เชสกี้ ครุมลอฟ : เมืองในนิทานที่มีอยู่จริง
เมื่อได้เดินเข้ามาภายในเขตเมืองเก่าของเชสกี้ ครุมลอฟ ก็พบว่าบรรยากาศในเมืองนี้เปรียบเสมือน โลกนิทานที่มีอยู่จริง เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่ผม ตั้งใจมานานแล้วว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องมาเยือน ให้ได้ ในเขตเมืองเก่านั้นไม่อนุญาตให้รถยนต์จาก ภายนอกวิ่งเข้ามา ยิ่งทำให้บรรยากาศ สองข้างทางนั้นเงียบสงบตามสไตล์ เมืองเล็ก ๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า เวลาเดินช้าลงเชสกี้ ครุมลอฟ มี จุดเด่นคือที่ตั้งของเมือง ตัวเมืองจะมีแม่น้ำวัลตาวา (Vltava) เป็นแม่น้ำสาย หลักและเป็นแม่น้ำที่มี ความยาวที่สุดของประเทศ เช็กไหลผ่าน แม่น้ำสายนี้ มีความยาว 430 กิโลเมตร มีต้นกำเนิดอยู่ทางใต้ของประเทศ เช็ก ซึ่งช่วงที่ไหลผ่านเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ นั้นเป็นเพียงแม่น้ำสายเล็ก แต่พอไหลเข้ากรุงปรากที่อยู่ทางเหนือจะมีขนาดใหญ่มากขึ้น ก่อนไหลไปบรรจบกับแม่น้ำเอลเบอ (Elbe) ซึ่งไหลต่อไปยังประเทศเยอรมนี ด้วยที่ตั้งของเมืองอยู่ใน โอบล้อมของแม่น้ำวัลตาวานี้เอง เมืองนี้จึงได้รับ สมญานามว่าเป็นไข่มุกเม็ดงามแห่งแคว้นโบฮีเมียเชสกี้ ครุมลอฟ ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่ยังคง อนุรักษ์ความเป็นยุคกลางไว้ได้ดีที่สุด โชคดีที่ประเทศ เช็กและเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ ไม่ได้เป็นเป้าหมายหลัก

ในสงครามโลกทั้งสองครั้ง ยังไม่รวมถึงการตกอยู่ใต้อิทธิพลของโซเวียตในอดีตเกือบ 40 ปี ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นเหมือนช่วงปิดประเทศไปโดยปริยาย ดังนั้น เมืองนี้จึงยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้ โดย บริเวณเขตเมืองเก่ายังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมือง มรดกโลกขององค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 สิ่งแรกที่ผมต้องทำในเมืองนี้ คือการหาที่แลกเงินนั่นเอง เนื่อง- จากประเทศเช็กใช้เงินสกุล โครูน่า (หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่า คราวน์ก็ได้) ไม่ได้ใช้เงิน สกุลยูโรเหมือนประเทศ ส่วนใหญ่ในยุโรป (แต่ ร้านค้าทั่วไปยินดีรับเงิน ทั้งสองสกุลครับ) โดย 1 โครูน่า มีค่าประมาณ 1.4 บาท
ชิมอาหารสไตล์โบฮีเมียนแท้ๆ
เมื่อแลกเงินได้แล้วก็ลองไปตามหา ร้านอาหารเสียหน่อย พอผมเปรย ๆ ว่าอยากลิ้มลอง อาหารโบฮีเมียนแท้ ๆ พนักงานของเกสต์เฮ้าส์ที่ ผมพักจึงแนะนำมา ชื่อว่าร้าน Lab ตั้งอยู่บริเวณ จัตุรัสของเมืองนี้ ซึ่งมีอยู่แห่งเดียว และทุกคนที่มา เยือนเมืองนี้ต้องเดินผ่านจัตุรัสแห่งนี้แน่นอนบรรยากาศในร้าน Lab เป็นสไตล์ผับหน่อย ๆ เป็นร้านขนาดเล็ก บริกรแนะนำให้ผมสั่งสตูเนื้อ เสิร์ฟ พร้อมกับแยมเบอร์รี่และขนมปังอุ่น ๆ อร่อยมากครับ

มาเช็กทั้งที เบียร์ไม่แพง จึงขอสั่งเบียร์ด้วย ค่าอาหารในเมืองนี้ถือว่าถูกมาก อย่างมื้อนี้แม้ว่าจะรับประทานในร้านที่เป็นร้านอาหารของโรงแรม แต่เช็กบิลแล้ว ผมจ่ายไม่ถึง 350 บาท!หลังจากอิ่มท้องแล้ว เริ่มกลับมาสำรวจเมืองอีกครั้ง ผมเลือกที่จะเดินเล่น ไปตามริมแม่น้ำวัลตาวา ยาวไปจนถึงสวนสาธารณะของเมือง เมื่อเดินเข้าไปแล้ว พบว่าเงียบสงัดมาก เนื่องจากเป็นช่วงบ่ายวันธรรมดา ไม่มีใครมาเดินเล่นในสวนเลย พอทนอากาศที่เย็นมากไม่ไหวจึงคิดหนีไปหากาแฟอุ่น ๆ ดับหนาวเสียหน่อยดีกว่า

ขึ้นชมปราสาทครุมลอฟ
หลังจากดื่มกาแฟเรียบร้อย ผมเลือกที่จะเดินทางไปยังจุดหมายที่สำคัญ ที่สุดของเมือง นั่นคือปราสาทครุมลอฟ (Krumlov Castle) ปราสาทแห่งนี้ สร้างอยู่บนเขาของเมือง และไม่ใช่ปราสาทธรรมดาทั่วไป เพราะได้รับการจัดอันดับ ว่าเป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศเช็ก (อันดับ 1 คือปราสาทกรุงปราก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นปราสาทที่มีพื้นที่มากที่สุดในโลก ตามบันทึกของกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดส์ อีกด้วย)

ตระกูลวิติโกเนน (Witigonen) สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1240 ก่อนจะเปลี่ยนผ่านการครอบครองต่อมาอีก 2 ตระกูล และตกเป็นของรัฐบาลในที่สุด ปัจจุบันปราสาทและอาคารโดยรอบ มีสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองซ์และบาโรก โดยอาณาบริเวณของ ปราสาทครุมลอฟนั้นประกอบด้วยอาคารกว่า 40 หลัง นอกจาก ความสวยงามของปราสาททั้งภายนอกและภายในแล้ว ยังมีสวนสวย ของปราสาทให้ชมอีกด้วยครับ

ด้วยความที่ปราสาทครุมลอฟตั้งอยู่บน เนินเขา ดังนั้นบริเวณปราสาทถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมือง อีกจุดหนึ่งที่ควรจะเยี่ยมชมคือ หอคอยของปราสาทครุมลอฟ ซึ่ง เป็นหอคอยสีชมพู สร้างด้วยศิลปะแบบเรอเนสซองซ์ จากบนหอคอยนี้ สามารถมองเห็นเมืองได้โดยรอบ ถือเป็นจุดชมวิวที่สูงและสวยที่สุดของเมืองเมื่อถ่ายรูปบนปราสาทอย่างจุใจจนฟ้ามืดแล้ว ก่อนกลับเข้าที่พัก ผมแวะรับประทานอาหารมื้อค่ำ โดยเลือกไปรับประทานที่ร้าน Krma v oeatlavskè Ulici ซึ่งยังคงเป็นอาหารสไตล์โบฮีเมียน โดยเป็นแนวอาหารย่าง ซึ่งพนักงานแนะนำให้สั่งขาหมูย่าง ซึ่งย่าง มาแบบกรอบ ๆ และไหม้นิด ๆ มีความหอมของกลิ่นไหม้ดีครับรุ่งเช้าผมตื่นมารับกับอากาศที่หนาวกว่าเดิม เพราะมีหิมะตก แต่ทำให้บรรยากาศในเมืองที่น่ารักเหมือนเมืองในนิทานอยู่แล้วยิ่งเหมือน เข้าไปอีกโดยรวมแล้วเมืองนี้สวยงามและหยุดเวลาไว้ได้จริง ๆ ไว้มีโอกาส ผมคงได้กลับมาเยือนเมืองนี้ในฤดูอื่นอีกแน่ ๆ


ที่มา : คอลัมน์ สารคดีท่องเที่ยว Lifestyle นิตยสารแพรว ฉบับ 866 ปักษ์ 25 กันยายน 2558