ศึกมะเร็งของบ้านศรัทธาทิพย์
หลังจากเสียสามีไปด้วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเมื่อ 20 ปีก่อน ทิพย์ธิดา ศรัทธาทิพย์ เจ้าของนามปากกา ‘ปราณประมูล’ นักเขียนบทละครโทรทัศน์ที่โด่งดังหลายเรื่อง ไม่คิดว่าเธอจะอยู่ในสถานภาพผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จนกลายเป็นแรงบันดาลใจว่า หากเขียนบทละครเรื่องใหม่ ตัวละครเป็นมะเร็งแล้วจะไม่ตาย เหมือนเช่นเธอ
“ปี 2556 แอ๊นท์สังเกตว่ามีก้อนขึ้นที่เนินหน้าอกซ้ายชัดเจนมาก จับแล้วเป็นไตแข็ง คิดอยู่เหมือนกันว่ามะเร็งแหงม แต่ยังซ่าชวนเพื่อนไปดูคอนเสิร์ตที่เกาหลี(หัวเราะ)” และเพราะปล่อยทิ้งไว้นาน ขนาดของก้อนเนื้อจึงใหญ่มาก ประมาณ 5 เซนติเมตร คุณหมอบอกว่าอาจเป็นระยะที่ 3 นาทีนั้นเธอไม่ได้เสียดายเต้านมมากไปกว่ากลัวภาวะตอน ให้คีโม เพราะยังจำภาพความน่ากลัวตอนที่สามีรักษาด้วยคีโมได้ติดตา ยังดีว่าด้วยอาชีพการงานทำให้เธอมีข้อมูลเรื่องมะเร็งเต้านมอยู่พอสมควร จึงเกิดความมั่นใจว่ามีหนทางเอาชนะได้หลายวิธี และที่สำคัญคือยังโชคดีกว่าเป็นมะเร็งประเภทอื่น
“กรณีแอ๊นท์ หมอบอกว่ามีแผนการรบกับมะเร็งคือ หนึ่ง ตัด สอง ให้คีโม สาม ฉายแสงและทานยา แอ๊นท์ผ่านขั้นตอนแรกคือตัด หลังผ่าตัดหมอบอกมีข่าวดีและข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบ ข่าวดีคือแอ๊นท์เป็นมะเร็งระยะที่ 2 เพราะไม่พบ เซลล์มะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง แต่ข่าวร้ายคือเนื่องจากก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ หมอกลัวลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง จึงเลาะต่อมน้ำเหลืองออกด้วย”
แล้วก็มาถึงขั้นตอนที่เธอกลัวนั่นคือการให้คีโม ซึ่งเธอต้องรับทั้งหมด 6 ครั้ง โดยแต่ละครั้งต้องมีเวลาพักฟื้นประมาณ 3 สัปดาห์จึงค่อยไปอีก เธอพบว่าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มียาแก้อาการแพ้คีโม ทำให้เธอไม่มีอาการแพ้น่ากลัวเหมือนสามีที่เสียชีวิตไปเมื่อ 20 ปีก่อน จะมีก็เพียงแค่รู้สึกอ่อนเพลีย โดยวันแรกๆ ที่ให้คีโมมีอาการเหมือนคนเมา ปากและลิ้นบวมชา พูดไม่ชัด ซึ่งคุณหมอก็บอกให้ทานไข่ขาววันละ 6 ฟองเพื่อให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือด แต่ความที่เห็นค่าเลือดดีจึงเกเรทานบ้างไม่ทานบ้าง ปรากฏว่าให้คีโมประมาณครั้งที่ 4 ผลเลือดขึ้นน้อยอย่างเห็นได้ชัด จุดนี้เองที่น้องสาวต้องเข้ามาคุมเข้ม ด้วยการสรรหาเมนูไข่ขาวมาทำให้ทาน
“ผ่านไปแค่เดือนเดียวเขาก็เริ่มกลืนไข่ขาววันละ 6 ฟองไม่ลงแล้ว” คุณเล็ก-ดวงหทัย น้องสาวที่อยู่ดูแลเคียงข้างคุณแอ๊นท์ เปิดเผย “จากอาหารที่เคยชอบทาน รสชาติจะกลายเป็นตรงข้าม ยิ่งเขาต้องทาน ไข่ขาวทุกวันที่ให้คีโมประมาณ 6 เดือน เล็กต้องหาเมนูใหม่ๆ มาหลอกล่อ ทำกระเพาะปลาน้ำใสแล้วใส่ไข่ทำเป็นริ้วเพื่อให้กลืนง่าย เพราะผู้ป่วยมะเร็งไม่ชอบกับข้าวที่เป็นชิ้นๆ แล้วทุกอย่างต้องต้มสุก เขาไม่มีภูมิคุ้มกันโรคเลย ส่วนของหวานเป็นไข่หวานน้ำขิง ช่วงนั้นเล็กมีไข่แดงเหลือก็ทำกับข้าวให้รปภ.บ้าง ให้หมาบ้างเยอะมาก เรียกว่าหมาเห็นหน้าเล็กยังวิ่งหนีเลย(หัวเราะ)”
แต่นอกจากมหกรรมโภชนาการไข่ขาวแล้ว สิ่งสำคัญคือเธอต้องพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสู้ศึก ไม่ไปไหน ยกเว้นโรงพยาบาล และไม่ให้ใครมาหาด้วย เพราะช่วงที่ให้คีโมเป็นช่วงที่ร่างกายไม่มีภูมิต้านทานโรค ต้องอยู่ในภาวะปลอดเชื้อเป็นเวลา 6 เดือนเต็ม “ขณะเดียวกันทางใจก็ต้องฝึกเช่นกัน หลายปีก่อนแอ๊นท์มีโอกาสไปทิเบตกับนายแพทย์บรรจบและพระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ ท่านแจกหนังสือสวดมนต์ ในนั้นมีบทสวดดุริยมนตรา บทสอนเจ้ากรรมนายเวร สำหรับบำบัดโรค พอได้มาก็วางไว้ที่ไหนไม่รู้ กระทั่งป่วย ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือท่านวางอยู่บนหัวนอน แอ๊นท์สวดมนต์ เช้า-เย็น เคล็ดลับคือต้องสวดเสียงดัง เพราะถือเป็นการบำบัดชนิดหนึ่ง การออกเสียงแต่ละคำจะเกิดคลื่นสั่นสะเทือนในแต่ละอวัยวะ เล็กยังชม เลยว่าแอ๊นท์สวดมนต์เพราะมาก แอ๊นท์เชื่อว่านอกจากการรักษาแล้ว ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาการดีขึ้นคือการสวดมนต์ อ้อ อาหารเสริมด้วยเนอะ” ท้ายประโยคคุณแอ๊นท์ถามน้องสาว
“ใช่ค่ะ ดีมากเลย” คุณเล็กยืนยัน “แต่สิ่งสำคัญที่สุดของครอบครัวเราคือตลก เราอยู่กันสองคนพี่น้อง ดูแลกันอย่างดีงาม เล็กทำตลกให้ดูทุกวันเพื่อให้เขาหัวเราะ โดยแกล้งร้องเพลงเพี้ยน เขาชอบมาก แล้วพอทำคีโมครบคอร์ส พี่แอ๊นท์ก็ไปฉายแสงที่โรงพยาบาลรามาฯ ทุกวันติดต่อกัน 25 ครั้ง เล็กไปด้วยทุกครั้ง ภาพที่เห็นจนชินตาคือผู้ป่วยมะเร็งมารอฉายแสงมหาศาล ตั้งแต่เด็ก 5 – 6 ขวบที่เป็นมะเร็งสมอง บางคนไม่มีญาติ เล็กก็ทำตลกเพื่อให้บรรยากาศสดชื่นขึ้น”
ณ วันนี้ผ่านมา 3 ปีแล้ว ศึกมะเร็งยังอยู่ในช่วงสงบและยังต้องติดตามผลต่อเนื่อง แต่ในฐานะที่มีประสบการณ์มาแล้ว เธอจึงอยากฝากให้ทุกคนตระหนักว่าโรคภัยไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เครียด กรรมพันธุ์ก็ไม่มีใครเป็นมะเร็ง จะมีพฤติกรรมที่เลวร้ายสุดก็คือการนอนดึก เพราะไอเดียเด็ดๆ มักจะมาหลังเที่ยงคืน กว่าจะได้นอนก็ตี 3 ตี 4 เข้าไปแล้ว ซึ่งการนอนดึกส่งผลให้ร่างกายสูญเสียภูมิต้านทานบางอย่าง นอกจากนี้คือเรื่องอาหาร เพราะมีผลต่อร่างกายจริงๆ อย่าทานซ้ำ พยายามทานให้หลากหลายและหลากสี โดยเฉพาะมะเร็ง เต้านมหรือมะเร็งปากมดลูก ต้องทานยาแอนตี้ฮอร์โมนให้ครบ 5 ปี แม้จะตัดมดลูกกับรังไข่ไปแล้วก็ยังต้องทานยาอยู่ เพราะร่างกายยังมีต่อมใต้สมองที่ผลิตฮอร์โมนได้อยู่ ทุกวันนี้เธอจึงไม่ทานอาหารที่ กระตุ้นฮอร์โมนเอสโทรเจน เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำมะพร้าว
ถึงบรรทัดนี้ เราเชื่อว่าความคิดที่มีต่อ มะเร็ง ว่าเป็นโรคร้ายของคุณยังไม่เปลี่ยนไปไหนแน่ๆ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเป็นแล้วรู้จักแปรให้เป็นพลังบวก เพื่อใช้สู้ศึกกับมัน สำคัญเหนืออื่นใดคือความตระหนักรู้ว่าเราไม่ได้สู้เพียงลำพัง แต่ยังมีมือของคนที่รักคอยจับจูงให้ก้าวข้ามไปด้วยกัน จะเป็นพี่น้อง พ่อแม่ คนรัก หรือลูก ขอเพียงให้มีคนๆ นั้นเท่านั้นเอง
ที่มาเรื่อง : คอลัมน์ ‘ครั้งหนึ่ง’ นิตยสารแพรว
ที่มาภาพ : นิตยสารแพรว / นิตยสาร Secret / IG@rugtoo