หายหน้าหายตาไปนาน ต้องขอโทษจริงๆ คะ ป่านวุ่นวายเดินทางทั่วโลก หลังจากที่มาคุยเรื่องพม่าคราวที่แล้ว ป่านมีโอกาสได้ไปเสียมเรียบ สมุย ภูเก็ต ลอสแองเจลลิส จนไปถึงริโอ เดจาเนโร ประเทศบราซิล โน่น ถ้าจะให้เขียนเล่า เขียนทั้งวันทั้งคืนก็ไม่หมดแน่ แต่วันนี้อยากเอาประสบการณ์จาก บราซิล มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันเพราะเชื่อว่าชาวไทยคงไม่มีโอกาสได้ไปบ่อยนัก ทั้งที่เป็นประเทศหนึ่งที่เราเข้าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า!
ด้วยความที่ถ้าเดินทางจากประเทศไทย ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามสิบชั่วโมงแน่ ป่านก็เลยบินจากนิวยอร์กตรงเข้าสู่นครริโอเดจาเนโรเลย ใช้เวลาเกือบสิบชั่วโมง กะว่าครั้งหนึ่งในชีวิตยังไงก็ต้องไปเคาท์ดาวน์ที่นี่ให้ได้
ประเทศบราซิลไม่ได้หรูหราอย่างที่คิด ให้คิดไว้เลยว่าเราไปประเทศกำลังพัฒนาอีกประเทศหนึ่ง ติดที่ว่าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง และเป็นประเทศที่อดีตเคยมีปัญหาเรื่องยาเสพติดหนักหน่วง เพราะฉะนั้นความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง จะเอาโทรศัพท์มากดเล่นตามถนนไม่ได้ (เพราะจะถูกจี้) หรือจะใส่สร้อย กระเป๋าแพงๆ นาฬิกาหรูๆ ก็ไม่ได้ โดนตกเอาแน่ๆ อันตรายถึงขั้นว่ารัฐบาลบราซิลส่งตำรวจพร้อมอาวุธสงครามออกลาดตระเวณในบริเวณชุมชนทุกชั่วโมง
ความน่ากลัวนั้นมีจริง แต่ความสวยงามของเมืองก็มีอยู่มาก สถานที่ท่องเที่ยวขี้นชื่อของริโอคือ ชายหาด Copacabana ที่เป็นสถานที่จัดงานเค้าท์ดาวน์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี นักท่องเที่ยวนับล้านจากทั่วโลกพร้อมใจแต่งชุดขาวไปเค้าท์ดาวน์ที่หน้าหาด Copacabana หลังจากเสียง 3 2 1 Happy New Year จบลง ก็มีการจุดพลุสุดอลังการตระการตาเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ เรียกความประทับใจให้กับผู้ร่วมงานอยู่ใช่น้อย
ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยว แนะนำชายหาด Copacabana สุดขี้นชื่อ และชายหาด Ipanema ซึ่งเป็นแหล่งรวมคนโลคัลอยู่ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลองไป Santa Teresa แหล่งที่อยู่อาศัยของศิลปินของเมือง ที่ขาดไม่ได้อย่าลืมไป Christ The Redeemer รูปปั้นหินพระเยซูขนาดยักษ์ใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของบราซิล และเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย
ส่วนโรงแรม แนะนำให้พักที่ Fasano Hotel หรือ Copacabana Palace Hotel เป็นสองโรงแรมที่เซเลบริตี้ระดับ Kate Moss, Naomi Campbell พัก แอบบอกว่าป่านไปเล่นน้ำที่ Fasano Hotel ที่ Riccardo Tisci ดีไซเนอร์ของแบรนด์ Givenchy มานอนอาบแดดอยู่สามเตียงถัดไปด้วย เก๋ใช่ไหมล่า