งดงามตราตรึง พระบรมสาทิสลักษณ์ 2 มหาราช ผลงานจรดพู่กันของ 10 ศิลปินระดับชาติ..นับว่าเป็นครั้งแรกของการรวมเหล่าศิลปินระดับประเทศที่มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานชิ้นพิเศษ ซึ่งปรากฏอยู่ในแพรวฉบับพิเศษ “ตุลามหาราช” ในการวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ของสองมหาราชที่ทรงเป็นดังศูนย์รวมจิตใจของคนไทยท้ังชาติ ”พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ที่ยังคงสถิตอยู่ในใจของปวงชนชาวไทยตราบนิรันดร์
“ผมวาดภาพนี้ในคืน ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ก่อนได้รับการติดต่อจากนิตยสารแพรว ผมเกิดความคิดว่าเดือนตุลาคม ถือได้ว่าเป็นเดือนมหาวิปโยค เพราะพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ที่คนไทยรักและเทิดทูนเสด็จสวรรคตในเดือนนี้ จึงเป็นเหตุปัจจัยทำให้ผมวาดภาพนี้ขึ้นมา จะเห็นได้ว่าพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ชัดเจน แต่พระวรกายดูเลือนราง สื่อถึงพระองค์ท่านไม่ได้อยู่พวกเราแล้ว มีเพียงภาพลักษณ์พิมพ์ใจที่หลงเหลืออยู่”
“ด้วยความระลึกถึงทั้งสองพระองค์ที่ทรรงอุทิศิ ทั้งพระชนม์ชีพให้ประเทศไทย จึงตั้งใจสื่อพระพักตร์ออกมาในรูปแบบของเหรียญกษาปณ์ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ เคารพและเทิดทูน ผมอยากให้คนไทยได้ทราบว่าทั้งสองพระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานเพื่อแผ่นดินไทยไว้อย่างไร แล้วทรงทำตามพระราชปณิธานนั้นจริง ๆ”
“ผมได้รับเกียรติจากนิตยสารแพรว วาดภาพเพื่อระลึกถึงพระองค์ท่าน โดยเขียนรูปทั้งสองพระองค์ซ้อนกันอยู่ เพื่อสื่อให้รู้ว่า พระองค์ยังอยู่คงอยู่ในใจคนไทยเสมอ แม้เสด็จสวรรคตแล้วก็ตาม โดยล้อมรอบทั้งสองพระองค์ด้วยดวงประทีป แม้จะริบหรี่ลงแต่ก็ยังคงส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา ด้านหลังปล่อยเป็นพื้นขาวให้ดูสะอาด และตั้งใจให้สีที่วาดพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์เป็นสีขาวดำ สีซีเปีย เพื่อให้ดูว่าเป็นภาพเก่ารางเลือน แต่ยังคงชัดเจนและแจ่มใสในใจของพวกเราคนไทยเสมอ”
“ผมตั้งใจเขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ทั้งสองพระองค์อยู่ในภาพเดียว คิดด้วยความเป็นเหตุเป็นผลในฐานะพสกนิกรของพระองค์ว่า อยากให้หลานอยู่กับปู่ที่รัก และเป็นหลานรักของปู่ จึงเขียนภาพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ขณะทรงพระเยาว์ ส่วนพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ผมเลือกพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงฉายพระรูปกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเปลี่ยนมาเป็นพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แทน ซึ่งเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ขณะที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงกอดพระองค์อยู่ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงถือเรือจำลองแทนความเจริญรุ่งเรือง และได้มีการปรับเปลี่ยนแสงเงาให้มีความกลมกลืนมากยิ่งขึ้น
“ผมวาดภาพนี้ในฐานะพสกนิกรไทยคนหนึ่งที่รู้สึกต่อทั้งสองพระองค์ ด้วยสองพระพักตร์ที่เชื่อมโยงไปในทางเดียวกัน และด้วยสายพระเนตรทอดไกลออกไปยังสิ่งเดียวกันในความหมายของผมคือ ทรงคิดถึงและทรงห่วงใยในความอยู่ดีกินดีของพสกนิกรของพระองค์เสมอ ซึ่งสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานแก่พวกเราคือ เสรีภาพ ความพอเพียง ความสามัคคี ให้รู้จักใช้ความดีในการดำรงชีวิต”
“จุดเริ่มต้นผมคิดถึงความรัก เพราะคนจะดำรงชีวิตได้ด้วยความรัก ถือว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นมาในโลกนี้ ผมรู้สึกได้ว่าทั้งสองพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงเกิดมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ทุกข์ยากลำบากให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข โดยไม่ได้ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง แม้ทั้งสองพระองค์จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่ความรักและความดีของพระองค์ยังคงอยู่ในจิตวิญญาณของเรา ผมจึงถ่ายทอดให้พระองค์อยู่ท่ามกลางดอกกุหลาบ แทนค่าด้วยความรักที่บริสุทธิ์และงดงาม”
“ด้วยทั้งสองพระองค์ได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า “มหาราช” และทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย จึงอยากเขียนภาพทั้งสองพระองค์ ในฉลองพระองค์เต็มยศ เนื่องจากทรงอยู่ในสองช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยสมเด็จพระปิยมหาราชประทับเบื้องหลัง หมายถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ประทับเบื้องหน้า ด้วยภาพที่ทรงหันพระพักตร์ด้านข้าง ทำให้เขียนออกมายากมาก เพราะจะผลักระยะ อย่างไรให้ดูลึกดูตื้น จะวาดอย่างไรให้รู้สึกได้ถึงพระบารมีและสมพระเกียรติทั้งสองพระองค์”
“คอนเซ็ปต์ของภาพนี้คือ ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร แต่รวมอยู่ในภาพเดียวกัน เหมือนกับทั้งสองพระองค์กำลังทรงฉายพระรูปร่วมกัน”
“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ผมประทับใจ ผมเลือกวาดทั้งสองพระองคข์ณะมีพระชนมพรรษา ๒๐ พรรษาต้น ๆ เป็นช่วงวัยหนุ่มที่ทรงมีพลังและพระพักตร์เปล่งประกายงดงาม แต่เนื่องจากพระบรมฉายาลักษณ์ ต้นฉบับของทั้งสองพระองค์เป็นขาวดำ ฉลองพระองค์ก็เป็นสีขาวดำ จึงต้องแปลงน้ำหนักของพระพักตร์ แปลงขาวดำให้เป็นสี อีกทั้งเรื่องของแสงเงา ซึ่งพระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับแสงมาคนละด้านกัน จึงต้องพยายามกลบแสงและทำให้กลมกลืนที่สุด ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก”
“ผมจำลองความรู้สึกเหมือนเป็นช่วงเวลาที่มีวโรกาสครั้งสำคัญของพระองคท่าน อย่างการฉลองสิริราชสมบัติ ซึ่งจะมีการออกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก โดยเป็นเหรียญทอง เปรียบว่าทั้งสองแผ่นดินเป็นยุคทองของประเทศไทย เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางรากฐานของประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การปกครอง การศึกษา ส่วนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงนำรากฐานที่พระอัยกาทรงทำไว้ มาสานต่อในเรื่องความเป็นอยู่และปากท้องของประชาชน ผมวาดพระองค์ท่านให้เห็นความต่างอย่างชัดเจนระหว่างพระอัยกาและพระราชนัดดา”
อ่านเรื่องราวพิเศษของ 2 มหาราชผู้เป็นที่รักยิ่งของชาวไทยฉบับสมบูรณ์ได้ในนิตยสารแพรวฉบับพิเศษ “ตุลามหาราช” สามารถหาซื้อได้ที่ ร้านหนังสือนายอินทร์ ทั่วประเทศ