ไอคอนสยาม แลนด์มาร์คระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา นำเสนอประสบการณ์ช้อปเหนือระดับจาก ICONLUXE (ไอคอนลักซ์) ศูนย์รวมความหรูหราระดับโลก ที่สุดของการรวบรวม Global Luxury Brands ไว้อย่างเอ็กซ์คลูซีฟและครบครันมากที่สุดกว่า 23 แบรนด์ พร้อมแนะนำเทรนด์แฟชั่นที่น่าจับตามองในซีซั่นนี้ และอวดโฉมคีย์ไอเท็มเด็ดกับคอลเลกชั่นล่าสุด Fall / Winter 23-24 จากแบรนด์ชั้นนำ อาทิ Ferragamo, Dior, Louis Vuitton, Fendi,  Prada และ Bottega Veneta มาให้บรรดานักช้อปสายลักชัวรี่และแฟนตัวยงของแบรนด์ได้อัพเดต 7 เทรนด์ต้อนรับซีซั่นใหม่ก่อนใคร พร้อมจัดแคมเปญพิเศษICONSIAM Luxury Fashion “Shop to Fly” ช้อปครบทุก 250,000 บาทจากลักชัวรี่แฟชั่นที่ร่วมรายการรับบัตรโดยสารจากสายการบิน Cathay Pacific เลือกรับบัตรโดยสารชั้นประหยัดเส้นทางกรุงเทพ – ฮ่องกง* มูลค่า 10,250  บาท จำนวน 1 ที่นั่ง ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2566

เทรนด์ที่ 1 : FIERY RED 

ประเดิมเทรนด์แรกด้วย “FIERY RED” หลากหลายแบรนด์ยกทัพพาเหรดสีแดงหลากหลายเฉดมานำเสนอ ซึ่งเป็นเฉดสีแดงที่ดึงดูดความสนใจและสื่อถึงพลังและความสง่างาม ถือว่าเป็นเฉดสีที่น่าจับตามองมากๆ ในซีซั่นนี้ 

ลุคนี้จาก Ferragamo ในคอลเลคชั่น Fall / Winter 23-24 

เทรนด์ที่ 2 : SIMPLE AND RICH 

ในซีซั่นนี้มีนำเสนอเรื่องของความเรียบง่าย ที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตจริงมากขึ้น นั้นคือเทรนด์ “SIMPLE AND RICH” เพราะหลากหลายดีไซน์เนอร์หยิบเอาเสื้อชิ้นเบสิกอย่าง เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงยีนส์ และเทรนช์โค้ต ที่เน้นวัสดุชั้นเลิศและการตัดเย็บด้วยคัตติ้งสุดเนี้ยบ อย่างโชว์ของ Bottega Veneta, Dior, Ferragamo และ Prada 

ลุคนี้จาก Dior ในคอลเลคชั่น Fall / Winter 23-24

เทรนด์ที่ 3 : PRINTS 

เทรนด์ “PRINTS” ในซีซั่นนี้มีการหยิบเอาลวดลายดอกไม้สีสด มาสร้างความสนุกเป็นลายพิมพ์ และยังมีหยิบเอาภาพวาดศิลปะและลวดลายแอ๊บสแตรกต์ มาถ่ายทอดได้อย่างลงตัว

เทรนด์ที่ 4 : LIVING SENSUAL 

เทรนด์ “LIVING SENSUAL” ที่ดีไซน์เนอร์ต่างพากันนำโครงชุดชั้นในและชุดนอนบางแนบเนื้อเผยผิวมาใช้ รวมถึงสลิปเดรสผ้าชีฟองสุดเย้ายวน mixed and matched กับชิ้นอื่นๆ กลับดูสวย เซ็กซี่แบบกำลังพอดี       น่าจะเป็นเทรนด์ที่สาว ๆ น่าจะชื่นชอบกันเลยทีเดียว

เทรนด์ที่ 5 : THE DETAILS

เทรนด์ “THE DETAILS” เป็นการนำเสนอรายละเอียดของงานฝีมือ ซึ่งนำเสนอออกมาได้อย่างประณีต และบรรจง Craftsmanship กลายมาเป็นคีย์หลักของทุกไอเทมจากทุกแบรนด์ส่งผลให้ทุกชิ้นเต็มไปด้วยดีเทลที่น่าสนใจ หรือการกลับมาอีกครั้งของเฉดสีคลาสสิก อย่างสี Neutral ก็เป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้พาแลตต์ที่ดูสบายตากว่าเดิม เพราะแทบทุกแบรนด์จะมีการใช้โครงการตัดเย็บที่ชัดเจนขึ้น 

ลุคนี้จาก Louis Vuitton ในคอลเลคชั่น Fall / Winter 23-24 

เทรนด์ที่ 6 : MATERIAL MATTERS

เมื่อทิศทางของแฟชั่นมีความเรียบโก้ แมตทีเรียลชั้นดีเลยจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญ เลยมาถึงเทรนด์ที่มีชื่อว่า “MATERIAL MATTERS” มีการหยิบเอาขนแกะและผ้ากำมะหยี่ ตลอดจนหนัง แมตทีเรียลที่ไม่เคยหายไปจากหน้าหนาวเลย หรือเฟอร์เสมือนจริงมาช่วยเพิ่มสีสันและความสนุกให้กับซีซั่นนี้ได้อย่างลงตัว 

ลุคนี้จาก Fendi ในคอลเลคชั่น Fall / Winter 23-24

เทรนด์ที่ 7 : BAGS & SHOES

เทรนด์สุดท้ายจะเป็นการเล่าถึงไอเท็มอย่าง กระเป๋าและรองเท้า คือเทรนด์ของ “BAGS & SHOES” ที่ในซีซั่นนี้ก็มีการหยิบเอามานำเสนออย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าสะพายใบใหญ่ ‘The bigger the better’ กับหูหิ้วทรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรงกลมแบบคลาสสิก หรือหูหิ้วดีไซน์สุดล้ำ หรือกระเป๋าคลัตซ์มาหนีบไว้ในวงแขนก็ถือว่าเป็นเทรนด์สุดฮิตในซีซั่นนี้ และการเพิ่มดีไซน์สนุก ๆ จากจินตนาการถ่ายถอดบนกระเป๋าอย่างกระเป๋ารูปบ้านจาก Louis Vuitton เป็นต้น ถัดมากับรองเท้าที่มาแรงในซีซั่นนี้ก็จะเป็น Eccentric shoes รองเท้าที่ประดับด้วยขนเฟอร์ หรือหนัง ถือว่าเป็นการนำมามิกซ์ได้อย่างลงตัว 

  กระเป๋าจากแบรนด์ KWANPEN และ MCM

สนุกกับสีสันในคอลเลคชั่น Fall/ Winter /23-24  พร้อมเลือกชมสินค้าอื่นๆ กับคอลเลคชั่นล่าสุดจากแบรนด์เนมชั้นนำ ส่งตรงจากรันเวย์ระดับโลกมาให้ลูกค้าได้เลือกช้อป พร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษในแคมเปญ ICONSIAM Luxury Fashion “Shop to Fly” ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2566  ที่โซนไอคอนลักซ์ไอคอนสยามสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1338 หรือ www.iconsiam.com

เตรียมพบกับสโตร์ใหม่ล่าสุดของ Massimo Dutti แบรนด์เครื่องแต่งกายหรูจากสเปน ที่จะยกระดับประสบการณ์การช็อปปิ้งผ่านการออกแบบที่สะท้อนความเป็นเลิศ ด้วยแนวคิดการใช้วัสดุแบบธรรมชาติผสานกับเทคนิคของงานช่างฝีมือ 

ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป Massimo Dutti มอบกิจกรรมสุดพิเศษมากมาย อาทิรับ Tag กระเป๋าหนัง เมื่อมียอดซื้อสินค้าครบ 15,000 บาทขึ้นไป,  รับฟรี Massimo Dutti Tote Bag พิเศษสำหรับลูกค้าที่ช็อปปิ้ง ณสาขาเซ็นทรัลเวิลด์(จนกว่าสินค้าจะหมด) 

ร่วมสัมผัสประสบการณ์การช็อปปิ้งที่แตกต่างได้ที่ Massimo Dutti ชั้น 1 โซนเอเทรียม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

เมซอง แบร์เช่ ปารีส  (Maison Berger Paris) แบรนด์เครื่องหอมสำหรับบ้านเกรดพรีเมียมจากประเทศฝรั่งเศส ล้ำค่าด้วยดีไซน์และฟังก์ชั่น เป็นเครื่องหอมที่มีกลิ่นหอมให้เลือกมากที่สุดกว่า 50 กลิ่น คิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมและมีนวัตกรรมที่หลากหลาย ช่วยฟอกอากาศ กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์รวมทั้งแบคทีเรียในอากาศ และยังปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง ทำให้บ้านหอมสดชื่นเป็นที่ชื่นชอบของแฟนคลับทั่วโลก ขอแนะนำคอลเล็กชันล่าสุด FACETTE (ฟาเซท) มีรูปทรงสวยงามส่องประกายสะท้อนแสง ความโค้งมนสะกดทุกสายตา สีอ่อนละมุนแต่ทรงพลัง ราวอัญมณีทรงคุณค่า รับแรงบันดาลใจมาจากขวดแก้วที่มีหลายเหลี่ยมมุมเล่นแสงอย่างสวยงาม ออกแบบโดย Rozenn Mainguené มัณฑนากรที่สร้างสรรค์ภาพวาดในแวดวงสินค้าไฮเอนด์และความงามมามากว่า 20 ปี พร้อมน้ำหอมในคอลเล็กชัน กลิ่น Caresse de Coton อ่อนใสบางเบา เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ขายดี โปรโมชันพิเศษตลอดเดือนตุลาคม 2566

คอลเล็กชันนี้มีชุดเครื่องหอมสำหรับบ้านให้เลือกหลากหลายแบบ ได้แก่

ชุดตะเกียงน้ำหอม FACETTE สะท้อนอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่สง่างามเหนือกาลเวลา ขวดแก้วของตะเกียงน้ำหอมมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ ตัวขวดตะเกียงโปร่งใสสีดำตกแต่งด้วยสีทอง ให้ความรู้สึกถึงบุคลิกที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ตัวขวดสีครีมตกแต่งด้วยสีเงิน ให้ความรู้สึกถึงความอ่อนหวานและความละเอียดอ่อน ลักษณะขวดแก้วที่มีหลายเหลี่ยมมุมเล่นแสงอย่างสวยงาม ช่วยให้รู้สึกหรูหราและทรงคุณค่า มาพร้อมน้ำหอมกลิ่น Caresse de Coton ขนาด 250 มิลลิลิตร ทั้งชุดราคาปกติ 4,380 บาท ลดพิเศษช่วงเปิดตัว 30% เหลือเพียง 3,066 บาท

ชุดก้านกระจายความหอม FACETTE มีสลักคำ Maison Berger Paris ลงบนโครงทำจากโลหะด้านบนออกแบบสวยงามและเข้ากับวงแหวนซิลิโคนของขวดแก้วของก้านกระจายความหอม พร้อมน้ำหอมกลิ่น Caresse de Coton ขนาด 250 มิลลิลิตร ทั้งชุดราคา 2,680 บาท ลดพิเศษช่วงเปิดตัว 30% เหลือเพียง 1,876 บาท

น้ำหอมกลิ่น Caresse de Coton ในคอลเล็กชัน FACETTE นี้เป็นความหอมที่นุ่มนวล บางเบา และหรูหรา กลิ่นที่หอมละมุนนี้ยังช่วยให้เกิดความรู้สึกเบาสบาย โดยเป็นกลิ่นหอมแบบพาวเดอร์รีฟลอรัล เปิดด้วยโน้ตหอมสะอาด เผยให้เห็นช่อดอกไม้ที่สวยงามบริสุทธิ์อย่างดอกกุหลาบและออเร้นจ์บลอสซัม โอบล้อมด้วยความหอมหวานของน้ำผึ้ง ผสานกลิ่นวานิลลาและไวท์มัสก์ที่สอดประสานกันและกันอย่างลงตัว

สามารถรับสิทธิ์แลกซื้อคอลเล็กชัน  FACETTE มูลค่า 4,380 บาท ได้ในราคาเพียง 2,000 บาท เมื่อซื้อสินค้าใด ๆ ครบ 3,500 บาท หรือเมื่อซื้อสินค้าใด ๆ ครบ 2,900 บาทขึ้นไป สามารถรับน้ำหอมสำหรับเติมตะเกียงได้ฟรี ขนาด 500 มิลลิลิตร เลือกกลิ่นได้ 

พบกับผลิตภัณฑ์เครื่องหอมสำหรับบ้าน เมซอง แบร์เช่ ปารีส (Maison Berger Paris) พร้อมโปรโมชันที่น่าสนใจได้ที่ร้าน เมซอง แบร์เช่ ปารีส ทุกสาขา และช่องทางออนไลน์ Facebook: MaisonBergerThailand LINE: @maisonbergerthai IG: maisonbergerthailand www.maisonbergerthailand.com ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความหอมที่พร้อมให้บริการถึง 10 สาย สอบถามรายละเอียด โทร. 02-672-2088

แฟนๆ LINE STICKERS ต่างฮือฮาเมื่อ LINE ออกบริการใหม่ LINE STICKERS PREMIUM เอาใจผู้ใช้งาน
สติกเกอร์ให้ได้สมัครและโหลดใช้กันได้แบบไม่อั้น เรียกว่าเป็นสไตล์เหมาจ่ายแบบบุฟเฟ่ต์ ปลดล็อกทุกขีดจำกัด โหลดกันให้หนำใจ ไม่ต้องรักพี่เสียดายน้องอีกต่อไป สำหรับบางคนที่ยังลังเล ว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม ขอชวนไปพิสูจน์กับ 5 ข้อดีสุดปัง ที่คนใช้ LINE STICKERS PREMIUM อยากตะโกนให้ชาวแชท LINE ได้รู้กัน

1. จ่ายรายเดือนหรือรายปีใช้งาน LINE STICKERS สร้างสีสันการสนทนาได้ไม่จำกัด

คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเมื่อจ่ายรายเดือนเริ่มต้นเพียง 69 บาทต่อเดือน ก็สามารถเข้าถึงสติกเกอร์กว่า 9 ล้านเซ็ต มีให้เลือก 2 แพกเกจตามความต้องการใช้งาน  ได้แก่ แบบเบสิคเป็นแพ็กเกจเพื่อใช้งานสติกเกอร์อย่างเดียวสามารถเลือกดาวน์โหลดสติกเกอร์มาพร้อมใช้งานบนหน้าแชทสูงสุดรวมไม่เกิน 5 เซ็ต สามารถสับเปลี่ยนเข้าออกได้ตลอดเวลาของการเป็นสมาชิก และแบบดีลักซ์เป็นแพกเกจที่รวมสติกเกอร์ธีมและอิโมจิ สามารถเลือกดาวน์โหลดสติกเกอร์มาพร้อมใช้งานบนหน้าแชทได้ไม่จำกัดจำนวน แล้วยังมีธีมและอิโมจิอีกรวมมากกว่า 1 ล้านเซ็ต ได้ไม่จำกัดเช่นกัน สามารถสับเปลี่ยนเข้าออกได้ตลอดเวลาของการเป็นสมาชิก

2. (2)เข้าถึงสติกเกอร์ถูกใจได้โดยง่ายเพราะมีสุดยอด AI มาช่วยแนะนำ

เมื่อสมัคร LINE STICKERS PREMIUM แล้ว ระบบ AI Predictive Suggestion จะเริ่มทำงาน โดยจะคัดสรร สติกเกอร์สไตล์คุณมาแนะนำให้ได้เลือกดาวน์โหลดเพื่อใช้งาน  โดยระบบจะเรียนรู้จากประวัติการใช้งาน
สติกเกอร์ที่เราชอบใช้ หรือโหลดบ่อย ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการค้นหาด้วยตัวเองไปได้มาก เรียกว่านอกจากจะประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาให้เราอีกด้วย แถมยังได้สติกเกอร์ถูกใจ เอาไว้บอกความในใจกับคู่สนทนาแบบไม่มีเบื่อ

3. (3)ได้ใช้ฟีเจอร์ลับ “Custom Collection” สำหรับสมาชิกพรีเมียมเท่านั้น 

หากใครใช้สติกเกอร์อยู่บ่อยๆ จุดคุ้นเคยกับไอคอนรูปนาฬิกาสีน้ำเงินบนแท็บคีย์บอร์ดเป็นอย่างดี เพราะเป็น shortcut ให้เราได้เข้าถึงสติกเกอร์ที่เราใช้บ่อยและใช้ล่าสุดได้แบบง่าย แต่ชีวิตจะง่ายและดีไปกว่าเดิมอีก ด้วยฟีเจอร์ Custom Collection เพราะผู้ใช้จะสามารถสร้างคอลเลคชันพิเศษของตัวเอง โดยเลือกดาวน์โหลด
สติกเกอร์จากแต่ละชุดที่เราชอบหรือใช้บ่อยจาก LINE STICKERS PREMIUM มาใส่ไว้ในแท็บสติกเกอร์เฉพาะของตัวเองได้สูงสุดถึง 32 แอคชัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกหยิบคาแรกเตอร์มาพูดคุยได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ไม่เสียเวลาเสิร์จหาให้ยุ่งยากอีกต่อไป

(4) ทดลองฟรี 1 เดือนทั้ง 2 แพ็กเกจ

การสมัครสมาชิกแบบเสียค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือรายปี อาจเป็นเรื่องที่หลายคนไม่แน่ใจ ว่าจะชอบหรือเหมาะกับตัวเองหรือไม่ LINE เข้าใจเป็นอย่างดี จึงจัดเงื่อนไข “ทดลองใช้ฟรี” เป็นทางเลือกให้ผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ทั้งแพ็กเกจเบสิคและดีลักซ์ ก็เข้ามาทดลองกันได้ วัดใจกับไป กับการใช้งานฟรี 1 เดือน เต็มๆ 

5. (5) สมัครง่ายๆราคาพิเศษฉลองเปิดตัวเริ่มต้นเพียง 69 บาท

ราคาดี ราคาโดน ต้องรีบคว้าไว้ กับราคาช่วงเปิดตัวที่แสนคุ้ม เริ่มต้นเพียง 69 บาทต่อเดือนหรือ699 บาทต่อปีสำหรับแพคเกจเบสิกและ 139 บาทต่อเดือนหรือ 1,300 บาทต่อปีสำหรับแพคเกจดีลักซ์
ดาวน์โหลดเพียงแค่ชุดเดียวก็คุ้มแล้ว แถมยังสมัครง่าย แค่เข้าไปที่ร้านสติกเกอร์ใน LINE คลิกที่ LINE STICKERS PREMIUM เลือกแพ็กเกจแล้วเพลิดเพลินกับโลกคาแรกเตอร์นับล้านได้เลย

สาวกสติกเกอร์ แฟนพันธุ์แท้ LINE STICKERS ต้องไม่พลาด เพราะคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม สนุกยิ่งกว่าเคย ด้วยสติกเกอร์ใหม่ สร้างสีสันในทุกวันแบบไม่จำเจ ติดตามความเคลื่อนไหวของบริการ LINE STICKERS PREMIUM ได้ที่ LINE OA : LINE STICKERS PREMIUM หรือ https://store.line.me/stickers-premium/landing/

Love Frankie และสหประชาชาติประเทศไทยได้ประกาศแคมเปญล่าสุด “What’s This Feeling?” (‘WTF’) ซึ่งมุ่งเน้นการจุดประกายการพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิตและสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนรุ่นใหม่เพื่อเชื่อมต่อและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพจิต แคมเปญ WTF เป็นแคมเปญล่าสุดภายใต้โครงการ The Nook ซึ่งได้สนับสนุนเยาวชนไทยตั้งแต่ปี 2563 ด้วยเนื้อหาสร้างสรรค์ กิจกรรม การสัมมนาและข้อมูลความรู้เพื่อสนับสนุนสุขภาพจิต  งานนี้ได้จัดขึ้นที่โรงแรม The Standard Bangkok Mahanakhon ก่อนการเปิดตัวแคมเปญอย่างเป็นทางการในวันสุขภาพจิตโลก (วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2566 นี้) เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตเป็นสิทธิมนุษยชนทุกคน

ในประเทศไทยนั้น ประมาณแปดในสิบคนกำลังประสบปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งยิ่งเพิ่มพูนขึ้นจากผลกระทบของโรค COVID-19 ตามการศึกษาล่าสุดโดยบริษัท Mintel  โดยเฉพาะคนไทยรุ่นเจน Z ซึ่งเผชิญกับภาวะความเหงา โดยมีมากกว่าหนึ่งในสาม (38%) ที่รายงานว่ามีความรู้สึกนี้ เปรียบกับคนรุ่น Millennials (26%) และคนรุ่นเจน X (15%) หากไม่มีการจัดการที่ดี เทรนนี้อาจทำให้สังคมต้องเผชิญกับปัญหาความเหงา โรคซึมเศร้า และความก้าวร้าว และท้ายที่สุดแล้ว กีดกันการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย

เพื่อทำให้ความซับซ้อนของการสร้างความสัมพันธ์สำหรับเยาวชนไทยกระจ่างขึ้น คอมมูนิตี้ The NOOK Friends จะริเริ่มแคมเปญ “What’s This Feeling?” เพื่อเฉลิมฉลองวันสุขภาพจิตโลกในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ภายใต้ธีมสุขภาพจิตเป็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญสำหรับเราทุกคน ซีรีส์วิดีโอ vlog นี้จะนำแสดงโดยคุณเขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ นักบำบัดจิตและศิลปินไทยที่มีชื่อเสียงในการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนไทยและท้าทายการตีตราในสังคม

องค์การอนามัยโลก (WHO) “สุขภาพจิตเป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพโดยรวมของเราและเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทุกคนสมควรได้รับการดูแลสุขภาพจิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่มีความต้องการเร่งด่วนมากขึ้น เราได้ร่วมมือกันเพื่อทำให้เยาวชนไทยทุกคนได้รับการคุ้มครองจากความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต โดยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตที่มีมาตรฐาน ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจของเยาวชนไทย เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจภาวะสุขภาพจิตของตนเอง รับมือ และเติบโตได้ดีขึ้นในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับความซับซ้อนของชีวิต” – ดร โอลิเวีย ไนเวรัส จากองค์การอนามัยโลก

กรมสุขภาพจิต “ปัจจัยที่สำคัญในการเผชิญความท้าทายในชีวิตคือความเข้มแข็งทางใจ [Resilience] ซึ่งประกอบไปด้วยด้านบุคคลเช่นการมองเห็นคุณค่าในตนเอง การมองบวก [ด้าน I am] ด้านสัมพันธภาพ [ด้าน I have] และด้านทักษะความสามารถในการแก้ไขปัญหา [ด้าน I Can] …อย่างไรก็ตาม ความเข้มแข็งทางใจนี้สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ สามารถทำได้โดยพ่อแม่ ครู เพื่อนและทุกคนในสังคมที่ช่วยกัน สนับสนุนกัน โดยกรมสุขภาพจิตร่วมกับภาคส่วนในสังคมได้ร่วมดำเนินการสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และต้องขยายไปสู่ประชากรที่ครอบคลุมมากขึ้นต่อไป” – นายแพทย์เทอดศักดิ์ เดชคง ผู้อำนวยการสำนักงานวิเทศสัมพันธ์ กรมสุขภาพจิต

ส่วนสำคัญของแคมเปญประกอบด้วย:

• ซีรีส์ vlog “What’s This Feeling?” : ลงลึกเข้าถึงความรู้สึกและความท้าทายที่เยาวชนไทยเผชิญในการค้นหาความหมายในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน
• เกล็ดความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตแบบย่อยง่าย: แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิตและการสร้างความตระหนักรู้ที่คัดสรรและรวบรวมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญหลากหลาย
• LINE Open Chat Live Talks: พื้นที่ปลอดภัยออนไลน์สำหรับคนไทยในการพูดคุยแลกเปลี่ยนประเด็นเรื่องสุขภาพจิต
• Mental Health Festival กับ The NOOK Friends : การรวมตัวของคอมมูนิตี้แบบพร้อมหน้าพร้อมตาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567

เขื่อนดนัย“สำหรับเขื่อน สุขภาพจิตควรเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ ไม่หน้าอายและฟรี เขื่อนรู้สึกดีใจมากที่เป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญนี้ ซึ่งจะมาพูดคุยในหลากหลายหัวข้อ ทั้งเรื่องสุขภาพจิต การค้นหาตัวเอง ความหมายของชีวิตและความรู้สึกต่างๆ ที่ทำให้รงเราเป็นมนุษย์ เขื่อนอยากเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้สามารถตั้งคำถาม ได้ขุดคุ้ยประเด็นต่างๆอย่างปลอดภัย อยากเชิญชวนให้ทุกคนติดตามซีรี่ย์ vlog WTF กันครับ”- เขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ

Love Frankie “ภารกิจของ Love Frankie คือการรวมตัวพันธมิตรในโครงการนี้ โดยเน้นความเป็นอยู่ที่ดีและสุขภาพจิตของคนไทย  การร่วมมือครั้งนี้สำคัญยิ่งในการทำให้การพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิตและการให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติ สามารถเข้าถึงได้ มีความเกี่ยวข้องและชวนเรียนรู้ เป้าหมายของเราคือการสร้างคอมมูนิตี้ที่เห็นอกเห็นใจกัน ครอบคลุมทุกคน เป็นพื้นที่ให้เยาวชนไทยได้ค้นหา ชื่นชม และโอบรับสุขภาพจิตที่ดีของตนเอง”- แมท เลิฟ ผู้อำนวยการบริษัทเลิฟแฟรงกี้

—

The NOOK Friends โดย Love Frankieเป็นชุมชนที่ประกอบไปด้วยบุคคลและองค์กรที่มีความสนใจในการส่งเสริมสุขภาพจิตในประเทศไทย  The NOOK Friends ด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรร่วม เช่น LINE Thailand, The Standard Hotel Bangkok, Sati App, Alrise และอื่น ๆ มีเป้าหมายเพื่อทำให้การพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติ โดยจัดหาข้อมูลความรู้และเสริมสร้างคอมมูนิตี้ออนไลน์และออฟไลน์ในประเทศไทย แคมเปญนี้เป็นจุดสำคัญในการจัดการกับปัญหาด้านสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี ส่งเสริมสุขภาพจิตให้เป็นส่วนสำคัญของทุกคน ชุมชน และแผนพัฒนาชาติ

ครบรอบ 25 ปี มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ เตรียมปิดม่านอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยสุดยอดโชว์เคสแห่งวัฒนธรรมรัสเซีย การแสดงบัลเลต์ อันนา คาเรนินา (Anna Karenina) โดยคณะบัลเลต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ไอฟ์มาน บัลเลต์ (Eifman Ballet) การแสดงบัลเลต์ ที่ฉีกกฎสรีระร่างกายของการเต้นบัลเลต์คลาสสิก มาพร้อมโปรดักชั่นอลังการ โดยใช้แรงบันดาลใจ จากผลงานสุดยอดวรรณกรรม เพื่อนำเสนอการแสดงบัลเลต์ที่แปลกใหม่ และการออกแบบท่าเต้นที่ฉีกกฏสรีระร่างกายให้ไปไกลกว่าบัลเลต์คลาสสิค เตรียมพาทุกคนตะลึงไปกับความสามารถของนักแสดง ที่ได้รับการยกย่องการว่าเป็นเสมือน “ศิลปะการแสดงของการกีฬา”

การแสดงบัลเลต์ อันนา คาเรนินา ในครั้งนี้ บอริส ไอฟ์มาน มุ่งเน้นไปที่การตีความเรื่องราวของรักสามเส้าของ 3 ตัวละครหลัก ได้แก่ “อันนา” สาวสวยจากสังคมชั้นสูง “คาเรนิน” ผู้เป็นสามี และชู้รัก เคานท์วรอนสกี โดยใช้เพลงประกอบจากนักประพันธ์ยิ่งใหญ่อย่างไชคอฟสกี โดย Daily Express กล่าวถึงการแสดงนี้ว่า “เป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่อลังการ ที่มีการออกแบบท่วงท่าฉีกขาและยกตัวที่ท้าทายมากมาย แสดงให้เห็นถึงการต่อยอดเทคนิคการเต้นบัลเลต์ได้อย่างน่าทึ่ง”

สำหรับ ไอฟ์มาน บัลเลต์ (Eifman Ballet) เป็นคณะบัลเลต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก่อตั้งโดย บอริส ไอฟ์มาน (Boris Eifman) “พ่อมดเปี่ยมเวทมนตร์แห่งโรงละคร” ที่ได้รับการยกย่องจาก The New York Timesให้เป็นอัจฉริยะของวงการบัลเลต์ของศตวรรษที่ 21ก่อตั้งคณะไอฟ์มาน บัลเลต์ ด้วยจุดประสงค์ที่จะต่อยอดศิลปะการแสดงบัลเลต์

ร่วมเฉลิมฉลองการปิดม่านอย่างยิ่งใหญ่กับงาน มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ ด้วยการแสดงที่คุณที่ต้องได้ดูสักครั้งในชีวิต!! โดยการแสดงบัลเลต์ อันนา คาเรนินา (Anna Karenina) จะเปิดการแสดงเพียง 2 รอบเท่านั้น! ในวันที่ 21 ตุลาคม เวลา 19.00 น. และ วันที่ 22 ตุลาคม เวลา 16.00 น. นี้ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สำรองที่นั่งได้ที่ www.thaiticketmajor.com/bangkokfestivals หรือจุดจำหน่าย ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ทุกสาขา ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟสบุ๊ค Bangkok’s International Festival of Dance and Music หรือแอดไลน์ Official ไปได้ที่ @bangkokfestivals

Hotel Indigo ภายใต้พอร์ตโฟลิโอ Luxury & Lifestyle ของ IHG Hotels & Resorts นำเสนอเอกลักษณ์ของชุมชนทั่วทุกมุมโลก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักเดินทางยุคใหม่ออกไปสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ผ่านแคมเปญการตลาด ‘The World’s Neighbourhood Hotel’ ด้วยวิสัยทัศน์ที่เชื่อว่า เมื่อเรามองโลกผ่านแวดวงของชุมชนท้องถิ่น ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เหมือนเคย

จากการสํารวจทั่วโลก* โดย Hotel Indigo พบว่า 73% ของผู้ตอบแบบสำรวจให้ความสำคัญกับโรงแรมที่มีความเชื่อมโยงกับชุมชน เนื่องจากสามารถกระตุ้นกิจกรรมที่รวมถึงการผจญภัย พร้อมช่วยในการสร้างประสบการณ์พบปะผู้คน การสำรวจยังเผยให้เห็นว่าการท่องเที่ยวที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตและส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นจะช่วยในการเปิดมุมมองและประสบการณ์ต่อโลกรอบข้าง โดยมีนักท่องเที่ยวจำนวน 1 ใน 2 ที่สัมผัสประสบการณ์นี้ ได้กลับมาทบทวนเส้นทางของชีวิตของตนเอง ส่งผลให้ 63% ตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางการใช้ชีวิต นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าแคมเปญ ‘The World’s Neighbourhood Hotel’ จะสร้างมิติใหม่ให้กับการท่องเที่ยว ที่รวมทั้งการพักผ่อนและประสบการณ์ความประทับใจให้แก่เข้าพัก

แคมเปญ ‘The World’s Neighbourhood Hotel’ จะมีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมให้กับนักท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอกโรงแรม

ย่านต่าง ๆ ทั่วโลกมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับ Hotel Indigo ที่แต่ละสถานที่มีความเฉพาะเจาะจงตามบริบทของท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น Hotel Indigo Bali Seminyak Beach ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมบาหลี หรือ Hotel Indigo Singapore Katong ที่ตกแต่งด้วยศิลปะเปอรานากันบนผนังและกระเบื้องปูพื้นในห้องพัก ถัดมาที่ Hotel Indigo Bangkok Wireless Road ที่มีการตกแต่งผนังด้วยวิทยุสไตล์วินเทจ เนื่องด้วยทำเลบนถนนวิทยุซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของสถานีวิทยุไร้สายแห่งแรกของประเทศไทย ในขณะเดียวกัน Hotel Indigo Phuket Patong ได้สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชาวประมงท้องถิ่น Hotel Indigo มุ่งมั่นนำเสนอเรื่องราวและประสบการณ์ท้องถิ่นในแบบที่ไม่เหมือนใคร สร้างสรรค์ประสบการณ์พิเศษให้แก่ผู้เข้าพัก

Rajit Sukumaran กรรมการผู้จัดการ IHG Hotels & Resorts เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี กล่าวว่า “ผลการสำรวจของเราพิสูจน์ถึงความสำคัญของการนำเสนอประสบการณ์ที่สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละโรงแรมHotel Indigo ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งแคมเปญ ‘World’s Neighbourhood Hotel’ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ แต่ยังเป็นสะพานในการเชื่อมต่อนักท่องเที่ยวกับประเพณีของชุมชน”

“เป็นสิ่งที่วิเศษมาก ๆ ที่นักเดินทางจะได้สัมผัสกับย่านใหม่ ๆ โดย Hotel Indigo มีความภูมิใจในการนำเสนอประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร ทันทีที่โรงแรมได้เปิดตัวในกัวลาลัมเปอร์ – เมืองหลวงของมาเลเซีย และโฮจิมินห์ซิตี้ – เมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของเวียดนาม อีกทั้งแผนการขยายตัวในประเทศอินโดนีเซียที่เกาะบินตันและเมืองบันดุง”

แคมเปญ ‘The World’s Neighbourhood Hotel’ เป็นแคมเปญระดับสากลที่ถ่ายทอดเสน่ห์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง โดยการสื่อสารผ่านรูปภาพและวิดิโอนั้น ได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทางยุคใหม่ ซึ่งเผยแพร่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น TikTok, Instagram, Facebook และ LinkedIn รวมถึงการเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ โรงภาพยนต์ และป้ายโฆษณาดิจิทัล

จากการสำรวจพบว่า 55% ของนักท่องเที่ยวได้รับอิทธิพลจากคำแนะนำของคนในท้องถิ่น ซึ่งส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้ Hotel Indigo จึงได้รวบรวมคำแนะนำจากคนในแต่ละพื้นที่ และจัดทำคู่มือนำเสนอประสบการณ์ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเชื่อมต่อกับสถานที่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนบนโลกก็ตาม

Hotel Indigo มีความมุ่งมั่นในการนำเสนอเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของย่านต่าง ๆ ทั่วโลก ด้วยจำนวนโรงแรมถึง 145 แห่ง และอีก 128 แห่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้** รวมถึงการขยายขอบเขตการให้บริการไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น กัวลาลัมเปอร์ในช่วงปลายปี 2566 และโรงแรมในไซ่ง่อน เกาะบินตัน และบันดุงในปี 2567 (สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ภาคผนวก A) โดยมีวัตถุประสงค์ในการขยายจำนวนโรงแรมภายใต้แบรนด์ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 3-5 ปีที่จะถึงนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงแรม สามารถเข้าชมได้ทางเว็บไซต์ https://www.ihg.com/hotelindigo/hotels/us/en/reservation หรือสามารถดาวน์โหลดแอป IHG One Rewards เพื่อสำรวจสิทธิประโยชน์พิเศษจากโปรแกรมสมาชิก และสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงผ่านการทัวร์ 360 องศา ที่จะพาคุณเดินทางสำรวจโรงแรม และสถานที่สำคัญในรอบๆ