อ่านแล้วคิดถึงพ่อ… เปิดบทกวีใน ‘สมเด็จพระเทพฯ’ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึง ‘ในหลวง’

เปิดบทกวีพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ที่ทรงเขียนถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดการเขียนบทกลอนตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ และหนึ่งในบทกวีพระราชนิพนธ์ มีที่ทรงเขียนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เรื่อง “บิดา” ใน พุ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งมีใจความว่า

อันบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด แสนประเสริฐเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่
ทั้งเลี้ยงดูอบรมบ่มจิตใจ เพื่อจะให้ลูกยาพาเจริญ
อันพระคุณท่านนั้นมากล้นเหลือ ลูกที่เชื่อคำท่านน่าสรรเสริญ
คุณบิดานั้นมีมากเหลือเกิน ขอให้ท่านยิ่งเจริญทุกคืนวัน

สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึง ในหลวง
ภาพ: นิตยสาร แพรว ปี 2558 ฉบับที่ 854 (25 มี.ค. 58)

นอกจากนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงเป็นพระราชธิดาผู้ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท สะท้อนถึงพระราชปณิธานมุ่งมั่นจะเดินตามรอยเท้าพ่อ ดังที่พสกนิกรไทยได้เห็นกันอยู่เสมอกับภาพพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่เสด็จพระราชดำเนินตามพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปทรงงานทุกแห่งหน

ในการนี้แพรวขอนำพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่อง “เดินตามรอยเท้าพ่อ” มาเผยแพร่ เพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อปวงชนชาวไทย

    “ฉันเดินตามรอยเท้าอันรวดเร็วของพ่อโดยไม่หยุด ผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ น่ากลัว ทึบ แผ่ไปโดยไม่มีที่สิ้นสุดมืดและกว้าง มีต้นไม้ใหญ่ เหมือนหอคอยที่เข้มแข็ง พ่อจ๋า…ลูกหิวจะตายอยู่แล้วและเหนื่อยด้วย ดูซิจ๊ะ…เลือดไหลออกมาจากเท้าทั้งสองที่บาดเจ็บของลูก ลูกกลัวงู เสือ และหมาป่า พ่อจ๋า…เราจะถึงจุดหมายปลายทางไหม?”

     “ลูกเอ๋ย…ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอกที่มีความรื่นรมย์และความสบายสำหรับเจ้า ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย จงไปเถิด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งบีบคั้นหัวใจเจ้า พ่อเห็นแล้วว่า หนามตำเนื้ออ่อนอ่อนของเจ้า เลือดของเจ้าเปรียบดั่งทับทิมบนใบหญ้าใกล้น้ำ น้ำตาของเจ้าที่ไหลต้องพุ่มไม้สีเขียวเปรียบดั่งเพชรบนมรกตที่แสดงความงามเต็มที่เพื่อมนุษยชาติ… จงอย่าละความกล้าเมื่อเผชิญกับความทุกข์…ให้อดทนและสุขุม และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า ไปเถิด…ถ้าเจ้าต้องการเดินตามรอยเท้าพ่อ”

สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึง ในหลวง
ภาพ: นิตยสาร แพรว ปี 2558 ฉบับที่ 854 (25 มี.ค. 58)
สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึง ในหลวง
ภาพ: มูลนิธิยุวทูตความดี
สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึง ในหลวง
ภาพ: มูลนิธิยุวทูตความดี

สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึง ในหลวง

สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึง ในหลวง
ภาพ: ศปร.กอ.รมน.ภาค ๓
สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชนิพนธ์ ถึง ในหลวง
ภาพ: twitter‏@LoveKingTH

ข้อมูลจาก : บทกวีพระราชนิพนธ์ “บิดา”,sirindhorn.net
พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพฯ “เดินตามรอยเท้าพ่อ”

รักของน้องส่งถึงพี่ เปิดบทเพลงพระราชนิพนธ์สุดท้าย ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานแด่สมเด็จพระพี่นางฯ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดการทำกิจกรรมในหลายด้าน และมีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในเรื่องดนตรี พระองค์ถือเป็นอัครศิลปินที่ได้สร้างสรรค์เพลงพระราชนิพนธ์เอาไว้มากมายถึง 48 บทเพลง

last-song-of-king-5

แม้ว่าจะต้องทรงงานอย่างหนักมาโดยตลอด อีกมุมหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยได้เห็นก็คือพระอัจฉริยภาพด้านการดนตรี พระองค์ทรงดนตรีได้หลายชนิด เช่น แซ็กโซโฟน คลาริเน็ต ทรัมเป็ต กีตาร์ และเปียโน ทรงโปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก

last-song-of-king-4

และพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เพลงไว้เป็นจำนวนมากถึง 48 เพลง เช่น แสงเทียน, ยามเย็น, สายฝน, ใกล้รุ่ง, ลมหนาว, ยิ้มสู้, ชะตาชีวิต, ดวงใจกับความรัก, มาร์ชราชวัลลภ, อาทิตย์อับแสง, เทวาพาคู่ฝัน, คำหวาน, มหาจุฬาลงกรณ์, แก้วตาขวัญใจ, พรปีใหม่, รักคืนเรือน, ยามค่ำ, มาร์ชธงไชยเฉลิมพล, เมื่อโสมส่อง, ศุกร์สัญลักษณ์, Oh I say, Can’t you ever see, Lay Kram Goes Dixie, ค่ำแล้ว, สายลม, ไกลกังวล, แสงเดือน, ฝัน, มาร์ชราชนาวิกโยธิน, ภิรมย์รัก, Nature Waltz, The Hunter, Kinari Waltz, แผ่นดินของเรา, พระมหามงคล, ยูงทอง, ในดวงใจนิรันดร์, เตือนใจ,ไร้เดือน, เกาะในฝัน, แว่ว, เกษตรศาสตร์, ความฝันอันสูงสุด, เราสู้, เรา-เหล่าราบ 21, Blues for Uthit, รัก

last-song-of-king-3

และบทเพลงพระราชนิพนธ์สุดท้ายคือ เมนูไข่

ทั้งนี้เพลงพระราชนิพนธ์ “เมนูไข่” เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับสุดท้าย ที่ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 เพื่อพระราชทานเป็นของขวัญวันพระราชสมภพครบ 72 พรรษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ด้วยทรงรำลึกได้ว่าสมเด็จพระเชษฐภคินีโปรดเสวยพระกระยาหารที่ทำจากไข่ เป็นแรงบันดาลพระราชหฤทัยให้ทรงพระราชนิพนธ์ กอปรกับทรงพบโคลงสี่ “เมนูไข่” ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อ พ.ศ. 2518

ได้โปรดเกล้าฯพระราชทานให้พลเรือตรี หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช นำไปแยกและเรียบเรียงเสียงประสาน เพื่อให้วง อ.ส.วันศุกร์นำออกบรรเลงและขับร้องในงานพระราชทานเลี้ยงฉลองสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ ศาลาดุสิตาลัย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2538

รับฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ “เมนูไข่” ที่นี่

เมนูไข่

ข้อมูลจาก : วิกิพีเดีย

ภาพ : IG@thairoyalfamily

ทำดีตามคำสอนพ่อ ๙ พระราชดำรัสของในหลวง เรื่องการดำเนินชีวิต

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ ร่วมประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระราชทานในโอกาสต่างๆ โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปเผยแพร่เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ในสมุดบันทึกเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวง เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและประชาชนโดยทั่วไป

และวันนี้แพรวได้คัดเลือก ๙ พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของในหลวง เรื่องการดำเนินชีวิต การทำความดี มาให้ทุกคนได้อ่านเพื่อเดินตามรอยคำสอนพ่อกันค่ะ

 

การทำความดีนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ผู้อื่นไม่สำคัญและไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นห่วงหรือต้องรอคอยเขาด้วย เมื่อได้ลงมือลงแรงกระทำแล้ว
ถึงแม้จะมีใครร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม ผลดีที่ทำจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๐)


ถ้ามีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นเขาก็สร้างเหมือนกัน คนอื่นเขาก็ทำเหมือนกัน แล้วก็เมตตาซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รู้จักรักกัน รู้จักว่าตรงไหนเป็นความดี และนึกถึงว่าประเทศไทยของเราเต็มไปด้วยความดี ประเทศไทยของเราจะมีความมั่นคง และพวกเราในที่สุดก็จะมีความสุข ความสบาย มีเกียรติ สามารถมีชีวิตที่รุ่งเรือง

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๑๙)


ถ้าเราคิดดี ทำดี ไม่ใช่แต่ปากนะ ทำอย่างดีจริงๆ คือ สร้างสมสิ่งที่ดีด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่เรียกว่าดี หมายความว่า ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สร้างสรรค์ทำให้มีความเจริญทั้งวัตถุทั้งจิตใจ แล้วไม่ต้องกลัว

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๑๘)


คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ เมื่อรับสิ่งของได้มากก็จะต้องพยายามให้
ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีในหมู่คณะและในชาติ

(พระราชดำรัสพระราชทานในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ทรงครองราชย์ครบ ๕๐ ปี)


ถ้าราษฎรรู้รักสามัคคี เขาจะเข้าใจว่าเมื่อเขามีรายได้ เขาก็จะยินดีเสียภาษี เพื่อช่วยราชการให้สามารถทำโครงการต่อไปเพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ ถ้าราษฎรรู้รักสามัคคี และรู้ว่าการเสียสละคือได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า เพราะว่าการที่คนอยู่ดีมีความสุขนั้น เป็นกำไรอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งนับเป็นมูลค่าเงินไม่ได้

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔)


คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย
ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง
หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)


การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร
ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่ที่สำคัญที่สุดคือความอดทน คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึ ทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดี ไม่ครึ ต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอน

(พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครูและอาจารย์ : ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖)


การดำเนินชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา การปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรและความอดทนเป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทนก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย
เมื่อท้อใจไปแล้วไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ

(พระราชดำรัสพระราชทานแก่ครูและนักเรียนโรงเรียนจิตลดา : ๒๗ มีนาคม ๒๕๒๓)


คุณธรรมที่ทุกคนควรจะศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติ
ประการแรก คือ การรักษาความสัตย์ ความจริงใจต่อตัวเอง ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
ประการที่สอง คือ การรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกใจตนเองให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัตย์ความดีนั้น
ประการที่สาม คือ การอดทน อดกลั้น และอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัตย์สุจริต ไม่ว่าด้วยประการใด
ประการที่สี่ คือ การรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน
เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง

(พระราชดำรัสพระราชทานในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า : ๕ เมษายน ๒๕๒๕ )


ที่มา : สมุดบันทึกเศรษฐกิจพอเพียง
ภาพ : นิตยสารแพรว ปี 2559 ฉบับที่ 883 (10 มิ.ย. 59)

THE WORLD FIRST POINT OF SALE ROBOT เจ้าดินสอ หุ่นยนต์บริการการขาย ตัวแรกของโลก

บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดตัว ดินสอ หุ่นยนต์บริการการขายตัวแรกของโลก เพื่อการใช้งาน “The World First Point of Sale Robot” ณ  ARROW SHOP ชั้น 2 ศูนย์การค้า Terminal 21 (อโศก) เดือนพฤศจิกายนนี้

หุ่นยนต์ ดินสอ ถูกพัฒนาและสร้างสรรค์ขึ้นโดยฝีมือคนไทย 100% โดย บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด และ ดินสอ ยังสร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ ด้วยการเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกที่ประเทศญี่ปุ่นยอมรับ ในวันนี้จะเป็นครั้งแรกที่ ดินสอ พร้อมแล้วเพื่อการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการบริการด้านการขาย ซึ่งถือเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกของโลกที่สามารถ แนะนำการขาย แนะนำโปรโมชั่น พร้อมรับชำระเงิน ได้ครบกระบวนการในหุ่นยนต์ตัวเดียว อีกทั้งยังพูดได้หลายภาษา ทั้ง ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น  ฝรั่งเศส เพื่อการพร้อมรับลูกค้าชาวต่างชาติอีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เชื่อมั่นว่า ดินสอ ซึ่งสามารถพูดได้หลายภาษาทั้ง ไทย อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ที่ได้นำมาต้อนรับและให้บริการลูกค้าอย่างใกช้ชิด ณ  ARROW SHOP ชั้น 2ศูนย์การค้า Terminal 21 (อโศก) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นมิติใหม่ของเทคโนโลยีแห่งการขายและเป็นผู้ต้อนรับที่จะมาสร้างสีสันความสุขให้แก่ลูกค้าได้ดีขึ้น

พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เปิดพระราชนิพนธ์แรก ฉบับเต็ม… เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์

พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พระราชนิพนธ์  ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์” เป็นพระราชนิพนธ์แรกที่พระราชทานแก่วงวรรณคดี อันเป็นบันทึกความทรงจำหลังจากที่ทรง “รับ” คำกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นสืบสันตติวงศ์ไอศวรรย์สมบัติแล้ว จำต้องเสด็จฯกลับไปทรงศึกษาต่อ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๙

นับถึงวันนี้พระราชนิพนธ์ฉบับนี้มีอายุครบ ๗๐ ปีเต็มบริบูรณ์แล้ว ถือเป็นงานทรงคุณค่าสูงสุดอีกองค์หนึ่งที่พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้แก่ปวงชนชาวไทย

ในการนี้แพรวขอน้อมอัญเชิญมาเผยแพร่อีกครั้งอย่างครบถ้วนทุกถ้อยความและสะกดตามต้นฉบับ เพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้

เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์

ในหลวงรัชกาลที่ 9 แย้มพระสรวล

“วงวรรณคดี” ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ถนัดมาลงในหนังสือนี้นานมาแล้ว อันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ใช่นักประพันธ์ เมื่ออยู่โรงเรียน เรียงความและแต่งเรื่องก็ทำไม่ได้ดีนัก อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าก็ปรารถนาที่จะสนองความต้องการของ “วงวรรณคดี” อยู่บ้าง และเนื่องด้วยไม่สามารถที่จะเขียนเรื่องที่ข้าพเจ้ารู้บ้าง เช่น ดนตรี ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือกฎหมาย ฯลฯ ได้ เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ดีพอ ฉะนั้นจึงตกลงใจส่งบันทึกประจำวันที่เขียนไว้ก่อนและระหว่างวันเดินทางจากสยามสู่สวิทเซอร์แลนด์มาให้ และในโอกาสนี้ จึงขอขอบใจเป็นการส่วนตัวต่อทุกๆ คนที่มาถวายความจงรักภักดีที่มีต่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของข้าพเจ้า ณ พระมหาปราสาท ตลอดจนความปรารถนาดีที่มีต่อตัวข้าพเจ้าเอง กับขอขอบใจเหล่าทหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการด้วยความจงรักภักดีต่อเราทั้งสองด้วย

วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙

อีกสามวันเท่านั้น เราก็จะต้องจากไปแล้ว ฉะนั้นจึงตั้งใจจะไปนมัสการพระพุทธชินสีห์ที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชด้วย.

เมื่อไปถึงวัดบวรนิเวศน์วิหารตอนบ่ายวันนี้ มีประชาชนผู้รู้ว่าข้าพเจ้าจะมา มายืนรออยู่บ้าง แต่ไม่สู้มากนัก เข้าไปในพระอุโบสถ จุดเทียนนมัสการ ฯลฯ แล้วได้มีโอกาสทูลปฏิสันถารกับสมเด็จพระสังฆราช ทรงนำพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูงให้มารู้จัก โดยปกติได้เคยเห็นหน้าท่านเหล่านี้มาจนชินแล้ว ทรงนำขึ้นไปนมัสการพระสถูป บนนั้นมีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ ชื่อ พระไพรีพินาศ พระองค์นี้เคยทรงเล่าประวัติให้ฟังมาก่อนหน้านี้แล้วหลายวัน หลังจากนั้นก็นมัสการลา.

ตอนนี้มีราษฎรชุมนุมกันหนาตาขึ้น ต่างก็ยัดเยียดเบียดเสียดกันจนรู้สึกเกรงไปว่ารถที่นั่งมาจะทับเอาใครเข้าบ้าง ช่างเคราะห์ดีแท้ๆ ที่ไม่มีอันตรายอันใดเกิดขึ้นแก่ประชาชนที่มานั้นเลย ในหมู่ประชาชนที่มารอรับกันอยู่วันนี้ จำได้ว่ามีบางคนเคยเห็นที่พระมหาปราสาทเป็นประจำมิได้ขาด ไม่รู้ว่าหาเวลามาจากไหน จึงไปที่พระมหาปราสาทได้เสมอเกือบทุกวัน อังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ พวกนี้ก็มาที่วัดนี้ด้วยเหมือนกัน.

วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙

เก็บของลงหีบและเตรียมตัว…

วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ 

เราจะต้องจากไปในวันพรุ่งนี้แล้ว!  อะไรก็จัดเสร็จหมด หมายกำหนดการก็มีอยู่พร้อม…บ่ายวันนี้เราไปถวายบังคมลาพระบรมอัฐิของพระบรมราชบุพพการีของเรา ทั้งสมเด็จพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลก่อนๆ แล้วก็ไปถวายบังคมลาพระบรมศพ เราต้องทูลลาให้เสร็จในวันนี้ และไม่ใช่พรุ่งนี้ตามที่ได้กะไว้แต่เดิม เพื่อจะรีบไม่ให้ชักช้า เพราะพรุ่งนี้จะได้มีเวลาแล่นรถช้าๆ ให้ราษฎรเห็นหน้ากันโดยทั่วถึง.

เมื่อออกจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณมายังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ผู้คนอะไรช่างมากมายเช่นนั้น เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาถามว่า จะอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาหรือไม่ในขณะที่ไปถวายบังคมพระบรมศพ ตอบเขาว่า “ให้เข้ามาซิ” เพราะเหตุว่าวันอาทิตย์เป็นวันสำหรับประชาชน เป็นวันของเขา จะไปห้ามเสียกระไรได้ และยิ่งกว่านั้นยังเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เราจะจากบ้านเมืองไปด้วย ข้าพเจ้าก็อยากจะแลเห็นราษฎร เพราะกว่าจะได้กลับมาเห็นเช่นนี้ก็คงอีกนานมาก…วันนี้พวกทหารรักษาการณ์กันเต็มที่ เพื่อกันทางไว้ให้รถแล่นได้สะดวก ไม่เหมือนอย่างเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ที่มากันคนช้าเกินไป…

อ่านต่อหน้า 2

พระชะตากำหนด สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระราชทานสัมภาษณ์สื่อถึงรักแรกพบ ดูแล้วยิ้มทั้งน้ำตา

เป็นคลิปที่ดูแล้วต้องยิ้มทั้งน้ำตาจริงๆ กับบทพระราชทานสัมภาษณ์ที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ได้ทรงให้กับ บีบีซี สื่อต่างชาติ ถึงเรื่องราวความรักของพระองค์กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ท่ามกลางความเศร้าโศกของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องสูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ไปอย่างไม่มีวันกลับ ที่เฟสบุ้คของสำนักข่าว บีบีซีไทย-BBC Thai ก็ได้มีการโพสต์คลิปศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติ (ตอนที่ 3) ขึ้นมาบนหน้าเพจ พร้อมทั้งโพสต์ข้อความว่า

เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บีบีซีไทยขอเชิญบันทึกพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่บีบีซีจากสารคดี Soul of a Nation – The Royal Family of Thailand (ศูนย์รวมใจของชาติ – พระราชวงศ์ไทย) ซึ่งเคยออกอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2523 มาเผยแพร่ให้ชมกันอีกครั้ง

สมเด็จพระนางเจ้าฯ

ในตอนที่สามนี้ บีบีซีไทยเชิญทุกท่านรับฟังพระราชดำรัสซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานสัมภาษณ์แก่เดวิด โลแมกซ์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ถึง “รักแรกพบ” ของพระองค์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช #KingBhumibolAdulyadej #SoulOfANation

 

แพรวขอพระราชทานราชานุญาติถอดพระราชดำรัสออกมาเป็นตัวหนังสือตามนี้

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ : มันเป็นความเกลียดแต่แรกพบ ในฝ่ายข้าพเจ้า

เดวิด โลแมกซ์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี : เกลียดแต่แรกพบเช่นนั้นหรือครับ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ : เกลียดแต่แรกพบ เพราะพระองค์ตรัสว่าจะเสด็จมาถึงในเวลาสี่โมงเย็น แต่กลับเสด็จมาถึงในเวลาหนึ่งทุ่ม ทรงปล่อยให้ฉันยืนรออยู่ตรงนั้น และได้แต่ซ้อมถอนสายบัว ซ้อมแล้วซ้อมอีก ดังนั้นจึงเป็นความเกลียดแต่แรกพบ

เดวิด โลแมกซ์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี : หากว่าเป็นความเกลียดแต่แรกพบ แต่เมื่อเป็นการพบกันครั้งที่ 2 ล่ะครับ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ : จากนั้นมันก็คือความรัก เป็นสิ่งธรรมดาๆ ที่คุณเคยได้ยิน รักแรกพบ ฉันไม่รู้ว่าพระองค์ทรงรักฉัน เพราะขณะนั้นฉันมีอายุเพียง 15 ปี และตั้งใจว่าจะเป็นนักเปียโน นักเปียโนคอนเสิร์ต

เดวิด โลแมกซ์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี : หลังจากนั้นพระองค์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ใช่ไหมครับ เกิดอะไรขึ้นครับ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ : พระองค์ประชวรอย่างหนักและพำนักอยู่ในโรงพยาบาล ตำรวจโทรแจ้งพระราชชนนีของพระองค์ และพระราชชนนีเสด็จไปทันที แต่แทนที่จะตรัสทักทายพระราชชนนี พระองค์ทรงหยิบรูปของฉันออกมาจากกระเป๋า โดยที่ฉันไม่ทราบเลยว่าทรงมีรูปของฉันอยู่ และตรัสว่า

‘ช่วยไปตามเธอมา ฉัน…ฉันรักเธอ ช่วยไปตามเธอมา’

ฉันคิดเพียงว่าจะอยู่กับผู้ชายที่ฉันรักเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องหน้าที่และภาระในฐานะพระราชินีเลย

เรื่องราวความรักระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ จึงถือได้ว่าเป็นพระชะตากำหนดอย่างแท้จริง

ขอบคุณคลิป : สำนักข่าว บีบีซีไทย-BBC Thai  เจ้าของคลิป

พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงโพสต์ไอจี ถวายความอาลัย “ตามเสด็จทูลกระหม่อมปู่เป็นวันสุดท้าย”

14 ตุลาคม 2559 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ซึ่งประทับนั่งในรถยนต์พระที่นั่งตามเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย ได้โพสต์ภาพที่พระองค์ทรงฉายขณะอยู่บนรถยนต์พระที่นั่งพร้อมทั้งบรรยายความรู้สึกผ่านทางอินสตาแกรมส่วนพระองค์ว่า

“ตามเสด็จทูลกระหม่อมปู่เป็นวันสุดท้าย และเป็นครั้งสุดท้ายที่ตามหลังรถพระที่นั่งคันแรกแล้วสินะ จำความได้ว่าเราตามเสด็จฯครั้งแรกตอน 9 ขวบ จนถึงวันนี้จบแล้ว หัวใจแตกสลาย”

 

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ในหลวงในดวงใจ

รวมเหตุอัศจรรย์บนฟากฟ้า ห้วงเวลาน้อมอาลัย ในหลวงในดวงใจ เสด็จสู่สวรรคาลัย

ในหลวงในดวงใจ
ในหลวงในดวงใจ

เหตุอัศจรรย์อาจเป็นเรื่องที่คนยุคใหม่คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล งมงาย แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่แล้ว นี่คือเรื่องที่ไม่ไกลพ้นไปจากความเชื่อเราเท่าใดนัก โดยเฉพาะเมื่อเป็นเหตุอัศจรรย์ที่เกี่ยวเนื่องกับคนในราชวงศ์

และนับตั้งแต่ ในหลวงในดวงใจ เสด็จสู่สวรรคาลัยไปเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15.52 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ ห้วงเวลาก่อนหน้าจวบจนค่ำคืนแรกที่คนไทยไม่มีพ่อหลวง เลยไปจนถึงเพลาเคลื่อนพระบรมศพนั้นก็พลันบังเกิดปรากฏการณ์บนฟากฟ้าหลากหลายเหตุการณ์ ซึ่งนับเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนัก แต่หากคิดว่าพระองค์ท่านทรงเป็นสมมติเทพลงมาจุติ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่เกิดขึ้นนี้ก็จะเป็นบทบันทึกของห้วงเวลาอันแสนเศร้าทางประวัติศาสตร์ ที่สามารถเล่าสืบต่อชั่วลูกชั่วหลานได้ตราบนานเท่านาน

อัศจรรย์ท้องฟ้าเปิดเหนือโรงพยาบาลศิริราช

ปรากฏการณ์ท้องฟ้าเปิด หลังวันสูญเสีย ในหลวงในดวงใจ

ไม่ปรากฏที่มาของผู้ถ่ายภาพ แต่ที่แชร์ต่อๆ กันจนมาถึงแพรวนั้น ได้จากเพจ “ดร.ณัชร สยามวาลา Nash Siamwalla, PhD” ซึ่งลงภาพนี้พร้อมโพสต์ข้อความว่า

“ภาพท้องฟ้าเปิดเหนือศิริราชตอนบ่ายแก่ๆ วันที่ ๑๓ ต.ค. ๒๕๕๙ สะกิดให้คิดมุมกลับได้ว่า ป่านนี้บนสวรรค์คงกำลังเฉลิมฉลองต้อนรับการเสด็จฯกลับของพระองค์ท่านอยู่ หลังจากที่ทรงเสียสละจุติจากเทวโลกลงมาอุบัติในมนุษย์โลก เพื่อทรงงานช่วยเหลือดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุขพวกเราอยู่ตั้งนาน

ผู้เขียนเป็นผู้รู้น้อย แต่ขอเดาจากที่เคยได้ยินมาว่า ที่เห็นฟ้าเปิดเป็นแสงสว่างส่องลงมาท่ามกลางความมืดมนนี้ ก็น่าจะเป็นขบวนเทวดา (ที่ตามปกติมีรังสีสว่างมากน้อยตามกำลังบุญ) ลงมากราบบังคมทูลเชิญให้เสด็จฯกลับสวรรค์นั่นเอง

คนไทยเรายุคปัจจุบันมีบุญมากที่ได้เกิดทันแผ่นดินของพระโพธิสัตว์ผู้กำลังสั่งสมพระบารมี เพื่อจะไปเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ถ้ารักและอาลัยพระองค์ท่านก็พึงเจริญทาน ศีล และภาวนาบารมีตามรอยพระบาทกันเถิด

เพราะอย่าลืมว่าเพียงการอธิษฐานว่า ‘ขอเกิดเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป’ นั้นไม่พอ แต่ต้องสร้างเหตุให้เหมาะสมที่จะได้ไปเกิดใต้เบื้องพระยุคลบาทด้วย

เหตุที่ว่านี้คือ ต้องทำทั้งทาน ศีล และภาวนานั่นเอง

Cr.ไม่ปรากฏชื่อผู้ถ่ายภาพ มีผู้ส่งต่อๆ กันมาในไลน์ ท่านใดเป็นผู้ถ่ายภาพนี้ขอให้บอกมาด้วยนะคะ ประสงค์จะให้เครดิตท่านค่ะ”

แพรวเองก็ขอขอบคุณเจ้าของภาพมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

อัศจรรย์หมอกธุมเกตุ

หมอกธุมเกตุ หลังเหตุการณ์สูญเสีย ในหลวงในดวงใจ

หมอกธุมเกตุปกคลุมเหนือท้องฟ้ากรุงเทพฯ

หมอกธุมเกตุปกคลุมเหนือท้องฟ้ายามคำคืน

ภาพชุดปรากฏการณ์หมอกธุมเกตุ

ภาพชุดหมอกปกคลุมเหนือท้องฟ้ากรุงเทพมหานคร ได้มาจากเพจ “คุณ Bigg Sirirojwong” ซึ่งได้ทยอยลงภาพชุดนี้ในเฟซบุ๊กของเขาเมื่อเวลา 02.21 น. ของวันที่ 14 ตุลาคม พร้อมโพสต์ข้อความว่า

คืนวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 วันเสด็จสวรรคตองค์ในหลวงรัชกาลที่ 9 เกิดปรากฏการณ์ ‘หมอกธุมเกตุ’ ซึ่งตำรากล่าวถึงว่า มักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ๆ เกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์สวรรคตของพระเจ้าแผ่นดินมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์

เมื่อครั้งองค์ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ก็มีบันทึกว่าได้เกิดปรากฏการณ์ ‘หมอกธุมเกตุ’ นี้เช่นเดียวกัน ดังข้อความบางส่วนจากพระนิพนธ์ในหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิสกุล ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ เมื่อแผ่นดินสยามร้องไห้ ที่ได้บรรยายไว้ว่า
‘พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูนั่งกันเป็นแถวตลอดสองข้างทาง จะหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้มก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนแต่งดำน้ำตาไหลอย่างตกอกตกใจด้วยไม่เคยรู้รส อากาศมืดคุ้มมีหมอกขาวลงจัดเกือบถึงหัวคนเดินทั่วไป ผู้ใหญ่เขาบอกว่านี่แหละหมอกธุมเกตุ (๑) ที่ในตำราเขากล่าวถึงว่ามักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ๆ เกิดขึ้น’ ”

ปรากฏว่าภาพชุดนี้ถูกแชร์ต่อๆ กันไปเป็นวงกว้างในโลกโซเชียล และคาดว่าน่าจะมีคนติดต่อเข้าไปยังเจ้าของเพจเพื่อขอซื้อภาพเป็นจำนวนมาก แต่น่านับถือเจ้าของเพจมากมายนัก เพราะแทนที่จะเมคมันนี่จากผลงานสุดยอด เขากลับออกมาประกาศผ่านเฟซบุ๊กของเขาว่า

“มีหลายท่านขอไฟล์เต็มเพื่อนำไปอัดภาพของภาพพระบรมมหาราชวัง บางท่านขอซื้อ
ดังนั้นผมจึงขออนุญาตมอบไฟล์เต็มของภาพนี้ รวมถึงภาพชุด ‘หมอกธุมเกตุ’ ที่ถ่ายไว้ให้กับพวกเราคนไทยที่รักในหลวงทุกท่านครับ ท่านสามารถนำไปใช้ใดๆ หรือนำไปอัดภาพใหญ่ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตครับ

ปล. ภาพเป็นไฟล์เต็ม ไม่มีตัวอักษรใดๆ (ยกเว้นภาพพระบรมมหาราชวังที่มีเครดิตชื่อผมใต้ภาพ เนื่องจากผมหาภาพต้นฉบับที่ไม่มีชื่อผมติดมุมภาพไม่เจอครับ)”

สุดยอดเลยค่ะ

อัศจรรย์พระจันทร์ทรงกลด

พระจันทร์ทรงกลด

ภาพนี้มาจากอินสตาแกรมของคุณ @up2youha ซึ่งไม่ได้บอกว่าเป็นคนถ่ายภาพด้วยตนเอง แต่ชอบข้อความที่โพสต์ไว้ถึงในหลวงในดวงใจ จึงขออนุญาตนำมาแบ่งปันไว้ ณ ที่นี้

เป็นสิ่งอัศจรรย์วันสวรรคต
พระจันทร์ทรงกลดลดรัศมี
น้อมส่งดวงวิญญาณองค์ภูมี
สถิตเสถียรที่แดนฟ้าสวรรคาลัย
#ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

อัศจรรย์ฝูงนกบินวนเหนือพระบรมมหาราชวัง

ฝูงนกบินวนเหนือพระบรมมหาราชวัง

ฝูงนกบินวนสร้างความประหลาดใจแก่ประชาชน

สองภาพนี้ตัดมาจากคลิปความยาว 1.55 นาที ที่คุณ Pinny Shiori แชร์ไว้บนเพจเฟซบุ๊กของเธอ โดยมีข้อความประกอบคลิปว่า

“10.59 นาที เกิดปรากฏการณ์ฝูงนกรวมตัวบินวนไปรอบๆ พระบรมมหาราชวังตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ และบินวนทวนเข็มนาฬิกาอีกนับครั้งไม่ถ้วนเหนือพระบรมมหาราชวัง จนบัดนี้ก็ยังบินวนอยู่ สร้างความประหลาดใจแก่ประชาชนที่มานั่งรอ เรากับแม่นั่งมองด้วยความอึ้งมาก ทุกคนในบริเวณนี้ก็เช่นกัน”

หลังจากนั้นเธอโพสต์อีก 1 คลิป พร้อมข้อความ

“ณ เวลาที่ใกล้เคลื่อนพระบรมศพ 12.10 น. ก็เกิดเหตุการณ์ฝูงนกบินมารวมตัวกันอีกครั้ง และมาหยุดเกาะตรงด้านบน ทุกตัวราวกับมาส่งเสด็จ และเกาะอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อนเลย”

ฝูงนกบินมาเกาะด้านบนพระบรมมหาราชวัง

ภาพอัศจรรย์บนฟากฟ้าทุกภาพอาจมีความเห็นต่าง ซึ่งสามารถทำได้ เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ในพื้นที่ลิสต์นี้ ผู้รวบรวมข้อมูลยอมรับว่าเหตุแห่งการรวมมาจากการ “มอง” ตามแบบที่บรรพบุรุษของเรามอง เพราะอย่างน้อยๆ นี่ก็ช่วยเยียวยาความรู้สึกสูญสลายจากการสูญสิ้น ในหลวงในดวงใจ ไป ด้วยเชื่อว่าพระองค์ท่านเสด็จกลับคืนสู่สรวงสวรรค์แล้วนั่นเอง

 

แพรวขอขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพมา ณ ที่นี้

 

 

สะอื้นไห้ระงม บรรยากาศพิธีส่งเสด็จองค์พระปรมินทร์ สู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

สะอื้นไห้ระงม เกินจะบรรยายความสูญเสีย บรรยากาศร่วมพิธีส่งเสด็จองค์พระปรมินทร์ สู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

ตลอดทั้งวันนี้ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ที่พระบรมมหาราชวัง บรรยากาศยังเต็มไปด้วยความปวดร้าวสุดแสนอาลัย ได้แต่ร่ำไห้ เกินจะบรรยายความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เมื่อประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่อาศัยบนแผ่นดินไทยใต้ร่มบรมโพธิสมภารจากทั่วสารทิศ ต่างพร้อมเดินทางเข้ามาร่วมพิธีสรงน้ำพระบรมศพต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในศาลาสหทัยสมาคม

โดยบรรยากาศภายในศาลาสหทัยสมาคมเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ ขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังคอยอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่เข้ามาร่วมพิธีด้วยการจัดระเบียบแถวเข้า – ออก พร้อมตักน้ำสรงพระบรมศพใส่ขันทองขนาดเล็กยื่นส่งให้

อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาการสรงน้ำ บางคนถึงกับต้องให้ญาติมิตรที่มาด้วยจูงประคองออกไปด้านนอก ซึ่งยังคงแน่นขนัดด้วยพสกนิกรที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย โดยมีเจ้าหน้าที่คอยแจกแอมโมเนียให้กับผู้ที่เป็นลมท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว

king27

king26

king17

king09

king28

king08

king23
king16 king15 king12 king10 king11


เรื่อง : Red Apple_แพรวดอทคอม
ภาพ : ทีมช่างภาพอมรินทร์

ภาพหาดูยากของเรือใบฝีพระหัตถ์ลำจริงที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้มาจัดแสดงครั้งแรก!

ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานเรือใบฝีพระหัตถ์ลำจริงให้มาจัดแสดงครั้งแรกใน “นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2559

คงจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านการประดิษฐ์ไม่ว่าจะเป็นงานช่างไม้ ช่างโลหะและช่างกล จนได้รับแต่งตั้งให้เป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทย” และ “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” ซึ่งไฮไลท์ภายในงานนิทรรศการก็คือ เรือใบฝีพระหัตถ์ “เรือใบซูเปอร์มด” และ “เรือเวคา 2” ลำจริง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 หรือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้มาแสดงในงานนี้

super

เรือใบซูเปอร์มด (Super Mod) เป็นเรือใบประเภทม็อธ (International Moth Class) โดยพระองค์ทรงออกแบบให้เรือใบซูเปอร์มดนี้ให้มีการทรงตัวดีที่มีความเร็วมากขึ้น ตัวเรือคงทนแข็งแรง สู้คลื่นลมได้ดีและมีความปลอดภัยสูง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำเรือใบซูเปอร์มดเข้าร่วมแข่งขันกีฬานานาชาติเป็นครั้งแรกในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2510 โดยครั้งหลังสุดใช้ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13 เมื่อ พ.ศ. 2528 ทั้งนี้ พระองค์ทรงพระราชทานพิมพ์เขียวของเรือใบซูเปอร์มดให้แก่สโมสรกรมอู่ทหารเรือ เพื่อใช้สร้างเรือในราคาย่อมเยาจำหน่ายแก่สมาชิก

waha2

เรือเวคา (Vega) 2 เป็นเรือใบประเภทโอเค (International OK Class) พระองค์ทรงพระราชทานชื่อว่า เรือเวคา (Vega) มีความหมายว่า “ดวงดาวที่สุกใส” ใน พ.ศ. 2510 พระองค์และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนฯ ทรงนำเรือเวคา 2 เข้าร่วมแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 และทรงชนะเลิศเหรียญทองร่วมกันทั้งสองพระองค์

นอกจากเรือใบฝีพระหัตถ์ลำจริงที่นำมาแสดงในครั้งนี้แล้ว ภายในนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการแสดงโครงการในพระราชดำริที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ด้วยโครงการชัยพัฒนา และการพัฒนาคนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับโรงเรียนพระดาบส ถือเป็นอีกหนึ่งงานดีๆ ที่หาดูได้ยากยิ่งนัก

เรื่อง : saipiroon_แพรวดอทคอม

ภาพ : นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

“รับ” พระราชดำรัสที่ผูกพัน พระมหากษัตริย์ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก

“เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า ราชอาณาจักรนั้นเปรียบเสมือนพีระมิด มีพระมหากษัตริย์อยู่บนยอด และมีประชาชนอยู่ข้างล่าง แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะตรงกันข้าม นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องปวดคอ และบริเวณไหล่อยู่เสมอ”

ความตอนหนึ่งในบทพระราชทานสัมภาษณ์ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทรงพระราชทานแก่นิตยสาร “เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก” เมื่อปี 2525

ย้อนกลับไปวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 หลังจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลสวรรคตอย่างกะทันหัน ท่ามกลางความทุกข์โศกสลดทั้งแผ่นดิน รัฐสภาได้เปิดประชุมเป็นกรณีเร่งด่วนในช่วงค่ำคืนนั้น พร้อมกับลงมติเห็นชอบตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่

ขณะนั้นหลายฝ่ายต่างวิตกกังวลกันว่าสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์(พระอิสริยศักดิ์ในเวลานั้น) อาจไม่ทรงยินยอม  จนเมื่อเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่  ตลอดถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง  รวมถึงนายกรัฐมนตรีและคณะนายกรัฐมนตรี  ได้เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลว่า สมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงเป็นผู้มีสิทธิในราชบังลังก์นั้น สมเด็จพระราชชนนีจึงได้ตรัสถามพระราชโอรสต่อหน้าที่ประชุมทั้งมวลว่า “รับไหมลูก”

ณ เพลานั้น สมเด็จฯเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชมีรับสั่งสั้นๆ เพียงว่า “รับ”  บรรดาผู้อยู่ในที่ประชุม ณ พระที่นั่งบรมพิมาน  พระบรมมหาราชวัง จึงพร้อมใจกันคุกเข่าลงกราบถวายบังคม…

นับจากวินาทีนั้น  ประวัติศาสตร์ของยุวกษัตริย์พระองค์ที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์  และพระองค์ที่สองแห่งราชสกุล “มหิดล” ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

จากวันนั้นถึงวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ คือ พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งของชาติไทยและของโลก  ทรงเป็นพระราชาผู้ทรงเป็นที่รักและเทิดทูนของพสกนิกรมาอย่างยาวนาน ด้วยทุกคนล้วนประจักษ์ชัดตรงกันว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก จวบจนสวรรคต ณ วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 นับเวลาแห่งการครองราชย์ได้ 70 ปี 4 เดือน 4 วัน

ขอน้อมอาลัยส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้

อยู่ดี กินดี เพราะม่ีในหลวง

ชม 6 ศูนย์ศึกษาฯอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ชี้ชัดใครกันที่ อยู่ดี กินดี เพราะมี ในหลวงรัชกาลที่ 9

อยู่ดี กินดี เพราะม่ีในหลวง
อยู่ดี กินดี เพราะม่ีในหลวง

ในหลวงรัชกาลที่ 9… พ่อหลวง… พ่อของแผ่นดิน… ไม่ว่าใครจะเรียกพระองค์ว่าอย่างไร แต่ในใจคนไทยล้วนหมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระเจ้าแผ่นดินที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก

ตลอด 70 ปี แห่งการครองราชย์ ไม่มีวันใดเลยที่พระองค์จะหยุดทรงงาน เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ได้อยู่ดีกินดี เนื่องในโอกาสมหามงคลทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา แพรว ขอร่วมเทิดพระเกียรติด้วยการนำเสนอหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” 6 ศูนย์ทั่วประเทศ ที่พระองค์ทรงพลิกฟื้นผืนดินเสื่อมโทรมให้กลายเป็นทอง จนเกษตรกรในพื้นที่สามารถปลดหนี้ กู้ศักดิ์ศรีเกษตรกรกลับคืนมาด้วยแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้จนถึงวันนี้

‘ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ จังหวัดจันทบุรี

ในหลวงเกิดขึ้นจากพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงไปประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จังหวัดจันทบุรี พระองค์ได้พระราชทานพระราชดำรัสแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดว่า “ให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมจัดทำโครงการพัฒนาด้านอาชีพการประมงและการเกษตร ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลและจังหวัดจันทบุรี” ต่อมาศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” จึงได้มีขึ้น

ในหลวง
ประจวบ ลีรักษาเกียรติ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน

ประจวบ ลีรักษาเกียรติ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์มาตั้งแต่ปี 2529 ด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จึงทำให้เขาขอย้ายกลับมาที่ศูนย์ ในปี 2556 ทำงานสนองพระราชดำริมาจนถึงปัจจุบัน

มุ่งมั่นสนองงานจากยอดเขาสู่ท้องทะเล

“ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของพระองค์ที่มีพระราชประสงค์ให้พัฒนาการเกษตร ประมง จนปรับประยุกต์ไปในเรื่องของการท่องเที่ยว ทำให้ชาวบ้านในปัจจุบันมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ป่าที่เคยเสื่อมโทรมกลับมาเขียว จนถึงพื้นที่ป่าชายเลนรอบอ่าวคุ้งกระเบนถูกบุกรุกจนน้ำทะเลเข้าพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน สวนผลไม้เสียหาย ด้วยพระอัจฉริยภาพที่พระราชทานแนวทางให้ปรับปรุงพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรมรอบอ่าวคุ้งกระเบนเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนโดยให้ชาวบ้านดูแลและปลูกป่าชายเลนควบคู่กันไป ขณะเดียวกันเกษตรกรที่ได้มาเรียนรู้อบรมที่ศูนย์ก็มีการรวมกลุ่มอาชีพกัน เราพยายามนำกลุ่มทั้งหมดมาจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน เพื่อพัฒนาเกษตรกรให้ยืนอยู่บนขาตัวเองให้ได้

ในหลวง
‘ลุงหลวย’ หรือ ฉลวย จันทแสง เป็นเกษตรกรที่มาฝึกอบรมที่ศูนย์ ตั้งแต่ทำปุ๋ยหมักแล้วสามารถนำไปประยุกต์ โดยน้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้

‘ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ จังหวัดสกลนคร

ในหลวงหากย้อนกลับไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯแปรพระราชฐานมาเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดสกลนครเป็นครั้งแรก ทอดพระเนตรเห็นสภาพพื้นที่แห้งแล้ง ป่าถูกทำลาย ราษฎรยากจน จึงมีพระราชดำริที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องดิน แหล่งน้ำ และป่าไม้ ให้แก่ราษฎร แล้วนับจากปี 2523 เป็นต้นมา พระองค์ท่านเสด็จฯมาประทับที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนครทุกปี บางปีเสด็จถึง 2 ครั้ง จนกระทั่งวันที่ 25 พฤศจิกายน 2525 ทรงเปิดศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน โดยมีพระราชดำรัสว่า

“ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานจะต้องเป็นที่รวบรวมงานด้านต่างๆ ตั้งแต่การพัฒนาด้านการผลิต การซื้อ และการจำหน่าย รวมทั้งงานวิชาการต่างๆ ให้ครบวงจรด้วย นอกจากนี้หากหน่วยงานราชการใดสนใจจะเข้ามาดำเนินการศึกษาในเรื่องต่างๆ ก็ย่อมกระทำได้ถ้ามีวัตถุประสงค์ร่วมในการมุ่งส่งเสริมให้ประโยชน์ต่อราษฎรให้มากที่สุด”

ในหลวง
สุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน

“เป็นแนวทางที่พวกเราที่ทำงานในศูนย์ศึกษายึดถือสืบต่อกันมาถึงวันนี้ครับ” สุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ แม้จะเข้ารับตำแหน่งได้ 3 ปี แต่เมื่อเป็นคนอีสานโดยกำเนิด จึงสานต่อแนวทางพระราชดำริได้โดยไม่ยาก

ภูพานสตรอง แนวทาง 3 D

“ผมยอมรับเลยว่า เริ่มงานเดือนแรกหนักใจมากว่าจะรู้งานในส่วนอื่นได้อย่างไร เพราะผมเป็นข้าราชการกรมชลประทาน แต่ที่ศูนย์ศึกษามีทั้งเรื่องของการเกษตร แหล่งน้ำ สร้างอาชีพ ฯลฯ แต่ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน ทุกคนจึงพร้อมให้ความร่วมมือและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ รวมทั้งผมก็อาศัยค้นคว้าเพิ่มเติม ทำงานอยู่ภายใต้บริบท สร้างน้ำ เพิ่มป่า พัฒนาชีวิตที่พอเพียง ภายใต้หลักการ 3 D คือ 1.ความรู้ดี 2.พันธุ์ดี 3.คนดี

ในหลวง
บังอร ไชยเสนา เธอเคยยากจนต้องเก็บขยะขายเพื่อหาเงินใช้หนี้ ธ.ก.ส. แต่เพียงแค่พลิกวิธีการทำเกษตรตามพระราชดำรัชในหลวง วันนี้กลายเป็นเกษตรกรเงินล้านและเกษตรกรดีเด่นจังหวัดสกลนคร

‘ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ จังหวัดเพชรบุรี

วันที่ 5 เมษายน 2526 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ ทอดพระเนตรเห็นสภาพพื้นที่จึงมีรับสั่งว่า “พื้นที่นี้มีความเสื่อมโทรมเป็นอย่างมากเกิดความแห้งแล้งฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด”

ในหลวง
พ.ต.อ.นพพล ชาติวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย

พ.ต.อ.นพพล ชาติวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย เล่าถึงพระราชดำริที่ทรงก่อตั้งศูนย์ศึกษาว่า “เดิมพื้นที่แห่งนี้มีสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มีสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะกวาง เนื้อทราย ซึ่งเป็นสัตว์ประจำถิ่น ลงมากินน้ำในลำห้วยจำนวนมาก เพราะเป็นที่ดินในเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จึงได้ชื่อว่า ‘ห้วยทราย’ เมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคต ประชาชนได้บุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อทำไร่ มีการใช้สารเคมีจำนวนมาก ภายในเวลาไม่ถึง 40 ปี สภาพพื้นดินจึงกลายเป็นดินเสื่อมโทรม ปลูกพืชไม่ได้”

แก้ปัญหาดินดานด้วยหญ้าแฝก

“เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นดินเสื่อมโทรม ดินร่วนปนทราย เมื่อขาดธาตุอาหาร ความชื้น และอากาศที่เหมาะสม ทำให้จับตัวกันแน่นแข็งที่เรียกว่า ‘ดินดาน’ ไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ จึงมีพระราชดำริให้ทดลองใช้หญ้าแฝกแก้ปัญหา จนปัจจุบันสามารถเพาะปลูกพืชได้แล้ว พระองค์ท่านทรงติดตามงานตลอดเวลา และมีพระราชดำรัสชื่นชมเมื่อปี 2540 ความตอนหนึ่งว่า “สิ่งที่ทำไว้ที่ห้วยทรายนับว่าประสบความสำเร็จดีมาก ต้องบันทึกไว้เป็นทฤษฎีหรือตำรา ฉันปลื้มใจมาก…” พระราชดำรัสดังกล่าวจึงเป็นขวัญและกำลังใจให้คณะทำงานของศูนย์อย่างหาที่สุดมิได้

ในหลวง
สำรอง แตงพลับ หรือลุงสำรอง เกษตรตัวอย่างของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย สามารถลืมตาอ้าปากได้ เพราะแนวทางการทำเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริ

‘ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ จังหวัดเชียงใหม่

ในหลวงจากป่าเสื่อมโทรม-ดินหินกรวดแห้งแล้งจึงก่อกำเนิดศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ผู้อำนวยการคนที่ 4 ของศูนย์ศึกษา สุรัช ธนูศิลป์ เล่าว่า “ย้อนไปปี 2525 ขณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง พระองค์ท่านเสด็จฯไปทอดพระเนตรอ่างเก็บน้ำของหมู่บ้าน ปัจจุบันคือ ‘อ่างห้วยฮ่องไคร้ 7’ ความจุประมาณ 2 ล้านลิตร

“พระองค์ท่านทรงวิเคราะห์ดินว่า เป็นหินกรวดแห้งแล้ง เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า มีไฟป่า ฝนตกมาคราใดก็ชะล้างหน้าดิน จนเหลือแต่หินกรวด ทั้งที่อยู่ห่างตัวเมืองแค่ 30 กิโลเมตร แต่ไม่มีใครบุกรุกที่ดินผืนนี้ เพราะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ พระองค์ท่านทรงนึกในพระราชหฤทัยว่า ‘ถ้าได้พื้นที่แห่งนี้มาจะทำให้คนอื่นอิจฉาภายใน 5 ปี’ ผอ.สุรัชเล่าพร้อมกับจ้องตาเรา นัยว่าเพื่อยืนยันเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกไว้

ในหลวง
สุรัช ธนูศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้

“ด้วยพระอัจฉริยภาพเรื่องการชลประทาน ได้มีพระราชดำริให้กรมชลประทานสร้างแหล่งกักเก็บน้ำ เพื่อหาน้ำให้พื้นที่ในศูนย์ทำกิจกรรมต่างๆ โดยทรงแนะนำให้ใช้หลักแรงโน้มถ่วง ผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่ลายซึ่งอยู่สูงกว่า ไหลลงมาที่ห้วยฮ่องไคร้ เลือกผันน้ำเฉพาะช่วงฝนตกเยอะ ปริมาณน้ำล้นเกิน หรือช่วงเกษตรกรแม่ลายไม่ได้ใช้น้ำพร้อมกับสร้างฝายต้นน้ำลำธารกักความชื้น

“พอเริ่มมีน้ำจึงพระราชทานคำแนะนำให้ขุดคูน้ำจากฝาย กระจายออกเป็นก้างปลา และปลูกป่าตามแนวคูน้ำ ด้วยวิธีที่ทรงแนะนำทำให้พื้นที่ป่าเต็งรังแห้งแล้งเริ่มมีสภาพเปลี่ยนเป็นป่าเบญจพรรณ มีไม้ผลัดใบมากขึ้น เพราะดินมีความชื้น ระบบนิเวศป่าไม้เปลี่ยนไป ความหนาแน่นต้นไม้เพิ่มขึ้นจาก 100 ต้นต่อไร่เป็น 400 ต้นต่อไร่ จากพันธุ์พืช 50 กว่าชนิดเพิ่มเป็น 200 กว่าชนิด นี่คือผลสำเร็จของการฟื้นฟูป่า และทรงมีกุศโลบายให้ ‘ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง’ คือ ปลูกไม้ผลกินได้ ไม้เศรษฐกิจสำหรับสร้างบ้านเรือน ได้ไม้เชื้อเพลิงสำหรับทำฟืน ประโยชน์คือ กินได้ ใช้สอยได้ และเมื่อคนเข้าใจว่าป่าเป็นเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีของกินของใช้ เขาก็จะไม่ทำลายป่า รักษาความชุ่มชื้นไว้ในดิน เกิดการอนุรักษ์ดินและน้ำ กลายเป็นประโยชน์ประการที่สามและสี่ตามมา”

ในหลวง
อุ่นเรือน เกิดสุข เกษตรกรต้นแบบของศูนย์ศึกษา ที่น้อมนำแนวพระราชดำริจนสามารถสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้

‘ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ จังหวัดนราธิวาส

ไม่ว่าดินแดนนั้นจะอยู่แสนไกลสุดปลายด้ามขวานไทย ก็ไม่ไกลเกินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินถึง แล้วเมื่อพระองค์ท่านทอดพระเนตรความทุกข์ยากของชาวบ้านที่จังหวัดนราธิวาส ที่เดือดร้อนเรื่องพื้นที่ทำกิน จึงมีพระราชดำริให้ตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองขึ้น

ในหลวง
สายหยุด เพ็ชรสุข ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง

“ชีวิตราชการดิฉันเริ่มต้นที่นี่” ผู้อำนวยการ สายหยุด เพ็ชรสุข เริ่มต้น ใครจะคิดว่าเมืองนราธิวาส พื้นที่ชายแดนใต้ที่มีสถานการณ์ไม่สงบ ผู้อำนวยการศูนย์ที่ต้องคลุกคลีกับชาวบ้านทั้งสองศาสนาจะเป็นผู้หญิง เป็นเพราะพระบารมีที่ทำให้เธอรับราชการมาได้ยาวนานถึง 24 ปี

พลิกพื้นดินเปรี้ยวสู่แผ่นดินทอง

“หลังจากที่พระองค์ท่านเสด็จฯมาที่ภาคใต้เมื่อปี 2502 อย่างต่อเนื่อง เยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ พบปัญหาในที่ดินทำกิน บางคนถวายฎีการ้องเรียนเรื่องที่ดินทำกิน เพราะจากสภาพพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่พรุที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือพรุบาเจาะ และพรุโต๊ะแดง ปัญหาคือดินเปรี้ยวจัด ชาวบ้านไม่สามารถทำการเกษตรได้ พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ศึกษาและค้นคว้าวิจัยหารูปแบบในการพัฒนาพื้นที่พรุให้ชาวบ้านสามารถใช้เป็นพื้นที่ทำกินได้

ในระยะแรกมีพระราชดำริในเรื่องจัดการระบบชลประทาน และแก้ปัญหาเรื่องดินเปรี้ยวจัด ซึ่งพระราชทานแนวทางเรื่องโครงการแกล้งดิน รวมทั้งหาอาชีพเสริมให้ชาวบ้าน จะได้มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยมีพระราชดำริให้ทำงานแบบบูรณาการ ทั้งเรื่องดิน น้ำ ป่าไม้ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องโรคเท้าช้าง จึงให้กระทรวงสาธารณสุขเข้ามาดูแล รวมทั้งในพื้นที่พรุมีหญ้ากระจูด ชาวบ้านนำมาสานเสื่อและเครื่องใช้ต่างๆ มีพระราชดำริให้กระทรวงอุตสาหกรรมมาส่งเสริมอาชีพให้ชาวบ้าน”

ในหลวง
จิรปรียา ประพันธ์วงศ์ ครอบครัวเธออาศัยอยู่ใกล้กับศูนย์ศึกษามานาน เธอเดินเข้ามาศึกษาการเพาะเห็ดที่ศูนย์ศึกษาชีวิตก็เปลี่ยน จากที่เคยปลูกแม้แต่หญ้ายังไม่ขึ้น ทุกวันนี้เป็นเจ้าของที่ดิน 11 ไร่ ทำเกษตรผสมสานตามแนวพระราชดำริ

‘ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ จังหวัดฉะเชิงเทรา

ในหลวงที่นี่คือปฐมบทของศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริของประเทศไทยดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล่าประวัติพระราชทานแก่ประธานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 26 สิงหาคม 2531 ว่า

“…ประวัติมีว่า ตอนแรกมีที่ดิน 264 ไร่ ที่ผู้ใหญ่บ้านให้เพื่อสร้างตำหนักในปี 2522 ที่เชิงเขาหินซ้อนใกล้วัดเขาหินซ้อน ตอนแรกก็ต้องค้นคว้าว่า ที่ตรงนั้นคือตรงไหน ก็พยายามสืบถามก็ได้พบบนแผนที่พอดี อยู่มุมบนของระวางของแผนที่ จึงต้องต่อแผนที่ 4 ระวางสำหรับให้ได้ทราบว่าสถานที่ตรงนั้นอยู่ตรงไหน ก็เลยถามผู้ที่ให้ที่นั้นนะ ถ้าหากไม่สร้างตำหนักแต่ว่าสร้างเป็นสถานที่ที่จะศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรจะเอาไหม เขาบอกยินดี ก็เลยเริ่มทำในที่นั้น…”

เกษตรรู้จริง จึงสำเร็จ

ในหลวง
อนุวัชร โพธินาม ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน

นับจากวันนั้นศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนได้เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้รับสนองงานในวันนี้คือ อนุวัชร โพธินาม ในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ศึกษา กล่าวว่า

“การที่เกษตรกรจะทำสำเร็จได้นั้นไม่ใช่แค่มีองค์ความรู้ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ มากมายที่เกษตรกรต้องเรียนรู้ เพราะแต่ละพื้นที่มีปัจจัยแตกต่างกัน การสร้างศูนย์เรียนรู้ที่สำเร็จขึ้นมาเป็นต้นแบบให้เกษตรกร ทำให้เขาเห็นว่าสามารถทำได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่การเล่าจากปากต่อปาก และการที่เกษตรกรจะทำสำเร็จได้นั้นไม่ใช่ทำแค่คนเดียว แต่ชุมชนต้องเข้มแข็งอย่างยั่งยืน เกษตรกรพึ่งตัวเองได้อย่างยั่งยืนจริงๆ”

ในหลวง
ปราณี สังอ่อนดี ชาวฉะเชิงเทราที่เคยทิ้งความยากจนไปเป็นสาวออฟฟิศอยู่กรุงเทพฯ หวนคืนกลับมาพัฒนาพื้นดินที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้โดยมีคาถาประจำตัวคือ ‘ตั้งใจ’ และ ‘มีความเพียร’

 

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับที่ 833 ปักษ์วันที่ 10 มิถุนายน 2559

ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับ 9 พระอัจฉริยภาพ แห่งแรงบันดาลใจ

ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ประชาชนชาวไทยได้ประจักษ์ถึง พระอัจฉริยภาพหลากหลายด้านของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ นิตยสาร แพรว ได้รับเกียรติจากแขกรับเชิญ 9 ท่านที่เป็นตัวแทนบอกเล่าพระอัจฉริยภาพ 9 ด้านของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนชีวิตและความคิดให้แก่บุคคลเหล่านี้ รวมถึงคนไทยทุกคน

พระอัจฉริยภาพด้านศาสนา

พระพรหมบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยเจ้าคณะภาค 2 เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารกรรมการมหาเถรสมาคม

1-1“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

พระปฐมบรมราชโองการในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 คือแสงทองแรกของแผ่นดินนี้ โดยพระราชาที่พระพรหมบัณฑิตกล่าวว่าทรงเป็นต้นแบบที่หาได้ยากยิ่ง

“บุคคลที่เป็นอัจฉริยะคือ ผู้ที่สามารถบูรณาการความรู้ต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ สามารถนำสิ่งที่ตรงกันข้าม เช่น นำวิทยาศาสตร์มาเชื่อมโยงกับศาสนาได้อย่างกลมกลืน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหาใครเป็นแบบนั้น แต่บุคคลหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

“สิ่งหนึ่งที่อาตมาประทับใจในพระอัจฉริยภาพของพระองค์คือ พระราชนิพนธ์ที่เกี่ยวกับศาสนาเช่น พระมหาชนก ซึ่งแสดงถึงความเข้าใจในศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทั้งที่ต้นฉบับเป็นภาษาสันสกฤตและมีขนาดยาว แต่ทรงแปลและทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ด้วยความไพเราะทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังทรงเสนอมุมมองใหม่ ๆ อันรวมถึงพระบรมราโชวาทที่ทรงนำธรรมะไปปรับใช้แล้วพระราชทานแก่ประชาชนอย่างแนบเนียนและกลมกลืน

“แม้แต่การปกครองของพระองค์ก็สะท้อนอยู่ในทศพิศราชธรรม ดังพระปฐมบรมราชโองการ ‘เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม’ และตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่ทรงครองราชย์ ทรงแสดงให้ทุกคนประจักษ์ชัดแล้วว่า พระราชจริยวัตรของพระองค์ทรงอยู่ในธรรม ไม่เคยคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย

“หากยกตัวอย่างทศพิศราชธรรมข้อแรกคือ ทาน ถ้าเราทำบุญก็เป็นทานส่วนตน แต่ทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งประเทศ อันเป็นที่มาของโครงการตามแนวพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ นี่คือเหตุผลว่าในรัชกาลปัจจุบัน ถ้าประชาชนคิดถึงในหลวง ต้องทำความดีถวายเป็นพระราชกุศล ตั้งแต่การบวช ปลูกป่า รักษาสิ่งแวดล้อม จะมีใครในโลกที่สามารถทำให้คนอยากทำความดีได้พร้อมเพรียงกันขนาดนี้

“ทรงเป็นต้นแบบที่มีพลานุภาพ และทรงเป็นผู้นำที่อยู่ในใจของผู้คนอย่างแท้จริง”

พระอัจฉริยภาพด้านเศรษฐศาสตร์

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา

2-1

แม้จะเกษียณมา 17 ปีแล้ว แต่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุลยังคงถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่สุด

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นผู้ให้และนึกถึงผู้อื่นตลอดเวลา ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ผมเรียนมาจะลงทุนอะไรต้องยึดหลักผลตอบแทนว่า ทำแล้วได้กำไรหรือเปล่า แต่ในสายพระเนตรของพระองค์ท่าน หลายสิ่งตีค่าเป็นเงินไม่ได้ พระองค์ท่านเคยตรัสกับผมว่า ถ้าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราตีราคาไม่ได้หรอก คนไม่ใช่วัตถุช่วยได้เท่าไหร่ก็ต้องช่วย เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์พระราชดำรัสนี้สวนทางกับกระแสสังคมในปัจจุบันที่นิยมเงินและวัตถุ กอบโกยทุกอย่างจากประเทศชาติโดยลืมไปว่าตัวเองก็ยืนอยู่บนผืนดินนั้นด้วย และที่สำคัญคือ ลืมไปว่าลูกหลานที่รับช่วงต่อเขาจะอยู่กันอย่างไร

“ในปีที่เริ่มเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2539 พระองค์ท่านทรงสอนหลักเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญคือ เศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเกิดการถกเถียงกันเยอะ นักวิชาการบางคนสรุปไปว่าเศรษฐกิจพอเพียงเหมาะสำหรับคนยากจน แต่ที่จริงแล้วเหมาะสำหรับคนทั้งโลก โดยยึดหลักของความพอประมาณใช้ให้พอดีกับความต้องการของตัวเอง คำว่าพอเพียง ไม่ได้หมายถึงต้องนุ่งผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง พระองค์ท่านตรัสว่าขับรถเบนซ์ก็ได้ ดูทีวีจอโต ๆ ก็ได้ แต่ต้องไม่กู้เงินใครเขามา มีเงินแค่ไหนก็ควรกินอยู่แค่นั้น

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รับสั่งกับผมตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปถวายงานว่า ‘ไม่มีอะไรจะให้นะ นอกจากความสุขที่ได้ร่วมกันทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น’ ประโยคนี้กลายเป็นกุญแจสำคัญในชีวิต แม้มีเงินร่ำรวย แต่ต้องนอนอยู่ในไอซียูจะมีความสุขอะไร ต่างจากการที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่กลับมอบความสุขใจ

“ผมจึงภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็น 1 ใน 65 ล้านคนที่มีโอกาสถวายงานพระองค์ท่านครับ”

พระอัจฉริยภาพด้านการศึกษา

ท่านผู้หญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตรลดา

3ท่านผู้หญิงทำงานที่โรงเรียนจิตรลดามานานเกือบ 6 ทศวรรษแล้วและท่านยังคงยึดมั่นในพระบรมราโชบายด้านการศึกษาที่ได้พระราชทานไว้เป็นแนวทางตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียน

“ดิฉันภาคภูมิใจที่ได้เคยถวายพระอักษรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่โรงเรียนจิตรลดา ซึ่งก่อตั้งมาครบ 60 ปี แล้ว โดยมีท่านผู้หญิง ดร.ทัศนีย์ บุณยคุปต์ เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งโรงเรียนจิตรลดาเริ่มมีชั้นอนุบาลที่พระที่นั่งอัมพรสถาน ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯทรงเป็นนักเรียนจิตรลดาพระองค์แรก ต่อมาใน พ.ศ. 2500 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเข้าศึกษาในชั้นอนุบาล ท่านผู้หญิงทัศนีย์ได้เรียกให้ดิฉันเข้ามาช่วยถวายการสอนและเป็นครูประจำชั้น

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระราชวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลและละเอียดอ่อนทางด้านการศึกษา พระองค์ทรงวางรากฐานเริ่มแรกว่า เด็กเพิ่งมาจากบ้าน อย่าบังคับ ครูควรทำให้เด็กรู้สึกว่าที่โรงเรียนเหมือนบ้านหลังที่สอง และดูแลเขาอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งหัดให้เด็กดูแลตัวเองได้รู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่นและรู้จักระเบียบวินัย ถ้าหัดได้อย่างดี เด็กก็จะจำและนำไปใช้จนเป็นผู้ใหญ่ และจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป นักเรียนในชั้นสูงขึ้น ทรงเน้นว่าไม่ควรเรียนเฉพาะในหนังสือ แต่ควรมีความรู้รอบตัวด้วย พระองค์ท่านจะเสด็จฯมาทอดพระเนตรการสอน การตรวจสมุดแบบฝึกหัดของครู พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราโชบายและพระราชดำริอย่างใกล้ชิด

“พระองค์มีพระราชประสงค์ให้พระราชโอรส พระราชธิดาได้เข้าพระทัยสภาพแวดล้อมภายนอกและปัญหาของผู้อื่น ฉะนั้นเด็กที่เข้ามาเรียนร่วมในชั้นเดียวกันจะมีหลายสถานภาพ ในชั้นเรียนของทูลกระหม่อมหญิงมีพระสหายร่วมชั้นเรียน ซึ่งมาจากครอบครัวต่างสถานภาพ และในชั้นเรียนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯก็เช่นเดียวกันทรงมีพระบรมราโชบายไม่ให้ครูถวายสิทธิพิเศษแด่พระราชโอรสพระราชธิดา เพื่อจะได้ทรงวางพระองค์อย่างถูกต้อง มีระเบียบวินัยและมีความรับผิดชอบ

“พระราชวิสัยทัศน์อีกประการหนึ่งคือ มีรับสั่งอยู่เสมอว่า คนเรามีความรู้ความสามารถไม่เหมือนกัน ฉะนั้นต้องดูความถนัดของแต่ละบุคคลหาสิ่งที่เขาถนัดมาให้ศึกษา ทั้งที่ตอนนั้นเมื่อหกสิบปีที่แล้ว กระทรวงศึกษาธิการยังไม่ได้เน้นเรื่องเหล่านี้ ทรงทอดพระเนตรผลการศึกษาแต่ละวิชาของนักเรียนจิตรลดาด้วยพระองค์เองเสมอ และต่อมาในปี 2526 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เป็นองค์บริหารโรงเรียนจิตรลดา

“ทุกวันนี้โรงเรียนจิตรลดายังคงยึดมั่นในพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสมอมา ปัจจุบันความรู้ก้าวหน้าไปอย่างมาก แต่ก็ต้องใช้ความรู้ให้เป็น

“ถ้าใช้ถูกต้องจะเป็นคุณมหาศาลในการดำรงชีวิต เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมและประเทศชาติอย่างยิ่ง”

พระอัจฉริยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุข

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อรุณ เผ่าสวัสดิ์ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช

4พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีความห่วงใยเอื้ออาทรต่อทุกข์สุขของพสกนิกร โดยเฉพาะในด้านสุขภาพอนามัย ดังที่มีรับสั่งว่า “…ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติก็คือ พลเมืองนั่นเอง…”

“ตามที่ผมสังเกต แม้พระองค์ท่านจะมีพระราชภารกิจมากมายในทุกด้าน แต่เรื่องการแพทย์และสาธารณสุขนั้นทรงมีความห่วงใยในสุขอนามัย ความเป็นอยู่ของประชาชนเสมอ เมื่อก่อนเวลาเสด็จฯที่ไหนที่ยังไม่มีหน่วยแพทย์ก็พระราชทานยา พอมีหน่วยแพทย์เข้าไปแล้วก็เสด็จฯเข้าไปเยี่ยมเยียน ทรงมีความรู้ทางสาธารณสุขพอสมควร เวลาเสด็จฯไปที่สถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลบางแห่ง ก็จะทรงทราบว่าที่นั้นมีจุดไหนที่ต้องช่วยเหลืออะไรบ้าง แม้กระทั่งตอนที่ผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราชต้องถวายงาน วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จฯมา มีรับสั่งถามว่า ‘จะเลี้ยงยุงเหรอ เอาน้ำมาขังไว้ทำไม’ คือทอดพระเนตรสังเกตเห็นหลุมบ่อมีน้ำขังบริเวณรั้วด้านหน้าหรือหลังตึก ซึ่งเราไม่ได้เดินเข้าไปดูแต่ทรงใส่พระทัยมาก เพราะยุงไม่ได้อยู่แค่ในรั้วโรงพยาบาล แต่บินข้ามไปฝั่งอื่นได้

“แน่นอนว่า เมื่อตอนที่พระองค์ท่านยังเสด็จออกทรงงานและเยี่ยมประชาชน ไม่ว่าจะเป็นท้องไร่ท้องนากันดารแค่ไหน ก็เสด็จลงแล้วเราจะไม่ตามอย่างเชียวหรือ เมื่อตอนผมหนุ่ม ๆ ผมจึงออกไปตามหัวเมืองปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือด้านการแพทย์ คือศิริราชจะเปิดช่วงงานไว้ว่าปีหนึ่งจะต้องส่งหมอออกไปช่วยในถิ่นทุรกันดาร อย่างผมเลือกไปอุดรธานีติดต่อกันหลายปี ไปครั้งละประมาณหนึ่งเดือน

“พระองค์ท่านมีพระเมตตาต่อคนทุกคน ทรงเห็นเหมือนกับเป็นญาติ ไม่ทรงรังเกียจอะไรเลย และไม่ทรงเคยโยนความรับผิดชอบสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทราบอยู่แล้วไปให้ผู้อื่น เมื่อทรงริเริ่มอะไรไว้แล้วจะทรงติดตามความคืบหน้าอยู่เสมอ

“สำหรับผม ไม่มีคำสอนจากพระองค์เป็นการส่วนตัว แต่ตัวอย่างทุก ๆ เรื่องจากที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติอยู่ ผมจดจำมายึดเป็นแนวทางปฏิบัติทั้งหมด”

พระอัจฉริยภาพด้านกีฬา

พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ นายกสมาคมกีฬาแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

5-1ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้ตรัสถึงความสำคัญของกีฬาไว้ว่า “กีฬานั้น…ช่วยกล่อมเกลาให้เด็กมีจิตใจอดทน กล้าหาญ รู้แพ้รู้ชนะ…เป็นผลสืบเนื่องไปถึงการเป็นพลเมืองของชาติ…”

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โปรดทรงกีฬาเรือใบอย่างมาก สิ่งที่เป็นประจักษ์แก่สายตาประชาชนชาวไทยและคนทั่วโลกคือ นอกจากจะทรงเรือใบได้เก่งแล้ว ยังทรงสามารถคิดค้น ออกแบบและต่อเรือใบด้วยพระองค์เองหลายลำ ลำแรกที่ทรงต่อเองคือเรือใบประเภทเอนเตอร์ไพร้ส์ ลำที่สองคือเรือใบประเภทโอเค โดยพระราชทานนามว่า ‘นวฤกษ์’ ทรงนำเรือใบชนิดนี้เข้าแข่งขันกีฬาแหลมทองและคว้ารางวัลชนะเลิศ ซึ่งพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและองค์เดียวที่ลงแข่งขันในทวีปเอเชีย นอกจากนี้ยังทรงออกแบบเรือใบมดที่ดัดแปลงจากเรือใบประเภทม็อธ ให้มีขนาดเล็กลงเหมาะสมกับรูปร่างคนไทย

“เหตุการณ์ที่ผมยังรู้สึกประทับใจจนถึงวันนี้คือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเรือใบประเภทโอเค ที่ทรงต่อด้วยฝีพระหัตถ์ชื่อ ‘เวคา’ ข้ามจากวังไกลกังวลมายังสัตหีบพระองค์ท่านทรงเรือใบด้วยพระองค์เองเพียงลำพัง เป็นระยะทาง 60 ไมล์ทะเล ใช้เวลากว่า 17 ชั่วโมง มีเพียงแซนด์วิชและน้ำชาจีนเป็นเสบียงตลอดทั้งวัน พระองค์ท่านเป็นพระมหา-กษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่มีพระปรีชาสามารถในการทรงเรือใบทางไกลยอดเยี่ยม ในแบบที่ไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเคยทำมาก่อน

“ในฐานะที่ผมเป็นนายกสมาคมกีฬาแข่งเรือใบฯ พระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านจึงเป็นทั้งแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตและการทำงาน ตัวผมเองเคยมีโอกาสแล่นเรือใบมาบ้าง ปรัชญาที่แฝงไว้ในกีฬาชนิดนี้คือ การดำเนินชีวิตไม่ต่างอะไรกับการนำเรือไปสู่จุดหมาย บางครั้งอาจต้องเจอกับความทุกข์ยากเปรียบเสมือนการเผชิญคลื่นลมและอากาศแปรปรวนผู้เล่นเรือใบต้องมีสติ สามารถนำชีวิตและเรือไปให้ถึงปลายทาง

“เหมือนดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงแสดงให้เห็นในการแล่นเรือใบหลายต่อหลายครั้งครับ”

พระอัจฉริยภาพด้านจิตรกรรม

ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี จิตรกร

6 จิตรกรอิสระผู้สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์จนเป็นที่ยอมรับและเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่เยาวชนรุ่นหลังมากว่า 20 ปี ส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในการทำงานมาจากภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

“สมัยเด็กผมเห็นภาพวาดฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แล้วไม่ค่อยเข้าใจ กระทั่งเมื่อได้เรียนศิลปะ จึงเข้าใจว่า ศิลปะไม่ใช่งานที่เหมือนจริงเท่านั้น แต่เป็นงานที่แสดงออกถึงความคิด อารมณ์ความรู้สึก ผลงานภาพฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หัวมีครบถ้วนทุกอย่างทรงพระอัจฉริยภาพด้านจิตรกรรมอย่างแท้จริง

“พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเริ่มวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน จากนั้นก็เริ่มสะสมทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะเป็นพระบรมรูปหล่อจำลอง พระบรมรูปปั้นภาพพิมพ์ พระบรมฉายาลักษณ์ในอดีต เหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราต้องเคารพกราบไหว้ เป็นศรีแก่ตัวเอง

“นอกจากนี้ผมยังได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

“ ‘ทุกคนต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเอง’

“หน้าที่ของศิลปินหรือคนเขียนรูปคือ การเขียนรูปออกมาให้ดีที่สุด รับผิดชอบงาน และต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ซึ่งเป็นหัวใจของการทำงานศิลปะ พอยิ่งอายุมากขึ้น เรายิ่งต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเอง เพราะเมื่อประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง มีรุ่นน้องมาชื่นชมว่าเราเป็นต้นแบบเป็นตัวอย่าง ฉะนั้นเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขา

“ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ต่องานของตัวเองแล้ว งานที่ออกมาไม่ซื่อสัตย์สำหรับผมก็คืองานปลอม ซึ่งไม่มีค่าอะไรเลย”

พระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพ

นิติกร กรัยวิเชียร นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

7“การถ่ายภาพเป็นงานศิลปะ เป็นของดีมีประโยชน์ ขออย่าให้ถ่ายภาพกันเพื่อความสนุกสนาน หรือความสวยงามเท่านั้น จงใช้ภาพให้เกิดคุณค่าแก่สังคม ให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม งานศิลปะจะได้ช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อีกแรงหนึ่ง”

“พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ได้พระราชทานให้คณะกรรมการสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์รุ่นบุกเบิกเมื่อหลายสิบปีก่อนนี้ สะท้อนให้เห็นว่าทรงให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพมาก และมีพระราชประสงค์ให้นักถ่ายภาพทุกคนตระหนักอยู่เสมอในการนำภาพถ่ายไปสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมส่วนรวม

“แม้ว่าผมจะเกิดไม่ทันช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเริ่มสนพระราชหฤทัยทางด้านการถ่ายภาพ แต่เรื่องราวและภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ท่านจำนวนมากก็ได้รับการเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ทำให้เราสามารถศึกษาและมองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงที่ยังทรงพระเยาว์ขณะประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่าโปรดการถ่ายภาพตั้งแต่ได้รับพระราชทานกล้องถ่ายภาพกล้องแรกจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเมื่อมีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา โดยระยะแรกทรงฉายภาพบุคคลใกล้ชิด รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่ทอดพระเนตรเห็นในแต่ละวัน จากนั้นทรงทดลองฉายภาพที่มีมุมมองด้านศิลปะ และทรงมีเทคนิคการถ่ายภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น

“จนกระทั่งช่วงที่ทรงได้พบกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ก็ได้ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ขณะที่ทรงเป็นพระคู่หมั้นที่งดงามออกมาเป็นจำนวนมาก หลังจากพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมราชินีนาถและพระฉายาลักษณ์พระราชโอรสและพระราชธิดาทุกพระองค์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนแต่เป็นภาพที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ จนเวลาผ่านไปพระราชกรณียกิจในการดูแลทุกข์สุขของประชาชนมากขึ้นตามลำดับภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในช่วงนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนไปเน้นเป็นภาพที่ทรงฉายขณะที่ทรงงานในพื้นที่ อันเป็นการบันทึกภาพสำหรับทรงใช้เป็นข้อมูลเพื่อให้การทรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อความสุขของอาณาประชาราษฎร์อย่างแท้จริง นับเป็นแบบอย่างที่ประเสริฐที่สุดแก่นักถ่ายภาพทุกคน

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ยังทรงพระมหากรุณาธิคุณกับวงการถ่ายภาพของประเทศไทยเป็นอเนกประการ โดยได้ทรงรับสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ตั้งแต่ปี 2504ทั้งยังได้พระราชทานถ้วยรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายของสมาคมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

“ยิ่งไปกว่านั้น ยังทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยตัดสินรางวัลชนะเลิศจากภาพที่เข้ารอบสุดท้ายด้วยพระองค์เองอีกด้วยนอกจากจะทรงตัดสินภาพแล้ว ในบางครั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชเลขาธิการอัญเชิญพระราชดำรัสว่าภาพที่ได้รับรางวัลนั้นหากปรับปรุงบางส่วนตามที่ทรงแนะนำ ก็จะทำให้ภาพนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก ยังความปลาบปลื้มแก่เจ้าของภาพและบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างหาที่สุดมิได้

“ส่วนตัวผมเองก็ได้ทำงานบริการสังคมในการบริหารงานสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และงานถ่ายภาพบุคคลสำคัญของชาติ ตามความถนัดของตนเอง เพื่อเป็นอีกแรงหนึ่งในการช่วยบันทึกประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเราด้วยภาพถ่าย

“แม้จะเป็นเพียงส่วนน้อยนิด แต่ก็มีความภาคภูมิใจที่ได้น้อมนำพระบรมราโชวาทที่อัญเชิญมาในตอนต้นมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้”

พระอัจฉริยภาพด้านการพัฒนาชนบท

พิมพรรณ ดิศกุล อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

8เมื่อ “สมเด็จย่า” เสด็จฯมาที่ดอยตุง เมื่อ พ.ศ. 2530 มีรับสั่งว่า“ตกลงฉันจะสร้างบ้านที่นี่ แต่ถ้าไม่มีโครงการดอยตุง ฉันก็ไม่มา”

“สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงศึกษาโครงการตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สามแห่ง เพื่อนำมาปรับใช้ที่ดอยตุง พระองค์ท่านเสด็จฯไปยังศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องการปลูกป่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสร็จไปศูนย์พัฒนาโครงการหลวงอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดูเรื่องการปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด และ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ราชเลขานุการในพระองค์ (ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์) ไปที่โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เพื่อดูงานการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร จะบอกว่าโครงการพัฒนาดอยตุงเป็นโครงการที่แม่เรียนจากลูกก็ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งลูกก็เรียนมาจากแม่เช่นกัน

“จึงเรียกได้ว่าโครงการพัฒนาดอยตุง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการหลักของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินการตามทั้งวิธีคิดและวิธีการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จย่า คือ เอาคนเป็นตัวตั้ง เข้าใจเข้าถึงข้อมูลจริง และรู้ถึงข้อมูลทางภูมิสังคม แปลว่าไม่ใช่แค่ข้อมูลทางกายภาพ แต่ต้องรู้ถึงข้อมูลเชิงวัฒนธรรม ความคิดความรู้สึก ความเชื่อ เป็นข้อมูลทางสังคมที่จับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องสำคัญภาพที่ประทับบนพื้นดิน กางแผนที่ฟังชาวบ้านทูลรายงาน เป็นภาพที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนทำงานตามรอยพระองค์ท่าน คือ ออกไปฟังเสียงประชาชนจริง ไปเรียนรู้จากปัญหาของชุมชนจริง และพยายามทำงานตามข้อมูลจริง เพื่อที่จะได้ตอบโจทย์ได้จริงและตรงจุด

“ความสำเร็จจากการพัฒนาตามพระราชปณิธานและแนวพระราชดำริของทั้งสองพระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว จากบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำที่เดิมเป็นทุ่งฝิ่น มีกองกำลังชนกลุ่มน้อย มีเสียงปืนดังเป็นเรื่องปกติคนยากจนมาก วันนี้เป็นวันที่ทุกคนมีชีวิตมั่นคง เลี้ยงตัวเองได้ และอยู่กับป่าอย่างร่มเย็น

“ปัจจุบัน องค์ความรู้ด้านการพัฒนาตาม ‘ตำราแม่ฟ้าหลวง’ ได้ขยายผลต่อในพื้นที่อื่นทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น โครงการขยายผลที่จังหวัดน่าน ที่ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ ‘ปลูกป่า ปลูกคน’บนพื้นที่ 250,000 ไร่ ครอบคลุม 3 อำเภอ ได้แก่ ท่าวังผา สองแควและเฉลิมพระเกียรติ และที่ต่างประเทศ เช่น พม่า อัฟกานิสถานและอินโดนีเซีย

“องค์กรระหว่างประเทศและนานาชาติให้การยอมรับและยกย่องให้เราเป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งองค์การสหประชาชาติ (UN) สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) มูลนิธิชวาป (Schwab Foundation for Social Entrepreneurship) สวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนั้นยังได้รางวัลนิเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) จากญี่ปุ่น ในฐานะองค์กรยอดเยี่ยมของเอเชียทางด้านการพัฒนาชุมชนและวัฒนธรรม เป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือส่งผลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาคนี้

“ในขณะที่ทั้งโลกยังคงพยายามหาคำตอบถึงปัญหาต่าง ๆ น่าภูมิใจมากที่ประเทศไทยมีองค์ความรู้ของคำตอบนั้นคือหลักเศรษฐกิจ พอเพยี ง

“และดอยตุงเป็นหนึ่งในโครงการที่เห็นถึงความสำเร็จเป็นรูปธรรมจากการนำศาสตร์ของพระราชาและตำราแม่ฟ้าหลวงมาปรับใช้”

พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี

เอกชัย เจียรกุล นักกีตาร์คลาสสิกระดับโลก

9-2“เบิร์ด – เอกชัย เจียรกุล” หนุ่มเอเชียคนแรกที่คว้าแชมป์กีตาร์คลาสสิกอันดับหนึ่งของโลกจากการประกวดจากเวที GFA ประเทศสหรัฐอเมริกา เขามีบทเพลงพระราชนิพนธ์เป็นแรงนำใจ

“บทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีอิทธิพลต่อชีวิตผมมาก จำได้ว่าตอนเรียนอยู่ชั้น ม.1 ผมฟังรุ่นพี่ในวงโยธวาทิตเล่นกีตาร์คลาสสิก เพลงชะตาชีวิต แล้วประทับใจมาก นอกจากทำนองที่ไพเราะแล้วเนื้อหายังจับใจอีกด้วย ผมเริ่มหัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่นั้น และใช้เวลาหัดอีก 3 เดือนจึงเล่นเพลงนี้ได้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของผมในฐานะนักกีตาร์คลาสสิก

“จนเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ผมมีโอกาสทำโปรเจ็คท์พิเศษร่วมกับบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เชิญ 15 บทเพลงพระราชนิพนธ์มาเรียบเรียงโดยนักกีตาร์คลาสสิกระดับโลก เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 และต่อเนื่องไปถึงโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษาทำให้รู้สึกมีความผูกพันและประทับใจบทเพลงพระราชนิพนธ์มากขึ้น อย่างล่าสุดผมไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ต่างประเทศกว่า 9 เดือนก็อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ไปเล่นด้วยทุกครั้ง

“ผมคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวในโลกที่ทรงพระปรีชาในการพระราชนิพนธ์เพลงได้ไพเราะ ทรงมีประสบการณ์ด้านดนตรีสูง แต่ละเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ล้วนมีชั้นเชิงผสมผสานระหว่างดนตรีแจ๊สและป็อป มีความไพเราะอยู่เหนือกาลเวลา ผมเคยดูวิดีโอที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงดนตรีร่วมกับเบนนี่ กู๊ดแมน นักดนตรีแจ๊สระดับโลกพระองค์ท่านทรงพระอัจฉริยภาพมาก เวลาเล่าเรื่องนี้ให้นักดนตรีชาวต่างชาติฟัง ทุกคนจะตื่นเต้น เพราะผู้ที่จะได้ร่วมเล่นกับนักดนตรีระดับโลกต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา และพระองค์ท่านก็ทรงเป็นหนึ่งในนั้น

“ความฝันสูงสุดในชีวิตผมคือ การมีโอกาสเล่นกีตาร์คลาสสิกแสดงเฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ครับ”

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับที่ 833 ปักษ์วันที่ 10 มิถุนายน 2559

จากค่ำคืนถึงเช้า…ประชาชนพร้อมใจรอถวายน้ำสรงพระบรมศพ แน่นถนนหน้าพระลาน

14 ตุลาคม 2559 เช้าแรกของประชาชนคนไทยที่ไม่เหมือนเดิม นับจากการประกาศการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559  เวลา 15.52 น.

ทั้งนี้ประชาชนชาวไทยจากทั่วสารทิศต่างพากันมาร่วมถวายสักการะพระบรมศพเป็นจำนวนมาก ที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2559 จนถึงขณะนี้ และในเวลาเดียวกันด้านฝั่งพระนคร บริเวณถนนโดยรอบพระบรมมหาราชวังก็ได้มีประชาชนมารอถวายน้ำสรงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์กันตั้งแต่เช้าของวันที่ 14 ตุลาคม 2559 โดยช่วงเวลาประมาณ 02.00 ของวันดังกล่าว ทางสำนักงานโยธากรุงเทพมหานครได้ทำการปรับพื้นผิวหน้าถนนใหม่เพื่อความสะดวกต่อการเคลื่อนพระบรมศพมายังพระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

และในขณะนี้ประชาชนที่เดินทางมาก็ทยอยกันต่อแถวเพื่อรอเข้าไปถวายน้ำสรงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศกันอย่างเนืองแน่น

king06

king01

king14

king20

king18

king21

king32

king33

king05     king35 king31

king22 king07

king30

king04

king19


สำนักพระราชวังเผยแพร่กำหนดการ พระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2559 เวลา 17.00 น. โดยมีรายละเอียด ดังนี้

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี เทียบรถยนต์พระที่นั่งที่ประตูกำแพงแก้ว พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากนั้นเสด็จขึ้นทางบันไดพระที่นั่งพิมานรัตยา เสด็จเข้าในพระฉาก ซึ่งพระบรมศพบรรทมอยู่บนพระแท่น

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมศพบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยกราบถวายบังคมพระบรมศพ ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์ โถน้ำขมิ้น และโถน้ำอบไทยจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือนถวายสรงที่พระอุระพระบรมศพ จากนั้นทรงหวีเส้นพระเจ้าขึ้นครั้งหนึ่ง หวีลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วหวีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วหักพระสางนั้น วางไว้ในพานซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่

เสด็จฯ ไปประทับพระราชอาสน์ที่นอกพระฉาก เลขาธิการสำนักพระราชวัง กราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเข้าไปทรงวางซองพระศรี บรรจุดอกบัวและธูปเทียน ทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ ทรงรับพระชฎาห้ายอดเจ้าพนักงาน วางข้างพระเศียร

ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 10 นายเชิญหีบพระบรมศพ มีตำรวจหลวงนำ 4 นาย ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯตามพระบรมศพ ทรงยืนที่หน้าพระราชอาสน์ เสด็จฯไปทรงวางพวงมาลาที่หน้าพระโกศพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะ กราบถวายบังคมพระบรมศพ

จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นพระมหาเศวตฉัตร ทรงกราบ เสด็จฯทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ เสด็จฯ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุุโมทนา ออกจากพระที่นั่งแล้ว เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์เที่ยวละ 10 รูป จำนวน 9 เที่ยว ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตร ทำปฏิบัติเช่นนี้จนครบ 9 เที่ยว เสด็จฯ ไปทรงกราบพระพุทธรูปที่หน้าเครื่องนมัสการหน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร จากนั้น เสด็จฯไปหน้าพระโกศพระบรมศพ ทรงกราบ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้า เสด็จฯ ออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทลงทางบันไดมุขกระสัน ด้านทิศเหนือ เสด็จฯกลับ

เปิด 3 เรื่องราวแสนพิเศษ ของผู้ที่เคยถวายงานรับใช้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างใกล้ชิด

เรื่องราวแสนพิเศษจากเหล่าทายาทของผู้ที่เคยถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดถ่ายทอดเป็นความประทับใจส่งต่อมายังรุ่นลูก และพวกเขายังได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

1หม่อมหลวงสราลี กิติยากร

คุณน้ำผึ้งเป็นธิดาคนเล็กของหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กับท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร และเป็นพระขนิษฐาในพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ซึ่งคุณพ่อของคุณน้ำผึ้งเป็นพระเชษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

ครอบครัวคุณน้ำผึ้งจึงมีโอกาสถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่สมัยเสด็จตา พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล

“ตั้งแต่อายุ 9 เดือน คุณพ่อกับท่านแม่ก็พาน้ำผึ้งตามเสด็จไปยังจังหวัดต่าง ๆ จำได้ว่าเมื่อตอนอายุประมาณ 7 – 8 ขวบ นั่งรถจี๊ปไปกับคุณพ่อและท่านแม่ตามเสด็จ สภาพถนนเป็นดินสีแดง เห็นชาวบ้านมาเฝ้าฯ รับเสด็จเต็มไปหมดแล้วอากาศร้อนมาก เราเป็นเด็ก เวลาเหนื่อยเพลีย มีงอแงบ้าง ท่านแม่ก็จะสอนว่า ต้องอดทน ๆ ไม่บ่น

“ภาพที่จำได้ติดตาคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ประทับกับพื้น แล้วมีพระราชปฏิสันถารกับชาวบ้านอย่างไม่ถือพระองค์

“ตอนเด็ก ๆ เวลาเข้าวังหรือตามเสด็จ น้ำผึ้งและเด็ก ๆ รุ่นเดียวกันก็เล่นซนกันอย่างสนุกสนาน มีปีนพระตำหนักกันด้วย มีครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้เด็ก ๆ เข้าเฝ้าฯ เพื่อทรงอบรม โดยรับสั่งว่า ‘ซนมากไปแล้วนะซนให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วง ทำอะไรต้องรู้จักคิดนะ ถ้าเราเกิดตกลงไปแล้วแข้งขาหัก หรือบาดเจ็บ พ่อแม่จะรู้สึกอย่างไร’ ทรงพระเมตตามากไม่ได้ทรงทำให้กลัว แต่พวกเราจะรู้สึกเกรงในพระบารมีของพระองค์ท่านมากกว่า

“เวลาคุณพ่อเข้าเฝ้าฯถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านจะนำพระราชดำรัสมาสอนลูก ๆ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งบ่อยครั้งว่าเราต้องร้จู ักมีความเพียร มีความพยายาม ถ้าไม่มีจะหาความสำเร็จได้ยาก และเรื่องความพอเพียง เงินเหลือสลึงก็ให้เก็บใส่กระปุกออมสินสี่สลึงพึงบรรจบให้ครบบาท เราต้องรู้จักมัธยัสถ์ มีความเพียงพอและรู้จักอยู่อย่างพอเพียง แล้วเราจะอยู่อย่างสบาย พวกเราก็จะน้อมนำมาใช้และถ่ายทอดต่อไปยังลูกหลาน”

“ท่านแม่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นน้ำผึ้งอายุประมาณ 10 เดือน เริ่มคลานและกำลังฝึกยืน จู่ ๆ น้ำผึ้งก็ค่อย ๆ เดินและคลานจากท่านแม่ไปยังที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วไปเขย่าพระเก้าอี้ก่อนพูดภาษาเด็กว่า ‘จู่อั๋วจ๋า ๆ’ ก็คือ พระเจ้าอยู่หัว แล้วพระองค์ท่านก็ทรงอุ้มน้ำผึ้งขึ้นมากอด ทำให้น้ำผึ้งรู้สึกว่า เราโชคดีมากจริง ๆ”

มีอีกหลายเหตุการณ์สำคัญที่คุณน้ำผึ้งมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ และยังคงเก็บบันทึกเรื่องราวไว้ในความทรงจำไม่ลืม

“อีกครั้งตอนขอเข้าเฝ้าฯทั้งครอบครัว ตอนคุณพ่ออายุครบ 72 ปีพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกับคุณพ่อ ซึ่งคุณพ่อป่วยเป็นโรคหัวใจ ‘อย่าดื้อมากนักนะอ้วน ดูแลตัวเองด้วยนะ ผู้เป็นภรรยาและลูก ๆ เขายังต้องการคนที่ดูแลเขาอยู่ แล้วเขาเป็นห่วง อยากให้ผู้เป็นพ่อ ผู้เป็นสามีอยู่กับเขานาน ๆ’

แม้คุณน้ำผึ้งจะไม่มีโอกาสถวายงานโดยตรงเหมือนอย่างเสด็จตาคุณพ่อ และท่านแม่ แต่ก็พยายามหาโอกาสถวายงานในทางอ้อม

“น้ำผึ้งทำงานทางด้านบันเทิง เวลาได้ทำรายการเกี่ยวกับโครงการในพระราชดำริ หรือโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ ทำให้ได้สัมผัสกับชาวบ้านในพื้นที่ จึงทราบว่าเขายากจนจริง ๆ เมื่อมีโอกาสเข้าไปเยี่ยม พวกเราจะซื้อของใช้จำเป็นพวกเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา อาหารและขนมไปแจกชาวบ้าน โดยใช้เงินส่วนตัว และมีผู้ร่วมสมทบเงินกับเราด้วย เวลาอยู่ในพื้นที่แล้ว น้ำผึ้งจะชอบสอนเด็ก ๆ ประมาณว่า ‘รักพระราชาเราไหม ถ้ารักพระองค์ท่าน วันนี้เราเป็นเด็กดีหรือยัง ต้องทำความดีนะในหลวงจะได้ภูมิใจ’

“เหตุที่พูดอย่างนี้ เพราะเมื่อสิบกว่าปีก่อน น้ำผึ้งเคยเข้าเฝ้าฯแล้วได้ยินพระองค์ท่านรับสั่งว่า‘การที่คนทำความดีให้เราก็เป็นสิ่งที่ดีเราก็ยินดี แต่เราอยากให้ทุกคนทำดีเพื่อตัวเองมากกว่าที่จะทำความดีให้กับเรา เพราะเมื่อทำแล้วประโยชน์สูงสุดจะเกิดกับตัวผู้ลงมือทำ’

“น้ำผึ้งทำอย่างนี้มากว่าสิบปีแล้ว มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ เพราะเมื่อเรามีส่วนในการช่วยสังคม เท่ากับมีส่วนได้ช่วยพระองค์ท่าน”

2ศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์

อดีตเอกอัครราชทูต บุตรชายคนโตของพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ อดีตเลขาธิการพระราชวัง และผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กับท่านผู้หญิงกุณฑี ไกรฤกษ์ นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

“นามสกุลไกรฤกษ์ของเราได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี และได้มีโอกาสเข้าถวายงานในพระราชวงศ์จักรีต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยคุณทวด คุณตา (พระยาอุดมราชภักดี)หรือคุณปู่ (พระยาประเสริฐศุภกิจ) ที่เข้าถวายงานแด่รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ต่อเนื่องมาถึงรุ่นคุณพ่อ คุณแม่ และผม

“เริ่มจากคุณพ่อเริ่มเข้ารับราชการในพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตำแหน่งหัวหน้ากองมหาดเล็ก ช่วงที่ผมเรียนอยู่โรงเรียนวชิราวุธ จำได้ว่าตอนนั้นคุณพ่อแทบไม่อยู่บ้านเลย เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานตลอด เพราะต้องตามเสด็จฯไปต่างจังหวัดและต่างประเทศบ่อยครั้ง กระทั่งอายุ 64 ปี ท่านล้มป่วยจึงต้องกราบบังคมทูลลา เพราะไม่สามารถถวายงานต่อไปได้ ส่วนคุณแม่ก็ถวายงานสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ มาโดยตลอด เป็นภาพแห่งความประทับใจที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก และปลูกฝังความจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เกิดในจิตวิญญาณของผม

“เมื่อผมจบการศึกษากลับมารับราชการ ณ กระทรวงการต่างประเทศ ทำให้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯทั้งสองพระองค์บ่อยครั้งขึ้น ในปี พ.ศ. 2518 สมเด็จพระบรมราชินีนาถโปรดเกล้าฯให้ผมเป็นหัวหน้าคณะนำผ้าไหมมัดหมี่ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษฯไปเผยแพร่ ณ เมืองโอซากา ก่อนหน้าที่จะเสด็จฯไปเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นการเสด็จฯเพื่อทรงเผยแพร่งานศิลปาชีพในต่างประเทศเป็นครั้งแรก

“ผมจำเหตุการณ์ทุกครั้งได้อย่างขึ้นใจ ทั้งคราวไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตกัมพูชา ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เพราะทุกครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานพระบรมราโชวาท และพระราชทานแนวทางการเข้าถึงจิตใจของผู้คนในแต่ละประเทศได้อย่างแยบยล เช่น คราวเกิดเหตุการณ์ 9/11 ที่สหรัฐอเมริกา มีรับสั่งให้ผมรีบเดินทางไปปลอบขวัญและช่วยเหลือเขา ทรงพระอัจฉริยภาพมาก โดยเฉพาะด้านการแสดงความเห็นอกเห็นใจ

“อีกเหตุการณ์ที่ผมประทับใจเป็นอย่างมากคือ ทุกฤดูร้อนพระองค์ท่า่นเสด็จ ฯไปประทับที่หัวหิน เวลาที่ทรงเรือใบ คุณพ่อก็ร่วมแล่นเรือใบตามเสด็จด้วยตลอด และการที่ครอบครัวเรามีบ้านพักอยู่ที่หัวหินบางครั้งพระองค์ท่านเสด็จฯมาที่บ้าน ทรงเรือใบ หรือทรงดนตรีกับวง อ.ส.วันศุกร์ ซึ่งทำให้ผมได้รู้จักกับภรรยา (ม.ร.ว.เบญจาภา จักรพันธุ์ธิดาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ) ที่ตามเสด็จมาด้วยในฐานะนักร้องประจำวงดนตรี อ.ส.วันศุกร์

“เมื่อตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานน้ำสังข์สมรส จากนั้นทุกวันศุกร์ผมจะขับรถไปส่งภรรยากับวงดนตรี อ.ส.วันศุกร์เป็นประจำ บางครั้งก็มีโอกาสนั่งฟังพระองค์ท่านทรงดนตรีด้วย

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาครอบครัวทั้งฝั่งผมและภรรยารู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น โดยที่พระองค์ทรงพระกรุณาให้เราได้ถวายการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิดและมีพระเมตตาแก่ครอบครัวเรามาตลอด

“เราจะขอแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

3ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร

คุณฝันเป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านผู้หญิงพึงจิตต์ ศุภมิตรคุณข้าหลวงคนแรกในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เธอจึงจดจำความประทับใจที่คุณแม่เล่าให้ฟังได้เสมอ

“ครอบครัวของเรามีโอกาสถวายงานพระบรมวงศานุวงศ์มาตั้งแต่รุ่นคุณตา พันตรี หลวงพลหาญสงคราม เป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของพันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ พระบิดาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) กระทั่งปี 2476 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คุณตาไม่เห็นด้วยจึงไปเข้ากลุ่มกับกบฏบวรเดช และถูกยิงเสียชีวิตที่ทุ่งบางเขน ตอนนั้นคุณแม่ (ท่านผู้หญิงพึงจิตต์) อายุเพียง 2 ขวบ จึงไปอาศัยอยู่กับญาติ โดยมีท่านนักขัตรฯเป็นผู้ส่งเสียให้เรียนโดยทุกเดือนจะเข้าไปที่วังเทเวศร์เพื่อรับเงินจากคุณท้าววนิดาพิจาริณี[พระอัยยิกา (ยาย) ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ]

“กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหมั้นกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ แล้วเสด็จกลับเมืองไทย ท่านนักขัตรฯ จึงทรงเรียกคุณแม่ให้เข้าไปพบที่วังและรับสั่งว่าให้มาอยู่กับสมเด็จพระราชินีซึ่งตอนนั้นคุณแม่อายุประมาณ 19 ปี แก่กว่าพระองค์ท่านเล็กน้อย เมื่อคุณ แมถามว่า่ ให้ทำอะไร ท่า่นนักขัตรฯก็รับสั่งเพียงว่าให้อยู่เป็นเพื่อนสมเด็จฯนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของคุณแม่ในการถวายงานในตำแหน่งคุณข้าหลวงคนแรกในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

“คุณแม่ตามเสด็จพระองค์ท่านไปทุกที่ตั้งแต่วันราชาภิเษกสมรสเป็นต้นมา ทั้งช่วงที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเมื่อเสด็จฯไปทรงเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการกว่า 27 ประเทศ โดยทำหน้าที่ดูแลฉลองพระองค์และรับใช้ส่วนพระองค์สมเด็จฯ ช่วงต่อจากนั้นเวลาเสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎร คุณแม่ทำหน้าที่จดรายละเอียดทุกอย่าง ใครชื่ออะไร มีลูกกี่คน บ้านอยู่ไหน เพราะช่วงแรกยังไม่มีผู้ถวายงานมากนัก คุณแม่ต้องทำทุกอย่างให้ทั้งสองพระองค์ แม้ว่าโดยตำแหน่งจะเป็นคุณข้าหลวงสมเด็จฯ เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงเลือกใช้แต่คนคุ้นเคย คุณแม่จึงได้มาถวายงานรับใช้เรื่องแผนที่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐานชั้น 3 มีห้องแผนที่ของพระองค์ท่าน ซึ่งแต่ละแผ่นนั้นมีรายละเอียดมากมาย เมื่อพระองค์ท่านจะเสด็จฯไปที่ใด คุณแม่ต้องไปนำแผนที่ของสถานที่นั้นมาถวาย หรือตามเสด็จไปด้วย

“หน้าที่หลัก ๆ ของคุณแม่คือ ถวายงานรับใช้เรื่องส่วนพระองค์คุณแม่เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงเห็นว่าห้องทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรกมาก จึงมีรับสั่งให้คุณแม่เข้าไปจัด แต่คุณแม่เกรงว่าจะโดนกริ้ว หากพระองค์ท่านทรงหาของไม่เจอ เพราะว่าในห้องทรงงานมีของเยอะมาก และประทับทรงงานที่พื้น คุณแม่จึงใช้วิธีวาดแผนที่บอกตำแหน่งสิ่งของต่าง ๆ ที่จัดใหม่ตั้งไว้บนโต๊ะเป็นเหมือนลายแทงสมบัติ (ยิ้ม)

“อย่างที่ทราบกันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานอย่างมากมาย เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรทุกภูมิภาค คุณแม่จะจัดกระเป๋า 4 ภาคเตรียมไว้ เช่น ถ้าเสด็จฯเชียงใหม่ ก็เตรียมเสื้อกันหนาว ถ้าเสด็จฯหัวหินก็เตรียมหมวกหรือเสื้อสีสด ๆ หลายคนอาจคิดว่าคนที่ทำงานในวังเป็นคนเรียบร้อย สำรวม แบบแม่พลอย แต่ความจริงชาววังถึกและแกร่งมากนะ (ยิ้ม) ทำงานกันทั้งวัน อย่างพระองค์ท่านเสด็จฯเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่าง ๆ บางครั้งไปตั้งแต่บ่ายสามจนถึงสี่ห้าทุ่มยังไม่ได้เสวย ซึ่งพระองค์ท่านก็ไม่ทรงลุกหรือพักเลย อย่างมากก็เสวยลูกอม

“อย่างดิฉันเองมีโอกาสได้ตามเสด็จตั้งแต่เด็ก เพราะคุณแม่พาเข้าวังตั้งแต่อายุ 10 วัน เห็นคุณแม่ถวายงานทุกวัน ทุกปิดเทอมก็มีโอกาสตามเสด็จด้วย ไปเชียงใหม่กับหัวหินบ่อยที่สุด เพราะมีช่วงปิดเทอมนานหน่อย ซึ่งเวลาพระองค์ท่านเสด็จฯจะมีเต็นท์ที่ประทับและโต๊ะตัวเล็กสำหรับทรงงาน เพียงแค่นั้น และหน้าที่ของเด็ก ๆ อย่างเราคือนำข้าวกล่องไปแจกตำรวจตระเวนชายแดน หรือทหารที่มายืนอารักขาในบริเวณใกล้เคียง บางครั้งได้มีโอกาสรับกระเป๋าทรงสมเด็จฯบ้าง ถวายลูกอมบ้าง

“ดิฉันจำได้ว่าทุกครั้งที่เสด็จฯไปตามที่ต่าง ๆ พระหัตถ์ของพระองค ์ท่านมีแผนที่อยู่ตลอด และมีพระวรกายแข็งแรงมาก เวลาเสด็จพระราชดำเนินแต่ละครั้งเราต้องคอยดูพระบาทของพระองค์ท่านว่าก้าวซ้ายหรือก้าวขวา เพราะทั้งสองพระองค์ทรงพระดำเนินเร็ว ต้องตามให้ทันไม่เช่นนั้นตกขบวนแน่ ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงรักษาพระสุขภาพโดยการออกพระกำลังสม่ำเสมอ จึงทรงพระดำเนินขึ้นลงเขาได้เป็นชั่วโมง ดิฉันได้มีโอกาสวิ่งตามเสด็จตอนทรงออกพระกำลัง หรือว่ายน้ำตามเสด็จสมเด็จฯที่หัวหินบ่อย ๆ ทรงว่ายน้ำจากทุ่นกลางทะเลเข้าฝั่งได้เร็วมาก

“ตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์ พระองค์ท่านไม่เคยหยุดทรงงานเลยทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทุกคน ฉะนั้นการถวายงานรับใช้พระองค์ท่านก็ย่อมไม่มีวันหยุดและเกษียณเช่นกัน อย่างคุณแม่เข้าถวายงานตั้งแต่อายุ 19 ปี จนตอนนี้ 87 ปีแล้ว ก็ยังคงถวายงานดูแลพระตำหนักทุกวัน

“นับเป็นความโชคดีของครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้”

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับที่ 883 ปักษ์วันที่ 10 มิถุนายน 2559

 

สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน นำประชาชนภูฏานสวดมนต์ถวายอาลัย ในหลวง

นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่กับชาวไทยทั้งประเทศ แต่ยังนำมาซึ่งความโทมนัสไปยังสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก และความเสียใจต่อประชาชนชาวภูฏานเช่นกัน หลังจากการออกประกาศของสำนักพระราชวังถึงการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน  รวมถึงสมเด็จพระราชบิดา และสมาชิกพระราชวงศ์ ได้เป็นองค์ในการนำคณะพระสงฆ์ ข้าราชการระดับสูง และประชาชนชาวไทยในภูฏาน จุดเทียนและสวดมนต์เพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่วัดทาชิโชซอง พร้อมกับมีพระบรมราชโองการให้ประชาชนภูฏานสวดมนต์ถวายอาลัยแด่ในหลวงของไทยทั้งประเทศ

king phutan (2)

อีกทั้งในวันพรุ่งนี้ 14 ต.ค. 2559 ทางภูฏานจะมีการลดธงชาติครึ่งเสา พร้อมกับประกาศปิดโรงเรียนและสถานที่ราชการ สำนักงานต่างๆ ภายในประเทศ ให้ประชาชนได้ไปสวดมนต์ที่วัดเพื่อเป็นการไว้อาลัย โดยในวันเดียวกันนี้สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน จะเสด็จฯเป็นผู้นำสวดมนต์ ณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติชอร์เตน กรุงทิมพู ส่วนสมเด็จพระอัยกีแห่งภูฏานจะทรงนำสวดมนต์ที่วัดทาชิโชซอง ซึ่งในการณ์นี้ทางประเทศภูฏานจะมีการสวดมนต์เป็นกรณีพิเศษอย่างต่อเนื่องอีก 7 วัน

king phutan (4)

นอกจากนี้ใน Facebook ของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏานยังได้ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงดูแลประชาชนชาวไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และพระองค์จะยังคงเป็นที่จดจำด้วยความเคารพจากประชาชนตลอดไป

king phutan (3)

ทั้งนี้หลายปีที่ผ่านมา ราชวงศ์ภูฏานและราชวงศ์จักรี แห่งราชอาณาจักรไทย มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นอบอุ่นเสมอมา ซึ่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ได้นำความโศกเศร้ามายังชาวภูฏานเช่นกัน ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน รวมถึงประชาชนชาวภูฏานขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อประชาชนชาวไทย มาณ ที่นี้ด้วย

 

จ๊ะจ๋า พริมรตา

‘ถ้าเรากลัว เราจะไม่มีวันก้าวออกไปได้’ จ๊ะจ๋า พริมรตา อีกพรสวรรค์ด้านร้องเพลง ที่เคยวิ่งหนีมาแล้ว 3 ครั้ง!

จ๊ะจ๋า พริมรตา
จ๊ะจ๋า พริมรตา

จ๊ะจ๋า พริมรตา เดชอุดม นักแสดงสาวตากลมใส กับอีกหนึ่งพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง ที่เธอเคยเอาแต่กลัว กักขังตัวเอง เลือกที่จะวิ่งหนีเหล่าค่ายเพลง และคนทำเพลงที่ติดต่อมาให้ไปเป็นนักร้องในชีวิตถึง 3 ครั้ง

ปลดล็อคพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงที่คอยเอาแต่กักขังตัวเองจากคนที่คอยหยิบยื่นโอกาสมาให้หลายปีในชีวิต เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะร้องเพลงได้ สำหรับนักแสดงสาวตากลม จ๊ะจ๋า-พริมรตา เดชอุดม หวานใจหนุ่ม จิ๊บ-วสุ แสงสิงแก้ว ที่ในเวลานี้ จ๊ะจ๋าได้กระโดดก้าวข้ามความกลัวที่สะสมมานานสำเร็จแล้ว!

จ๊ะจ๋า พริมรตา

จ๊ะจ๋า พริมรตา
สาวจ๊ะจ๋า และแฟนหนุ่ม จิ๊บ วสุ

สร้างความเซอร์ไพร้สให้แฟนๆ แบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว หลังจากรายการใหม่จากทางเวิร์คพอยท์ฯ อย่าง The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ได้ออนแอร์ไปวันแรกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2559 รูปแบบภายในรายการจะเป็นการนำคนดังอย่าง นักแสดง นักร้อง มาร้องเพลงโดยใส่หน้ากากเพื่อปกปิดตัวเองไว้ พร้อมทั้งให้เหล่ากรรมการได้คาดคะเนไปต่างๆ นานาว่า ผู้ที่มาร้องเพลงนั้นคือใคร ซึ่งจะมีช่วงให้กรรมการสัมภาษณ์พูดคุยกับผู้ที่มาร้องเพลง แต่เสียงที่ตอบกลับมาจะผ่านโปรแกรมดัดเสียง จึงเป็นความพิเศษและความยากที่จะเดาว่า ตกลงผู้ที่มาร้องเพลงแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่

จ๊ะจ๋า พริมรตานักแสดงสาว จ๊ะจ๋า พริมรตา เป็นหนึ่งในผู้ร้องเพลง โดยปรากฏตัวมาในชุดเดรสสีแดงผ่าข้างอวดเรียวขาขาว และส่หน้ากากนกฟีนิกซ์ ซึ่งใช้เป็นชื่อเรียกนามแฝงด้วย มาร้องเพลง หัวใจไม่อยู่กับตัว ของศิลปิน มาเรียม B5 ซึ่งคะแนนเสียงการแข่งขันได้แพ้ต่อ หน้ากากโพนี่ (ยังไม่เผยตัว) ผู้ที่มาร้องเพลงอีกคน จึงทำให้หน้ากากฟีนิกซ์ ไม่ได้เข้ารอบต่อไปและต้องเปิดเผยตัวตนในที่สุด ซึ่งก็ได้สร้างความประหลาดใจและประทับใจต่อกรรมการและผู้ชมไม่น้อยเลย เพราะหน้ากากฟีนิกซ์ คือสาวจ๊ะจ๋า นักแสดงสาวที่ไม่ได้เผยตัวเองต่อสื่อมาก่อนว่า เธอมีพรสวรรค์และความสามารถด้านการร้องเพลงดีมากทีเดียว

เพราะขณะร้องเพลง ก็ได้รับเสียงชมจากกรรมการว่า เสียงดี เสียงเพราะจนเดาไม่ถูกว่า เป็นนักร้องหรือนักแสดง โดยความรู้สึกของสาวจ๊ะจ๋าที่ได้พูดออกมาในรายการก็ได้สร้างความตื้นตัน ประทับใจ และเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนที่เอาแต่กลัว ไม่กล้าลงมือทำอะไร

จ๊ะจ๋า พริมรตาสาวจ๊ะจ๋า ได้เผยว่า เธอไม่เคยเรียนร้องเพลงจริงจัง มีโอกาสเรียนบ้างคือช่วงแสดงละครเวที ตอนแรกที่รายการนี้ติดต่อมาตั้งใจจะไม่มา เพราะมีความฝังใจกับการร้องเพลง หนีมาตลอดตั้งแต่เด็ก มีค่ายเพลงติดต่อมาให้ไปเป็นนักร้องเธอก็หนี ผ่านมา 5 ปี จนได้เล่นละครเวทีเรื่องแรก ก็มีคนติดต่อมาอีก เป็นครูเพลงที่เธอชอบมาก พอเริ่มคุยกันเธอก็หนีอีก และเมื่อเร็วๆ นี้ มีคนหนึ่งติดต่อมาให้จ๊ะจ๋าออกซิงเกิล เธอก็หนีอีกรวมเป็น 3 ครั้ง จนกระทั่งรายการนี้ติดต่อมา ซึ่งตอนแรกเธอได้ตั้งป้อมไว้แล้วว่า จะไม่เอาด้านนี้ เพราะเธอไม่เคยรู้และไม่เคยคิดว่าตัวเองร้องเพลงได้ จึงปฏิเสธ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดหนึ่ง ‘ถ้าเรากลัว เราจะไม่มีวันก้าวออกไปได้’ เธอจึงตัดสินลองทำดู และสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายตัวจ๊ะจ๋ามาก 

ชนะสิ่งใดไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ จ๊ะจ๋า พริมรตา ได้ชนะใจตัวเอง และกล้าที่จะก้าวข้ามความกลัวในการร้องเพลงที่สั่งสมมานานหลายปีแล้ว 

ส่วนใครที่กำลังคิดหรือมีความฝันอยากจะทำอะไร แต่ไม่กล้าหรือเอาแต่กลัว คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ดูอย่างสาวจ๊ะจ๋าไว้เลย ‘ถ้าเรากลัว เราจะไม่มีวันก้าวออกไปได้’ ประโยคนี้เป็นพลังชั้นเยี่ยมที่ดีต่อใจจริงๆ นะ

จ๊ะจ๋า พริมรตา

จ๊ะจ๋า พริมรตา

จ๊ะจ๋า พริมรตา

จ๊ะจ๋า พริมรตา

จ๊ะจ๋า พริมรตา
ผลงานละครเรื่อง เมียหลวง เวอร์ชั่น 2559 ของสาวจ๊ะจ๋า ที่กำลังถ่ายทำ

เพลง หัวใจไม่อยู่กับตัว – หน้ากากฟีนิกซ์ หรือ จ๊ะจ๋า พริมรตา

 


เรื่อง : Gingyawee_แพรวดอทคอม
ที่มา : รายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง 6 ตุลาคม 2559
ภาพ : IG @jaja_primrata

 

7 เทคนิคง่ายๆ สบายกระเป๋า แต่งตัวยังไงให้ดูสวยแพงไม่ต้องง้อแบรนด์เนม

ใช้ของแบรนด์เนมทั้งตัวก็ใช่ว่าจะทำให้ดูสวยแพงขึ้นมาได้ ถ้าหากไม่รู้จักวิธีแต่งตัว มิกซ์แอนด์แมตช์กันไปคนละทิศละทาง ของแบรนด์เนมก็ไม่ได้ช่วยอะไร เช่นเดียวกับสาวๆที่ไม่ได้ใช้ของหรูมีราคา แต่แค่พวกเธอรู้เทคนิคการแต่งตัว ไม่ว่าเสื้อผ้าที่ใส่นั้นราคาเท่าไหร่ ก็ทำให้ดูสวยหรู ดูแพงขึ้นมาได้แน่นอน

เคยสังเกตไหมว่าเวลาเห็นใครแต่งตัวดูดี พวกเขามักจะไม่ได้แต่งตัวเว่อร์วังอะไรมากมาย กลับดูเรียบง่าย ใส่แค่ไม่กี่ชิ้นก็ดูแพงแล้ว วันนี้แพรวมีเทคนิคดีๆที่จะช่วยให้สาวๆดูสวยแพงแบบไม่ต้องประโคมแบรนด์เนมเข้าไปทั้งตัวมาฝากกันค่ะ เพียงแค่ทำตาม 7 เทคนิคที่เรานำมาฝากในวันนี้ รับรองว่าสวยเกิดทุกคน 

 

1

1. เลือกเสื้อผ้าที่ไม่มีลูกเล่นเยอะ

บางครั้งอะไรที่มันเยอะเกินไปก็ใช่ว่าจะสวยนะ เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่มีการตกแต่งหรือดีไซน์ที่เยอะจนดูรกหูรกตาไปหมด ยิ่งบางคนไม่ใช่แค่ใส่เสื้อผ้าแล้วจบ ยังมีเครื่องประดับแอ๊กเซสซอรี่ส์ ทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู ฯลฯ ยิ่งทำให้สาวๆดูไม่แพงนะ ถ้าสาวๆคนไหนที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบใส่เครื่องประดับเยอะๆ แนะนำให้เลือกเสื้อผ้าเรียบๆไปเลย จะได้ออกมาพอดี

2
2. ใส่เสื้อผ้าที่ฟิตเกินไประวังหายใจไม่ออกนะ

เข้าใจว่าอยากจะโชว์รูปร่างเลยเลือกเสื้อผ้าที่รัดรูป เพราะจะได้เห็นรูปร่างชัดๆ แต่! บอกเลยว่าแทนที่คุณจะดูเซ็กซี่ มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดก็ได้นะ เพราะการใส่เสื้อผ้าที่รัดมากๆจะทำให้เราอึดอัด ทำอะไรก็ไม่สะดวกสบาย เอางี้ละกัน เลือกส่วนที่สาวๆต้องการจะใส่แบบรัดรูปมา เช่น ถ้าข้างบนเราใส่เสื้อรัดรูป ก็ให้ข้างล่างเป็นกางเกงหรือกระโปรงสบายๆ กลับกันถ้าเลือกจะใส่กางเกงหรือกระโปรงรัดรูป ก็ให้ใส่เสื้อตัวใหญ่ๆแทน รับรองว่าทั้งสบายตัวแล้วยังดูแพงอีกด้วย

3

3. ไอเท็มสุดคลาสสิกควรมีติดตู้เสื้อผ้า

ไอเท็มสุดคลาสสิกที่จริงมีหลายอย่างเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต เดรสสีดำ กางเกงยีนส์ เพราะไอเท็มเหล่านี้มิกซ์แอนด์แมตช์ได้หลายลุค ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปีก็ไม่ตกเทรนด์ ถ้าใครเป็นมือใหม่ที่หัดแต่งตัวหรือคิดไม่ออกว่าจะใส่อะไร แนะนำไอเท็มคลาสสิกพวกนี้เลยค่ะ

4
4. อย่าใส่สั้นเกินไป

เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้อยู่แล้วว่าการใส่สั้นไม่ว่าจะเป็นกระโปรงหรือกางเกงนั้นจะทำให้ลุคของเราดูไม่แพงเท่าไหร่ ถ้าใครชอบใส่กระโปรง เอาเป็นว่ายิ่งยาวยิ่งดี แต่ก็ใช่ว่าจะใส่สั้นไม่ได้เลย เพราะระดับความสั้นเราอนุโลมให้ได้ถึงบนเข่านิดหน่อย ถ้าสั้นกว่านี้ไม่แนะนำนะจ๊ะ

 

5

5. เสื้อผ้าขาวดำเหมาะกับทุกคน

ที่จริงเสื้อผ้าโทนขาวดำถือเป็นไอเท็มคลาสสิกเหมือนกันนะ เพราะเป็นโทนสีที่ใส่ได้ง่าย ดูสวยแบบคลาสสิกอีกด้วย โดยเฉพาะสาวๆที่อยากอำพรางหุ่น การใส่สีดำจะช่วยให้สาวๆดูผอมลงเยอะเลย

6
6. เบลเซอร์หรือเสื้อคลุมคัตติ้งเนี้ยบ

ถือเป็นหัวใจสำคัญของความสวยแพงเลยก็ว่าได้สำหรับเบลเซอร์หรือเสื้อคลุม ต่อให้สาวๆจะใส่แค่เสื้อยืดธรรมดาๆ แค่หยิบเบลเซอร์คัตติ้งเนี้ยบมาคลุมก็ช่วยให้ลุคของเราดูแพงขึ้นมาถึง 80% และในตอนนี้เบลเซอร์กลายเป็นไอเท็มยอดนิยมของสาวๆยุคใหม่เชียวละ

7

7. เสื้อผ้าสะอาดน่าใส่

เหนือสิ่งอื่นใดไม่ว่าสาวๆจะใส่เสื้อผ้าราคาเท่าไหร่ แต่งตัวยังไง ก็ควรจะรักความสะอาดกันสักนิดหนึ่ง ก่อนออกจากบ้านก็ควรซักรีดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ไม่ใช่ว่าใส่เสื้อผ้ายับๆออกจากบ้านแล้วหวังจะให้ดูสวยแพง อันนี้ก็ไม่เวิร์คนะจ๊ะ

เรื่อง : saipiroon_แพรวดอทคอม

ภาพ : www.pinterest.com

keyboard_arrow_up