ชวนแม่ลูกสร้างสุขภาพดีรับปีใหม่ ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี ป้องกันเชื้อก่อมะเร็งปากมดลูก

ถึงแม้ว่าปัจจุบัน โรคมะเร็งปากมดลูกจะเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ แต่มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดเป็นอันดับสองในหญิงไทย นั่นก็เป็นเพราะสตรีไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจและไม่ให้ความสำคัญในการป้องกันโรคดังกล่าวอย่างจริงจัง โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ จึงอยากจะเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสเอชพีวีซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อรณรงค์ให้หญิงไทยใส่ใจสุขภาพและห่างไกลจากมะเร็งร้าย พร้อมชวนคุณแม่พาลูกมาร่วมสร้างสุขภาพดี ด้วยเข้ารับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี

แพทย์หญิงณัฐยา รัชตะวรรณ สูติ-นรีแพทย์โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวว่า “ปัจจุบันพบว่า โรคมะเร็งปากมดลูกพบบ่อยเป็นอันดับ 2 ในประเทศไทยและมีหญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ยถึงวันละ 14 คน โดยจากการสำรวจพบว่าภาคเหนือและภาคอีสานมีผู้ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีมากที่สุดประมาณร้อยละ 20-30 เนื่องมาจากเด็กวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ค่อนข้างเร็ว ส่วนในภาคกลางมีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ร้อยละ 10 และภาคใต้มีอัตราการติดเชื้อน้อยที่สุดไม่ถึงร้อยละ 10 นั่นก็เป็นเพราะวัฒนธรรมและความเชื่อของคนใต้ที่ค่อนข้างเคร่งครัดและไม่นิยมเปลี่ยนคู่นอน ทำให้อัตราการติดเชื้อน้อยกว่าภาคอื่นๆ โดยเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) หรือ Human Papilloma Virus สามารถติดต่อกันได้ง่ายมาก ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์จากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสเชื้อโดยตรง ซึ่งเชื้อไวรัสเอชพีวีแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มสายพันธุ์เสี่ยงสูง 14 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูก เช่น สายพันธุ์ 16 และ 18 และกลุ่มที่ 2 กลุ่มสายพันธุ์เสี่ยงต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ เช่น สายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ ตามปกติ ร่างกายคนเราสามารถขจัดเชื้อไวรัสเอชพีวีออกไปได้เอง แต่หากได้รับเชื้อเป็นเวลานานจนติดเชื้อแบบคงทน ก็จะลุกลามกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้”

“สำหรับอาการของโรคมะเร็งปากมดลูกในช่วงแรก มักพบอาการตกเลือด อาจจะมีลักษณะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยในระหว่างรอบเดือน หรือมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ บางรายอาจมีน้ำปนออกมากับเลือดหรือตกขาวปนเลือด หากเป็นหญิงวัยหมดประจำเดือนก็อาจจะมีเลือดออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตได้จากอาการตกขาวที่มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ หรือมีหนองและเลือดปนออกมาด้วย แต่หากเป็นอาการในระยะลุกลาม อาจมีอาการขาบวม ปวดท้องหรือปวดหลังรุนแรง ปวดก้นกบและบริเวณต้นขา อีกทั้งยังอาจจะมีอาการปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือดอีกด้วย ส่วนการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็ง หากเป็นระยะที่ 1 สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ซึ่งมีโอกาสหาย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สองขึ้นไป การรักษาจะเป็นแบบการฉายแสง หรืออาจรักษาร่วมกับเคมีบำบัดในบางกรณี” แพทย์หญิงณัฐยา กล่าวเพิ่มเติม

1

“โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ อันดับแรก คือ งดการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งฝืนธรรมชาติและเป็นไปได้ยาก ดังนั้น เราจึงแนะนำให้สตรีเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูก โดยหากได้รับวัคซีนก่อนการติดเชื้อ วัคซีนจะมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีได้ถึงร้อยละ 70-80 และมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีสามารถทำได้ตั้งแต่ในเด็กอายุ 9 ปีจนถึงผู้ใหญ่อายุ 45 ปี แต่สำหรับผู้ใหญ่อาจจะต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขอื่นๆ เช่น เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วหรือไม่ เคยติดเชื้อไวรัสเอชพีวีมาก่อนหรือไม่ ฯลฯ โดยจะทำการตรวจภายในก่อนที่จะฉีดวัคซีน เพื่อให้มั่นใจว่ายังไม่เคยได้รับเชื้อเอชพีวีและยังไม่เคยเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน ทั้งนี้ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงหากฉีดในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว นอกจากนี้ แนะนำให้สตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ โรคมะเร็งปากมดลูกถือเป็นมะเร็งชนิดเดียวที่ป้องกันได้ เราจึงควรหันมาให้ความใส่ใจในการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ” แพทย์หญิงณัฐยา กล่าวสรุป

ด้าน แพทย์หญิงหทัยทิพย์ ชัยประภา กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิด โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวว่า “ปัจจุบัน วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีมี 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันเอชพีวีชนิด 2 สายพันธุ์ จะครอบคลุมสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งช่องคลอดในเพศหญิง และวัคซีนป้องกันเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ จะคลอบคลุมสายพันธุ์ที่ 6,11,16 และ 18 ซึ่งมีข้อบ่งชี้ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก หูดหงอนไก่ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย สามารถฉีดในเด็กตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่คุณพ่อคุณแม่จะสามารถพาลูกมาฉีดวัคซีน เพราะเชื้อไวรัสเอชพีวีสามารถติดได้ง่ายมาก ซึ่งนอกจากการติดเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์แล้ว บางครั้งติดเชื้อจากการสัมผัสโดยตรง เช่น ในห้องน้ำสาธารณะ ฯลฯ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ หรือแม้แต่ในเด็กทารกก็สามารถติดเชื้อไวรัสเอชพีวีได้จากมารดาผ่านทางช่องคลอด ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีตั้งแต่เด็กจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะส่วนมากเด็กยังไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวีมาก่อน และการฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการฉีดในผู้ใหญ่ถึง 2 เท่า ดังนั้น เราจึงแนะนำให้เด็กฉีดวัคซีนแค่ 2 เข็มก็เพียงพอแล้ว ในขณะที่ผู้ใหญ่ต้องฉีดถึง 3 เข็ม จะเห็นได้ว่าฉีดในเด็กให้ความคุ้มทุนมากกว่า ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายและประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมากยังเห็นว่าการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีเป็นเรื่องไกลตัว หรืออาจเชื่อผิดๆ ว่าเป็นการส่งเสริมให้ลูกมีเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การฉีดวัคซีนให้ลูกตั้งแต่เด็กจะช่วยให้ลูกมีภูมิต้านทานเตรียมพร้อมเมื่อเติบโตสู่วัยเจริญพันธุ์ และยังป้องกันการติดเชื้อที่ไม่ได้มากจากการมีเพศสัมพันธ์ด้วย”

คุณแม่เปิ้ล-นลรรพรรฎ  คุณแม่ของน้องอันดา – กุณฑีรา ยอดช่าง ที่พาลูกสาวมาฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีกล่าวว่า “ปีนี้น้องอันดาอายุ 9 ปีพอดี เปิ้ลจึงมาปรึกษาคุณหมอแล้วก็ได้รับคำแนะนำว่าควรให้น้องฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีเลย อย่าคิดว่าการพาลูกไปฉีดวัคซีนจะเป็นการส่งเสริมให้เขามีเพศสัมพันธ์ เพราะอย่างที่คุณหมอบอกว่าจริงๆ แล้ววัคซีนป้องกันเอชพีวีก็เหมือนการฉีดวัคซีนอื่นๆ และฉีดตอนเป็นเด็กจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าด้วย เรารู้สึกว่าตอนที่เรายังดูแลเขาได้เราก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด เปิ้ลมองว่าการพาอันดามาฉีดวัคซีนเป็นการเตรียมพร้อมให้กับลูกในด้านสุขภาพ เหมือนกับที่เราเตรียมพร้อมเรื่องการศึกษาให้เขา เราลงทุนในวันนี้เพื่อเพิ่มโอกาสที่ดีให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต ส่วนตัวเปิ้ลเองก็ได้รับวัคซีนป้องกันเอชพีวีเรียบร้อยแล้วค่ะ เรามองว่าการป้องกันก่อนที่จะเป็นโรคย่อมดีกว่าเป็นแล้วรักษา เพราะคุ้มค่ากว่าทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาโรคมะเร็งด้วย เปิ้ลจึงอยากเชิญชวนให้คุณผู้หญิงทุกคนเข้ารับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีกันนะคะ และหากเป็นคุณแม่ที่มีลูกสาวก็อย่าลืมพาลูกไปรับวัคซีนป้องกันเอชพีวีกันนะคะ สายใยความรักของแม่สามารถส่งต่อได้ด้วยการดูแลสุขภาพของลูกค่ะ”

เรียบเรียงโดย : saipiroon_แพรวดอทคอม

ภาพ : โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

Praew Recommend

keyboard_arrow_up