รวมถึงพิธีราชาภิเษกของสหราชอาณาจักรและการเปิดรัฐสภาด้วย
อาเธอร์ ชื่นชอบการเล่นกีฬาโลดโผนหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำแข็งในกรีนแลนด์ ปีนเขาที่เทือกเขาแอลป์ รวมถึงแอคทิวิตี้ที่ทำเป็นประจำอย่างการเล่นเวท นอกจากนี้เขายังเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อหาเงินบริจาคให้กับองค์กรการกุศล Just One Ocean ซึ่งเขามักให้ความรู้แก่ผู้ติดตามของเขาเกี่ยวกับความสำคัญของสาเหตุด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ที่มา : www.dailymail.co.uk