ตามกาล (Time Kaan) ร้านอาหารไทยแบบ Fine Dining ที่จัดเต็มถึง 14 คอร์ส มาในคอนเซ็ปต์ ‘Time Machine’ พาย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์ไทย
ตามกาล ร้านอาหารไทยไฟน์ ไดนิ่งที่จะพาคุณย้อนเวลากลับไปสู่สมัยโบราณของไทย
สำหรับบรรยากาศภายในร้านเป็นแบบ Glass House ด้านในตกแต่งแบบไทยโมเดิร์นสไตล์ มีนาฬิกาเป็นของตกแต่ง ซึ่งเข้ากับคอนเซ็ปต์ของร้านที่อยากให้ลูกค้าได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยก่อน นอกจากนี้ยังมีหนังสือประวัติศาสตร์อาหารไทยให้ยลโฉมกันด้วย
ความพิเศษของคอร์สอาหารที่นี่มาจากการค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์อาหารไทยโดย คุณปุ้ย-ตรีประดับ หวังวงศ์วิวัฒน์ เจ้าของร้านอาหารตามกาล ซึ่งเธอยังเป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดังอย่างร้าน Gaggan Anand และ ร้าน Sühring โดยทั้งสองร้านได้คว้าร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาว มาแล้ว
จากการที่คุณปุ้ยชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งหนังสือประวัติศาสตร์อาหารไทย เป็นหนังสือที่เธออ่านอย่างทะลุปรุโปร่ง คุณปุ้ยจึงมีไอเดียที่อยากนำสิ่งที่อ่านดึงออกมาเป็นเมนูในร้านอาหาร ให้ทุกคนได้ลิ้มลอง
อย่างไรก็ตาม การจะทำตามสูตรเป๊ะๆ นั้นก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ เนื่องด้วยวัตถุดิบที่ยาก อีกทั้งรสชาติตามสูตรนั้นเดิมอาจจะรับประทานยากจนเกินไป คุณปุ้ย และ เชพคู่ใจ อย่าง คุณโปร-พรพรหม เหล่ามนัสศักดิ์ จึงได้พัฒนาสูตรอาหารจนออกมาเป็น 14 คอร์ส โดยแต่ละเมนูนั้นมีที่มาจากอาหารสมัยก่อนจริงๆ
เริ่มกันที่คอร์สแรกกับ เปาหลิงโก๊ะ
ตื่นตากับออเดิร์ฟแรก เปาหลิงโก๊ะ เมนูที่นำข้าวเหนียวไปหมัก 2 วันจนกลายเป็นยีสต์ และผ่านกระบวนการต่างๆ จนออกมาเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกสดชื่น เปิดต่อมรับรสได้อย่างดี
คอร์สที่ 2 เครื่องกรอบชาววัง (หมี่น้ำบ้านราชทูต)
เมนูที่มีมามากกว่า 100 ปี เป็นอาหารในยุครัตนโกสินทร์ จุดเด่นของเมนูนี้คือ เจลลี่ดอกดาหลาที่ทานคู่กับหมี่กรอบ และกรรเชียงปู วิธีทานก็แสนง่ายคือนำมาคลุกเคล้าให้เข้ากันและทานพร้อมกันทีเดียว รสชาติเข้มข้น ออกเปรี้ยวหวาน แต่ไม่จัดจ้านจนเกินไป
คอร์สที่ 3 มัสยาส้มใบ
ลาบปลากระพง รสจัดจ้านท็อปอยู่บน ใบชะมวง ไฮไลท์ของเมนูนี้คือ แครกเกอร์ซึ่งทำจากน้ำมะม่วงเบา และมันสำปะหลังที่แทนมะน้ำมะนาว ซึ่งเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับลาบปลากระพง
คอร์สที่ 4 ร้อนรสโอชเอม (ข้าวคลุกน้ำพริกพริกไทยอ่อน ไก่ย่าง)
หอมกรุ่นกับไก่ย่างตะนาวศรีที่ย่างมาเป็นอย่างดี ทานคู่กับข้าวคลุกน้ำพริกสูตรโบราณ ซึ่งมีส่วนผสมหลักเป็นพริกไทยอ่อน จัดว่าเป็นเมนูที่จัดจ้าน และถึงเครื่องจริงๆ
คอร์สที่ 5 มัจฉาซ่อนรส (งบห่อหมกปลาบู่)
อีกหนึ่งเมนูที่หารับประทานยากมากๆ เป็นเมนูนี้ได้รับแรงบันดาลจาก ชาวซุนดา อินโดนีเซีย โดยการนำปลาบู่ไปหมกกับ เครื่องเทศ ตัดความเผ็ดด้วยมะเขือเทศ ซึ่งให้ความเปรี้ยวเล็กน้อย
คอร์สที่ 6 อัมพิละนางรม (หอยนางรมจี๊ดจ๊าด)
ไม่ต้องใส่น้ำจิ้มซีฟู้ดก็สัมผัสได้ถึงความแซ่บ โดยที่นี่เขาใช้ความเปรี้ยวจากกรานิต้าซึ่งทำจาก มะปี๊ด ขิงซอย ท็อปบนหอยนางรมสดใหม่ส่งตรงจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีทุกวัน
คอร์สที่ 7 เครื่องแกงแฝงพวงร้อย (ฉู่ฉี่ไข่ปลาช่อน)
ไข่ปลาช่อนแม่ลา จากจังหวัดสิงห์บุรี เนื้อหนุบหนับในพริกแกงฉู่ฉี่สุดเข้มข้น ทีเด็ดคือลูกสามสิบที่หารับประทานยาก เป็นอีกหนึ่งเมนูโบราณที่ทานแล้วดีต่อใจ
คอร์สที่ 8 กระยาหารส่งถวาย (ซุปไก่ดำรังนก)
อยากมีกำลังวังชา เมนูนี้ช่วยท่านได้ ซุปไก่ดำที่ผ่านการเคี้ยวมาอย่างยาวนาน เสริมโปรตีนด้วยรังนกแท้จากปัตตานี รสชาติกลมกล่อม ทานแล้วต้องอยากทานอีกถ้วย
คอร์สที่ 9 เลิศรสลงสรง (กุ้งย่างน้ำปลามะกอก)
หอมกลิ่นมันกุ้งจริงๆ เมนูนี้ เรียกได้ว่าเป็นเมนูคลาสสิค แต่รู้หรือไม่ว่ามีมาตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ นอกจากตัวกุ้งที่ย่างไฟมาอย่างดี แต่ทีเด็ดเมนูนี้เห็นจะเป็น น้ำจิ้ม ซึ่งทำจากน้ำปลามะกอก น้ำบูดู เมื่อทานคู่กับกุ้งแล้วรสชาติอร่อยเหาะอย่าบอกใคร
คอร์สที่ 10 หมากชื่นกลิ่น (กรานิต้ามะเม่า)
ชื่นใจกับ หมากชื่นกลิ่น กรานิต้าซึ่งทำจากผลมะเม่า รสชาติออกเปรี้ยวอมหวาน ทานแล้วสดชื่น ปรับลิ้นก่อนเข้าสู่ จานหลักได้เป็นอย่างดี
คอร์สที่ 11 การะเกตุถือดาบ
เนื้อซี่โครงแกะย่าง ที่เปรียบเหมือนดาบ ที่ถูกนำมาย่างไฟแต่ไม่ให้แห้งจนเกินไป ตัวเนื้อยังคงความชุ่มฉ่ำ ที่สำคัญไม่เหม็นคาวเลยสักนิด เมนูนี้มีดีเทลหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำซอสที่ทำจากขมิ้น และ กะทิ อาจาดรสเปรี้ยวหวาน และ ข้าวมันปูรสเข้มข้น ทานรวมกันแล้วดีเป็นอย่างยิ่ง เป็นเมนูที่ลืมไม่ลงเลยทีเดียว
คอร์สที่ 12 ทวิรสสดชื่น (ปลาแห้งแตงโม)
หลังจากจัดเต็มของคาวกันมาอย่างเต็มที่แล้ว เมนูถัดไปคือ ของว่างยอดนิยมของไทย ทวิรสสดชื่น หรือ ปลาแห้งแตงโม เข้ากับบรรยากาศในหน้าร้อนนี้สุดๆ แตงโมสองสี แดง และ เหลือง นำไปแช่กับไวน์ขาวจนได้รสชาติที่ไม่เหมือนใคร ท็อปด้วยปลาแห้งเพื่อเพิ่มเทคเจอร์ในการเคี้ยว
คอร์สที่ 13 หินฝนทอง
ขนมหวานโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ตัวขนมทำจาก ข้าวเสาไห้ งาดำ มะพร้าว กากกะทิ เวลาเสิร์ฟด้านล่างจะเป็นจะเป็นบิสกิต มูส และ หินฝนทอง ทานรวมกันได้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร
คอร์สที่ 14 บิสกิตแครนเบอร์รี (สัมปันนีแครนเบอร์รี)
ปิดท้ายคอร์สด้วย บิสกิตแครนเบอร์รี ของหวานที่ได้แรงบันดาลใจจากสัมปันนี ของหวานซึ่งมีที่มาจากชาวโปรตุเกส โดยปกติแล้วสัมปันนีจะมีรสชาติหวานตามสไตล์ขนมไทย แต่สัมปันนีแครนเบอร์รีนี้รสชาติออกเปรี้ยวหวาน ไม่เลี่ยนนัก เป็นเมนูที่ปิดจบคอร์สได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หากใครสนใจอยากลิ้มรสอาหารไทยโบราณที่มีเรื่องราวจากประวัติศาสตร์อาหารไทย สามารถไปลองกันได้ที่ ตามกาล สนนราคา 3,500 บาท ++ (ต่อท่าน) หรือ ติดต่อที่
- โทร : 08-2646-1664
- ที่ตั้ง : กินรี อเวนิว ซ.สุขุมวิท 8 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
- Facebook : Time Kaan Restaurant ร้านตามกาล
- เวลาเปิด – ปิด : 17.30-23.00 น.