ฝ่าลมหนาวที่ DACHSTEIN @AUSTRIA (ตอนที่ 1)

ถ้าเอ่ยชื่อ ดัคชไตน์ (Dachstein) ขึ้นมาลอยๆ คงมีน้อยคนที่จะรู้จัก แต่ถ้าพูดต่อว่า นี่คือชื่อของเทือกเขาสูงใหญ่ซึ่งยืนตระหง่านอยู่ทางด้านหลังของเมืองมรดกโลก แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบชื่อเดียวกันว่า ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) ละก็ คงร้องอ๋อ…

03รู้จัก Dachstein

ดัคชไตน์ เป็นเทือกเขาหินปูนขนาดใหญ่ใจกลางประเทศ ออสเตรีย ครอบคลุมพื้นที่ถึงสามแคว้น ได้แก่ อัพเปอร์ ออสเตรีย สติเรีย และซาลซ์บูร์ก (Drei-Lãnder-Berg) คิดเป็นพื้นที่ถึง 60 ตารางกิโลเมตร ในเทือกเขานี้มีถึง 12 ยอด ที่สูงเกินกว่า 2,500 เมตร และมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางธรรมชาติบนเทือกเขาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1997 คือ ถ้ำหินปูนใหญ่ที่สุดในออสเตรีย ถ้ำน้ำแข็งที่สวยที่สุดในออสเตรีย และธารน้ำแข็งใหญ่ยักษ์อีกถึงสามแห่ง

นอกจากนี้ยังเป็นสกีรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่มีหิมะหนาให้เล่นได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างเสริมเพิ่มขึ้นมาบนยอดเขานี้เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดพิเศษอีกด้วย เช่น สะพานแขวนดัคชไตน์ (The Dachstein Suspension Bridge) บันไดสู่ความว่างเปล่า (Stairway to Nothingness) แพลตฟอร์มเหนือหน้าผาสูงลิ่วที่มีพื้นเป็นกระจกใส (The Dachstein Skywalk) แพลตฟอร์มรูปนิ้วมือห้านิ้วหรือแท่นไฟว์ฟิงเกอร์ส (Five Fingers) บนหน้าผาสูงสองกิโลเมตรเหนือทะเลสาบและเมืองฮัลล์สตัทท์ เป็นต้น

12
สะพานแขวนยาว 100 เมตรทอดข้ามหุบเขาสูง
11
สร้างให้ยื่นออกไปกลางอากาศ

เริ่มต้นการเดินทาง

เราเริ่มการเดินทางด้วยการขับรถไปตามถนนหน้าเมืองฮัลล์สตัทท์ วิ่งเลาะเลียบริมทะเลสาบไปสู่เมืองโอเบอร์โทรน (Obertraun) ด้วยระยะทางเพียง 3 กิโลเมตรเศษก็ถึงทางแยก ซึ่งถ้าวิ่งตรงไปจะเข้าเมือง แต่เราเลี้ยวตรงแยกทางขวามือไปจนสุดถนนที่สถานีเคเบิลคาร์ขึ้นเขา ขับตามป้ายนำทางไปไม่ไกลก็จะถึงลานจอดรถ

จอดรถแล้วก็ไปซื้อตั๋วซึ่งมีหลายแบบให้เลือก เช่น จะซื้อแค่ตั๋วขึ้นเคเบิลคาร์กับตั๋วเข้าชมถ้ำน้ำแข็งเพียงอย่างเดียว หรือรวมหมดทุกถ้ำ (บนเขายังมีถ้ำหินปูนอีกสองถ้ำให้เยี่ยมชม หากสนใจและมีเวลาพอ) หากแค่อยากไปเดินบนแท่นไฟว์ฟิงเกอร์สที่อยู่บนยอดเขาสูงกว่าถ้ำน้ำแข็งขึ้นไปอีกช่วงหนึ่งแล้วไม่อยากชมถ้ำอื่นต่อ ก็ซื้อเพียงตั๋วเคเบิลคาร์สำหรับขึ้นเขาเพิ่มอีกช่วงก็พอครับ (คุณผู้อ่านต้องสอบถามทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อนจะซื้อตั๋วนะครับ) ส่วนจะเลือกว่าควรจะขึ้นเคเบิลคาร์รวดเดียวสองช่วงเพื่อไปเดินชมแท่นไฟว์ฟิงเกอร์สก่อน หรือจะหยุดที่สถานีแรกเพื่อไปเที่ยวถ้ำน้ำแข็งก่อนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ณ เวลาที่ท่านไปถึงเคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรด้านล่างสุด ซึ่งถ้าจะไปชมถ้ำน้ำแข็ง ท่านต้องแจ้งแก่เจ้าหน้าที่จำหน่ายบัตรตอนซื้อว่าต้องการเข้าไปชมถ้ำน้ำแข็งเวลาใดและภาษาใด (การเข้าชมจะมีไกด์นำชม)

แต่ถ้าเวลานั้นฟ้าใส อากาศดี ไม่มีเมฆหมอกเหมือนเช่นของคณะเราในครั้งนี้แล้ว ควรรีบขึ้นไปเที่ยวแท่นไฟว์ฟิงเกอร์สเสียก่อน เผื่อว่าอากาศด้านบนยอดเขาอาจแปรปรวนขึ้นมา โดยให้เผื่อเวลาไว้สัก 3 ชั่วโมงนะครับ เพราะเมื่อถึงสถานีช่วงที่สองด้านบนสุดแล้วยังต้องใช้เวลาเดินไปตามป้ายบอกทางทั้งไปและกลับอย่างเดียวอีกราวหนึ่งชั่วโมง แต่วิวระหว่างทางเดินบนเขาสูงไปแท่นนี้งดงามแปลกตาชวนให้ถ่ายรูปได้ไม่รู้เบื่อทางเดินนั้นบางช่วงเวลาอาจจะมีหมอกหนาลอยลงมาปกคลุมจนมองเห็นทางเดินได้ไม่ไกลนัก แต่ไม่ต้องกังวลเพราะหมอกหนา ๆ เหล่านั้นคลุมอยู่ไม่นาน เดี๋ยวลมก็พัดจางหายไป แต่อาจลอยกลับมาคลุมใหม่อีก เป็นเช่นนี้ตลอดเวลา

13
ตรงจุดนี้ทำไว้ให้หวาดเสียวอีกเช่นกัน สังเกตตรงมุมทางเดินที่คนยืนจะไม่มีราวเหล็กกั้น เป็นแค่กระจกใสสองด้านเท่านั้น

ถึงแล้วแท่น Five Fingers เดินตามป้ายบอกทางจนสุดทางเดินก็เห็นโครงเหล็กรูปนิ้วมือทั้งห้านิ้วยื่นลอยออกไปจากหน้าผาสูงเกือบ 2,000 เมตร มองดูแข็งแรงบึกบึนดี นักท่องเที่ยวสามารถเลือกยืนชมวิวสวย ๆ ชวนตะลึงของเมืองฮัลล์สตัทท์และทะเลสาบที่แลเห็นอยู่เบื้องล่างไกลลิบๆ หรือถ่ายภาพจากในแต่ละนิ้วมือ ซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยหนึ่งในนั้นมีพื้นเป็นกระจกใส ท่านสามารถมองทะลุลงไปยังด้านล่างที่เห็นลึกลงไปไกลลิบ ๆ จนชวนให้รู้สึกหวิวๆ ได้… เมื่อยืนชมวิวตรงนี้จนพอแก่ความต้องการแล้ว ก็เดินกลับไปยังสถานีเคเบิลคาร์ ตรงหน้าสถานีบนเขานี้ หากเดินแยกไปทางขวามือ

DACHSTEIN
จุดที่ใช้เป็นสถานที่สำหรับเริ่มต้นเล่นร่มร่อน

จะเป็นหน้าผาสูงที่ทอดลาดลงไปด้านล่าง เป็นจุดที่นักกีฬาร่มร่อน (Paragliding) ใช้เป็นจุดสตาร์ทออกตัวเล่นร่มร่อนกันครับ เราเดินตามนักเล่นร่มร่อนกลุ่มหนึ่งซึ่งเดินอยู่ข้างหน้า ไปยืนดูเขาเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน พลางนึกว่ามนุษย์นั้นก็สามารถลอยไปบนท้องฟ้าได้ราวกับนกเหมือนกัน ดูอยู่นานพอสมควร เราก็ลงไปยังสถานีด้านล่างกันอีกครั้งหนึ่ง (บนเขานี้ก็มีสัญญาณ WiFi แรงตลอดเส้นทางครับ) บุกเข้าถ้ำน้ำแข็งดัคชไตน์

จุดหมายต่อมา เราเข้าไปเที่ยวชมภายในถ้ำน้ำแข็งดัคชไตน์ ซึ่งเป็นถ้ำน้ำแข็งที่สวยที่สุดในออสเตรียกัน ปากทางเข้าถ้ำนั้นอยู่สูงจากตัวสถานีช่วงแรกขึ้นไปราว 500 – 600 เมตร ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเดินขึ้นเนินไปจนถึง แต่ทางเดินขึ้นไปยังปากถ้ำนี้ลาดยางเรียบ(เข็นรถเข็นเด็กได้) ตรงปากทางเข้าถ้ำน้ำแข็งนั้นมีไกด์มารอรับนักท่องเที่ยวเพื่อพาเข้าชมด้านในตามรอบเวลา พร้อมแนะนำและสรุปข้อห้ามต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวทราบ ก่อนจะพานักท่องเที่ยวเข้าชมภายใน

DACHSTEINทางเดินในถ้ำน้ำแข็งดัคชไตน์นั้น จัดว่าสะดวกสบายสำหรับการเดินเที่ยวค่อนข้างมาก เพราะติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างไว้อย่างดีตลอดเส้นทางโดยไกด์จะเป็นผู้เปิดและปิดไฟให้นักท่องเที่ยวได้ชมความสวยงามของถ้ำเป็นระยะไปตลอดทาง ที่พิเศษมากๆ อีกอย่างคือ ถ้ำน้ำแข็งดัคชไตน์นี้อนุญาตให้ถ่ายรูปได้เต็มที่ อย่าลืมนำกล้องถ่ายรูปดีๆ ติดตัวไปเก็บภาพสวยงามน่าประทับใจของน้ำแข็งงอกและน้ำแข็งย้อยนะครับ แต่ควรระวังว่าอย่าเพลินและเดินช้าไปจนไฟดับก็แล้วกัน (เพราะจะมืดสนิท) แสงสว่างของดวงไฟที่ถูกจัดวางไว้อย่างดีเยี่ยมนั้นช่วยส่งเสริมความสวยงามของน้ำแข็งรูปแบบต่างๆ ภายในถ้ำนั้นให้สวยงามยิ่งขึ้น ทำให้เดินชมกันอย่างเพลิดเพลินตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง จนลืมความเมื่อยล้าและความหนาวเย็นติดลบภายในถ้ำนี้ไปได้เลยครับ

06เมื่อถึงเวลา ไกด์ก็เปิดประตูชั้นแรกนำนักท่องเที่ยวเข้าไปข้างในซึ่งเป็นถ้ำหินปูนธรรมดา อุณหภูมิราว 8 องศาเซลเซียส ไม่หนาวมากและยังไม่มีน้ำแข็ง ไกด์เล่าว่า ได้ค้นพบโครงกระดูกของหมีหลายตัว ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในถ้ำนี้เมื่อนานมาแล้ว พร้อมบรรยายถึงเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ จากนั้นจึงเปิดประตูชั้นที่สองนำเดินลึกเข้าไปด้านใน อากาศเริ่มหนาวมากขึ้น ไกด์พาเดินพร้อมอธิบายถึงการเกิดของถ้ำน้ำแข็งว่าถ้ำน้ำแข็งนั้นคือ ถ้ำหินปูนบนยอดเขาสูง หินปูนของผนังและหลังคาถ้ำนั้นมีรูพรุนเล็กๆ อยู่ทั่วไป ทำให้น้ำฝนหรือน้ำจากหิมะละลายทางด้านบนไหลซึมลงมาในถ้ำได้ เมื่อไหลลงมาพบกับอากาศเย็นจัดในถ้ำเข้า จึงเกิดเป็นน้ำแข็งมีทั้งงอกและย้อยสะสมเรื่อยมาอย่างนี้เป็นเวลายาวนานนับหมื่นปี

ส่วนคำถามว่า ทำไมอุณหภูมิในถ้ำนี้จึงเย็นจัดจนติดลบได้เสมอแม้ในฤดูร้อน ไกด์บอกว่า เพราะเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ซึ่งก็คือ ไกด์ทุกคนนั้นจะคอยดูแลประตูทางเข้าถ้ำ (ซึ่งหนาราวประตูตู้เย็นและซีลไว้เป็นอย่างดี) ทั้งด้านนอกและด้านในทุกบาน โดยจะเปิดไว้ในเวลากลางคืนกับในฤดูหนาว (ถ้ำปิดการเข้าชมในฤดูหนาว) และจะปิดในฤดูร้อนกับตอนกลางวัน (ส่วนถ้ำเองในสมัยก่อนจะมีการค้นพบและเปิดให้เข้าชมนั้นเป็นระบบปิดสนิท ขังเอาอากาศเย็นไว้ภายในไม่ให้ไหลออกได้) เมื่อเราเดินชมสิ่งที่น่าสนใจต่าง ๆ เรื่อยไปจนจบการนำทัวร์จนถึงประตูทางออกสู่ภายนอกถ้ำ ซึ่งอยู่สูงกว่าปากทางเข้าถ้ำที่เราเดินเข้าในตอนเริ่มต้นราวร้อยเมตรแล้ว ไกด์จึงได้กล่าวอำลานักท่องเที่ยว

สถานีเคเบิลคาร์ เปิดให้บริการตลอดปี
สถานีเคเบิลคาร์ เปิดให้บริการตลอดปี

เราเดินลงจากปากถ้ำไปตามทางสู่สถานีเคเบิลคาร์ เพื่อกลับลงสู่ด้านล่างยังลานจอดรถ (หรือจะขึ้นสูงต่ออีกขั้นไปที่แท่นไฟว์ฟิงเกอร์สสำหรับผู้ที่เลือกมาเที่ยวที่ถ้ำน้ำแข็งนี้ก่อน) แต่สำหรับเราที่เดินเที่ยวกันมาหลายชั่วโมง ในตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ และทุกคนต่างเมื่อยล้าจากการเดินแล้ว จึงตกลงกันว่าจะกลับเข้าโรงแรมที่พัก

ผมจองโรงแรมล่วงหน้าไว้ก่อนเดินทางมา จึงขอแนะนำว่าควรเลือกพักโรงแรมแถวริมทะเลสาบฮัลล์สตัทท์ที่เมืองโอเบอร์โทรนนี่ละครับ สะดวกสุด เพราะท่านสามารถจอดรถแล้วขนกระเป๋าลงที่หน้าโรงแรมได้เลย ขณะที่ในตัวเมืองฮัลล์สตัทท์นั้น ห้ามรถภายนอกเข้าไป ท่านเองจะได้รีบพักผ่อนสบาย ๆ ได้เร็ว ทั้งยังจะได้สัมผัสและชื่นชมกับบรรยากาศสวยสงบของทะเลสาบเมืองมรดกโลกฮัลล์สตัทท์ทั้งในยามเช้าและยามเย็นได้อย่างเป็นส่วนตัวสุดๆ ครับ

 

ที่มา : นิตยสารแพรว ปักษ์ 882 วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว

อ่านต่อตอน 2 เร็วๆ นี้

Praew Recommend

keyboard_arrow_up