วิชัย ศรีวัฒนประภา

ไขความลับชีวิตของ ‘วิชัย ศรีวัฒนประภา’ มหาเศรษฐีผู้ให้ เจ้าสัวหัวใจเพชร!

วิชัย ศรีวัฒนประภา
วิชัย ศรีวัฒนประภา

ชื่อคิง เพาเวอร์ เริ่มจากตรงนั้นใช่ไหมคะ

ยังครับ เดิมผมใช้ชื่อบริษัทว่า ททท. สินค้าปลอดอากร ซึ่งพอพาร์ตเนอร์เก่าเห็นเราทำได้ก็จะเอาบ้าง ช่วงนั้นพอดีกับผมมีปัญหากับหุ้นส่วนที่ฮ่องกง เขาเป็นกลุ่มมีอิทธิพลอยู่ทางนั้น ผมต้องเดินทางไปพบเพื่อเจรจา ก่อนจะพบเขา ผมทำใจแล้วว่าต้องเจออะไรบ้าง วินาทีนั้นผมนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภาวนาขอพระบารมีของพระองค์ท่านได้โปรดคุ้มครอง ขอให้สู้กับมาเฟียชนะ ตอนนั้นผมคนเดียว ฝ่ายเขามีทั้งห้อง ทุบโต๊ะถามผมว่าจะขายหุ้นทั้งหมดไหม ผมบอกขายไม่ได้ ก็เจอคำถามว่าอยากจะออกจากห้องนี้ไหม ผมบอกอยากออก แถมขู่เขาไปด้วยว่า…คิดให้ดีนะ ที่เมืองไทยผมทำงานโดยใช้ชื่อว่าททท.สินค้าปลอดอากร ซึ่งหมายถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รู้ไหมว่ารัฐบาลถือหุ้นอยู่ ก่อนที่ผมจะมาหาคุณ ผมบอกสถานทูตแล้ว ถ้าภายใน 1 ชั่วโมง ผมไม่โทรกลับไป เขาจะส่งตำรวจมา ที่สุดหุ้นส่วนฮ่องกงต้องยอมผม พอออกมาผมก็คิดชื่อ คิง เพาเวอร์ จากนั้นทำเรื่องขอเปลี่ยนชื่อบริษัท เพื่อเป็นสิริมงคลในการดำเนินธุรกิจต่อไป

แล้วคิง เพาเวอร์ขยับไปได้พื้นที่สนามบินตอนไหนคะ

เล่าไปก็ยาวเหมือนหนัง แต่การทำงานอยู่หลังฉากทำให้ผมยิ่งรู้ซึ้งว่าตราบใดที่สัมปทานจริงๆ ไม่มาอยู่ในมือ ตราบนั้นความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อถึงวันที่การเมืองเปลี่ยน ผมเจอพิษการเมืองครั้งแรกเมื่อรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ททท. จู่ๆ ก็ถาม ททท.ว่าทำไมไม่ทำเอง เพราะคิง เพาเวอร์จะรวยเกินไป ผลคือ ททท.ไม่ต่อสัญญา บอกจะทำเองที่เวิลด์เทรด ผมบอกไม่เป็นไร แต่ต้องรับปากว่าจะช่วยเอาลูกน้อง 3-4 ร้อยคนไปด้วย เพราะเขามีประสบการณ์ และเขาไม่ผิด ถ้าคุณรับปาก ผมจะยอมถอยให้ ตอนแรกเขาตกลง ผมเลยกลับไปบอกลูกน้องว่าคุณไม่ตกงานแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เบี้ยวไม่ได้รับลูกน้องผม เป็นที่มาที่ผมต้องต่อสู้เพื่อให้เขาเห็นว่าธุรกิจนี้ต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพและต้องมีคอนเน็คชั่น รวมทั้งต้องมีความสามารถที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ฉะนั้นร้านที่มหาทุนพลาซ่าจึงยังคงดำเนินการต่อไป โดยผมทำให้เห็นกันไปเลยว่าแม้กระทั่งในวิกฤตที่เราไม่มีใบอนุญาตดิวตี้ฟรีก็ยังสามารถขายของในราคาปลอดภาษีได้

วิชัย ศรีวัฒนประภา

แต่ทำอย่างนั้นท่านก็น่าจะเจ็บตัวไม่ใช่หรือคะ

เจ็บครับ เรียกว่าเป็นช่วงล้มลุกคลุกคลานเลยละ คิดดูของที่ขาย ผมต้องเสียภาษีนะ แต่เอามาขายในราคาปลอดภาษี เพราะฉะนั้นผมได้กำไรน้อยลงอยู่แล้ว บางชิ้นขายขาดทุนด้วยซ้ำ แต่ถามว่ามีใครรู้ไหม ผมไม่แน่ใจ เพราะเป็นคนไม่ค่อยออกอาการ (หัวเราะ)

ต้องบอกก่อนว่าการเจ็บครั้งนั้นเป็นการเจ็บที่เหมือนเราโดนแกล้ง โดยไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่เมื่อผ่านไปวันสองวัน ผมบอกตัวเองว่านี่เป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไข มันไม่ใช่เวลาที่จะมาบอกว่าไม่ไหว สู้ไม่ได้ ยอมแพ้ ผมอาจจะเจ็บ แต่รุ่งขึ้นก็มักบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร หาวิธีสู้ใหม่ แล้วเราก็สู้ได้ตลอด แบงค์จะมายึด แถมขู่ว่าจะฟ้อง ก็ไปเจรจากับแบงค์ ผมเป็นคนไม่หนี แต่สู้ด้วยความจริง เล่าให้เขาฟังว่าไม่ใช่ความผิดของผม แต่เป็นเรื่องที่ผมโดนแกล้ง ต้องเข้าใจกัน ปรากฏแบงค์ยอมนิ่ง ทำให้ผมลุยต่อได้ โดยพิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจนี้ต้องเป็นมืออาชีพทำ ไม่ใช่แค่มีใบอนุญาตแล้วจะทำได้ สุดท้ายปีเดียว ททท.ก็เจ๊ง ต้องมาขอร้องให้ผมเทคเขาไป เป็นจังหวะเดียวกับรัฐบาลเปลี่ยน ผมบอกต้องมีเงื่อนไข ขอให้มีความซินเซีย ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลทีผมก็โดนที พอเคลียร์กันได้โดยผมยอมรับพนักงานของเขามาแบบไม่มีเงื่อนไข ก็มีพนักงานประมาณ 95% นะที่ยอมมา อาจเพราะผมพูดกับเขาตรงๆ ว่า… “ถ้าใครจะมาอยู่กับผม ผมไม่มีความอาฆาตพยาบาท ที่ผ่านมาให้มองว่าเป็นการแข่งขัน แต่ตอนนี้เรามารวมกัน ก็ต้องสู้ไปด้วยกัน ผมไม่มีความคิดจะยุบสาขาไหน ทั้งสองสาขาคือเวิลด์เทรดชั้น 7 และมหาทุนพลาซ่า ผมเชื่อว่าสามารถจัดการเอาลูกค้ามาลงได้ ถ้าเชื่อก็มากับผม” ซึ่งมาถึงวันนี้เขาก็คงได้คำตอบกันไปแล้วละว่าเลือกถูกหรือไม่

หลังจากในเมืองเริ่มมั่นคง ผมก็คิดจะกลับไปรุกที่ดอนเมืองที่พาร์ตเนอร์เก่าเคยเอาไป ตอนนั้น ทอท.จะเปิดประมูลสัมปทานรอบใหม่ ผมเสนอว่าทำไมไม่แยกเป็นสองราย เพราะมีอาคาร 1 อาคาร 2 ปรากฏว่าเปิดซองมาผมได้อาคาร 1 แต่ทำไปสักระยะหนึ่งก็เป็นประเด็นขึ้นมาว่า การให้สัมปทานสองเจ้าอย่างนี้ทำให้เกิดปัญหา เพราะเวลาลูกค้ามาคอมเพลนสินค้า เขาไม่รู้ว่าซื้อกับเจ้าไหน ผมบอกให้ดูจากกล้องcctv ที่คุณมี สุดท้ายก็ฟ้องด้วยภาพว่าเป็นอีกฝ่าย ทอท.เลยไม่ต่อสัญญากับฝ่ายนั้น ทำให้ผมได้สัมปทานมาทำแต่เพียงผู้เดียว

แต่การผูกขาดสัมปทานแต่เพียงผู้เดียวเป็นระยะเวลายาวนานก็ทำให้คนมองว่าคิง เพาเวอร์มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทุกรัฐบาลนะคะ

มีหลายคนถามว่าทำไมผู้ใหญ่ชอบผม ซึ่งมาจากเขามองแล้วเหมือนผมมีโอกาสมากกว่าคนอื่น ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เขาอาจเอ็นดูผม เพราะพูดตรงไปตรงมา ไม่มีบัญชีหนึ่ง บัญชีสอง ขณะเดียวกันก็มีหลายคนอีกที่บอกว่าผมล็อบบี้เก่ง ไปคุยกับรัฐบาลไหนก็ได้ ผมอยากบอกว่า ถ้าเราเป็นพ่อค้าแล้วไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไม่รู้จักรัฐบาลเลย คนนั้นโกหกคุณ ไม่มีนักธุรกิจคนไหนนั่งอยู่เฉยๆ รอให้เขาเอาสัมปทานมาให้ แม้แต่เมื่อได้มาแล้วก็ต้องไปบอกเขาว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปที่จะคืนผลประโยชน์กลับให้ประเทศสูงสุด ซึ่งถ้าเราทำให้เขาเชื่อได้ โอกาสจึงจะมี

อย่างตอนย้ายสนามบินไปสุวรรณภูมิ ผมก็ไปประมูลสู้ แม้คู่แข่งเยอะ แต่ผมได้เปรียบ เพราะเราทำมาก่อน ระบบและคนของเรามี ความเชื่อถือจากพวกบริษัททัวร์ก็มี จำได้ ผมพูดกับรัฐบาลยุคนั้นไปตรงๆ เลยว่าเราเป็นคนไทย ทำไมต้องให้บริษัทต่างประเทศทำ ถามว่าคนต่างประเทศเขามีดีกว่าเราตรงไหน ถ้าดีกว่าโดยเขาให้ผลประโยชน์มากกว่า ก็ต้องถามกลับว่าผมยังไม่ให้หรือ และถ้าผมให้มากกว่าเขาล่ะ ก็ควรจะให้สิทธิ์นี้กับผมใช่ไหม ที่สุดกรรมการพอใจกับข้อเสนอที่สูงที่สุด ดีที่สุดที่ผมให้ จึงให้สัมปทานมา ภายใต้กรอบเงื่อนไขคือผมต้องลงทุนตกแต่งพื้นที่ทั้งหมดในสุวรรณภูมิในกำหนดระยะเวลาที่สั้นมาก และต้องสวยที่สุด อีกทั้งยังต้องหาสินค้าแบรนด์ดีที่สุดมาจำหน่าย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จะต้องใช้ความเป็นมืออาชีพเท่านั้น ซึ่งผมและทีมงานก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้

 

เรื่อง: CHTN Y.

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 841 คอลัมน์ สัมภาษณ์

ภาพ : Leicester City Football Club

Praew Recommend

keyboard_arrow_up