อะโปเช่ (Apogée)
การเดินทางในบางครั้งก็ช่วยให้เราค้นพบตัวเอง มองเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ความเขียวขจีของผืนป่า ความเงียบสงบของทะเลสาบ ความสูงชันของยอดเขา และในประสบการณ์นี้เราก็ค้นพบว่าสิ่งสำคัญที่แท้จริงก็คือหากเรารู้จักเปิดตามองความงาม เราก็จะเห็นโลกในมุมใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเพื่อต้องการสื่อนัยอันแหลมคมนี้ออกไป มร.แบลทรูดจึงเลือกดอกไม้ที่สื่อถึงการเกิดใหม่อย่าง ลิลลี่ ออฟ เดอะ แวลเลย์(lily of the valley) มาเป็นกลิ่นเปิด เหยาะด้วยกลิ่นดอกแมกโนเลียจีน ดอกจัสมิน และดอกเมย์โรสจากเมืองกราส ที่สกัดด้วยกรรมวิธีคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบเฉพาะของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ให้ความรู้สึกราวกับว่าผิวถูกปกคลุมไปด้วยกลีบดอกไม้ ภายใต้กลิ่นหอมสดชื่นของดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ แวลเลย์เป็นกลิ่นเบสที่ช่วยให้กลิ่นหอมของดอกไม้ติดทนนานยิ่งขึ้น โดยมีกลิ่นอบอุ่นจากไม้หอมอย่างกลิ่นไม้กวาแอค(guaiac wood) และแซนดัลวูด (sandal wood) มาเป็นกลิ่นปิดท้าย ทั้งหมดนี้ ทำให้อะโปเช่ เป็นกลิ่นหอมแห่งความไร้เดียงสา เต็มไปด้วยความสดใส เปรียบประหนึ่งหญิงสาวที่อยากออกไปค้นพบโลกใหม่ๆ นั่นเอง
ก็งทร์ มัว (Contre Moi)
ตลอดชีวิตของการเป็นนักผลิตน้ำหอมเบอร์หนึ่ง กลิ่นที่ มร.แบลทรูด ชื่นชอบเสมอมาคือกลิ่นวานิลลา พูดได้ว่าเขารู้จักสายพันธุ์วานิลลาทั้งโลกเลยก็ว่าได้ และกับงานชิ้นพิเศษนี้เขาตัดสินใจเลือก ทาฮิเทนสิส วานิลลา(Tahitensis Vanilla) ปรุงเข้ากับกลิ่นมาดากัสการ์(Madagascar) เพราะให้ความรู้สึกคล้ายกับกลิ่นหนัง คลุกเคล้ากับกลิ่นหวานๆ ทั้งจาก ออเร้นจ์ บลอซซัม เมย์โรสจากเมืองกราส และแมกโนเลียจีน ปิดท้ายตามด้วยกลิ่นขมอ่อนๆ ของโกโก้ เพื่อสร้างความรู้สึกท้าทาย ผสานกับกลิ่นเหล้าหมักจากลูกแพร์ และกลิ่นมัสก์ เกิดเป็นความหอมเย้ายวนที่ชวนให้คุณอยากจะจูงมือใครสักคนและหนีไปด้วยกัน
มาติแยร์ นัวร์ (Matière Noire)
การเดินทางนอกจากจะนำมาซึ่งความตื่นเต้นแล้ว มันยังอาจนำมาซึ่งความลี้ลับเกินคาดเดา โดยเฉพาะการเดินทางท่ามกลางความมืดในแบบที่ไม่เคยคุ้น ไร้จุดสิ้นสุด จับต้องไม่ได้ ยากจะเข้าใจ และไม่รู้จะพบเจอกับอะไร ทว่ามันก็เป็นเสน่ห์ที่ทำให้อะดรีนาลีนของนักเดินทางพุ่งกระฉูดมิใช่หรือ มร.แบลทรูด นำเอาความรู้สึกนี้มาสร้างเป็นกลิ่นหอมปริศนา โดยเลือกดอกแพทชูลี (patchouli) และพรรณไม้ที่หายากที่สุดในโลกแห่งการทำน้ำหอม นั่นก็คือไม้หอมอาการ์ (agarwood) จากลาว ซึ่งเป็นไม้ที่เขาศึกษาและเชี่ยวชาญมานานหลายปี และเพื่อให้กลิ่นไม้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เขาจึงจับคู่กับแบล็กเคอร์แรนท์ (blackcurrant) ขณะที่ดอกไวท์นาร์ซิสซัสคู่กับดอกมะลิจัสมินแซมบัค กลิ่นนกุหลาบเซนทิโฟเลียที่สกัดด้วยกรรมวิธีคาร์บอนไดอ็อกไซด์คู่กับดอกไซคลาเมน (cyclamen) เสมือนหนึ่งนำเอาความมืดและความสว่าง กลื่นกลางคืนและหยาดน้ำค้างยามเช้ามาผสมผสานกัน แตกต่าง แต่ลงตัว ปิดท้ายด้วยกลิ่นที่ดูลึกลับยิ่งขึ้นด้วย ธูป และเบนโซอินบาล์ม (benzoin balm) ทั้งหมดนี้ทำให้ มาติแยร์ นัวร์ เปรียบเสมือนหมู่ดาวแห่งกลิ่นหอม แม้จะดูลึกลับราวกับเงามืด แต่ก็น่าออกไปค้นหา
มิลล์ เฟอซ์ (Mille Feux)
แสงสว่างไม่ว่าจะเป็นแสงสีทอง ฟากฟ้าที่ประดับไปด้วยหมู่ดาว หรือแสงเหนือ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเดินทางมีความมหัศจรรย์มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแสงสว่างสาดส่องบนทางเดิน อาบหนทางไปด้วยแสงอาทิตย์ ฉาบบนหลังคาบ้านเรือน และเคลือบผิวให้เปล่งประกายดุจสีทองแดง เพื่อถ่ายทอดความเปล่งประกายนั้นลงในน้ำหอม มร.แบลทรูด มองหาสีสันสดใสที่จะเติมลงไปในผลงานของเขา วันหนึ่งเขาได้ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องหนังของหลุยส์ วิตตอง และเห็นช่างฝีมือผลิตกระเป๋าด้วยหนังสีราสเบอร์รี่ สีสันที่สดราวกับผลไม้สุกนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เขานำกลิ่นหนังมาผสมผสานกับราสเบอร์รี่ ผสมกับดอกออสแมนธัสจากประเทศจีน (Chinese osmanthus) ซึ่งเป็นดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นของสัตว์และแอพริค็อต เพิ่มกลิ่นหอมของดอกไอริสผสมผสานกับหญ้าฝรั่น (saffron) เพื่อเน้นกลิ่นของหนังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ มิลล์ เฟอซ์ เปรียบได้เหมือนกับระเบิดแห่งอารมณ์ ให้ความรู้สึกพลุ่งพล่านราวกับจุดพลุ ถือเป็นสุดยอดแห่งความหอมทั้งมวล
อ่านรีวิวเจาะลึกกลิ่นมาขนาดนี้แล้ว หากอยากครอบครองน้ำหอมติดแบรนด์ Louis Vuitton ก็เตรียมตัวเลย เขาพร้อมจำหน่ายในไทย 15 กันยายน นี้ เฉพาะที่หลุยส์ วิตตอง ดิ เอ็มโพเรียม เท่านั้น