เจาะลึก 7 น้ำหอม Louis Vuitton นาทีนี้ไม่ฉีดมีเอ้าท์!

อะโปเช่ (Apogée)

Louis Vuitton

การเดินทางในบางครั้งก็ช่วยให้เราค้นพบตัวเอง มองเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ความเขียวขจีของผืนป่า ความเงียบสงบของทะเลสาบ ความสูงชันของยอดเขา และในประสบการณ์นี้เราก็ค้นพบว่าสิ่งสำคัญที่แท้จริงก็คือหากเรารู้จักเปิดตามองความงาม เราก็จะเห็นโลกในมุมใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเพื่อต้องการสื่อนัยอันแหลมคมนี้ออกไป มร.แบลทรูดจึงเลือกดอกไม้ที่สื่อถึงการเกิดใหม่อย่าง ลิลลี่ ออฟ เดอะ แวลเลย์(lily of the valley) มาเป็นกลิ่นเปิด เหยาะด้วยกลิ่นดอกแมกโนเลียจีน ดอกจัสมิน และดอกเมย์โรสจากเมืองกราส ที่สกัดด้วยกรรมวิธีคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบเฉพาะของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ให้ความรู้สึกราวกับว่าผิวถูกปกคลุมไปด้วยกลีบดอกไม้ ภายใต้กลิ่นหอมสดชื่นของดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ แวลเลย์เป็นกลิ่นเบสที่ช่วยให้กลิ่นหอมของดอกไม้ติดทนนานยิ่งขึ้น โดยมีกลิ่นอบอุ่นจากไม้หอมอย่างกลิ่นไม้กวาแอค(guaiac wood) และแซนดัลวูด (sandal wood) มาเป็นกลิ่นปิดท้าย ทั้งหมดนี้ ทำให้อะโปเช่ เป็นกลิ่นหอมแห่งความไร้เดียงสา เต็มไปด้วยความสดใส เปรียบประหนึ่งหญิงสาวที่อยากออกไปค้นพบโลกใหม่ๆ นั่นเอง

ก็งทร์ มัว (Contre Moi)

Louis Vuitton

ตลอดชีวิตของการเป็นนักผลิตน้ำหอมเบอร์หนึ่ง กลิ่นที่ มร.แบลทรูด ชื่นชอบเสมอมาคือกลิ่นวานิลลา พูดได้ว่าเขารู้จักสายพันธุ์วานิลลาทั้งโลกเลยก็ว่าได้ และกับงานชิ้นพิเศษนี้เขาตัดสินใจเลือก ทาฮิเทนสิส วานิลลา(Tahitensis Vanilla) ปรุงเข้ากับกลิ่นมาดากัสการ์(Madagascar) เพราะให้ความรู้สึกคล้ายกับกลิ่นหนัง คลุกเคล้ากับกลิ่นหวานๆ ทั้งจาก ออเร้นจ์ บลอซซัม เมย์โรสจากเมืองกราส และแมกโนเลียจีน ปิดท้ายตามด้วยกลิ่นขมอ่อนๆ ของโกโก้ เพื่อสร้างความรู้สึกท้าทาย ผสานกับกลิ่นเหล้าหมักจากลูกแพร์ และกลิ่นมัสก์ เกิดเป็นความหอมเย้ายวนที่ชวนให้คุณอยากจะจูงมือใครสักคนและหนีไปด้วยกัน

มาติแยร์ นัวร์ (Matière Noire)

Louis Vuitton

การเดินทางนอกจากจะนำมาซึ่งความตื่นเต้นแล้ว มันยังอาจนำมาซึ่งความลี้ลับเกินคาดเดา โดยเฉพาะการเดินทางท่ามกลางความมืดในแบบที่ไม่เคยคุ้น ไร้จุดสิ้นสุด จับต้องไม่ได้ ยากจะเข้าใจ และไม่รู้จะพบเจอกับอะไร ทว่ามันก็เป็นเสน่ห์ที่ทำให้อะดรีนาลีนของนักเดินทางพุ่งกระฉูดมิใช่หรือ มร.แบลทรูด นำเอาความรู้สึกนี้มาสร้างเป็นกลิ่นหอมปริศนา โดยเลือกดอกแพทชูลี (patchouli) และพรรณไม้ที่หายากที่สุดในโลกแห่งการทำน้ำหอม นั่นก็คือไม้หอมอาการ์ (agarwood) จากลาว ซึ่งเป็นไม้ที่เขาศึกษาและเชี่ยวชาญมานานหลายปี และเพื่อให้กลิ่นไม้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เขาจึงจับคู่กับแบล็กเคอร์แรนท์ (blackcurrant) ขณะที่ดอกไวท์นาร์ซิสซัสคู่กับดอกมะลิจัสมินแซมบัค กลิ่นนกุหลาบเซนทิโฟเลียที่สกัดด้วยกรรมวิธีคาร์บอนไดอ็อกไซด์คู่กับดอกไซคลาเมน (cyclamen) เสมือนหนึ่งนำเอาความมืดและความสว่าง กลื่นกลางคืนและหยาดน้ำค้างยามเช้ามาผสมผสานกัน แตกต่าง แต่ลงตัว ปิดท้ายด้วยกลิ่นที่ดูลึกลับยิ่งขึ้นด้วย ธูป และเบนโซอินบาล์ม (benzoin balm) ทั้งหมดนี้ทำให้ มาติแยร์ นัวร์ เปรียบเสมือนหมู่ดาวแห่งกลิ่นหอม แม้จะดูลึกลับราวกับเงามืด แต่ก็น่าออกไปค้นหา

มิลล์ เฟอซ์ (Mille Feux)

Louis Vuitton

แสงสว่างไม่ว่าจะเป็นแสงสีทอง ฟากฟ้าที่ประดับไปด้วยหมู่ดาว หรือแสงเหนือ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเดินทางมีความมหัศจรรย์มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแสงสว่างสาดส่องบนทางเดิน อาบหนทางไปด้วยแสงอาทิตย์ ฉาบบนหลังคาบ้านเรือน และเคลือบผิวให้เปล่งประกายดุจสีทองแดง เพื่อถ่ายทอดความเปล่งประกายนั้นลงในน้ำหอม มร.แบลทรูด มองหาสีสันสดใสที่จะเติมลงไปในผลงานของเขา วันหนึ่งเขาได้ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องหนังของหลุยส์ วิตตอง และเห็นช่างฝีมือผลิตกระเป๋าด้วยหนังสีราสเบอร์รี่ สีสันที่สดราวกับผลไม้สุกนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เขานำกลิ่นหนังมาผสมผสานกับราสเบอร์รี่ ผสมกับดอกออสแมนธัสจากประเทศจีน (Chinese osmanthus) ซึ่งเป็นดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นของสัตว์และแอพริค็อต เพิ่มกลิ่นหอมของดอกไอริสผสมผสานกับหญ้าฝรั่น (saffron) เพื่อเน้นกลิ่นของหนังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ มิลล์ เฟอซ์ เปรียบได้เหมือนกับระเบิดแห่งอารมณ์ ให้ความรู้สึกพลุ่งพล่านราวกับจุดพลุ ถือเป็นสุดยอดแห่งความหอมทั้งมวล

อ่านรีวิวเจาะลึกกลิ่นมาขนาดนี้แล้ว หากอยากครอบครองน้ำหอมติดแบรนด์ Louis Vuitton ก็เตรียมตัวเลย เขาพร้อมจำหน่ายในไทย 15 กันยายน นี้ เฉพาะที่หลุยส์ วิตตอง ดิ เอ็มโพเรียม เท่านั้น

Praew Recommend

keyboard_arrow_up