ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

เปิดบ้านหรู + คลังรถมูลค่ามหาศาล! ของนักธุรกิจสาวเก่งดีกรีนางงาม “ดร.กันธิชา ฉิมศิริ”

Alternative Textaccount_circle
ดร.กันธิชา ฉิมศิริ
ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

แพรว มีโอกาสมาเยือนบ้านพักสุดหรูที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ ภายในโครงการ Che Elpend ที่เขาใหญ่ เจ้าของคือนักธุรกิจหญิงมากความสามารถที่มีดีกรีความงามระดับคว้ามงมิสซิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 คนแรกของประเทศไทย “คุณยุ้ย – ดร.กันธิชา ฉิมศิริ” เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งเป็นนักสะสมตัวจริง ทั้งซูเปอร์คาร์ คลาสสิกคาร์ และงานศิลปะ

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

นอกจากโปรไฟล์เก่ง สวย และรวยมากแล้ว เธอยังเป็นสาวมากพลัง เมื่อคิดจะทำอะไร เธอจะทุ่มเทและพยายามจนสามารถแตะมือถึงความสำเร็จสูงสุด เธอบอกกับ แพรว ว่าตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ทำให้เธอได้ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองอีกหลากหลายด้าน

เปิดบ้านหรู + คลังรถมูลค่ามหาศาล! ของนักธุรกิจสาวเก่งดีกรีนางงาม “ดร.กันธิชา ฉิมศิริ”

“จุดเริ่มต้นมาจากเมื่อก่อนยุ้ยอยู่ในกลุ่มรถคลาสสิก มักจะชวนกันขับรถไปเที่ยวที่หัวหินบ่อยๆ จนทำให้ยุ้ยได้เพ้นต์เฮ้าส์เนื้อที่กว่า 350 ตารางเมตรที่หัวหิน (หัวเราะ) จากนั้นเริ่มเปลี่ยนทิศการเดินทาง เพื่อนบอกว่าอยากไปขับรถเที่ยวที่เขาใหญ่ แล้วตอนเช้าค่อยถ่ายรูปเล่นกัน เราก็ขับตามไป ขากลับเพื่อนชวนแวะมาดื่มกาแฟที่โครงการ Che EIpend ซึ่งเพื่อนอีกคนเป็นเจ้าของ ทีแรกตั้งใจแค่ว่าอยากมานั่งคุยและถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กกันตามประสา แล้วเพื่อนก็พูดว่าช่วยซื้อที่ดินไว้สักหนึ่งแปลงนะ ตอนนั้นยังไม่คิดว่าจะซื้อ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไว้ทำอะไร แต่อยากช่วยเพื่อน วันนั้นสามี (Alexander Pape เจ้าของแบรนด์ Schwarzkopf) และลูกชาย (Master Nicolos Pape) มาด้วยกันพอดีจึงช่วยกันเลือก จนได้มาหนึ่งแปลงติดภูเขา พื้นที่ประมาณ 1 ไร่

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“พอกลับถึงกรุงเทพฯก็เริ่มออกแบบบ้านทันที โดยยุ้ยเลือกอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ที่รู้จักกันมานานคือคุณอาร์ต – อยุทธ์ มหาโสม แห่ง Ayutt and Associates design (AAd) เขาเห็นว่ายุ้ยมีรถเยอะ ทั้งคลาสสิกคาร์และซูเปอร์คาร์รวมแล้ว 10 กว่าคัน ทุกค้นจอดไว้ที่กรุงเทพฯ ต้องฝากจอดอยู่ตามที่ต่างๆ คุณอาร์ตจึงแนะนำให้ทำที่จอดรถใต้ดินแทนการทำที่จอดรถที่ชั้น 1 แบบบ้านทั่วไป ด้วยบ้านที่เขาใหญ่สามารถสร้างได้ไม่เกิน 15 เมตรหรือตึกสูง 2 ชั้นเท่านั้น หากทำที่จอดรถในชั้น 1 จะทำให้มีห้องไม่พอสำหรับสมาชิกทุกคนในบ้าน

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“พอปรึกษาสามี เขาก็แนะนำให้สร้างพื้นที่ส่วนตัวของยุ้ยไว้ตรงชั้นใต้ดิน คือมีทั้งห้องแต่งหน้า ห้องนั่งเล่น ห้องนั่งเล่นของลูก และที่จอดรถ สำหรับชั้น 1 จะเป็นห้องรับแขกขนาดใหญ่ และห้องพักสำหรับแขกที่เราสร้างไว้ 2 ห้องนอน อยู่ติดกับสระว่ายน้ำ

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“ส่วนโซนชั้น 2 เป็นพื้นที่ส่วนตัว มี 3 ห้องนอน เป็นของสามี ยุ้ย และลูก ซึ่งห้องนอนของยุ้ยจะมีวอล์กอินคลอเสต แต่ทุกวันนี้เสื้อผ้าก็ค่อยๆ ลามไปไว้ที่ห้องแขกบ้าง ห้องลูกบ้าง (หัวเราะ)  ส่วนอีกห้องเป็นห้องทำงานของยุ้ย

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“หลังจากสร้างเสร็จเรียบร้อยก็ซื้อที่ดินเพิ่ม คือพื้นที่สนามหญ้าในปัจจุบัน รวมกันแล้ว 3 ไร่ ปกติเราจะไม่ค่อยได้เดินทางมาพักสักเท่าไหร่ เพราะอยู่กรุงเทพฯเป็นหลัก แต่พอช่วงโควิด-19 ระบาด จึงขนครอบครัวมาอยู่ที่เขาใหญ่กันหมด แล้วตัดสินใจซื้อบ้านต่อจากเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างๆ ไว้ด้วย เพราะคิดว่าเมื่อลูกโตขึ้นน่าจะอยากมีพื้นที่ส่วนตัว”

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

ค้นพบพรสวรรค์

“ช่วงที่อยู่บ้านหลังนี้ยุ้ยมีเวลาเยอะ จึงเริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับกุญแจไขความสำเร็จ Heart to Heart เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้คนที่คิดไม่ออกว่าชีวิตจะเดินไปเส้นทางไหน หรือฉันยังขาดอะไรบ้างถึงจะประสบความสำเร็จ”

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

แล้วเธอยังได้ค้นพบว่าตัวเองสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะแขนงหนึ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์

“ระหว่างที่เขียนเรื่อง Heart to Heart ยุ้ยอยากทำงานศิลปะเพื่อทำเป็นปกของหนังสือ ยุ้ยวาดรูปหัวใจด้วยสีน้ำมัน จากนั้นลวดลายต่างๆ ก็ออกมาให้วาดได้ทุกวัน ยุ้ยผสมสีขึ้นมาเอง เชื่อว่าคงไม่มีหลักสูตรไหนสอน เพราะบางอย่างเกิดขึ้นจากการทดลอง อย่างคอลเล็คชั่น Snow และ Super Star ที่ใช้โฟมและวิธีมิกซ์สี ซึ่งยุ้ยไม่ได้เรียนศิลปะที่ไหน แต่มาจากจินตนาการส่วนตัวอย่างเดียวเลยค่ะ

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“จากนั้นจึงขยับขยายไปสู่ศิลปะที่เรียกว่า String Art  เป็นงานศิลปะที่ใช้เส้นไหมและหมุดนำมาเรียงร้อยจนเกิดผลงานเป็นลวดลายเรขาคณิต ภาพสัตว์ ฯลฯ ในเมืองไทยยุ้ยยังไม่ค่อยเห็นคนทำงานแนวนี้มากนัก ยุ้ยเริ่มจากซื้อเส้นไหมมาทดลองทำประมาณ 700 ม้วน เพื่อลองสี ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ใช้ความรู้สึกและมุมมองในศิลปะเป็นหลัก ชั้นตอนที่ยากที่สุดคือการคัดเลือกเส้นไหม จะต้องเป็นเส้นที่สวยและเรียบเนียนที่สุด โดยยุ้ยใช้เวลาทำต่อชิ้นผลงานประมาณ 1 คืน ซึ่งต้องใช้สมาธิอย่างมาก เพราะมีการคำนวณจำนวนไหมอย่างละเอียด ถ้าพลาดไปแค่เส้นเดียว ภาพที่ออกมาจะไม่บาลานซ์กันทันที ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ยุ้ยทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงานศิลป์นี้ เพราะยุ้ยเชื่อว่าถ้าเราไม่ทุ่มเท งานก็จะไม่อลังการ

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“พอทำงานศิลปะออกมามากๆ จึงตัดสินใจใช้พื้นที่ที่ซื้อเพิ่มจากเพื่อนบ้านมาตกแต่งให้เป็นบ้านศิลปะ สำหรับจัดวางผลงานภาพสีน้ำมันและงาน String Art ทั้งหมด เพื่อต้อนรับแขกและแฟนคลับที่แวะมาเยี่ยมเยือนกันตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยุ้ยยังนำผลงานมาตกแต่งไว้ในชีวิตประจำวันด้วยการใสกรอบติดผนังตามห้องต่างๆ หรือทำเป็นโต๊ะรับแขก ภายในเวลา 3 ปี ยุ้ยสามารถสร้างงานไม่ต่ำกว่า 500 ผลงาน ถือว่าเป็น Special Gift ของตัวเองจริงๆ”

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

ขยายอาณาจักร

“ช่วงที่ยุ้ยเก็บตัวทำงานศิลปะอยู่บ้านที่เขาใหญ่ เพื่อนยุ้ยที่เป็นเจ้าของโครงการยอมขายที่ดินฝั่งตรงข้ามให้อีกหนึ่งแปลง เพราะยุ้ยอยากจะสร้างเป็น Academy ไว้ที่ชั้นบนเพื่อเปิดให้เช่า มีทั้งสตูดิโอและห้องอัดเสียง ส่วนบริเวณชั้นล่างทำเป็นที่จอดชูเปอร์คาร์คอลเล็คชั่นส่วนตัว ยุ้ยตั้งใจให้ภายในอาคารนี้มี 3 ไอเท็มที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของยุ้ยให้ผู้คนที่มาเยือนได้สัมผัส คือซูเปอร์คาร์  ผลงานศิลปะ และประติมากรรม

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“สำหรับการออกแบบยังคงยกหน้าที่ให้คุณอาร์ต โดยเน้นความเป็นโมเดิร์นอย่างชัดเจน สร้างเป็นอาคารกระจกทั้งหลัง ซึ่งต้องสั่งทำขึ้นมาเป็นขนาดพิเศษ ทำเอาตอนที่คุณอาร์ตส่งใบเสนอราคามาแอบตกใจเล็กน้อย” (หัวเราะ) คุณยุ้ยกระซิบว่าราคา 7 หลักเลยทีเดียว

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“เรื่องสีของบ้านยุ้ยก็ให้ความสำคัญ อย่างห้องรับแขกชั้น 2 ยุ้ยเลือกทำ String Art เป็นโทนสีฟ้าแล้วนำมาใส่กรอบติดผนังห้อง และทำเป็นโต๊ะสำหรับรับแขกอีกด้วย เพราะสีฟ้าเป็นโทนสีที่ทำให้รู้สึกสบายตา หรืออย่างกระจกยุ้ยเลือกติดฟิล์มกันร้อนสีเขียว เพราะวิวภูเขาตรงหน้าเป็นสีเขียว เพื่อให้เรามองทุกอย่างได้ชัดเจนเหมือนไม่ได้ติดฟิล์ม”

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

ตอบโจทย์ตัวเอง + ฮวงจุ้ย

ด้วยสไตล์ของบ้านที่มีความโมเดิร์น แต่คุณยุ้ยยืนยันว่าทำตามหลักฮวงจุ้ยแบบถูกทุกข้อ

”ยุ้ยศึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยด้วยตัวเองค่ะ โดยมีคุณอาร์ต อินทีเรียร์ดีไซเนอร์เป็นที่ปรึกษา อย่างต้นมั่งมี 4 ต้น ที่ยุ้ยนำมาปลูกไว้หน้าบ้าน เพื่อจะได้มีเงินทองไหลมาเทมา ตอนแรกห้องนอนยุ้ยอยู่ด้านในฝั่งขวาของบ้าน เพราะเป็นมุมที่ยื่นออกไปเห็นภูเขาแบบเต็มๆ ตา แต่ความที่เราเป็นพ่อแม่ ห้องนอนต้องใหญ่กว่าของลูก ยุ้ยจึงสลับมาอยู่ห้องด้านหน้าที่ใหญ่กว่า ซึ่งเดิมเป็นห้องนอนของน้องนิโคลัส

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“ส่วนประติมากรรมปลาทองบนระเบียงชั้นสอง ตามหลักฮวงจุ้ยถ้าบ้านไหนมีปลาทองจะทำให้มีความร่ำรวย ถ้าจะเลี้ยงปลาท่องตัวเป็นๆ ก็สงสารคนงาน ไหนจะต้องดูแลบ้าน รถ สวน และยังต้องให้อาหารปลาอีก จึงใช้วิธีซื้อประติมากรรมปลาทองมาวางไว้แทน”

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

เรื่องความสวยงามและความลงตัวยังคงเป็นหัวใจหลักของการตกแต่งอาณาจักรแห่งนี้ 

“ตั้งแต่ด้านหน้าของอาคาร Academy ยุ้ยตั้งใจวางพระพิมเนศไว้บริเวณสวน เพื่ออยู่ท่ามกลางความร่มรื่นของธรรมชาติและให้ผู้คนได้สักการะ ซึ่งยุ้ยซื้อมาจากศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ วันนั้นเพื่อนชวนมานอนบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อไปเลือกซื้อสิงโตหินแบบเดียวกับที่ตั้งอยู่หน้าบ้านยุ้ยที่เขาใหญ่ ซึ่งเป็นสิงโตหน้ายิ้ม เพื่อให้ทุกครั้งที่มองเราจะรู้สึกสบายใจและมีความสุข เพื่อนจึงอยากได้บ้าง พาไปดูหลายร้านแล้ว เพื่อนไม่ยอมซื้อสักที ยุ้ยหันไปเห็นพระพิฆเนศองค์นี้ในร้านหนึ่งแล้วชอบมาก จึงซื้อมาทันทีในราคา 200,000 บาท แล้วยังได้หินมูราโน่สีม่วงมาอีก 3 ก้อน เพราะคนขายบอกว่าอิทธิพลของหินหรือพลอยถือเป็นพลังงานดี เมื่อนำมาไว้ในบ้านก็จะได้รับพลังงานดีๆ ไปด้วย สรุปวันนั้นยุ้ยหมดไปหลายแสนเลยค่ะ (หัวเราะ)

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“ตอนแรกบริเวณสนามตั้งใจว่าจะวางผลงานประติมากรรม แต่คุณอาร์ตแนะนำว่าอยากให้มีต้นไม้ เพื่อไม่ให้แดดเข้ามาในบ้าน 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วให้ปลูกต้นไม้ตรงฝั่งอาคาร Academy โดยเฉพาะต้นใหญ่ตรงทางขึ้น เพื่อเป็นการบังบ้านจากเพื่อนบ้านให้มีความไพรเวตยิ่งขึ้น

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“หลายคนสงสัยว่าทำไมตรงสนามหญ้าทำเป็นเนินฮิลล์ เป็นเทคนิคในการวางพื้นที่ เพราะที่ตรงนี้ติดภูเขา เราอยากให้ภาพวิวตรงสนามรับต่อเนื่องมาจากภูเขาแล้วค่อยลงมาตรงพื้นสนามหญ้า คือทำให้ระดับสายตาการมองวิวต่อเนื่องกับภูเขา

ดร.กันธิชา ฉิมศิริ

“สำหรับบ้านศิลปะ ยุ้ยตั้งใจเพ้นต์กำแพงและตัวตึกให้เป็นรูปหัวใจ เพราะยุ้ยเขียนหนังสือ Heart to Heart เวลาคนที่เข้ามาชมบ้านศิลปะต้องเดินผ่านกำแพง อยากให้เขารู้สึกว่าคุณต้องใช้หัวใจติดต่อและสัมพันธ์กับผู้คนนะ ความจริงอยากจะเพ้นต์บ้านทั้งหลังเลยนะคะ เพื่อให้เป็น The Only One Kaoyai (หัวเราะ) เวลายุ้ยส่งพลังดี ๆ ออกไปโดยผ่านทุกอย่างในบ้านหลังนี้ อยากให้คนที่มาเห็นรู้สึกและสัมผัสได้ค่ะ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 997

Praew Recommend

keyboard_arrow_up