account_circleสารคดีท่องเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์มรดกทางวัฒนธรรม
เมื่อมีใครพูดถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฉันมักนึกถึงภาพความทรงจำเก่าๆ ซึ่งเต็มไปด้วยทิวทัศน์แสนสวยของภูเขาสูงที่มีหิมะขาวปกคลุมยอดทะเลสาบสีฟ้าอมเขียว และท้องทุ่งกว้างที่มีวัวตัวอ้วน ๆ แขวนกระดิ่งอันโตดังกรุ๊งกริ๊งเดินอยู่ทั่วไปการเที่ยวสวิสคราวนี้ ฉันต้องขอบคุณคุณเฉลิมพล ทันจิตต์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบิร์น เพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมของฉันและภรรยาที่กรุณาเอื้อเฟื้อทุกอย่าง…ทำให้ฉันได้รู้ว่านอกจากสวิตเซอร์แลนด์จะมีธรรมชาติอันงดงามแล้วยังเต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมายอีกด้วย
เริ่มต้นออกทัวร์
พวกเราเริ่มต้นโปรแกรมด้วยการไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ๆ เช่น อินเตอร์ลาเกน (Interlaken) จุงเฟรา (Jungfrau) กรินเดลวาลด์ (Grindelwald) เซอร์แมตต์ (Zermatt) ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่หลายคนเคยไปมาแล้ว…
หลังจากอิ่มเอมกับทิวทัศน์แสนสวยไกลตัวกันจนหนำใจ วันต่อมาเราจึงเริ่มหันมาสำรวจสิ่งรอบตัว ซึ่งงดงามและน่าสนใจไม่แพ้กัน
เรานั่งรถเมล์จากที่พักไปตระเวนย่านใจกลางเมืองเก่า (The Old Town) ซึ่งยูเนสโกรับรองให้เป็นมรดกโลก เนื่องจากตึกรามบ้านช่องเกือบทั้งหมดในบริเวณนั้นได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิมตั้งแต่สมัยเรอเนสซองซ์ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ตอนที่เดินไปถึง ฉันนึกว่ากำลังหลุดเข้าไปในภาพยนตร์เรื่อง แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ (Mary Poppins) เสียอีก เพราะบนหลังคาอาคารแทบทุกหลังเต็มไปด้วยปล่องไฟ จนฉันอยากร้องเพลง Chim – Chim – Cher – ee ออกมาดัง ๆ!พวกเราแวะกินสเต๊กเนื้อแกะเจ้าอร่อย ก่อนเดินข้ามสะพานไปฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งเป็นสวนกุหลาบหรือสวนสาธารณะที่ชาวเมืองชอบมานั่งดูพระอาทิตย์ตกทางฝั่งเมืองเก่า น่าเสียดายที่กำลังจะเข้าหน้าหนาว จึงไม่มีกุหลาบให้ชื่นชมมากนัก แต่ภาพเมืองเก่าตรงหน้าในแสงอาทิตย์ยามเย็นก็งดงามจริง ๆ
ตระเวนชมปราสาทในสวิส
วันรุ่งขึ้น พวกเรานั่งรถไฟประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ถึงเมืองมองเทรอซ์ (Montreux) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบเจนีวาบริเวณเชิงเขาแอลป์จากนั้นนั่งเรือไปชมปราสาทชิลลอน (Chillon) ซึ่งเป็นหนึ่งในปราสาทที่มีคนมาเยี่ยมชมมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และยุโรป
พวกเราถ่ายรูปทิวทัศน์ภูเขาและทะเลสาบบนดาดฟ้าเรือกันจนจุใจ จึงเข้าไปดื่มโกโก้ร้อนกันคนละถ้วย แต่ไม่นานทุกคนก็ต้องรีบออกไปที่ดาดฟ้าใหม่ เมื่อภาพอันงดงามค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในสายตาและยิ่งเรือแล่นเข้าไปใกล้ เราก็ยิ่งได้เห็นถึงมนตร์เสน่ห์ของปราสาทแห่งนี้
ปราสาทชิลลอนแห่งนี้เดิมเป็นค่ายทหารเล็ก ๆ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1005 และในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ได้กลายเป็นบ้านพักฤดูร้อนของเคานต์แห่งซาวอย (Savoy) ก่อนถูกใช้เป็นสถานที่ขังนักโทษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ต่อมาฝรั่งเศสเข้ายึดครองก็ได้แปรสภาพเป็นคลังเก็บอาวุธยุทธภัณฑ์ ภายในปราสาทมีห้องจำนวนมาก ซึ่งงดงามด้วยจิตรกรรมฝาผนังยุคกลางในคริสต์ศตวรรษที่ 14 น่าเสียดายที่พวกเราชื่นชมไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งว่าหมดเวลาเนื่องจากวันนั้นจะมีการจัดงานเลี้ยง ทำเอาฉันฝันเฟื่องอยากให้เมืองไทยมีปราสาทสวย ๆ แบบนี้บ้าง คิดดูสิ ถ้าได้จัดงานแต่งงานในปราสาทจะหรูเริดขนาดไหน…จากหน้าปราสาทพวกเราเดินไปหาของว่างรองท้องจากร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ก่อนนั่งรถไฟกลับ
นับเป็นโชคดีของฉันและสามีอย่างมาก เพราะวันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งท่านทูตว่าง จึงขับรถพาพวกเราไปเมืองกรูแยร์ (Gruyere) แม้อยู่ห่างจากกรุงเบิร์นเพียง 56 กิโลเมตร แต่ไม่ค่อยมีใครได้ไป อาจเพราะเห็นว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ ทั้งที่ความจริงเมืองนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เช่น ปราสาทกรูแยร์ พิพิธภัณฑ์มนุษย์ต่างดาว และลา เมซอง ดูกรูแยร์ (La Maison du Gruyere) หรือโรงงานผลิตเนยแข็ง ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อที่สุดของเมืองนี้
ฉันประทับใจตั้งแต่จัตุรัสกว้างทางขึ้นปราสาทที่ตรงกลางมีน้ำพุและสองข้างทางเรียงรายไปด้วยอาคารแบบโบราณ ตกแต่งระเบียงด้วยดอกบัลโคนี เจอราเนียม (Balcony Geraniums) สีสันสดใสตามสไตล์ของชาเล่ต์ (Chalet) หรือบ้านแบบสวิสทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารร้านขายของที่ระลึกหรือสินค้าแปลก ๆ
แต่ที่แปลกกว่าคือ พิพิธภัณฑ์มนุษย์ต่างดาว (HR Giger Museum) อยู่ทางด้านขวามือของทางขึ้นปราสาท พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1998 เพื่อจัดแสดงผลงานของฮันส์ รูดอล์ฟ “รูดี” กีเกอร์ (Hans Rudolf “Ruedi” Giger) ศิลปินแนวเซอร์เรียลิสม์ชาวสวิสซึ่งเป็นหนึ่งในทีมสร้างเทคนิคพิเศษที่ได้รับรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง เอเลี่ยน (Alien) สำหรับผู้ที่เป็นคอศิลปะแบบสมัยใหม่ ไม่ควรพลาด พวกเราถ่ายรูปกับหุ่นมนุษย์ต่างดาวกันหลายรูป ก่อนเดินต่อขึ้นไปชมปราสาทบนภูเขา
ปราสาทกรูแยร์สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1270 – 1282 และมีประวัติคล้ายปราสาทชิลลอนคือ เดิมเป็นป้อมปราการ แล้วกลายเป็นบ้านพักฤดูร้อนของผู้มีอำนาจ ก่อนที่เจ้าเมืองไฟรบูร์ก (Freiburg) จะซื้อกลับมาและเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยยังรักษาสภาพเดิมไว้จนทุกวันนี้ทั้งภายนอกและภายใน เมื่อมองลงมาจากบนปราสาทด้านหลังจะเห็นสวนที่ได้รับการตัดแต่งอย่างประณีตงดงาม ถ้าใครสนใจทั้งปราสาทและพิพิธภัณฑ์ควรซื้อตั๋ว แบบรวมในราคา 17 ฟรงั กส์ วสิ (ประมาณ 600 บาท)
ช่วงบ่าย พวกเราไปเยี่ยมชมลา เมซอง ดู กรูแยร์ หรือโรงงานผลิตเนยแข็ง ซึ่งอยู่ใกล้กับปราสาทนั่นเอง หลังจากใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเศษ พวกเราก็ได้ทราบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเนยแข็งเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงวัวด้วยพืชชนิดต่าง ๆ เพื่อให้ได้เนยแข็งที่มีกลิ่นตามพืชนั้น ๆ เราได้เห็นถังขนาดมหึมาที่ใช้ใส่นมซึ่งถูกกวนจนกลายเป็นเนย ก่อนนำไปผ่านกรรมวิธีอีกหลายขั้นตอนกว่าจะเป็นเนยแข็ง
เนยเหล่านี้ยิ่งเก็บไว้นาน ยิ่งมีความเค็มมากขึ้น หลังจากที่ได้ชมและฟังเรื่องราวของเนยแข็งจนแจ่มแจ้งแล้ว พวกเราก็ลงมาซื้อผลิตภัณฑ์จากเนยในร้านขายของข้างล่าง ซึ่งมีสินค้าให้เลือกมากมายรวมทั้งของที่ระลึก นับว่าค่าเข้าชมสถานที่นี้ในราคาคนละ 7 ฟรังก์สวิส ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับสปาเกตตีจานละกว่า 1,000 บาทที่พวกเราเจอกันมาแล้วบนยอดเขาจุงเฟรา!
ที่มา : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับ 878 ปักษ์ที่ 25 มีนาคม 2559
account_circle
account_circle
“นอกจากนี้ด้านหน้างานก่อนที่แขกจะเข้ามาถ่ายรูปกับแบ็กดรอป เราก็มีตู้ instaprinta ไว้ให้ปริ๊นท์รูปสำหรับแขกในงานที่ถ่ายรูปแล้วติดแฮชแท็คในงาน แล้วก็มี mascot แต่งตัวเป็นเทพีเสรีภาพและคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนม้านั่งในสวนให้แขกได้ถ่ายรูปเล่นด้วยค่ะ”
