สามี Bonnie Evita Law หลานสาวทายาทเจ้าของ Bossini แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังของ ฮ่องกง ฟ้องหมอศัลยกรรมหลังภรรยาของเขาเสียชีวิตขณะไป ดูดไขมัน และเสริมหน้าอกที่คลินิกแห่งหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้
South China Morning Post หนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษของ ฮ่องกง ได้ออกมารายงานข่าวผ่านทางเว็บไซต์ www.scmp.com ว่า ครอบครัวมหาเศรษฐี เจ้าของ Bossini กำลังฟ้องคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากการเสียชีวิตของสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวขณะเข้ารับการศัลยกรรมดูดไขมันและเสริมหน้าอกเมื่อเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา
สามี ทายาทเจ้าของ Bossini ฟ้องหมอหลังภรรยาตายเพราะ ดูดไขมัน ที่เกาหลีใต้
โดยคลินิกศัลยกรรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตคังนัม ย่านหรูของกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งนี้มีการเผยว่าการทำศัลยกรรมเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองวันเกิดให้กับ Bonnie Evita Law หลานสาวของ Law Ting-pong ผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังอย่าง Bossini ซึ่งมีการรายงานว่า บอนนี่ วัย 34 ปี มีอาการโคม่าขณะกำลังเข้ารับการศัลยกรรมที่คลินิกและได้ถูกย้ายตัวไปที่โรงพยาบาลก่อนที่เธอจะสิ้นใจลง
การเสียชีวิตของ บอนนี่ ได้รับรายงานอย่างกว้างขวางในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา แม้ว่าตอนนั้นทางครอบครัวอาจจะยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลสาเหตุการเสียชีวิตของเธออย่างเป็นทางการ แต่ปัจจุบันครอบครัวของ บอนนี่ ก็ได้มีการเปิดเผยถึงข้อมูลการเสียชีวิต และแผนการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
Bonnie Evita Law เป็นหนึ่งในทายาทของ Raymond Law Ka-kui ลูกชายคนสุดท้องของ Law Ting-pong และยังเป็นนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาสำคัญบางแห่งในฮ่องกง รวมถึงเธอยังเป็นพี่สาวของ Queenie Rosita Law ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรอดตายจากการถูกจับไปเรียกค่าไถ่
ด้าน Danny Chi สามีของบอนนี่ซึ่งเป็นตัวแทนของครอบครัวได้ทำการยื่นฟ้องศาลฮ่องกง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจำนวนสองคน รวมถึงพยาบาลของคลินิกศัลยกรรมตกแต่ง Ollim ฐานปกปิดและปลอมแปลงเอกสารก่อนการผ่าตัด รวมถึงข้อหาที่ว่าฆ่าคนโดยไม่เจตนา
สำหรับ Danny Chi ได้แต่งงานกับ Bonnie Evita Law มานานแล้วถึง 10 ปี และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน ปัจจุบันอายุ 7 ขวบ ซึ่งตอนนี้เขากำลังตรวจสอบว่าความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียภรรยาของเขาว่าส่งผลกระทบมากแค่ไหน เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะการเสียชีวิตของบอนนี่นั้นทำให้มรดกที่เธอต้องได้รับจากผู้เป็นพ่อลดลงถึง 1 ใน 3 และยังไม่รวมกับในส่วนที่เป็นรายได้ประจำปีซึ่งมีจำนวนมากที่ภรรยาของเขาต้องได้รับจากครอบครัว ทั้งนี้เขายังได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลด้วยว่า
“การตายของภรรยาเป็นเรื่องโชคร้าย ไม่เป็นธรรมและ ผิดกฎหมาย มันเป็นผลมาจากความประมาทเลินเล่ออย่างรุนแรงและไร้ซึ่งความสามารถของพวกเขา”
“ ไม่มีอะไรที่สามารถนำภรรยาของผมกลับมา แต่เป็นการสร้างความตระหนักให้ผู้อื่น เพราะผมไม่ต้องการให้เกิดโศกนาฏกรรมเดียวกันนี้กับครอบครัวอื่นๆ ”
ในขณะที่ตำรวจกรุงโซลได้เผยแพร่ผลการสืบสวนการเสียชีวิตบอนนี่ ก็พบว่าเว็บไซต์ของคลินิกยังคงเปิดให้บริการสำหรับการศัลยกรรม และมีการรับนัดหมายคนไข้เพื่อพาตัดกับ Kim Sung-il ศัลยแพทย์ 1ใน2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีนี้
ทั้งนี้นักข่าวยังได้ลงพื้นที่เพื่อไปหาเซลล์คนที่แนะนำให้บอนนี่มาศัลยกรรม ซึ่งเธอพูดภาษาจีนได้ด้วย รวมถึงยังไปสถานีตำรวจเกาหลีใต้แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร ด้าน Danny Chi ยังเผยด้วยว่าพ่อตาของเขา “Raymond Law Ka-kui” ได้รับข้อความจากนายแพทย์คิมขอให้ยกโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ตามรายงานการเสียชีวิตของบอนนี่นั้น พบว่าเธอกำลังวางแผนที่จะฉลองวันเกิดครบรอบ 35 ปี และได้ติดต่อกับเซลล์ของคลินิกศัลยกรรมที่ชื่อว่า Shim Bok-hwa ซึ่งถูกกล่าวว่ามีประสบการณ์แปดปีในวงการศัลยกรรม โดยเซลล์คนนี้ได้เชิญ บอนนี่ ผ่าน WeChat เพื่อไปทำศัลยกรรมที่คลินิกดังกล่าว
ทั้งนี้ บอนนี่ ได้เข้ารับการศัลยกรรมเมื่อวันที่ 21 มกราคม และมีการประกาศออกมาว่าเธอเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนในวันที่ 28 มกราคม ภายหลังเข้ารับการดูดไขมันที่แขนและกระดูกเชิงกรานส่วนบนเพื่อย้ายไขมันไปไว้ที่หน้าอก รวมถึงยังมีการโบท็อกซ์น่องที่ขาทั้งสองข้างอีกด้วย
การผ่าตัดครั้งนี้ดำเนินการโดยนายแพทย์คิม ผู้ซึ่งอ้างว่ามีประสบการณ์ 10 ปีในฐานะแพทย์ ร่วมด้วยผู้ช่วยศัลยแพทย์ Jung Tae-gwang และนางพยาบาล Park Mi-soo
อย่างไรก็ตามไม่มีการปรากฏของวิสัญญีแพทย์ และการใช้ propofol (โปรโพฟอล ยาระงับความรู้สึกที่ออกฤทธิ์ทำให้ระบบประสาทและสมองทำงานช้าลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย ไร้ความรู้สึก และหลับลงอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนและระหว่างขั้นตอนการผ่าตัดหรือการวินิจฉัยโรค) รวมถึง sedatives (ยาระงับประสาท เป็นยาที่ทำให้เกิดภาวะสงบ ออกฤทธิ์โดยการไปลดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หรือลดความตื่นเต้น) โดยนายแพทย์ Jung Tae-gwang ตามคำแถลงการณ์ของตำรวจเกาหลีใต้
ซึ่งในขณะที่ บอนนี่ กำลังอยู่ในขั้นตอนการศัลยกรรมนั้นพบว่ามีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงและมีอาการกระตุกในระหว่างการผ่าตัด ทั้งนี้นายแพทย์คิมได้สั่งให้นายแพทย์จุง ฉีดยาระงับประสาท ซึ่งมีส่วนผสมของ ketamine (เป็นยาในกลุ่มยาสลบ ผู้รับยานี้จะไม่สลบแต่จะมีอาการไร้ความรู้สึกและอยู่ในภวังค์ มีฤทธิระงับปวด, ระงับประสาท และทำให้สูญเสียความทรงจำ) และ midazolam (ใช้สำหรับทำให้สลบ, ใช้เป็นยาระงับประสาท, รักษาอาการนอนไม่หลับ และรักษาภาวะกายใจไม่สงบ) ถึงสองครั้งให้กับผู้ป่วย
แต่ในขณะที่นายแพทย์คิมเริ่มกำจัดไขมันออกจากแขนซ้ายของผู้ป่วย ระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนลดลงเกือบ 80% ใบหน้าของเธอซีดและริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีม่วง และทันทีที่รถพยาบาลมาถึงเธอก็มีเลือดออกจากปากและจมูกในระหว่างการช่วยชีวิต และมีการเผยว่าเธอเสียชีวิตหนึ่งชั่วโมงต่อมาที่โรงพยาบาล Eunpyeong St Mary ในมหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งเกาหลี
พิธีศพของ บอนนี่ ถูกเผาในเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ไม่มีการจัดงานศพที่เหมาะสมในฮ่องกง อันเนื่องมาจากการระบาดของไวรัสโคโรน่า แต่สมาชิกในครอบครัวได้จัดพิธีรำลึกถึงเธอในวันเกิด ผ่านช่องทางออนไลน์
อย่างไรก็ตามสมาชิกในครอบครัวคาดหวังว่ารายงานชันสูตรศพของตำรวจจะพร้อมในเดือนหน้าอย่างเร็วที่สุด พวกเขากล่าวโทษเจ้าหน้าที่คลินิกที่ไม่ได้ตรวจสอบหรือทำการทดสอบคนไข้ก่อนการผ่าตัดว่ามีการแพ้ใดๆ เกิดขึ้นจากยาระงับความรู้สึกหรือการวางยาสลบที่ถูกต้องให้กับคนไข้โดยวิสัญญีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาต
ครอบครัวของ บอนนี่ ยังกล่าวอีกด้วยว่า เอกสารที่ลงนามยินยอมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างผ่าตัด ไม่ได้ลงนามโดยบอนนี่ แต่คลินิกมีการปลอมแปลงเอกสารนี้ขึ้นภายหลังจากที่ Bonnie Evita Law เสียชีวิต
ด้าน ดร. โฮ ชิวหมิง ประธานสมาคมศัลยกรรมพลาสติก และ ศัลยแพทย์ตกแต่งและความงาม ของฮ่องกง สงสัยว่าการเสียชีวิตของบอนนี่นั้นอาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการระงับความรู้สึก โดยเขากล่าวว่า
“การให้ยาระงับประสาทอาจผิดปกติหรือให้มากจนเกินไป ทำให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ ซึ่งมันอาจเป็นอันตรายมาก พวกเขามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการติดตามการตอบสนองของผู้ป่วย”
ข้อมูล : www.scmp.com