แพรว พาไปชมผลงานการรังสรรค์เครื่องประดับชั้นสูงอันวิจิตรตระการตา ที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นพิเศษ ในงานนิทรรศการ Van Cleef & Arpels: Time, Nature, Love ณ D Museum กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ (งานจัดถึง 14 เมษายน 2024) ที่รวบรวมเครื่องประดับและศิลปวัตถุล้ำค่าที่หาชมได้ยากกว่า 300 ชิ้น นับตั้งแต่เมซงได้สร้างสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 1906 และผลงานต้นแบบอีกมากมาย ภายใต้การรังสรรค์ของ Alba Cappellieri ภัณฑารักษ์คนดัง ร่วมด้วย Johanna Grawunder นักออกแบบงานตกแต่งเชิงสถาปัตย์ภายในพื้นที่จัดงาน และ Michal Batory มาร่วมออกแบบงานกราฟิกด้วย เรียกว่าเต็มอิ่มจุใจสุดๆ ทั้งผลงานเครื่องประดับและการจัดแสดง แสง สี เสียง



โดยนิทรรศการ Van Cleef & Arpels: Time, Nature, Love ครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ “กาลเวลา” (Time) ที่โชว์ “ความเป็นเลิศ” ในกระบวนการสร้างสรรค์เครื่องประดับและวัตถุล้ำค่าของแบรนด์ ที่เกี่ยวพันกับบริบทของสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย อย่าง ตลับแป้งประตูชัยสีทอง, กล่องไฟแช็คเสาว็องโดม, เครื่องประดับซ่อนเวลา “ลูโด” รุ่นบานพับปิดหน้าปัด, กระเป๋ากล่อง “มิโนดิเอร” กลัดดอกกุหลาบป่า ที่ถือเป็นต้นแบบกระเป๋าคลัทช์ในปัจจุบัน รวมถึงสร้อยคอสายซิป ผลงานชิ้นไอคอนิกตลอดกาลของเมซง



“ถัดมาคือ “ธรรมชาติ” (Nature) แหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ที่ Van Cleef & Arpels ได้หยิบเอารูปทรง เส้นสาย ลวดลาย และสีสันหลากหลายเฉดจากธรรมชาติ รวมถึงอัญมณีน้ำงามเลอค่าและโลหะทั้งหลายมารังสรรค์เป็นเครื่องประดับชิ้นงามรูปพืชพรรณใบไม้ ดอกไม้ ไปจนถึงสิงสาราสัตว์ที่เปี่ยมสุขท่ามกลางธรรมชาติอันบริบูรณ์



สุดท้าย เรื่องราวอันทรงพลังที่กลายมาเป็นจุดกำเนิดของเมซง อันเกิดจาก “ความรัก” (Love) ‘อัลเฟร็ด แวน คลีฟ’ และ ‘เอสแต็ลล์ อารเปลส์’ คู่สมรส ผู้ก่อตั้งเมซงแห่งนี้ ใน ค.ศ. 1960 นิทรรศการครั้งนี้จึงได้รวบรวมผลงานเกือบ 30 ชิ้น อย่าเข็มกลัด, แหวน, สร้อยข้อมือ, สร้อยคอ, เทียร่า ตลอดจนของตกแต่งใช้งาน และอื่นๆ อีกมากมายที่เปรียบเสมือนของสื่อรักอันทรงคุณค่า และตำนานความรักสุดโรแมนติก


กระซิบว่าเครื่องดับชิ้นไฮไลท์บางชิ้นในนิทรรศการนี้ อยู่ในคอลเล็คชั่นส่วนตัวของนักสะสมตัวยงในแถบบ้านเราเสียด้วย ตามไปดูกันเลย
Highlighted Pieces เครื่องประดับชิ้นพิเศษจากคอลเล็คชั่นส่วนบุคคล
หนึ่งในไฮไลท์ของงานที่ถือว่าหาชมได้ยากยิ่ง คือบรรดาเครื่องประดับชิ้นพิเศษ ที่อยู่ในคอลเล็คชั่นส่วนบุคคลของลูกค้าระดับวีไอพีของแบรนด์ ที่มีการนำมาจัดแสดงแบบเฉพาะกิจในงานนี้ แพรว ขอหยิบเครื่องประดับสามชิ้นไฮไลท์ มาให้ได้ชมความงดงามตระการตาแบบที่สุดกัน
Nuit d’équateur necklace, 2009 จากคอลเล็คชั่นส่วนตัวของคุณ Laddavone Savankham

สร้อยคอระย้าประดับอัญมณีน้ำงามจากคอลเล็คชั่น Les Voyages Extraordinaires High Jewelry collection ปี 2009 เส้นนี้ บรรยายถึงความเขียวชะอุ่มของธรรมชาติในป่าเขตร้อน ผ่านมรกตน้ำเม็ดงามระย้าแทนใบไม้เขียวขจีในป่าเขตร้อน ประดับด้วยเหล่าตัวลีเมอร์ (สัตว์จำพวกลิงชนิดหนึ่ง) ที่กำลังโหนกิ่งไม้ กวัดแกว่งหางท่ามกลางไม้เลื้อยประดับเพชรเปล่งประกาย ปิดท้ายความงดงามด้วยรูเบลไลต์ (Rubellites) ทัวร์มาลีนสีแดงคล้ายทับทิมแกะสลักแทนดอกไม้เขตร้อนแสนเอ็กซอติก
Romeo and Juliet clips, 2022 จาก Romeo & Juliet High Jewelry collection จากคอคเล็คชั่นส่วนตัวของคุณอภิชัย ตั้งวงศ์ศิริ


เข็มกลัดคู่สองชิ้น รูป “โรมิโอ” และ “จูเลียต” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมแห่งความรักอมตะนิรันดร์กาล โดยทั้งสองชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Romeo & Juliet High Jewelry collection (2019) โดดเด่นด้วยงานศิลป์ฝีมือเลิศแบบสามมิติ ที่สามารถถ่ายทอดท่วงท่าอันงดงามของหนุ่มสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงรัก เสื้อผ้าอาภรณ์ประดับอัญมณีน้ำงาม โดยโรมิโอแต่งกายด้วยสีฟ้ากระจ่างใสจากเซฟไฟร์และเทอร์ควอยส์ เสริมด้วยผ้าคลุมทำจากทองและเยลโล่ไดมอนด์ และดาบประดับเพชร ส่วนจูเลียตนั้นสวมชุดยาวแขนพองสวยหวานในสีชมพูจากพิงค์เซฟไฟร์ ทับทิมและเพชร เครื่องประดับศรีษะและรองเท้าทำจากอัญมณีน้ำงาม โดยในเซ็ตนี้ โรมิโอกำลังหยิบยื่นช่อดอกไม้ให้กับหญิงสาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้นของทั้งคู่ กลายเป็นเครื่องประดับชิ้นงามที่เฉลิมฉลองให้กับความรักอันผลิบาน
Atours Mystérieux transformable necklace, 2022 จากคอลเล็คชั่นส่วนตัวของคุณจรรยา สว่างจิตร

สร้อยคอเพชรสลับทับทิมประดับพู่ทับทิมระย้าแบบซ่อนหนามเตย ตัวเรือนเกลียวประดับดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้นี้ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องประดับชิ้นโฟกัสของงานนิทรรศการ โดดเด่นด้วยเทคนิกการสร้างสรรค์และเพชรรูปทรงวงรีเม็ดเดี่ยวน้ำงาม ขนาด 79.35 กะรัต ที่ถือเป็นเพชรชิ้นดาวเด่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและความสมบูรณ์สูงสุดจาก คอลเล็คชั่น 2022 Legend of diamonds – 25 Mystery Set Jewels High Jewelry collection โดยเพชรเม็ดนี้มีความขาวสว่างที่ให้ความสมบูรณ์ระดับ D ผสมผสานกับความกระจ่างใสหมดจรดราวหยดน้ำ หรือที่เรียกว่าเพชร Type 2A คือมีความบริสุทธิ์สูงสุดเชิงเคมีที่หาได้ยาก (ทางแบรนด์กระซิบว่า เพชรเม็ดนี้ใสชนิดที่หากนำลงไปแช่ในน้ำก็จะให้ความใสชนิดกลืนไปกับน้ำเลยทีเดียว) ประกอบกับลูกเล่นการเจียระไนแบบเหลี่ยมเกสรจึงเสริมให้ตัวเพชรเล่นแสงเปล่งประกายเจิดจรัสได้สุดพลัง
ส่วนวงขดเกลียวเพชรสลับทับทิมของตัวเรือนสร้อยคอ ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องประดับที่เป็นแบบฉบับผลงานประวัติศาสตร์ของ Van Cleef & Arpels สองชิ้นที่เคยทำไว้ในยุค 1930s นั่นคือ การหยิบลูกเล่นการใช้รัตนชาติสองสี มาจากสร้อยคอปกเสื้อ Collerette necklace (ก็อลเลอแร็ตต์) และทรวดทรงโค้งเว้าได้สัดส่วนสมมาตร จากผลงานสร้อยคอเพชรคู่บารมีสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ นำมาซึ่งสร้อยเพชรทับทิมที่สวมสบายกระชับลำคอ ที่ใช้การประกอบชิ้นส่วนปล้องข้อต่อสลับสับหว่างกันต่อเนื่องตลอดเส้น ทำให้ตัวเรือนโอบกระชับต้นคอได้พอดี ซึ่งต้องอาศัยการคำนวณอย่างแม่นยำและใส่ใจในรายละเอียดการทำอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้สร้อยคอยังสามารถพลิกแพลงดัดแปลงการสวมใส่ได้ โดยจี้เพชรเม็ดกลางนั้นสามารถปลดออกเพื่อนำไปร้อยเข้ากับสร้อยคอสายโซ่ได้อีกเส้น
บอกคำเดียวว่า ตื่นตาตื่นใจ