เหล่าคนดังร่วมงาน กาล่า ดินเนอร์ ฉลองครบรอบ 20 ปี บู๊ทส์ ในประเทศไทย

Alternative Textaccount_circle

ดื่มด่ำค่ำคืนอันสุดแสนพิเศษกันถ้วนหน้าในโอกาสครบรอบ 20 ปี บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย จึงจัดงานกาล่า ดินเนอร์
เฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ พร้อมด้วยบรรยากาศสุดโรแมนติกคลอจังหวะของเสียงเพลงอันไพเราะจากวงดนตรีแจ๊สของโรงเรียนนานาชาติแฮร์โรว์ และมิวสิคัลโชว์สไตล์ฟีลกู๊ดตามแบบฉบับของบู๊ทส์ เพื่อต้อนรับคณะผู้บริหารจากวอลกรีนส์ บู๊ทส์ อลิอันซ์ รวมทั้งเหล่าคู่ค้าพันธมิตร ศิลปินดาราชื่อดังระดับประเทศ อาทิ แหม่ม-คัทลียา กระจ่างเนตร, หน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์, แอน ทองประสม, มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง, ฐิสา-วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร และเหล่าเซเลบริตี้ ที่มาร่วมเป็นเกียรติในครั้งนี้อย่างคับคั่ง อาทิ ณิชชา บุณยากร, อรชุมา ดุรงค์เดช, พญ.กนกวรรณ เศรษฐพงศ์วนิช, ปรนนท์ ฐิตะวรรโณ, เมลนีย์ ศิรจินดาภิรมย์, ทศ จิราธิวัฒน์ ฯลฯ

 

มร.ดีน ทอมป์สัน ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคเอเชีย อินเตอร์เนชั่นแนล รีเทล วอลกรีนส์ บู๊ทส์ อลิอันซ์ กล่าวว่า “บู๊ทส์ มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพและบริการระดับมืออาชีพเพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ให้แก่คนไทยทั้งด้านสุขภาพและความงามเสมอมา นับเป็นเวลาถึง 20 ปีแล้วที่คนไทยได้ให้ความไว้วางใจคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจากบู๊ทส์ เรายังคงเดินหน้าที่จะมอบสุขภาพที่ดี และสร้างแรงบันดาลใจด้านความงามอย่างต่อเนื่องให้กับลูกค้าอีกหลายรุ่นต่อไปในอนาคต”

   

ภายในงานกาล่า ดินเนอร์ตกแต่งด้วยความหรูหราร่วมสมัย โดยมีตัวแม่แห่งวงการเพลงอย่าง รัดเกล้า อามระดิษ มาโชว์พลังเสียงกับบทเพลงคลาสสิกแสนไพเราะให้กับแขกในงาน โดยบู๊ทส์ได้เชิญ 2 นักแสดงคุณภาพที่เป็นเพื่อนรักคู่ซี้แห่งวงการบันเทิง แหม่ม-คัทลียา กระจ่างเนตร และหน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวมิตรภาพ ความรักความผูกพันตลอด 20 ปี ของทั้งคู่แก่ผู้ร่วมงาน

โดย แหม่ม-คัทลียา กล่าวว่า วันนี้เราสองคนมาร่วมแสดงความยินดี เนื่องในโอกาสที่บู๊ทส์ ประเทศไทยฉลองครบรอบ 20 ปีในฐานะที่แหม่มและหน่อยรู้จักและเป็นเพื่อนสนิทกันมากว่า 20 ปีแล้วเหมือนกัน เราเจอกันครั้งแรกที่งานแฟชั่นโชว์ จริงๆ ต่างคนต่างแอบปลื้มผลงานกันและกันมาก่อนเจอตัวจริงเสียอีก พอมีผลงานละคร จนมีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น เราเห็นกันมาตลอด โตมาด้วยกัน เหมือนกับที่บู๊ทส์ ดูแลคนไทยมาตลอด 20 ปี เป็นเหมือนเพื่อนและครอบครัวที่สนิท คอยดูแลเอาใจใส่กัน ทั้งเรื่องสุขภาพและความสวยความงามแก่เรามาโดยตลอดเลยค่ะ”

 

ด้านหน่อย-บุษกร เล่าว่า “เมื่อก่อนเวลาไปอังกฤษก็จะฝากกันซื้อของที่ร้านบู๊ทส์ตลอด พอบู๊ทส์มาเปิดสาขาที่เมืองไทยก็ดีใจมากๆ เลยค่ะ วางใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ในร้านบู๊ทส์มีคุณภาพและเลือกสรรมาแล้ว หน่อยแวะไปซื้อของประจำไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เด็ก ของใช้สำหรับตัวเองและสามี รวมไปจนถึงยาและวิตามินต่างๆ เภสัชกรและพนักงานก็บริการดีมีโปรโมชั่นพิเศษมาสร้างความรู้สึกฟีลกู๊ดให้ลูกค้าอยู่เสมอ ขอบคุณร้านบู๊ทส์ที่อยู่เป็นเพื่อนคอยดูแลกันมายาวนานกว่า 20 ปีค่ะ”  

ในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปีในประเทศไทย บู๊ทส์ยังได้บริจาคเงินจำนวน 1 ล้านบาทให้แก่บ้านแกร์ด้า มูลนิธิสิทธิเด็ก องค์กรอิสระไม่หวังผลกำไร ที่ให้ความช่วยเหลือดูแลเยาวชนและเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอชไอวีที่พ่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ในประเทศไทย และยังได้บริจาคเครื่องกระตุ้นหัวใจกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ จากเงินสมทบทุนของเหล่าพนักงานบู๊ทส์ ประเทศไทยอีกด้วย ติดตามกิจกรรมดีๆ จากบู๊ทส์ได้ที่www.facebook.com/bootsthailand และ www.th.booth.com

นิโคล – หนุ่ม รักไม่มีขวากหนาม คุยเรื่องแต่ง เพราะคู่เราไม่ได้เล่นๆ แฮ็ปปี้ 2 คุณแม่ถูกคอกลายเป็นซี้

นิโคล เทริโอ เผย 2 ครอบครัวพบหน้าราบรื่น 2 คุณแม่คุยถูกคอ กลายเป็นเพื่อนซี้ รับคุยหนุ่ม – ศรรามเรื่องแต่งงาน หากจัดจริงคงไม่ใหญ่ ขอเอาเงินส่งลูกเรียนดีกว่า

2 ครอบครัวพบกันพร้อมหน้าพร้อมตา

ถึงก่อนหน้านี้คู่รักรุ่นใหญ่ นิโคล เทริโอ และหนุ่ม – ศรราม เทพพิทักษ์ จะมีปัญหาจนจอดับไปบ้าง แต่ดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ ล่าสุดรักคืบหน้าไปใหญ่แล้ว เพราะ 2 ครอบครัวมีโอกาสได้เจอกัน แถมงานนี้นักร้องสาวยังเปรยว่าคุณแม่ของตนและหนุ่มเข้ากันได้ดีมาก จนตอนนี้กลายเป็นเพื่อนซี้กันแล้ว

เส้นทางรักไร้อุปสรรคแบบนี้ หลายคนเลยลุ้นว่าทั้งคู่จะมีข่าวดีหรือเปล่า ซึ่งในเรื่องนี้นิโคล เทริโอ ได้ตอบในงานพิธีเปิด อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ธ คู่ฟ้า ภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งเธอจะว่าอย่างไรนั้น ไปติดตามกันเลย

คุณแม่นิโคล และคุณแม่หนุ่ม – ศรราม กลายเป็นเพื่อนซี้กัน

ล่าสุดมีภาพ 2 ครอบครัวเจอกันแล้ว?
“ใช่ค่ะ ตอนนี้ท่านทั้ง 2 คนก็สนิทกัน คุยกันถูกคอมาก เขาก็ลืมเราไปเลย ไม่คุยกับเราเลย เขาคุยกัน 2 คน บรรยากาศวันนั้นก็ดีค่ะ เป็นครอบครัวดี เพราะว่าเรามีความสุขเวลาเห็นคุณแม่เรามีความสุข เหมือนพอคุณแม่เริ่มอายุมากขึ้นเขาไม่ค่อยได้เจอใคร ส่วนใหญ่ก็จะไปคนเดียวหรือไปกับลูก ทีนี้พอได้เจอเพื่อนรุ่นเดียวกันแล้วคุยกันถูกคอ เราเห็นก็ปลื้มดีเนอะ”

อันนี้เราตั้งใจให้มาเจอกันเป็นพิเศษไหม?
“คือบ้านเราอยู่ใกล้กันอยู่แล้ว ก็เจอกันอยู่แล้ว ตอนนี้แม่ 2 คนก็โทร.คุยกันแล้ว ซี้กันไปแล้วเรียบร้อย ตอนนี้ก็มีโอกาสเจอกันบ่อยค่ะ”

ผู้ใหญ่มีฝากฝังให้ดูแลกันและกันไหม?
“อันนี้ไม่ทราบค่ะ แต่คงมีแหละ คือเขาคุยกันเอง แต่ไม่รู้คุยอะไรกัน มันต้องมีบ้างแหละ”

นิโคลดูแล 2 คุณแม่เป็นอย่างดี

ตอนนี้ก็ดูแฮ็ปปี้กันทั้ง 2 ครอบครัว มีวางแพลนกันบ้างไหม?
“อันนี้เดี๋ยวอัพเดตกันไปเรื่อยๆ แล้วกันค่ะ เรื่องแต่งงานอีกครั้ง กี้เคยให้สัมภาษณ์ไปนานมากแล้ว จริงๆ ความสุขมันอยู่ในใจของเรา และการที่ทุกคนเข้ากันได้ดีและมีความรักให้กัน ซึ่งมีงานหรือไม่มีงาน จริงๆ มีงานก็ดีแหละ ถ้าจะมีจริงๆ ก็อาจจะเป็นอะไรที่เล็กๆ เพราะว่าความสำคัญอยู่ที่ใจ และยังไงมันคือครอบครัวแล้วละ แต่ถ้ามีงานก็คงไม่ใหญ่โต เก็บเงินให้ลูกเรียนต่อดีกว่า คือตอนนี้เราจะนึกถึงตรงนี้มากกว่า”

เรื่องนี้มีการพูดคุยกับพี่หนุ่มไหม?
“มีคุยกันนิดหน่อยค่ะ”

แสดงว่าพี่หนุ่มพร้อมแล้ว?
“อย่างที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไปว่าเราไม่ได้คบกันเล่นๆ ก็มีจุดหมายเป้าหมายอยู่ค่ะ”

พอเขาเริ่มคุยเรื่องนี้มากขึ้น เรารู้สึกยังไงบ้าง?
“ก็รู้สึกดีค่ะ แต่ไม่ได้รู้สึกว่า อุ้ย…อะไรอย่างนี้ รู้สึกดีค่ะที่ให้เกียรติเรา พี่หนุ่มเป็นคนทำอะไรมีการวางแผนแล้วทำจริง ถ้าจะจัดงานหรือมีงานขึ้นมาคงจะเป็นเพราะเราให้เกียรติผู้ใหญ่ได้รับรู้ตรงนี้ แต่ว่าเรื่องรายละเอียดตรงนี้เดี๋ยวขออนุญาตอัพเดตไปเรื่อยๆ แล้วกันค่ะ ตอนนี้มันยังอยู่ในขั้นตอนต้นๆ ค่ะ”

นิโคล เทริโอ

ความรักหวานขึ้นเรื่อยๆ?
“มันก็เท่าเดิมค่ะ ไม่ได้เป็นกราฟขึ้นลงมากมาย เพราะโตแล้ว ถามว่าเขาเป็นคนสวีตไหม ก็สวีตแบบว่าทำคลิปให้อะไรประมาณนี้ค่ะ เขาไม่ได้เป็นคนหวาน เป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกคนค่ะ ทุกคนเห็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น และก็เป็นกับทุกคนด้วย ส่วนคลิปที่พี่เขาทำให้ก็น่ารักดีค่ะ เพราะเขาให้จากความจริงใจ”

หนุ่ม – นิโคลโชว์หวาน

ถ่ายแบบคู่กับน้องทิกเกอร์?
“ใช่ค่ะ เป็นการถ่ายแฟชั่นวันแม่ที่ผ่านมาค่ะ เขาเพิ่งส่งหนังสือมาให้ ก็เลยรีบลงในไอจี เป็นครั้งแรกที่ถ่ายแบบกับทิกเกอร์ตอนที่เขาโตด้วย เพราะเรามีแต่รูปตอนท้อง ตอนคลอด ตอนทิกเกอร์ 1 เดือน 1 ขวบ 5 ขวบ อะไรแบบนี้ หลังจากนั้นก็เบรกยาวเลยค่ะ”

ทิกเกอร์โตเป็นหนุ่มแล้วหล่อมาก?
“ขอบคุณค่ะ จริงๆ เราเห็นก็ไม่ได้ดูตัวเองเท่าไหร่ จะดูรูปลูกว่าลูกเราก็โตแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก ตอนนี้ก็มีคนชม แต่ทิกเกอร์ไม่ค่อยชมแม่แล้วเดี๋ยวนี้” (หัวเราะ)

อบอุ่น รู้สึกถึงความเป็นครอบครัว

มีงานถ่ายแบบติดต่อมาเยอะไหม?
“ก็มีนิดหน่อย เป็นแบบแม่ – ลูก เพราะเขาสูงมาก แล้วตอนนี้ 175 เซนติเมตรแล้วมั้ง อายุ 12 ขวบ จะสูงไปไหน” (ยิ้ม)

เขาชอบงานในวงการมากน้อยแค่ไหน?
“ตอนนี้เขาชอบตีกลอง เล่นกีตาร์ แล้วเดี๋ยวขอเล่นเบสละ คือจะเป็นทั้งวงเลยคนเดียวค่ะ มาทางสายดนตรี ถามว่ามีประกวดอะไรบ้างไหม ยังค่ะ ส่วนใหญ่จะเล่นของงานโรงเรียนอย่างเดียวค่ะ เราก็สนับสนุนเต็มที่ค่ะ ไม่ใช่ดนตรีอย่างเดียว กีฬาก็เล่น เขาชอบเล่นบาสเกตบอลด้วย เดี๋ยวจะให้เตะบอลนิดหนึ่ง ถามว่าเขาสนใจไหม ก็สนใจนะคะ”

คุณแม่คนสวย

เรื่อง : SnowBlack

ภาพจาก IG : @sornram_theappitak,@nicole_officialaccount

มาด้วยใจ หมีเซียะ กัลยาณมิตรที่แท้จริงของคนไทย

เพื่อนแท้ของชาวไทย หมีเซียะ นักแสดงชื่อดังแดนมังกร เดินทางมาเมืองไทยเพื่อเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โรเจอร์ วู และหมีเซียะ ภาพจากข่าวสด

เมื่อเร็วๆนี้ราชินีหนังกำลังภายใน หมีเซียะ หรือมิเชล ยิม ไหว่หลิง นักแสดงหญิงชื่อดังชาวฮ่องกงในยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ได้เดินทางมาประเทศไทยพร้อมกับโรเจอร์ วู พิธีกรรายการท่องเที่ยวชื่อดังของฮ่องกง เพื่อเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

ภาพจากข่าวสด

โดยดาราชื่อดังวัย 62 ปีเผยว่า เธอตั้งใจที่จะเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพโดยเฉพาะ ซึ่งเธอยังได้กล่าวเสริมว่ารู้สึกเคารพในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นอย่างมาก และทราบว่าพระองค์ท่านทรงทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยอย่างมหาศาล เข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงรักพระองค์ท่าน และหมีเซียะยังบอกอีกว่ารู้สึกซาบซึ้งที่เห็นคนไทยมากราบสักการะพระบรมศพกันมากมาย

เมื่อครั้งมีระเบิดกลางกรุง หมีเซียะมาช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยเพื่อฟื้นคืนเศษฐกิจ โดยการเดินทางมาในครั้งนี้เป็นความประสงค์ของเธอเอง และไม้ได้รับค่าตัวแต่อย่างใด

สำหรับหมีเซียะเป็นดาราจีนที่ผูกพันกับเมืองไทยมาอย่างยาวนาน นอกจากผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ในเมืองจีนแล้ว เธอยังเคยนำแสดงในภาพยนตร์ของไทยถึง 3 เรื่อง ปี 2523 เรื่องหงส์หยก, สิงห์จ้าวพยัคฆ์ รวมถึงปี 2525 กับเรื่องนักฆ่าขนตางอน

หมีเซียะ และสรพงษ์ ชาตรี ในภาพยนตร์เรื่องหงส์หยก

นอกจากผลงานทางการแสดงของดาวค้างฟ้าแดนมังกรแล้ว ในเวลาที่ประเทศไทยประสบปัญหา เธอยังให้กำลังใจและเดินทางมาทำกิจกรรมดีๆหลายโครงการ นอกจากนี้เธอยังเคยให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเมืองไทย และยังกล่าวอีกว่าเธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนไทยไปแล้ว

17 ปีที่เฝ้ารอ ธีธัช จึงกานต์กุล-ดร.เพ็ญประภา เกื้อชาติ วิวาห์สุดอลังที่ละครบรอดเวย์กลางกรุง

ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท เนรมิตโรงแรมหรูให้เป็นโรงละครบรอดเวย์กลางกรุง สำหรับความรัก 17 ปีที่รอคอยของเจ้าบ่าว วิ่ง – ธีธัช จึงกานต์กุล ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง กรรมการผู้จัดการบริษัทจาร์ตัน กรุ๊ป จำกัด และเจ้าสาว กระตั้ว – ดร.เพ็ญประภา เกื้อชาติ ซึ่งบรรยากาศภายในงานวิวาห์ที่ฝ่ายเจ้าบ่าวทุ่มงบมหาศาลเพื่อเจ้าสาวครั้งนี้ก็ตระการตาไปด้วยฉาก แสงสีเสียง ราวกับอยู่ในโรงละครบรอดเวย์จริงๆ เลย 

งานวิวาห์หนึ่งครั้งในชีวิต คู่รักเซเลบ วิ่ง-ธีธัช จึงกานต์กุล และกระตั้ว-ดร.เพ็ญประภา เกื้อชาติ จึงขอสร้างปรากฏการณ์สุดอะเมซิ่งเป็นความทรงจำดีๆ ต่อกัน เริ่มจากภาพถ่ายพรีเวดดิ้งที่ได้ช่างภาพ ณัฐวุฒิ อนันตสุคนธ์ แห่ง Luvdays Studio มาเป็นผู้คิดออกแบบและลงมือทำทุกขั้นตอนตั้งแต่เรื่องจัดแสง สี อารมณ์ ถ่ายภาพ ทั้งภาพพรีเวดดิ้งสไตล์นู้ดและแบบเพ้นต์ตัว ในขณะทางส่วนเพ้นต์ตัวนั้นก็ได้หนึ่งในทีมงานของ Luvdays Studio เป็นศิลปินชาวนอร์เวย์ Hilde Marie Johansen มาเนรมิตแปลงโฉมให้คู่บ่าวสาวนี้

โดยทั้งคู่ยอมถ่ายนู้ดเพ้นต์ตัวเป็น “นกยูงสีน้ำเงิน” และ “นกยูงขาว” ซึ่งผลงานดูอาร์ตและสวยงามเฉพาะตัว ซึ่งก็ควบคู่ไปกับการจัดงานวิวาห์ที่ได้เนรมิตห้องจัดเลี้ยงฉลองงานวิวาห์ให้กลายเป็นโรงละครบรอดเวย์ ที่มีทั้งวงดนตรีออร์เคสตราแบบเต็มวง นักดนตรี และนักแสดงผู้ใหญ่และเด็กราว 100 ชีวิต ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติระดับวีไอพีกว่า 1,000 คน ณ ห้องนภาลัย บอลรูม โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ

สำหรับความรู้สึกของคุณวิ่ง – ธีธัช เจ้าบ่าวดีกรีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ทายาทเจ้าสัวชัยวัฒน์ จึงกานต์กุล ผู้ก่อตั้งบริษัทผู้ผลิตและส่งออกอุปกรณ์และระบบสำหรับอาคารครบวงจรภายใต้แบรนด์ JARTON ได้เปิดเผยถึงการจัดงานวิวาห์ครั้งนี้ว่า เกิดจากความรักที่เขามีให้เจ้าสาวที่เคยพบกันครั้งแรกเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ก่อนความรักของทั้งคู่จะค่อยๆ เบ่งบานขึ้นกลายเป็นคู่รักว่า

“เรื่องของสินสอดที่นำมาสู่ขอเจ้าสาว หลักๆ ก็จะเป็นคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เป็นเรือนหอของเราสองคน รวมไปถึงทองคำแท่ง เงินสด และเครื่องประดับอีกหลายรายการ แต่ผมขออนุญาตไม่พูดถึงมูลค่าของสินสอดว่าเท่าไร เพราะมูลค่าเหล่านั้นไม่สำคัญ หรือสามารถนำมาเทียบได้กับความรู้สึกดีๆ และประสบการณ์ที่เราสองคนแบ่งปันกันมาตั้งแต่วันแรก เปรียบได้กับแหวนแต่งงานที่ผมสวมให้เจ้าสาวในวันนี้ เพราะเป็นแหวนเก่าที่มีเรื่องราวของคุณพ่อและคุณแม่บันทึกอยู่ โดยแหวนเพชรวงนี้เป็นของคุณแม่ของผมที่คุณพ่อสั่งทำให้เป็นพิเศษเมื่อ 20 ปีก่อน น้ำหนักของเพชรเกือบ 2 กะรัต มูลค่ายากจะประเมินค่าได้ในวันนี้ เพราะเป็นแหวนเก่าที่ส่งต่อความรักของคุณพ่อและคุณแม่มาให้ผมกับเจ้าสาว

“มาถึงเรื่องของแรงบันดาลใจในการถ่ายพรีเวดดิ้งที่ทำให้หลายๆ คนรู้สึกฮือฮา ซึ่งผมและกระตั้วตัดสินใจที่จะยอมถ่ายนู้ด เพื่อการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต โดยศิลปินชาวนอร์เวย์มาเป็นผู้รังสรรค์และเพ้นต์ร่างกายของเราสองคนให้เป็นนกยูงในแบบที่ไม่เคยมีเจ้าบ่าวและเจ้าสาวคนไหนเคยทำมาก่อน ที่เราทั้งคู่ตัดสินใจทำเช่นนั้นก็เพราะเราสองคนรู้สึกว่านี่คือตัวของเราที่สุด เราเกิดมาตัวเปล่า เวลาที่เรารักใครสักคน เราก็ไม่อยากให้มีอะไรมากีดขวาง หรือคั่นกลางระหว่างเราสองคน และนี่ก็ถือเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจสุดท้าทายครั้งนี้ขึ้นมา

“ส่วนอีกเหตุผล เราสองคนรู้สึกว่าถ้าเราไม่มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มมาสื่อความหมายแทนเรา สีสันบนร่างกายและใบหน้าของเราก็สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสื่อความหมายที่ชัดเจนได้ดีที่สุด และไม่ต้องหาคำอธิบายใดๆ ได้อีก ขณะเดียวกันลวดลายที่ถูกเพ้นต์บนร่างกายของเราสองคนก็มีความหมายที่สะท้อนและเชื่อมเราสองคนเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ผมบอกทางศิลปิน นอกเหนือจากความเป็นแฟนซีที่ทำให้เราทั้งคู่รู้สึกว่ากำลังอยู่ในโลกแห่งจินตนาการให้มากที่สุด เพราะนี่คือโอกาสเดียว และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่เราสองคนจะได้ทำ” เจ้าบ่าวหนุ่มเล่า

เช่นเดียวกับฝ่ายเจ้าสาว กระตั้ว ดร.เพ็ญประภา เกื้อชาติ เล่าถึงเหตุผลของธีมการจัดงานแต่งงานที่นำนกยูงมาเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้างานจะเห็นนกยูงตัวใหญ่ยืนรำแพนหางสวยคอยต้อนรับทุกคนที่มาร่วมงาน

ก็เป็นเพราะว่านกยูงมีความงามสง่าเฉพาะตัว และยังมีความหมายไปถึงเรื่องของความรักที่มองเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน ซึ่งก็เหมือนกับเราสองคนที่เห็นคุณค่าในตัวของกันและกัน ทำให้เราอยากให้ทุกคนที่มาร่วมงานครั้งนี้ได้สัมผัสและรับรู้ถึงความหมายที่สื่อออกมาเหล่านี้ด้วย แต่กว่าที่จะได้ธีมงานที่ว่านี้ออกมาได้ เราสองคนต้องคุยต่อยอดกันตลอด และโชคดีมากที่มุมมองของเราไม่ต่างกันมาก ‘วิ่ง’ จะเป็นคนคิดหลักเบื้องต้น ส่วนตัวของ ‘ตั้ว’ ก็จะมาคอยเก็บรายละเอียดและเก็บตกในตอนท้าย”

นอกจากนี้ภายในงานฉลองวิวาห์ของทั้งคู่ยังสุดตระการตาด้วยฉาก แสงสีเสียง งานนิทรรศการเรื่องราวความรัก สื่อมัลติมีเดียที่มาพร้อมกับการจัดแสดง Snow Owl” นกคู่รักตัวจริงที่หายาก และยังเป็นนกที่เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและความโชคดี มาเป็นตัวแทนส่งมอบความสุข ความรัก และความโชคดีให้แขกผู้ร่วมงานทุกคน รวมถึงมีวงออร์เคสตรา พร้อมฮาร์ป (Harp) จำนวน 25 ชิ้น วงคอรัส 28 คน นักแสดงโชว์ และนักบัลเลต์เด็ก รวมแล้วมีมากกว่า 100 คนมาร่วมสร้างสีสันภายในงานไปพร้อมๆ กับการดำเนินพิธีการต่างๆ บนเวที ที่เชื่อมโยงกับการแสดงในองก์ต่างๆ ที่เริ่มต้นด้วยการบอกเล่าเรื่องราวของคู่รัก “วิ่ง” และ “กระตั้ว” เรื่อยไปจนถึงการพบกันของคนทั้งคู่ และมุมมองความรักในแง่มุมต่างๆ ตลอดจนความสมหวังในความรัก

และปิดท้ายด้วยความสนุกสนานแบบแฮ็ปปี้เอนดิ้งที่มีนักร้องหน้ากากเต่า “ปนัดดา เรืองวุฒิ” มาสร้างความสนุกปิดท้าย รวมการแสดงแล้วทั้งสิ้น 8 องก์ จนทำให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนรู้สึกเหมือนกับได้เข้ามานั่งอยู่ภายในโรงละครบรอดเวย์

อย่างไรก็ดี ภายในงานยังเซอร์ไพร้ส์แขกผู้ร่วมงานด้วยการจับฉลากผู้โชคดีแจก “สร้อยคอทองคำ” แทนการโยนช่อดอกไม้ ที่คู่บ่าว – สาวมีจุดประสงค์เพื่อให้แขกทุกคนได้มีส่วนร่วมในงานวิวาห์ครั้งนี้ ที่ไม่ใช่เฉพาะแค่สาวโสดเท่านั้น

“เพราะทุกคนคือคนสำคัญของเรา เราจึงนำกุญแจดิจิทัลล็อก JARTON ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประตูสู่ความสำเร็จมาให้แขกที่เข้าร่วมงานทุกคนได้มีโอกาสลุ้นรับสร้อยคอทองคำ หากการ์ดที่ถืออยู่สามารถเปิดล็อกกุญแจได้สำเร็จ แต่สำหรับผู้ที่เปิดไม่ได้ เราก็มีรางวัลปลอบใจเป็นขนมคันนา แบรนด์ของน้องสาวแทน” เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเล่าพร้อมกับบอกด้วยว่า นอกจากสร้อยคอทองคำแล้ว ทั้งคู่ยังได้เตรียม “รังผึ้ง” ตัวแทนความรักแสนหวาน และยาอายุวัฒนะกว่า 1,000 ชิ้นให้แก่แขกผู้ร่วมงานแทนการตัดเค้กด้วย

อาจเรียกได้ว่างานวิวาห์หวานที่รอมานานกว่า 17 ปี ระหว่าง “วิ่ง ธีธัช จึงกานต์กุล” และ “กระตั้วดร.เพ็ญประภา เกื้อชาติ” เป็นงานแต่งงานสุดอลังการที่สุดซึ่งเกิดขึ้นในรอบปีที่มาพร้อมความคิดสร้างสรรค์ เป็นงานวิวาห์งานแรกและงานเดียวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ไม่ซ้ำใครมาก่อนอย่างแท้จริง

 


เรียบเรียงโดย: บะหมี่กุ๊งกิ๊ง_แพรวดอทคอม

แม่น้ำดานูบ

ROMANTIC DANUBE

แม่น้ำดานูบ
แม่น้ำดานูบ

ขอชวนเที่ยวตามสายน้ำกันค่ะ คือ แม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายยาวอันดับสองของยุโรป ไหลผ่านประเทศอันงดงามถึง 10 ประเทศ ตั้งแต่บริเวณป่าดำไปจนจรดทะเลดำ อันเป็นจุดสิ้นสุดของสายน้ำ โดยในการชวนเที่ยวตามสายน้ำครั้งนี้ ดิฉันเลือกพาคุณผู้อ่านไปแวะเที่ยวเมืองสวยๆ รายทางกันค่ะ

St. Francis of Assisi Church

Start @Vienna

เริ่มต้นกันที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรียที่มีประวัติอันยาวนาน เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิออสโตร – ฮังกาเรียน สถานที่แรกที่น่าชมคือริม แม่น้ำดานูบ ซึ่งมีโบสถ์ใหญ่สะดุดตาด้วยรูปทรงคล้ายปราสาทและหลังคายอดแหลมสีแดง ชื่อว่าโบสถ์เซนต์ฟรานซิสแห่งอะซีซี่ (St. Francis of Assisi Church) เป็นโบสถ์คาทอลิกในสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จขึ้นครองราชย์ครบ 50 ปีของจักรพรรดิฟรานซ์โจเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย จากโบสถ์แห่งนี้แวะเข้าไปเที่ยวชมใจกลางกรุงเวียนนาหน่อยค่ะ

ระหว่างทางเห็นชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเวียนนา มีความสูงถึง 212 ฟุตหรือ 65 เมตร สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1827 ในสมัยจักรพรรดิฟรานซ์โจเซฟที่ 1 เช่นกัน แล้วก็มาถึงที่ที่ดิฉันตั้งใจพามาชมค่ะ คือ มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen’s Cathedral) มหาวิหารในสไตล์กอทิกอันอลังการ และหลังคามหาวิหารแห่งนี้เป็นลวดลายเรขาคณิต ทำจากกระเบื้องโมเสกหลากสีกว่า 200,000 แผ่น นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเวียนนา อีกส่วนที่โดดเด่นมากๆ ของมหาวิหารแห่งนี้คือ หอคอยทางทิศใต้ที่ยอดบนสุดประดับด้วยมงกุฎทองคำกับเหยี่ยวคู่ อันเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ราชวงศ์ที่ปกครองออสเตรียและยุโรปตะวันออกนานกว่า 6 ศตวรรษ

เมื่อชมมหาวิหารนี้จนอิ่มใจแล้ว สามารถช็อปปิ้งได้อย่างจุใจเช่นกัน เพราะมหาวิหารนี้อยู่ใกล้ทั้งถนนคาร์นท์เนอร์ (Kärntner Straße) ซึ่งเป็นถนนที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่างๆ มากมาย และถนนกราเบน (Graben) ถนนช็อปปิ้งที่มีทั้งร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และก่อนจะจากกรุงเวียนนาไป ไม่ควรพลาดที่จะหาเวลาไปชมพระราชวังเบลเวเดียร์ (Belvedere Palace) พระราชวังฤดูร้อนของเจ้าชายยูจีนแห่งซาวอย แม่ทัพราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใครๆ มาที่นี่ต้องตั้งใจมาชมภาพเขียนแบบอาร์ตนูโวอันโด่งดังชื่อ The Kiss ของกุสตาฟ คลิมต์ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีมาร์เบิลฮอลล์ (Marble Hall) สำหรับจัดแสดงโอเปร่าอีกด้วย

ไหนๆ ก็ชวนคุณผู้อ่านมาชมพระราชวังฤดูร้อนแล้ว จะไม่ชมพระราชวังฤดูหนาวด้วยก็กระไรอยู่ แวะไปชมพระราชวังฮอฟบวร์ก (Imperial Palace – Hofburg) ซึ่งส่วนของพระราชวังเก่านั้นสร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์บาเบนเบิร์ก ต่อมาเมื่อราชวงศ์ฮับส์บูร์กเข้ามาปกครองก็ได้ต่อเติมส่วนต่างๆ ออกไปอีกหลายส่วน ด้านหน้าพระราชวังเก่ามีพระราชานุสาวรีย์ของจักรพรรดิฟรานซ์โจเซฟที่ 1 ประดิษฐานอยู่ ปัจจุบันพระราชวังฤดูหนาวแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์และโรงเรียนสอนขี่ม้าแบบสเปน

Dürnstein AbbeyImperial Palace - Hofburg

Dürnstein Abbey

Beautiful @Dürnstein

จากกรุงเวียนนา ล่องตามสายน้ำดานูบมาอีกนิด จะพบกับเมืองสวยของออสเตรียอีกเมือง ชื่อว่าดูร์นสไตน์ (Dürnstein) เมืองที่ได้รับยกย่องว่าเป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ในแง่ความสวยงามตามธรรมชาติและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ นั่นเพราะเมืองดูร์นสไตน์มีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ย้อนไปถึงสมัยปี ค.ศ. 1150 เมื่อป้อมปราการหินแห่งแรกสร้างขึ้น ณ จุดที่ปัจจุบันเป็นซากปรักหักพังของปราสาทโดยตระกูลกึนริงเกอร์ (Kuenringer) ผู้ที่ปกครองอาณาเขตแถบนี้จนถึงปี ค.ศ. 1355

ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ยังมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ หรือริชาร์ดใจสิงห์ (Richard I “The Lionheart”) ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อปี ค.ศ. 1192 ระหว่างที่ริชาร์ดใจสิงห์เดินทางกลับจากการสงครามครูเสดครั้งที่ 3 และผ่านมาทางเมืองนี้ พระองค์ถูกศัตรูของพระองค์ เลโอโปลด์ที่ 5 แห่งออสเตรีย จับเป็นเชลย และถูกขังไว้ในปราสาทดูร์นสไตน์เป็นเวลาถึง 14 เดือน ว่ากันว่าไม่มีใครทราบเลยว่าพระองค์ถูกขังไว้ที่ใด จนกระทั่งนักร้องประจำพระองค์ที่ชื่อว่าบลอนเดล (Blondel) ออกเดินทางร้องเพลงไปทั่วทุกปราสาทที่อยู่ในเขตที่เคยเป็นสนามรบของพระองค์ ในที่สุดเมื่อมาร้องเพลงที่ปราสาทในดูร์นสไตน์ เขาได้ยินเสียงร้องเพลงตอบ จึงทราบว่าพระองค์ถูกขังอยู่ที่นี่

ในใจกลางเมืองนี้มีสถานที่ที่ตั้งชื่อเป็นที่ระลึกแก่บลอนเดลด้วยนะคะ คือ โรงแรมแซงเกอร์บลอนเดล (Hotel Sänger Blondel) มีเหล็กสีทองทำเป็นรูปนักร้องดีดพิณอยู่ด้านหน้าด้วย แต่เนื่องจากปัจจุบันปราสาทแห่งนี้เหลือเพียงซากปรักหักพังจากการทำลายของกองทัพสวีเดนเมื่อปี ค.ศ. 1645 ดิฉันจึงขอพาคุณผู้อ่านไปชมสถานที่ที่ยังสวยงามอยู่ดีกว่า คือ อารามออกัสติเนียน (Augustinian Abbey) หรือสติฟต์ ดูร์นสไตน์ (Stift Dürnstein) ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอคอยสีน้ำเงินขาวอันสะดุดตาตั้งแต่ล่องมาตาม แม่น้ำดานูบ แล้ว เป็นโบสถ์แบบบาโรก ตกแต่งภายในด้วยไม้แกะสลักสวยงาม ส่วนกลางของโบสถ์ทางด้านทิศตะวันออกมีหน้าต่างกระจกสีเป็นรูปไข่ที่มีรูปพระผู้เป็นเจ้า อันเป็นสัญลักษณ์ของการรู้แจ้งเห็นจริง สว่างใสด้วยแสงอาทิตย์ที่ทะลุผ่าน เมื่อขึ้นไปบนระเบียงโบสถ์สามารถชมวิวเมืองได้โดยรอบ

จากโบสถ์เดินมาอีกไม่ไกล (เพราะเมืองเล็กนิดเดียวค่ะ) ก็เจอกับถนนฮอปต์สตราส (Hauptstraße) ถนนสายหลักที่มีบ้านเรือนแบบโบราณตั้งอยู่ บางหลังย้อนกลับไปถึงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 และสองข้างของถนนสายนี้เป็นร้านรวงและโรงแรมเล็กๆ ที่ตกแต่งด้านหน้าไว้สวยงาม และตลอดริมฝั่งแม่น้ำดานูบจะเห็นต้นแอพริคอต ซึ่งเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของเมืองดูร์นสไตน์แห่งนี้ หวานและฉ่ำมาก

Melk Abbey

เมืองลินซ์ (Linz)

Attractive @Melk

ถัดจากเมืองดูร์นสไตน์ไม่ไกลนัก เราก็มาถึงเมืองเมลค์ (Melk) อีกเมืองสวยและเป็นเมืองมรดกโลกของออสเตรียริมดานูบที่มีสถานที่สำคัญที่ต้องมาชมคือ โบสถ์ขนาดใหญ่สีเหลืองตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าใส ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินเขา โบสถ์นี้ชื่อว่าอารามเมลค์ (Melk Abbey) เหตุที่มีความใหญ่โตโอฬารขนาดนี้ เพราะเดิมทีถูกสร้างด้วยจุดมุ่งหมายให้เป็นปราสาทของราชวงศ์บาเบนเบิร์ก ผู้ครองอาณาจักรออสเตรีย ก่อนจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก แต่ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 เลโอโปลด์ที่ 2 ได้มอบปราสาทนี้ให้กลุ่มนักบวชนิกายเบเนดิกติน

เมื่อมาถึงด้านหน้าของโบสถ์ใหญ่แห่งนี้ เราจะเห็นรูปปั้นของนักบุญเลโอโปลด์ (St. Leopold) ตั้งอยู่บนแท่นสูงทางด้านขวา และนักบุญโคโลแมน (St. Coloman) บนแท่นสูงทางด้านซ้าย ส่วนที่ดิฉันว่าน่าทึ่งมากๆ ของโบสถ์แห่งนี้คือ ห้องสมุดอลังการที่มีผนังรอบด้านเป็นชั้นหนังสือทำจากไม้อย่างสวยงาม บนเพดานสูงเป็นภาพเขียนสีบนปูนเปียกสไตล์เฟรสโก้ที่ใช้สีได้อย่างกลมกลืนกับผนังไม้และทองรอบๆ บอกเล่าเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ฝีมือของพอล โทรเจอร์ (Paul Troger) ว่ากันว่าภายในมีหนังสือถึง 100,000 เล่มทีเดียว มีต้นฉบับตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 9 – 15 ถึง 1,200 ชิ้น และคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 18 ถึง 600 ชิ้น และมีสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีเรียงพิมพ์ในยุโรประหว่าง ค.ศ. 1450 – 1501 ถึง 750 ชิ้น ซึ่งเป็นระยะ 50 ปีแรกที่มนุษย์คิดค้นการเรียงพิมพ์ขึ้น น่าทึ่งมากๆ

ต่อจากห้องสมุด เป็นส่วนของโบสถ์ใหญ่ที่ตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยภาพเขียนสีบนปูนเปียกและเครื่องประดับประดาต่างๆ ในโทนสีทอง สีส้ม สีเหลือง สีเทา และสีเขียว สถาปัตยกรรมแบบบาโรกภายในโบสถ์แห่งนี้ถือว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในออสเตรีย นับเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการเป็นห้องต้อนรับแขกของพระเจ้าจริงๆ

เมืองสวยต่อมาบนแม่น้ำดานูบคือ เมืองลินซ์ (Linz) เมืองหลวงของออสเตรียตอนบนที่มีประวัติยาวนานไปถึงสมัยโรมัน จึงเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายมาเป็นพันๆ ปี และยังเป็นเมืองที่ทั้งโมสาร์ทและบีโธเฟนเคยมาประพันธ์บทเพลงซิมโฟนีของพวกเขาที่นี่ และไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องรื่นรมย์เท่านั้นที่เกิดขึ้นที่เมืองลินซ์ ประวัติศาสตร์อันโหดร้ายก็เกิดขึ้นที่นี่ เพราะอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เรียนหนังสือที่เมืองลินซ์ แล้วรักเมืองนี้มาก จึงเป็นเหตุให้เมืองนี้ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรถล่มด้วยระเบิดอย่างหนักเมื่อปี ค.ศ. 1945 ดังนั้นเมื่อเดินเข้ามาถึงบริเวณจัตุรัสใจกลางเมืองจะเห็นตึกใหญ่สีโอลด์โรส เลขที่ 1 ฮอปต์พลาตซ์ (Hauptplatz) ระเบียงของตึกนี้เองเป็นที่ที่ฮิตเลอร์มายืนประกาศให้ออสเตรียเป็นของเยอรมนี ปัจจุบันตึกนี้เป็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว

ฝั่งตรงกันข้ามจะเห็นอนุสาวรีย์ที่เป็นเสาสูง เรียกว่า The Central Trinity Column สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1723 เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ผู้เสียชีวิตในภัยพิบัติโรคระบาดครั้งใหญ่ เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอบ้านเลขที่ Altstadt 17 ที่โมสาร์ทมาอยู่และประพันธ์บทเพลงซิมโฟนีหมายเลข 36 Linzer โดยใช้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้น โมสาร์ทกล่าวว่า เหตุเพราะดนตรีลอยอยู่ทั่วไปในอากาศแล้ว เขาเพียงมีหน้าที่นํามาเขียนลงไปเท่านั้น เขาจึงไม่ต้องใช้เวลาในการประพันธ์นาน

เมื่อเราเข้ามาบริเวณเขตเมืองเก่าของลินซ์ จะเห็นว่ามีร้านขายเหล้าเรียงรายสองข้างทาง คุณไกด์บอกเราว่าร้านเหล่านี้เพิ่งปิดไปเมื่อตีสี่นี่เอง แต่หน้าร้านสะอาดสะอ้านไร้ร่องรอยใดๆ เนื่องจากทุกร้านที่นี่เขาทำความสะอาดหน้าร้านของเขาก่อนปิดพักผ่อนเสมอ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีจริงๆ

ก่อนจะจากลินซ์ไป ต้องบอกคุณผู้อ่านสักนิดว่า สะพานทอดข้ามแม่น้ำดานูบที่เมืองนี้เคยเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลกเมื่อปี ค.ศ. 1845 – 1855 ชื่อสะพานนิเบลอังเกนบรูค (Nibelungenbrücke) ค่ะ

Old City Hall

The End @Bratislava

ดิฉันขอปิดท้ายการพาเที่ยวท่องล่องดานูบด้วยกรุงบราติสลาวา (Bratislava) เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย เมืองหลวงที่ใหม่ที่สุดของยุโรป เพราะเพิ่งเป็นเมืองหลวงเมื่อปี ค.ศ. 1993 นี่เอง หลังจากในอดีตต้องมีสภาพเป็นสนามรบแย่งชิงอำนาจระหว่างฮังการี ออสเตรีย และจักรวรรดิเตอร์กิชอยู่หลายศตวรรษ ปัจจุบันกรุงบราติสลาวาสวยงาม สงบ เหมาะกับการเดินท่องเที่ยวชมอาคารบ้านเรือนแบบบาโรก ซึ่งก่อสร้างอย่างใหญ่โตอลังการตั้งแต่สมัยที่เป็นเมืองหลวงของฮังการีเมื่อปี ค.ศ.1536 – 1784

ขอเริ่มที่จุดชมวิวที่ดีที่สุด คือ ปราสาทบราติสลาวา ในอดีตเคยเป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 907 สวยจนไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งสมัยทำสงครามกับนโปเลียนเคยถูกไฟเผาทำลาย ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา จึงสามารถชมวิวทั้งเมืองได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว จากที่นี่เราไปชมศาลาว่าการเมืองเก่า (Old City Hall) กัน อาคารสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 อันสวยงาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ของเมือง ใกล้กันนั้นเป็นที่ตั้งของอัพโพนยีเฮ้าส์ (Apponyi House) สถานที่จัดแสดงประเพณีการปลูกองุ่นและทำไวน์ของบราติสลาวา ติดกันเป็นพระราชวังไพรเมต (Primate’s Palace) ที่เป็นสถาปัตยกรรรมแบบนีโอคลาสสิก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1778 – 1781 เป็นที่ตั้งของฮอลล์ออฟมิเรอร์ส (Hall of Mirrors) สถานที่ที่ใช้ในการลงนามสนธิสัญญาเพรสบูร์ก (The Treaty of Pressburg) เมื่อปี ค.ศ. 1805 ที่ทำให้บราติสลาวาถูกนโปเลียนลดฐานะจากการเป็นเมืองหลวงของฮังการี กลายเป็นแค่เมืองหนึ่งเท่านั้น ทุกวันนี้พระราชวังแห่งนี้เป็นแกลเลอรี่แสดงภาพวาดและพรมที่ทอขึ้นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1630

จากนั้นเดินข้ามเมืองมาอีกฟากฝั่งถนน จะพบกับมหาวิหารเซนต์มาร์ติน (St. Martin’s Cathedral) มหาวิหารที่ใช้ในการประกอบพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ฮังการีหลายศตวรรษ ภายในมหาวิหารเป็นศิลปะแบบกอทิกที่มีบาโรกแทรกอยู่บางส่วน จุดที่น่ารักของเมืองนี้คือ ถนนที่มุ่งมาสู่มหาวิหารแห่งนี้มีรูปมงกุฎสีทองเล็กๆ ติดไว้กลางถนนเป็นระยะๆ เป็นสัญลักษณ์ของทางไปสถานที่สวมมงกุฎกษัตริย์ค่ะ หลายเมืองในยุโรปมักจะมีสิ่งเล็กน้อยแต่น่ารักเช่นนี้อยู่เสมอ อ้อ! ก่อนจะมาถึงตอนจบบริบูรณ์ของการเที่ยวท่องล่องดานูบที่ปิดท้ายที่กรุงบราติสลาวา ต้องบอกว่ามาที่นี่อย่าลืมแวะมาถ่ายรูปกับรูปปั้นนโปเลียนขนาดเท่าคนจริง ที่กำลังยืนเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ หมวกปิดตา ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสกลางของเมือง ชาวสโลวักเขาทำขึ้นมาล้อเลียนนโปเลียนซึ่งเคยยกทัพมาตีบราติสลาวาถึงสองครั้งสองครา

เมืองงามตามริมฝั่งแม่น้ำดานูบที่ดิฉันพาเที่ยวชมยังคงตราตรึงใจ และแอบหวังว่าคงจะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณผู้อ่านคว้ากระเป๋าก้าวขึ้นเครื่องบินมาเที่ยวตามน้ำกันบ้างนะคะ

 

เรื่องและภาพ : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับที่ 914

 

 

3 เดือนแล้วที่แม่จากไป “ปันปัน – เต็มฟ้า” ควงพ่อปุ๊ถ่ายรูปวันรับปริญญา

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ขาดหายไปอยู่บ้าง แต่ชีวิตนับจากนี้ของสาวน้อย ปันปัน – เต็มฟ้า ลูกสาวของพี่แหวน – ฐิติมา นักร้องหญิงร็อคที่จากไปเมื่อหลายเดือนก่อน ก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแรงให้ได้มากที่สุด

สวย เก่ง และแกร่งจริงๆ แถมยังทำหน้าที่ลูกได้ดี จนในที่สุดน้องปันปัน – เต็มฟ้า กฤษณายุธ ลูกสาวของพี่แหวนก็เรียนจบเป็นบัณฑิตใหม่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว โดยมีคุณพ่อปุ๊และเพื่อนชายคนสนิทมาร่วมถ่ายรูปแสดงความยินดีด้วย

สวย เก่ง และมีความรับผิดชอบตัวเองได้ดีแบบนี้ เชื่อว่าคุณแม่แหวนคงดีใจและหายห่วงลูกสาวคนนี้ไม่น้อยเลย

ภาพ : IG@panpantemfah

 

 

ไปรษณีย์ไทย เปิดตัวแสตมป์ ‘100 ปี ไตรรงค์ธงไทย’ ความภาคภูมิใจบนแสตมป์

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดตัวตราไปรษณียากรที่ระลึก 100 ปีธงไตรรงค์ รับวันพระราชทานธงชาติไทย และวาระการฉลองครบรอบ 100 ปี ของการประกาศใช้ธงไตรรงค์เป็นธงประจำชาติ โดยแสตมป์เป็นภาพบันทึกเรื่องราววิวัฒนาการธงชาติไทยแต่ละยุคสมัย ภาพพื้นหลังเป็นพระบรมมหาราชวังและธงทิวโบกสะบัด ชนิดราคาดวงละ 3 บาท ซองวันแรกจำหน่าย 11 บาท ผู้สนใจสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ณ ที่ทำการไปรษณีย์ ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มีความตั้งใจในการเผยแพร่ความรู้สู่เยาวชนและสังคมในแง่มุมต่างๆ ผ่านเรื่องราวบนดวงแสตมป์ โดยล่าสุดเตรียมจัดกิจกรรมไฮไลต์ ในรายการแสตมป์เสวนา ‘ไตรรงค์บนดวงตรา…จากท้องฟ้าสู่ผืนน้ำ’ นำเสนอเกร็ดความรู้คู่แสตมป์ภาพธงชาติ และเรื่องราวของธงไตรรงค์ รวมถึง ‘เจ้าไตรรงค์’ ปลากัดไทยลวดลายธงชาติ พร้อมช้อปแสตมป์ โปสการ์ด และสิ่งสะสมที่เกี่ยวข้องกับธงชาติอีกมากมาย โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้ ในวันเสาร์ที่ 30 กันยายน 2560 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก

“ลาเนจ มอบเงินบริจาค 3 แสนบาท ให้มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์”

มร.วุง ชอย กรรมการผู้จัดการบริษัท อมอร์แปซิฟิค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดูแลผลิตภัณฑ์ “ลาเนจ” เข้ามอบเงินบริจาคจากโครงการ LANEIGE-REFILL ME โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วอเตอร์สลีปปิ้งมาส์กในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จำนวน 300,000 บาท มอบให้ “มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์” และ 100,000 บาท มอบให้ “มูลนิธิชัยพัฒนา” เพื่อนำไปพัฒนาแหล่งน้ำดื่มในถิ่นธุรกันดารในประเทศไทย โดยมี  ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานผู้รับมอบ ณ มูลนิธิชัยพัฒนา

ย้อนดู 4 ละครพีเรียด พลอย – ภัทรากร ว่าที่ทนายสาว กำลังน่าชังในบทเจ้าละอองคำ รากนครา

กำลังน่าชังกับบทเจ้าละอองคำ ในละครรากนคราเลยทีเดียว สำหรับนักแสดงสาวหน้าใส พลอย – ภัทรากร ตั้งศุภกุล สาวเหนือที่แจ้งเกิดและเริ่มเป็นที่รู้จักจากละครซีรี่ส์สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอนคุณชายรัชชานนท์ 

โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาได้ประมาณ 4 ปีแล้ว สำหรับว่าที่ทนายสาว พลอย – ภัทรากร ตังศุภกุล ที่เริ่มแจ้งเกิดจากบท จันทา หรือตารเกศ วงสะหวัน ในละครซีรี่ส์สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอนคุณชายรัชชานนท์ เมื่อปี 2556 ถึงแม้เส้นทางขาข้างหนึ่งจะอยู่ในวงการบันเทิง แต่อีกข้างหนึ่งสาวพลอยก็ยังลุยทำตามฝัน โดยกำลังศึกษาเนติบัณฑิตเพื่อเตรียมสอบตั๋วทนายเอาไว้ด้วย โดยเธอนั้นสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกียรตินิยมอันดับ 2

ย้อนไปบทจันทา หลายคนคงชอบใบหน้านักแสดงสาวหน้าใสคนนี้กันไม่น้อย ซึ่งเธอก็เป็นสาวเหนือ เกิดที่จังหวัดลำพูน เวลาได้มาแสดงละครแนวพีเรียดแล้วได้สวมใส่ชุดไทย ชุดย้อนยุค ก็จะให้ความรู้สึกเข้ากับเธอไม่น้อย โดยตอนนี้สาวพลอยก็กำลังแสดงฝีมือให้คนชมอีกครั้งในบทเจ้าละอองคำ ละครรากนครา ซึ่งความร้ายที่มาในคราบสาวน้อยหน้าใสในเรื่องก็ทำให้แฟนๆ ถึงกับหมั่นไส้และชังเธอไม่น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นเลยคือ สาวพลอยใส่ชุดไทยเหนือได้งามแต๊ๆ วันนี้ แพรวดอทคอม เลยพาย้อนไปดูความสวยที่เธอเล่นละครแนวย้อนยุคพีเรียดกันว่าที่ผ่านมามีเรื่องอะไรบ้าง

เปิดกันที่ปี 2556 กับซีรี่ส์ สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอนคุณชายรัชชานนท์ ที่ทำให้หลายคนรู้จักสาวพลอย โดยเรื่องนี้เธอรับบทเป็นจันทา หรือตารเกศ วงสะหวัน ประกบคู่กับท็อป – จรณ โสรัตน์ ที่รับบทเป็นเจ้ารังสิมันต์ นอกจากจะเห็นใบหน้าสวยหวานของพลอยแล้ว ยังได้เห็นมุมลุยๆ ในเนื้อเรื่องที่ต้องลุยน้ำ บุกป่าร่วมกับแต้ว – ณฐพร และบอม – ธนิน อีกด้วย

ต่อมาปี 2557 ละครเรื่อง เวียงร้อยดาว สาวพลอยรับบท ดาหลา ผู้หญิงเรียบร้อย เจียมตัว เป็นลูกบุญธรรมและเป็นพยาบาลส่วนตัวของดำรง ประกบคู่ท็อป – จรณ รับบท ปรมัตถ์ อีกครั้ง เรื่องนี้สาวพลอยต้องประกบนักแสดงรุ่นใหญ่หลายคน รวมถึงต้องเล่นฉากอารมณ์หนักกว่าเรื่องคุณชายรัชชานนท์ จึงทำให้เรื่องนี้ถือเป็นความท้าทายเพิ่มขึ้นอีกก้าวหนึ่งสำหรับสาวพลอย ซึ่งเรื่องนี้มีตัวละครค่อนข้างมาก ความสำคัญและความโดดเด่นของตัวละครจึงต้องแบ่งๆ กันไป โดยคู่พลอย – ท็อปเป็นคู่ที่มีความหวานต่อกันในเรื่อง

ตามมาติดๆ ในปี 2558 กับละครเรื่อง หนึ่งในทรวง ที่ได้ญาญ่า – อุรัสยา และเจมส์ – จิรายุ มาเป็นพระ – นางประกบคู่กันครั้งแรก เรื่องนี้สาวพลอยรับบทเป็น พรรณี พนัสพงษ์ จบจากคณะครุศาสตร์ เป็นคุณครูสอนที่โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นลูกคุณนายนวล แสดงโดย เง็ก – กัลยา เจ้าของตลาดใหญ่ มีทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้สาวพลอยก็จะรับบทเป็นสาวเงียบๆ ชอบเล่นดนตรีไทย และสนิทกับญาญ่า

จาก 3 เรื่องด้านบนจะเห็นว่าสาวพลอยมักจะได้รับบทสาวเรียบร้อย ดูอ่อนโยน เงียบๆ จนกระทั่งมาปี 2560 นี้ กับละครเรื่อง รากนครา ที่รับบทเป็นเจ้าละอองคำ จึงได้เห็นความสามารถที่ฉีกจากผลงานครั้งก่อนๆ ที่เธอมาในแบบร้ายใสๆ จนแฟนละครถึงกับเอ่ยปากว่าร้ายกว่าใจเริง (เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ) ก็เป็นละอองคำนี่แหละ ซึ่งเรื่องนี้แฟนๆ ยังได้เห็นสาวพลอยที่เป็นสาวเหนือมาอู้กำเมืองให้ฟังกันด้วย

 

 


เรื่อง: บะหมี่กุ๊งกิ๊ง_แพรวดอทคอม
ภาพ: IG @ployptk #คุณชายรัชชานนท์, https://huongduong1412.blogspot.com/2014/03/wallpaper-wiang-roy-dao.html, http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2012/11/A12940205/A12940205.html

งานแต่งลูกสาว เสี่ยตัน น้องกิ๊ฟ – พร้อมพงษ์ วิวาห์ริมทะเลสุดโรแมนติก

ทายาทอิชิตัน กิ๊ฟ – วริษา ภาสกรนที เข้าประตูวิวาห์กับ พร้อมพงษ์ หนุ่มนักธุรกิจ ด้านคุณพ่อ เสี่ยตัน อิ่มเอมสุข! ปลื้มลูกสาวได้คนรู้ใจมาเติมเต็มชีวิต

เสี่ยตัน ส่งลูกสาวเข้าประตูวิวาห์

หลังจากก่อนหน้านี้เศรษฐีหมื่นล้าน คุณตัน ภาสกรนที เจ้าพ่อชาเขียวของเมืองไทยได้สร้างความฮือฮาด้วยการประกาศเรียกค่าสินสอดลูกสาว กิ๊ฟ – วริษา ภาสกรนที เพียง 44,000 บาทเท่านั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 60 ทั้งคู่ได้คู่มือวิวาห์ริมชายทะเลในบรรยากาศสุดโรแมนติก ที่โรงแรมวิลล่า มาร็อก รีสอร์ท ปราณบุรี ซึ่งเป็นโรงแรมของครอบครัว ภาสกรนที ท่ามกลางความยินดีปรีดาของครอบครัวและเพื่อนๆ

กิ๊ฟ – วริษา ภาสกรนทีและ นักธุรกิจหนุ่ม พร้อมพงษ์
ทำพิธีริมทะเล
คุณพ่อ เจ้าสาว-เจ้าบ่าว ร่วมเต้นอย่างสนุกสนาน
วิวาห์บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ
หวานมากคู่แต่งงานป้ายแดง
เพื่อนๆร่วมยินดีปรีดา

ในเวลาต่อมาช่วงเช้าของวันที่ 25 ก.ย. 60 กิ๊ฟ – วริษา และ พร้อมพงษ์ เจ้าบ่าวนักธุรกิจ ได้จัดพิธีตามขนบธรรมเนียมประเพณี ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์ค นายเลิศ ก่อนในช่วงค่ำมีงานฉลองมงคลสมรส โดยในงานฉลองแต่งมีพิธีกรก็คือโน้ต – อุดม แต้พานิช ซึ่งในช่วงของการกล่าวอวยพรคู่บ่าวสาว โน๊ตได้เชิญ คุณตัน ซึ่งเป็นคุณพ่อเจ้าสาวกล่าวขอบคุณและอวยพรลูกสาวสุดที่รักบนเวทีด้วย โดยคุณตันกล่าวว่ารู้สึกเหมือนมีใครมาควักอะไรออกไปจากอก ขณะเดียวกันยังเผยว่า ชีวิตของ กิ๊ฟ มีทุกอย่างแต่ไม่ได้มาก แต่ในส่วนที่ขาดคือความพร้อม ซึ่งวันนี้ดูเหมือนว่าเขาก็มีแล้ว (เจ้าบ่าวชื่อ พร้อมพงษ์)

พิธีตามขนบธรรมเนียมประเพณี ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์ค นายเลิศ
งานแต่งลูกสาว เสี่ยตัน น้องกิ๊ฟ – พร้อมพงษ์
ซีนเจ้าบ่าว-เจ้าสาว หวาน
อีกหนึ่งช็อคซึ้งคุณพ่อ-คุณลูก
เสี่ยตัน อวยพรลูกสาว

สำหรับ กิ๊ฟ – วริษา และหนุ่มนักธุรกิจ พร้อม – พร้อมพงษ์ คบหาดูใจกันมา 3-4 ปี โดยทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่สมัยที่ไปศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศอังกฤษนั่นเอง

ลุคออกเดท “เมแกน มาร์เกิล” สวยเท่ ไม่ต้องประดิษฐ์ใส่แบรนด์ไฮเอนด์ แบบนี้แหละมัดใจเจ้าชาย

ควงคู่กันออกเดทให้เห็นกันจะจะอย่างเป็นทางการ จนมีข่าวออกมาว่าทั้งคู่หมั้นหมายกันแล้ว สำหรับเจ้าชายแฮร์รี่ หนุ่มรูปงามแห่งราชวงศ์อังกฤษ กับดาราสาวชาวอเมริกัน “เมแกน มาร์เกิล”

เมแกน มาร์เกิล เธอเป็นหญิงสาวที่แลดูเรียบง่ายมากๆ ดูจากสไตล์การแต่งตัวแล้ว เธอก็ไม่ได้จำกัดว่าลุคของเธอต้องใส่แต่ไฮแบรนด์ระดับโลกเสมอไป อย่างลุคนี้ที่ควงคู่กับเจ้าชายแฮร์รี่ เธอเลือกใส่เป็นเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ มีกระเป๋ากับแว่นกันแดดเป็นไอเท็มเสริม ซึ่งแต่ละชิ้นขอบอกไว้ก่อนเลยว่าราคาไม่ได้แพงเว่อร์อย่างที่คิด

The Husband Shirt ของแบรนด์ MISHA NONOO ราคา 185$
แว่นกันแดดแบรนด์ Finlay & Co. London ราคา 120 ยูโร
กระเป๋าจากแบรนด์ Everlane รุ่น The Day Market Tote ราคา 165$

แต่ละชิ้นพอคิดเป็นเงินไทย ราคาก็ไม่ได้แพงมากนะ และไม่ใช่ไอเท็มที่ลิมิเต็ดเอดิชั่นอะไรเลย แต่ชีก็เลือกแมตช์แต่ละอย่างซะดูดี สวยๆแบบนี้ วางตัวธรรมดาและเป็นธรรมชาติ แบบนี้ละมั้งถึงมัดใจเจ้าชายแฮร์รี่ได้

ภาพ : IG#royalcouple

 

จัดมาให้เลือก 20 แบบชุดเจ้าสาวเปิดไหล่ครบทุกอารมณ์

account_circle

แพรว wedding เคยนำเสนอชุดเจ้าสาวแบบเปิดไหล่จากบทความ ‘สวยบาดใจกับชุดแต่งงานเปิดไหล่สุดเซ็กซี่‘ ที่แนะนำระดับความเปิดไหล่ใหเกับสาวๆ ได้เลือกตามความต้องการและเหมาะสมของแต่ละคนไปแล้ว มาในวันนี้ จัดมาให้อีกครั้งกับ ชุดเจ้าสาวเปิดไหล่ ซึ่งเป็นสไตล์ของการเปิดไหล่ต่างๆ ที่บอกเลยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นสาวเปรี้ยวที่อยากโชว์ความเซ็กซี่ในวันงานเราก็มีให้ หรือถ้าคุณคือสาวหวานที่อยากเปิดไหล่หน่อยๆ พอให้เขารู้ว่าคุณก็มีดีเหมือนกัน เราก้จัดมาเสิร์ฟ ชอบแบบไหนไปเลือกได้เลย รับรองว่าสวยงามทุกแบบ

ชุดเจ้าสาวเปิดไหล่ในสไตล์เจ้าหญิงแสนหวานที่ความพิเศษอยู่ที่ช่วงอกรูปหัวใจและแขนเสื้อแบบไหล่ตกที่จับเป็นชั้นแล้วดูหวานแต่มีรายละเอียด

แม้จะเป็นชุดแแต่งงานแบบแขนยาวก็เปิดไหล่ได้ ซึ่งที่เข้ากันได้ดีของคุณนี้คือ การเปิดไหล่โดยให้ช่วงหน้าอกตัดตรงและใช้ผ้าลูกไม้ลายละเอียดเป็นกิมมิคสำคัญ

ชุดเจ้าสาวเปิดไหล่ของสาวอวบที่ชอบชุดสีชมพูอ่อนๆ ก็สามารถหวานได้ไม่ยาก

บอกเลยว่าชุดเจ้าสาวแบบเปิดไหล่ชุดนี้ช่วยให้คุณเจ้าสาวดูมีความสง่าและหรูหราขึ้นในพริบตา แม้ผ้าที่ใช้ไม่ใช่ลูกไม้ แต่ดีไซ์ของเนื้อผ้าที่ใช้ในการโอบไหล่ทำให้ชุดนี้ดูดีมีราคามาก

บอกเลยว่าชุดเจ้าสาวเปิดไหล่ชุดนี้ ให้ความเซ็กซี่กับเจ้าสาวทุกรูปร่าง เพราะลักษณะของแขนเสื้อที่ออกแบบให้ดูเหมือนผ้าตกๆ แบบไม่ตั้งใจนี่แหละ ให้อารมณ์น่าค้นหาสุดๆ

ชุดนี้ต้องยกป้ายให้กับเจ้าสาวแสนหวานที่มีความเรียบร้อยเป็นทุนเดิม เพราะลักษณะการนำผ้าโปร่งมาโอบไหล่ทั้งสองข้างแบบนี้ ยังช่วยคงคาแรกเตอร์ความหวานแบบคีพลุค

เอาใจสาวอวบกันบ้าง ที่แม้อยากจะเปิดไหล่แต่ก็ไม่กล้าเปิดแบบเต็มๆ ถ้าอย่างนั้น แพรว wedding ขอเสนอ ชุดเจ้าสาวเปิดไหล่ที่มีแขนเสื้อแบบล้ำๆ นิดๆ ค่ะ

เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการเปิดไหล่ที่บอกเลยว่าดูดีและดูแพงมากมาย เพราะด้วยการจับคู่ทรงชุดกับเนื้อผ้าที่คัดแล้วว่าเข้ากัน ทำให้การเปิดไหล่ในครั้งนี้ดูดีไม่มีที่ติ

เจ้าสาวหุ่นเอ็กซ์แบบมีเอวมีสะโพก จับคู่กับชุดแต่งงานทรงหางปลาก็เพิ่มความเซ็กซี่น่าค้นหาอีกนิดด้วยการเปิดไหล่แบบนี้

ใส่รายละเอียดให้กับการเปิดไหล่ด้วยการใช้ผ้าลูกไม้ระบายที่แขนเสื้อทั้งสองข้างแบบนี้ การันตีกว่าการเปิดไหล่โชว์ผิวสวยของคุณจะได้รับการตอบรับดีเยี่ยมแน่นอน

แชร์เทคนิครักษาเสื้อผ้าโทนดำไม่ให้ซีดจาง โดย “หนุ่ม – อภิวัฒน์” กูรูแฟชั่นแถวหน้าของไทย

แฟชั่นของผู้ชายส่วนใหญ่ก็มีอยู่ไม่กี่สี อย่างขาว ดำ เทา แต่สีที่ฮิตที่สุดสำหรับหนุ่มๆ ก็คงเป็นสีดำ เพราะใส่ง่าย เรียบๆ สามารถแมตช์กับอะไรก็ได้ แต่ปัญหาของเสื้อผ้าสีดำก็คือเมื่อเราใช้ไปนานๆ สีจะซีดมาก จากดำก็กลายเป็นขาวได้เลย เห็นละเพลียทุกที วันนี้เราเลยมีเทคนิคดีๆ มาแชร์ต่อกัน จริงๆ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเสื้อผ้าผู้ชาย เพราะผู้หญิงเองก็มีเสื้อผ้าโทนดำอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

ดังนั้นคนที่จะมาแชร์เทคนิคดีๆ แบบนี้ก็ต้องเป็นกูรูด้านแฟชั่นแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง หนุ่ม – อภิวัฒน์ ยศประพันธ์ ที่เข้ามาร่วมแคมเปญ Central Men With Style กับห้างเซ็นทรัล ชวนหนุ่มๆ มาอัพเดตลุคให้หล่อ เท่ มีสไตล์ พร้อมแชร์เทคนิคการรักษาเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายโทนสีดำประเภทต่างๆ ไม่ให้ซีดจืดจางมาฝากกัน จะมีเทคนิคอะไรบ้างนั้น ตามมาเลย

 

เสื้อยืด

1

เสื้อยืด TAKEO KIKUCHI ราคา 2,800 บาท

1

เสื้อยืด TAKEO KIKUCHI ราคา 2,000 บาท

1

เสื้อยืด Giordano ราคา 490 บาท

เสื้อยืดถือเป็นเครื่องแต่งกายเบสิกที่หนุ่มหลายคนมีติดตู้เสื้อผ้า เพราะสวมใส่สบาย เข้าได้กับการแต่งกายหลากหลายสไตล์ โดยเสื้อยืดสีดำไม่ควรตากในที่แดดแรง เพราะจะทำให้สีดำซีดเร็วขึ้น แต่การซักทำความสะอาดเสื้อยืดที่ผิดวิธีจะทำให้เสื้อตัวโปรดของหนุ่มๆ ยืดย้วยตามชื่อเลยทีเดียว ฉะนั้นการซักเสื้อยืดจึงไม่ควรขยี้หรือบิดแรงๆ แต่ควรบีบเพื่อให้น้ำไหลออกจากเสื้อ ที่สำคัญไม่ควรตากเสื้อยืดด้วยไม้แขวนเสื้อ เพราะจะทำให้เกิดรอยไม้แขวนเสื้อที่บริเวณหัวไหล่ โดยให้พาดระนาบไปกับราวตากผ้าแทน

 

เสื้อเชิ้ต

1

เสื้อเชิ้ต Brooks Brothers ราคา 4,200 บาท

1

 

เสื้อเชิ้ต ALUMNUS ราคา 1,790 บาท

1

เสื้อเชิ้ต DeFry 01 ราคา 1,590 บาท

อีกหนึ่งไอเท็มที่ช่วยเติมสไตล์ให้หนุ่มๆ ดูเนี้ยบขึ้นคือ เสื้อเชิ้ต โดยการดูแลรักษาเสื้อเชิ้ตสีดำนั้น ควรซักแยกกับผ้าสีอื่นๆ เพื่อป้องกันสีตกและไม่ให้เส้นใยจากผ้าสีอื่นมาติดกับเสื้อสีดำ นอกจากนี้ควรตากในที่ร่มลมโกรกและติดกระดุมเสื้อเม็ดบนเพื่อป้องกันเสื้อด้านบริเวณปกย่นหรือแบออก ส่วนการรีดเสื้อเชิ้ตนั้น ควรรีดจากด้านในโดยใช้ผ้ารองที่เตารีดเพื่อไม่ให้ความร้อนสัมผัสกับเสื้อโดยตรง ป้องกันการขึ้นเงา

 

สูทและเบลเซอร์

1

เบลเซอร์ G2000 ราคา 5,990 บาท

1

สูท Banana Republic ราคา 14,590 บาท

1

แจ็กเก็ต KAMIMURA ราคา 4,280 บาท

ในวันที่ไม่ได้ทำกิจกรรมหนักหรือไปเผชิญสิ่งสกปรก สูทและเบลเซอร์ตัวเก่งของคุณก็ไม่จำเป็นต้องซักแห้งทุกครั้งหลังใช้งานเสมอไป แค่ใส่ไม้แขวนเสื้อที่มีรองบ่าแล้วตากในที่ลมโกรก โดยกลับเสื้อด้านในออกเพื่อให้ระบายความชื้นที่เกาะติดอยู่ด้านในตัวเสื้อ และอย่าลืม! ก่อนที่จะใส่ทุกครั้งควรรีดด้วยเครื่องรีดไอน้ำ เพื่อลบรอยยับที่เกิดบนสูทหรือเบลเซอร์

 

เสื้อไหมพรม

 

เสื้อไหมพรม Banana Republic ราคา 2,990 บาท

1

เสื้อไหมพรม KAMIMURA ราคา 3,380 บาท

1

เสื้อไหมพรม G2000 ราคา 2,290 บาท

นานๆ ทีจะได้หยิบเสื้อไหมพรมออกมาใส่สักที ดังนั้นการเก็บรักษาเสื้อไหมพรมจึงต้องพิถีพิถันกันหน่อย โดยก่อนจะเก็บเข้าตู้ หนุ่มๆ ควรผึ่งเสื้อไหมพรมให้แห้งสนิทก่อน แนะนำให้เก็บด้วยการใส่ในถุงซิปล็อกและไล่อากาศออกให้ดี เพราะสามารถช่วยป้องกันเสื้อไหมพรมเป็นรูได้ นอกจากนี้เสื้อไหมพรมสีดำควรจะแยกเก็บจากเสื้อผ้าสีอื่น เพราะสีของเสื้อไหมพรมสีดำจะไปเลอะเสื้อผ้าสีขาว ซึ่งเกิดจากความชื้นในอากาศทำให้ผ้าเกิดการดูดสีกัน

 

กางเกง

กางเกงชิโน Banana Republic ราคา 2,990 บาท

1

กางเกงสแล็ก Banana Republic ราคา 5,990 บาท

1

กางเกงยีนส์ TAKEO KIKUCHI ราคา 5,500 บาท

1

กางเกง Giordano ราคา 990 บาท

กางเกงสีดำทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกางเกงยีนส์ กางเกงสแล็ก หรือกางเกงชิโน การซักและตากต้องกลับด้านในออกมา และอย่าลืมติดตะขอและกระดุมให้เรียบร้อย เพื่อให้กางเกงตัวเก่งของคุณเป็นทรง ไร้รอยย่น ที่สำคัญห้ามบิดกางเกงโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นใยผ้าของกางเกงเสียทรง แต่ให้สะบัดและตากในบริเวณที่ลมโกรกแทน

 

รองเท้า

รองเท้า Andrew Brown ราคา 13,695 บาท

1

รองเท้า Clarks ราคา 5,400 บาท

1

รองเท้า Hush Puppies ราคา 4,950 บาท

1

รองเท้า TAKEO KIKUCHI ราคา 4,300 บาท

แถมท้ายด้วยรองเท้าที่ใส่มาทั้งวัน สิ่งที่ต้องระวังคงหนีไม่พ้นเรื่องกลิ่นและความอับชื้น ดังนั้นหลังจากสวมใส่เสร็จแล้ว หนุ่มๆ ควรนำรองเท้าไปวางในที่ลมโกรกสักพักแล้วจึงนำเก็บเข้ากล่อง เพื่อระบายความชื้นด้านใน หากเป็นรองเท้าหนังก็ควรใส่ที่ดันทรงไว้ในรองเท้าทุกครั้ง ที่สำคัญ! ไม่ควรนำถุงเท้าใส่ไว้ในรองเท้าเพื่อไว้ใส่ในวันรุ่งขึ้น เพราะจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นจนหลายคนอาจจะต้องร้องยี้…นอกจากนี้ในวันหยุดควรนำรองเท้าหนังออกมาไว้นอกกล่องหรือในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อยืดอายุการใช้งานของรองเท้าให้นานขึ้น


 

ใครไม่อยากพลาดที่จะเพิ่มเติมไอเท็มเครื่องแต่งกายใหม่ๆ ให้ไม่ตกเทรนด์ ก็สามารถมาในงาน Central Men With Style ในคอนเซ็ปต์ Men In Black ระหว่างวันที่ 21 ก.ย. – 10 ต.ค. 60 ณ แผนกบุรุษ ห้างเซ็นทรัลทุกสาขา พร้อมมอบส่วนลดสูงสุด 30% เมื่อซื้อสินค้าปกติ นอกจากนี้ยังจัดบริการพิเศษสำหรับลูกค้าที่ช็อปครบตามเงื่อนไข ด้วยบริการถ่ายภาพเสมือนสตูดิโอแฟชั่นและเสิร์ฟกาแฟรสเลิศพร้อมมินิแบล็กเบอร์เกอร์ ให้หนุ่มๆ ได้เผยสไตล์ความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่

 

ความสำเร็จไร้ขีดจำกัด คุยนอกสนามกับหญิงเก่งรอบด้าน กวาดสถิติไตรกีฬานับไม่ถ้วน

เข้าสู่โลกการทำงานมาเป็นเวลา 7 ปี หลังสำเร็จการศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันชีวิตของสาวเก่งวัย 26 ปี “ญี่ปุ่น-ปภาวี อัศวดากร” ไม่ได้มีเพียงเส้นทางการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนตามแบบอาชีพของเธอเท่านั้น แต่เส้นทางที่เธอเลือกเพิ่มให้วิ่งตีคู่ไปข้างหน้าด้วยกัน ก็คือเส้นทางสายกีฬาที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้อง “ว่าย-ปั่น-วิ่ง” 3 อย่างในการแข่งขันเดียวตามฉบับนักไตรกีฬา

เพราะสุขภาพที่ดีต้องควบคู่ไปกับการใช้ชีวิต เมื่อถึงจุดที่ทำงานแล้วพบว่าสุขภาพเริ่มเดินถอยหลัง อ่อนเพลียง่ายก็เป็นสัญญาณที่ทำให้สาวร่างเล็กชื่อน่ารัก “ญี่ปุ่น-ปภาวี อัศวดากร” ลุกขึ้นมาจัดแจงวางแผนให้กับชีวิตตัวเอง ซึ่งเส้นทางสายกีฬาอย่าง “ไตรกีฬา” ที่เธอเลือกมานั้นก็มาจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ถูกปลูกฝังมาจากครอบครัว ความชอบและกิจกรรมที่ทำมาตั้งแต่สมัยเรียน จนปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ได้ทำให้เธอกลายเป็นนักไตรกีฬาที่ประสบความสำเร็จจากการแข่งขันตามรายการต่างๆ รวมถึงคว้าถ้วยรางวัลมาครองได้สำเร็จ

กว่าชีวิตที่ลงมือทำหลายด้านจะสำเร็จแบบนี้คงไม่ได้มีเพียงเรื่องถ้วยรางวัลที่น่าสนใจเท่านั้น แต่วิธีการจัดการ วางแผนชีวิต ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว รวมถึงประสบการณ์ระหว่างทางที่คุณญี่ปุ่นพบนั้นก็ล้วนเป็นเรื่องน่าสนใจ และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตยุคใหม่ได้ไม่น้อย วันนี้เราจึงจะพาไปนั่งคุยกับเธอภายใต้บรรยากาศสบายๆ ที่ร้าน The Hen and The Egg ย่านหลังสวน

เริ่มต้นมาเป็นนักกีฬา แข่งไตรกีฬาได้อย่างไร เพราะคุณญี่ปุ่นก็มีงานประจำที่ต้องรับผิดชอบด้วย

ญี่ปุ่น: ตอนญี่ปุ่นจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใหม่ๆ ก็เริ่มทำงานเลย ตอนนั้นยุ่งมาก เราไม่ค่อยได้มีเวลาออกกำลังกายเท่าไหร่ จริงๆ ก็เสียดายนะแต่เราก็ทุ่มเทกับงานมากเพราะเป็นงานแรก เสร็จแล้วพอทำงานไป 3 ปี เราอยากได้ Work-Life Balance ที่ดีขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าพอเราไม่ได้ออกกำลังกาย สุขภาพเริ่มแย่คือน้ำหนักอาจจะขึ้น รู้สึกว่าเหนื่อย เพลียง่าย ขึ้นบันไดก็เหนื่อย เราก็เลยกลับมาเริ่มดูแลตัวเอง

พอดีโชคดีที่ตัวเองมีพื้นฐานด้านกีฬาอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่ Shrewsbury International School ก็เป็นนักกีฬาอยู่ 6 ทีม เราเลยกลับมาเล่นกีฬาได้ง่ายขึ้น พอเราเปลี่ยนงาน แล้วงานนี้มันมี Work-Life Balance ที่ดีขึ้น คือเลิกงาน 6 โมง 6 โมงครึ่งอย่างนี้ค่ะ ก็เลยหันไปออกกำลังกาย เพื่อนๆ ก็ชวนมาขี่จักรยาน ตอนนั้นก็ไปปั่นจักรยานทั้งที่เขาใหญ่ ที่ Sky Lane ที่ตอนนั้นสนามเขียวเปิดแล้วรอบสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วก็เริ่มปั่นจักรยานมาปีนึง ก็มีเพื่อนๆ อีกแก๊งหนึ่งเล่นไตรกีฬา เขาก็ชวนเรามาเล่นไตรกีฬาไหม สนุกดีนะ ว่าย ปั่น วิ่ง เราก็มีพื้นฐานทั้ง 3 กีฬาอยู่แล้วก็โชคดี ก็เลยเริ่มกลับมาซ้อมกับกลุ่มนี้ชื่อว่า กลุ่ม Ironguides มีคนไทย 30 คนเล่นไตรกีฬาหมด หลายเลเวลเลยนะทั้ง Beginner Intermediate advanced ก็มาซ้อมด้วยกัน ตอนนี้ก็กลับมาซ้อมได้ 3 ปีแล้วค่ะ แล้วก็เริ่มแข่งมาเรื่อยๆ

เหตุผลที่เล่นต่อเนื่องมาหลายปี

ญี่ปุ่น: เหตุผลที่เล่นต่อเนื่องเนี่ย ส่วนหนึ่งเพราะมีเพื่อนเล่นแล้วมันสนุก แต่ละคนก็ช่วยกระตุ้นกันและกัน เป็นกำลังใจให้กันและกันในการซ้อม ผนวกกับการมีโค้ชส่ง Training Plan มาให้เรา คอยดูว่าแผนไหนเหมาะกับเรา มันก็ทำให้เราเร็วขึ้น เหนื่อยน้อยลงในเวลาเท่าเดิม มันก็ทำให้เรามีกำลังใจจากเพื่อน กำลังใจจากโค้ชที่ดี ตารางซ้อมที่ดี ทำให้เราแข็งแรงขึ้น น้ำหนักลด แล้วก็ทำเวลาเร็วขึ้นได้ ตอนแข่งครั้งแรกไม่ได้ถ้วยนะ ได้อันดับแย่ๆ เลย (หัวเราะ) พอเราซ้อมได้ประมาณ 2 เดือน เริ่มไปแข่งแมทช์แรกได้ที่ 2 ก็ฮึย! กำลังใจมา ดีใจมากเลยคือซ้อมมา 2 เดือน แล้วก็ได้ถ้วยด้วย ก็เลยฝึกฝนเรื่อยๆ มา ตอนแรกก็ซ้อม 6 วันต่อสัปดาห์ก่อน จนถึงตอนนี้ก็ซ้อม 7 วันต่อสัปดาห์ คือซ้อมทุกวันเลย “จริงๆ ได้ถ้วยมาก็เหมือนเป็นโบนัสอ่ะเนอะ แต่ที่แน่ๆ เราได้เพื่อน เราได้สุขภาพที่ดีขึ้น จึงเล่นได้มาต่อเนื่อง”

เล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กแบบนี้ เพราะสไตล์ครอบครัวเล่นกีฬาด้วยหรือเปล่า

ญี่ปุ่น: อ้า เป็นคำถามที่ดีเพราะว่าบางคนเนี่ย ครอบครัวไม่เล่นกีฬาเลย แต่ว่าญี่ปุ่นอาจจะโชคดีเพราะว่าคุณพ่อเคยเป็นนักแบดฯมาก่อน ตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อก็สอนแบดมินตันเราตั้งแต่ 5-6 ขวบ เขาก็สอนให้เราจับไม้ ตีๆ ดู เราก็พลาดบ้าง อะไรบ้างแต่เขาก็สอนเราจนเรามีพื้นฐาน คือสอนหลายๆ อย่างนะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่แน่ใจว่าลูกจะชอบอะไร จะชอบเหมือนเขาไหม หรือจะชอบแบบอื่น เขาก็ให้เรียนตั้งแต่ดนตรี กีฬา ศิลปะ เรื่องศิลปะเราก็ชอบ แต่ว่าดนตรีเนี่ย เราไม่ค่อยชอบ (หัวเราะ) พ่อแม่ก็เริ่มรู้ละว่าลูกเนี่ยน่าจะมาทางสายกีฬา เขาก็เลยให้เราไปเรียนว่ายน้ำ เล่นบาส เล่นแบด เรียนเทนนิสอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วเราก็มาชอบแนวแบดมินตัน ว่ายน้ำ ก็เลยเล่นตั้งแต่เด็กจนโตเลย แล้วก็เล่นกับน้องชาย คุณพ่อก็มีพื้นฐานกีฬาอยู่บ้าง ก็เลยทำให้เรารู้สึกชอบกีฬาไปด้วย แล้วก็มีพื้นฐานที่ดีจากการที่เขาปลูกฝังให้เราเรียนคลาสกีฬาต่างๆ ตั้งแต่เด็ก

จากเล่นไตรกีฬาตามปกติ แล้วเข้ามาอยู่ในกรุ๊ป Exclusive Triathlon by CIMB Preferred ที่เขาส่งไปแข่งขันในรายการต่างๆ ได้อย่างไร

ญี่ปุ่น: เริ่มจากเล่นไตรกีฬากับกลุ่ม Ironguides มาก่อนประมาณ 2 ปีกว่า แล้วพี่อู๋เป็นคนชวนเข้ามากลุ่ม CIMB Preferred มีพี่อู๋กับพี่รุจที่เขาอยู่ CIMB ทั้งคู่ ก็ชวนร่วมลงทุนด้วยและได้เข้าร่วม Training Camp ไตรกีฬาเราก็สนใจในด้านของการลงทุนอยู่แล้วเพราะว่าเราจบด้านการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีที่ธรรมศาสตร์ รวมถึงเรื่องของการรู้จักคนใหม่ๆ ที่อยู่ในวงการของด้านไตรกีฬาที่เขาก็สนใจด้านการลงทุน มันก็รู้สึกว่านี่เป็นการผสมผสานกันที่ดีเนอะ ทั้งได้เพื่อนใหม่และก็ได้คุยกันเรื่องลงทุน แล้วก็มาเล่นไตรกีฬากับคนใหม่ๆ มีทั้งคนที่ไม่เคยเล่นไตรกีฬามาก่อนเลย เพิ่งมาเล่นครั้งแรกก็เลยลองเข้าร่วมโปรแกรมนี้ดู ก็มีประมาณ 2-3 เดือน สนุกดี ได้เพื่อนใหม่ด้วย ได้เล่นกีฬาด้วย

แบ่งเวลาออกกำลังกายอย่างไร เพราะออก 7 วันต่อสัปดาห์เลย

ญี่ปุ่น: ดูเป็นคนบ้าพลังเลย (หัวเราะ) ก็ออกก่อนทำงานแล้วก็หลังเลิกงาน ทำอย่างนี้ประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์ คือตอนเย็นทุกวันแน่นอน แต่ว่าอาจจะวันอังคารถึงวันศุกร์ที่ซ้อม 2 มื้อก็คือ ทั้งก่อนเข้างานและหลังเลิกงานด้วย ทีนี้ซ้อมทุกวัน การซ้อมต่างกันหรือเปล่าก็ไม่เชิง เพราะโค้ชเราเขาจะมีแพลนทุกเดือน ทุกๆ อาทิตย์ไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยเราต้องว่ายน้ำ 2 วัน ปั่นจักรยาน 2 วัน วิ่ง 2 วัน แล้วก็อาจจะมีปั่นเสร็จแล้วลงมาวิ่ง เพื่อเวลาเราแข่งไตรกีฬา เราจะได้คุ้นเคยกับการทำ 3 อย่างต่อเนื่องกันเลย คือว่ายแล้วมาปั่น แล้วมาวิ่ง ถ้าเราซ้อมแยกกัน เราอาจจะไม่คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากปั่นไปวิ่ง มันใช้กล้ามเนื้อคนละส่วน เราจะทำยังไงให้ปั่นเสร็จแล้ว แล้วลงมาวิ่งได้อย่างต่อเนื่อง

ช่วงซ้อมหรือแข่งขัน เคยเจอสภาวะร่างกายไม่พร้อมไหม มีวิธีจัดการปัญหาตรงนั้นให้ผ่านไปได้อย่างไร

ญี่ปุ่น: มี ตอนแรกเราไม่มั่นใจเลย คือเราขาดซ้อมเพราะงานยุ่งจริงๆ แล้วก็ขาดซ้อมตามตารางไปเยอะแบบโอ้โห 3 วันบ้าง  5 วันบ้าง หรือหลายๆ ครั้งเราซ้อมได้ไม่ครบตามที่โค้ชบอกอย่างนี้ค่ะ บางทีไปทำงานที่สิงคโปร์แล้วก็กลับมาด่วน แล้ววันรุ่งขึ้นต้องแข่งเลยอย่างนี้ เราก็พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ร่างกายเราไหวในวันนั้นๆ เราก็ควรจะดีใจนะที่ว่าวันนี้เราทำเต็มที่ เราแข่งเต็มที่ ไม่ว่าผลจะออกมายังไง เราทำเต็มที่แล้ว ในกรณีถ้าวันนั้นเรานอนไม่พอจริงๆ เพราะว่างานเข้าแล้วก็ซ้อมไม่ทันทั้งอาทิตย์นั้นเลย หรือญี่ปุ่นเคยไม่สบาย เป็นไซนัสอักเสบ คุณหมอเขาห้ามว่ายน้ำ แล้วเป็นหวัด ไม่สบายด้วย เขาก็ห้าม หยุดไปเลย 2 อาทิตย์กว่า ฟิตเนสมันก็จะตกไป ก็แบบว่าฮึ่ย! ตอนนั้นทำยังไงดี แล้วต้องแข่งแล้ว ใกล้เวลาแข่งแล้ว รายการแข่งใหญ่ด้วย โค้ชเขาก็ให้กำลังใจแหละว่า มันทำอะไรไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ก็สู้เต็มที่ในสิ่งที่เราทำไหว สุดท้ายก็ใช้ได้ คือผลไม่ได้ออกมาดีเท่าที่โค้ชหรือเราคาดหวังไว้ แต่ว่าเราภูมิใจที่เราทำได้ดีที่สุดในสถานการณ์นั้นๆ แล้วอย่างนี้ค่ะ

ได้ไปแข่งทั้งในและนอกประเทศ เรื่องคน บรรยากาศแตกต่างกันมากไหม

ญี่ปุ่น: เออๆ ตอนแรกก็แข่งในประเทศก่อนเนอะ จนเพื่อนก็ชวนไปเวียดนาม ชวนไปอินโดนีเซีย ชวนไปฟิลิปปินส์ บรรยากาศแตกต่างกันมาก คือยิ่งสนามต่างประเทศเราก็ไปกันกลุ่มใหญ่ขึ้น เพื่อนเราก็เช่ารถบัสไปที่สนามแข่ง แล้วก็อยู่โรงแรมเดียวกัน เหมือนไปเที่ยวและไปแข่งในทริปเดียวกัน มันก็สนุกไปอีกแบบ แล้วก็ได้เห็นคอร์สที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งทะเล คอร์สปั่น ทางวิ่งที่ไม่เคยเห็น อากาศที่เราไม่เคยเจอ อาจจะร้อนมาก ชื้นมาก มันก็เหมือนเป็นอุปสรรคใหม่ๆ แล้วก็เป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่เราจะไปเจอ ทั้งเพื่อนใหม่ด้วย ทั้งผู้จัดงาน ออแกไนเซอร์แต่ละคน เขาก็จัดไม่เหมือนกัน คนละแนว ทั้งของที่ระลึก สินค้าที่ขายในงานเอ็กซ์โปรก็ต่างกัน มันก็สนุกดี

คือถ้าแข่งในเมืองไทย ก็แน่นอนคนไทยเยอะ มีตั้งแต่ 2-3 ร้อยจนไปถึงพันคน แล้วก็อยู่ในบ้านเรา เราก็คุ้นเคยกับสถานที่และอากาศอยู่แล้ว เราก็จะมั่นใจมากขึ้นแล้วการเดินทางเราก็ง่ายมากขึ้น แต่ปีๆ หนึ่งเราอาจจะไปแข่งเมืองนอกสักประมาณครั้ง 2 ครั้งเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ มันก็เป็นการบาลานซ์ทั้งแข่งในเมืองไทยและแข่งในเมืองนอกอ่ะเนอะเพราะเมืองนอกก็ค่าใช้จ่ายสูง

แข่งมาหลายรายการ มีครั้งไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษไหม

ญี่ปุ่น: ประทับใจเหรอ อาจจะเป็นงานแข่ง 70.3 คือเป็นพาร์ท Ironman ครั้งแรก เป็นระยะไกลที่สุดเท่าที่ญี่ปุ่นเคยแข่งมา ว่ายน้ำ 1,900 เมตร ปั่นจักรยาน 90 กิโลเมตร ตามด้วยวิ่งมาราธอน 21 กิโลเมตร เป็นครั้งแรกแล้วเราทำได้เวลาค่อนข้างดีคือ 5 ชั่วโมงครึ่ง เราก็เลยรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี เพิ่มความมั่นใจว่าเราสามารถไประยะไกลขึ้นได้แล้ว เป็นความท้าทายขึ้นอีกระดับหนึ่ง เรารู้สึกว่าเราพัฒนาและก็ได้ท้าทายตัวเองว่า พัฒนาได้ขนาดนี้แล้ว ทำได้ขนาดนี้แล้วก็ดีใจค่ะ

แข่งแต่ละครั้ง มีความคาดหวังไหมว่าเราจะต้องได้รางวัลนี้ๆ

ญี่ปุ่น: ก็จริงๆ คาดหวังไหม เราอาจจะมีเป็นเป้าหมายมากกว่า ถ้าเราอยากได้โพรเดี่ยม เราต้องซ้อมหนักขนาดนี้ เราถึงจะมีลุ้นโพรเดี่ยมได้ แต่ว่า ณ วันแข่งจริงๆ แล้ว เราไม่ได้คิดถึงโพรเดี่ยมเลย เราไม่ได้คิดถึงเงินรางวัล เราไม่ได้คิดถึงว่าเราจะต้องได้ที่ 1 คือเราลืมไปแล้วว่าโกวล์เราเป็นยังไง แต่เรารู้ว่าเราซ้อมมาเต็มที่ แล้วเราจะทำให้ดีที่สุดในวันนี้ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ถ้าเราทำเต็มที่แล้วเราก็จะภูมิใจกับมัน จริงๆ มันมีหลายปัจจัยนะ ที่มันจะมากำกับเราในวันนั้นอย่างเช่นว่า เรื่องอากาศ ยางแตก ยางแบน มีคนอื่นเขาแข็งแรงมากกว่า เขาซ้อมหนักกว่าเราอย่างนี้ มันก็เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ว่าที่ทำได้แน่ๆ คือเราทำให้ดีที่สุด แล้วเราก็บอกตัวเองว่าอย่าหยุด คือวิ่งไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน อูย..ไม่ไหวแล้ว อากาศร้อน ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่ามีคนรุ่นอายุเดียวกับเราอยู่ข้างหน้าเรา แซงเราไปหมดแล้ว แต่เราก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด แล้วเราก็อย่าหยุด เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว ผลไม่ว่าจะเป็นยังไง เราก็จะแฮ้ปปี้กับมัน

ถามถึงงานประจำปัจจุบันกันบ้าง

ญี่ปุ่น: ญี่ปุ่นทำตำแหน่งผู้จัดการส่วนฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการลงทุนที่สยามพิวรรธน์ค่ะ ทำมา 3 ปีครึ่ง สยามพิวรรธน์ก็เป็นเจ้าของสยามพารากอน สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์เนอะ เราก็ทำหน้าที่ในส่วนของนำธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาในเมืองไทย อย่างเช่น ปีหน้าโครงการใหม่ของเรา ไอคอนสยามจะเปิด เราก็หาผู้เช่ารายใหญ่อย่างเช่น ห้างทาคาชิมาย่า (Takashimaya) จะมาเปิดสาขาแรกในเมืองไทย เอามาจากสิงคโปร์ เราก็จะคุยกับทาคาชิมาย่าที่สิงคโปร์ เจรจาเรื่องสัญญาต่างๆ ทำเรื่องไฟแนนเชียลโมเดลว่า ธุรกิจนี้ทำไปรอดไหม ต้องมีการลงทุนเท่าไหร่ จะทำรายได้เป็นอย่างไรบ้าง ก็ช่วยๆ ดู ทำตั้งแต่เจรจาสัญญาจนเปิดธุรกิจร่วมกัน ก็เดี๋ยวปีหน้าก็จะเปิดแล้วก็เหมือนจะประสานงานให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีค่ะ

เดินทางบ่อยแบบนี้ ปกติเป็นคนไลฟ์สไตล์ชอบใช้เงิน จัดการเรื่องเงินอย่างไร

ญี่ปุ่น: จริงๆ ญี่ปุ่นอยากจะบอกว่าไม่รู้คนอื่นเป็นยังไง ปกติเขามีกฎอะไรนะ ให้เก็บ 30%  อย่างน้อยเป็นเงินเก็บใช่ไหม แต่ญี่ปุ่นกลับกัน 70% จะเป็นเงินเก็บ (หัวเราะ) คือญี่ปุ่นจบไฟแนนซ์มา ญี่ปุ่นชอบในเรื่องของตัวเลข แล้วก็เรื่องวางแผนทางการเงินมาก ประมาณว่าชอบลงทุน แต่ว่าเป็นคนที่ไม่ได้เสี่ยงเยอะ เคยลงหุ้นแต่ว่าอาจจะขาดทุนมาบ้าง แต่พอเราผ่านจุดนั้นมาเราจะระวังในการลงทุนมากขึ้น เรารู้สึกว่าเรายังอายุน้อย กล้าได้ กล้าเสี่ยงอยู่ก็ลงทุนหุ้นเยอะ แต่ว่าตอนนี้หันมาเป็นกองทุนหุ้นแล้ว แล้วก็ฝากประจำส่วนตัว ฝากออมทรัพย์ส่วนนึง

อย่างลงทุนกับ CIMB Preferred เขาก็ช่วยดูแลให้เรา คือเราลงทุน 3 ล้านบาท เขาก็ช่วยดูแลพอร์ทลงทุนให้เรา ตั้งแต่เราลิสต์โปรไฟล์เป็นยังไง เรารับความเสี่ยงได้มากขนาดไหน ถ้าเรารับความเสี่ยงได้ไม่มาก เขาก็จะแนะนำในส่วนฝากประจำ 6 เดือน ไปจนถึงกองทุนตราสารหนี้ หุ้นกู้อะไรอย่างนี้ค่ะ จะมีความเสี่ยงต่ำหน่อย แต่ว่าได้ผลตอบแทนมากกว่าออมทรัพย์ทั่วไป คือตอนนี้ออมทรัพย์ได้ดอกเบี้ยน้อยมาก แค่ 0.5 เปอร์เซ็น เราก็เลยหันมาลงทุนตรงนี้ เพราะเราก็มีเวลาน้อยเนอะ ทำงานประจำด้วย เราไม่ได้มีเวลาทุกวันที่จะมาตามตลาดว่า ตลาดเป็นยังไง หุ้นเป็นยังไง หรือว่าช่วงนี้คนลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้นมากขนาดไหน ควรลงในไทยหรือในจีน หรือในยุโรป ต่างประเทศ ก็ต้องอาศัย CIMB Preferred หรือผู้จัดการกองทุนมาแนะนำการลงทุนกับเรา

คือเราจบการเงินมา ก็ไม่ได้แปลว่าจะรู้เรื่องของการลงทุน ณ เวลานั้นๆ เพราะเราต้องคอยตามตลาด ตามข่าวอย่างนี้ค่ะ เราก็เลยเลือก CIMB Preferred มาเป็นผู้ช่วยดูแลพอร์ทให้กับเรา และยิ่ง CIMB Preferred มีกิจกรรมเรื่องของไตรกีฬา มีกิจกรรมเรื่องของไตรกีฬา มันก็เหมือนกับว่า แจ็คพอตเลย ตรงกับสิ่งที่เรารักทั้งสองอย่างเลยคือ เรื่องของการลงทุน และเรื่องของการเล่นกีฬาไปพร้อมๆ กัน แล้วก็ได้เพื่อนที่อยู่ในกลุ่ม CIMB Preferred เขามีความสนใจด้านการลงทุนเหมือนกัน เราก็เลยคุยกับเขาได้ทั้งสองเรื่องเลย สมมติว่าเขาลงทุนเก่งกว่าเรา เราก็อยากได้คำแนะนำจากเขาเนอะ ในทางกลับกัน ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือในด้านการกีฬา เราก็ให้คำแนะนำได้ มันก็เหมือนกับว่าเป็นทั้งการแชร์และการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ก็สนุกดี

ตอนนี้อายุ 26 ปี คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยังกับสิ่งที่เป็นและมีอยู่ หรืออยากพัฒนาตัวเองตรงไหนอีกไหม

ญี่ปุ่น: จริงๆ ญี่ปุ่นอยากพัฒนาต่อเนื่องเนอะ แล้วญี่ปุ่นมีความรู้สึกว่าเราอาจจะสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ว่ามันไม่เชิงว่าเราสำเร็จแล้ว เราเป็นที่ 1 แล้ว แล้วเราหยุดอย่างนี้ เรามีไอดอล ซึ่งไอดอลของเราก็อาจจะรวมถึง CEO ของบริษัท ก็คือคุณชฎาทิพ จูตระกูลค่ะ เป็นผู้หญิงที่มีวิสัยทัศน์ แล้วก็มีความมุ่งมั่นพัฒนาทั้งธุรกิจและองค์กรไปอย่างต่อเนื่อง เราก็มีเขาเป็นไอดอล แล้วก็เจ้านายโดยตรงของเราในแผนก เราก็มองเขาเป็นไอดอล เราก็พยายามพัฒนาตัวเองไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราไม่หยุดนิ่ง จะได้ก้าวหน้าในการงาน แล้วก็พัฒนาสกิลของเราไปในทุกวันด้วย

ถ้าคนภายนอกมองเข้ามาก็จะเห็นมุมคุณญี่ปุ่นเป็นนักกีฬา สาวทำงาน มีมุมหวานๆ สไตล์ผู้หญิงอย่างชอบช้อปปิ้ง ทำอาหารบ้างไหม

ญี่ปุ่น: อ๋อ ก็ชอบนะ (หัวเราะ) จริงๆ ผู้หญิงทุกคนก็ชอบช้อปปิ้ง รักสวยรักงาม ดูเครื่องสำอาง น้ำหอมอย่างนี้ใช่ม๊า แต่ก็แบบมีเวลาน้อยลง เราก็จัดเวลาได้ แต่ว่าจันทร์ถึงศุกร์อาจจะยุ่งกับงานนิดนึง ก็จะใช้เวลาเสาร์-อาทิตย์ ทำผม ทำเล็บ ทำสปา นวดอย่างนี้ จริงๆ ทำอาหารเป็น แต่ว่าไม่ค่อยมีเวลา (หัวเราะ) หวานๆ ไหม อาจจะเป็นแนวนักกีฬา แนวผาดโผนหน่อย (หัวเราะ) เป็นคนชอบผจญภัย ชอบเที่ยว แล้วก็ติดดิน เป็นคนไม่ค่อยยึดติดกับวัตถุเท่าไหร่ แล้วก็สบายๆ  ชิลๆ เวลาเสาร์-อาทิตย์เราก็พักผ่อนอยู่กับครอบครัว อาจจะเป็นแนวไม่ได้ว่าแต่งตัวมาก ชอบเล่นกีฬา ชอบไปเที่ยวทั้งในประเทศและนอกประเทศมากกว่า ไปผจญภัยเจออะไรใหม่ๆ

การที่เราใช้ชีวิตแบบนี้เป็นประจำ เคยมีคนรอบข้างที่อยากจะลุกขึ้นมาออกกำลังกายแบบเราไหม

ญี่ปุ่น: เออๆ จริงๆ ญี่ปุ่นอยากจะจุดประกายให้คนมาออกกำลังกายมากขึ้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ทางอ้อมนี่หมายถึงว่าบางทีคนไม่ชอบให้ชวนทางตรง จะรู้สึกมันสื่อตรงเกินไป อยู่ดีๆ ก็ไปชวนเขาออกกำลังกาย เขาก็จะมีความรู้สึกต่อต้าน ฮึ่ย ไม่เอาอ่ะ ทำไมฉันจะต้องไปออกด้วยอย่างนี้ แต่ถ้าทางอ้อมเราก็อาจจะโพสต์ทางโซเชียลมีเดียว่า การออกกำลังกายมีประโยชน์อย่างนี้นะ จริงๆ คนที่เขาตามเราเรื่อยๆ เขาเห็นเราว่าน้ำหนักเราลดไปประมาณ 3-4 โล แล้วเราดูเฟรชมากขึ้น มีพลังมากขึ้น ดูมีชีวิตชีวาอย่างนี้ค่ะ เขาจะถามว่า เราไปทำอะไรมา เราออกกำลังกายยังไง เราก็บอกไปทางอ้อมว่าเราซ้อมอย่างนี้ เรารู้สึกมีสุขภาพดีขึ้นอย่างไรบ้าง เขาก็เลยรู้สึกว่า เออก็ดีเนอะ เขาก็เหมือนกับว่าอยากจะออกกำลังกายมากขึ้น กระตุ้นให้ตัวเองออกกำลังกาย สมัครยิม เข้าฟิตเนสดีๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ

แล้วแต่ละคนเนี่ยมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน บางคนออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ บางคนอยากได้เพื่อน บางคนเพื่อเข้าสังคม บางคนเพื่อ performance คือว่าอยากจะได้โพเดี่ยม อยากจะได้เวลาดีที่สุดอย่างนี้ ไม่ว่าคุณจะเล่นกีฬาอะไร เป้าหมายอะไร คุณก็สามารถเล่นกีฬาได้เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว สุขภาพไม่ได้เป็นอะไรที่เงินซื้อได้ คือไม่ว่าจะรวยขนาดไหน พันล้าน ร้อยล้าน แต่สุดท้ายแล้วถ้าเราสุขภาพไม่ดี เราจะกลายเป็นว่าเราต้องมาดูแลสุขภาพ ต้องเข้าโรงพยาบาลหรือว่าไปเที่ยว ทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบไม่ได้ มันก็จะไม่มีความสุขเต็มที่อย่างนี้ค่ะ

เป้าหมายในปัจจุบัน และอนาคตต่อจากนี้มีการมองหรือวางแผนชีวิตอย่างไรบ้างคะ

ญี่ปุ่น: ก็จริงๆ กีฬาเนี่ย มันมีหลายเลเวลเนอะว่า เราจะไประยะสั้น หรือจะไประยะยาวเลย ซึ่งระยะยาวยิ่งยาว เราก็ต้องยิ่งซ้อมเยอะ ทีนี้มันก็ต้องดูก่อนว่าเรามีเวลาขนาดไหน ปีหน้าญี่ปุ่นได้เข้าเรียนสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ Executive MBA Programme แล้วอะค่ะ ก็จะเรียน 2 ปี Executive Programe แปลว่าทำงาน full time เหมือนเดิมที่สยามพิวรรธน์ แล้วก็วันศุกร์เย็นกับวันเสาร์ทั้งวันก็ไปเรียนโทที่ศศินทร์ จุฬาฯ ค่ะ ก็หวังว่าจะมีเวลาซ้อมบ้าง แต่ก็คิดว่าต้องลดลงมา อาจจะไปแข่งเมืองนอกค่อนข้างลำบาก เพราะว่าเราเรียนทั้งศุกร์และเสาร์ด้วย แต่อย่างน้อยเราก็อาจจะแข่งที่เมืองไทย ซึ่งมันแข่งทุกวันอาทิตย์ได้ อาจจะเดือนละครั้งหรือว่าเดือนละสองครั้ง ด้วยความโชคดีที่เราชินกับตารางซ้อมแล้ว อาจจะปรับให้ชั่วโมงซ้อมน้อยลง แต่ว่ายังซ้อมที่ความหนักเท่าเดิมอยู่ ที่พอได้ แต่ว่าทุกอย่างยึดปริญญาโทกับงานเป็นหลักก่อน แล้วเราค่อยดูอีกทีว่าตารางเวลาเราจะเป็นยังไง แล้วเราสามารถปรับให้มีการซ้อม 3-4 วันต่ออาทิตย์ ยังพอได้ไหมอย่างนี้ค่ะ

แต่ว่าอยากจะบอกด้วยว่า ทุกอย่างควรจะอยู่ในความพอดี คือออกกำลังกายเยอะไปก็ไม่ใช่ว่าจะมีข้อดี อย่างเช่นว่าบางคนอาจจะเริ่มข้อเท้าพลิก หรือเข่ามีปัญหาได้ บางคนอาจจะไปแข่งทุก 2 อาทิตย์ครั้ง หรือไปทุกเดือน หรือไประยะ Ironman แล้วกลับมาแข่ง Trail หรือแข่งต่อๆ ติดๆ กัน มันก็ทำให้ร่างกายเราโทรม กลายเป็นว่าทำให้เราท้อ แล้วบางคนเลิกเล่นไปเลยนะ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความผิดโค้ช เพราะว่าโค้ชห้ามแล้วไม่ให้คุณแข่งติด แต่ว่าด้วยความที่งานแข่งมันเยอะ แล้วเขาอยากที่จะสนุก แต่จริงๆ เขาต้องรู้ด้วยว่าร่างกายเราได้ถึงไหน แล้วก็ต้องรู้ความพอดีว่าน้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็ไม่ดี เช่นเดียวกับงาน คือญี่ปุ่นเล่นกีฬาแล้ว ญี่ปุ่นพยายามเอามาปรับกับงาน กับหลายๆ อย่างด้วยว่าทุกอย่างมันต้องมีความพอดี ทุกอย่างมีจังหวะของมัน จังหวะชีวิตของมัน แล้วก็ต้องจัดตารางให้ดี ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องตัวเอง แล้วก็เรื่องกีฬาเนี่ย ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของการจัดการทั้งนั้นเลย

 

เรื่อง: กัญญาวีร์ วิมลรัตน์
ภาพ: Wara Suttiwan
สถานที่: ร้าน The Hen and The Egg ย่านหลังสวน

กรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ ยังครองแชมป์เมืองจุดหมายปลายทางที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 2

Alternative Textaccount_circle
กรุงเทพฯ
กรุงเทพฯ
กรุงเทพมหานคร ยังคงครองอันดับหนึ่งเมืองจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาเยือนมากที่สุด ติดต่อกันเป็นปีที่สอง ตามมาด้วยกรุงลอนดอน จากการสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางโลกของมาสเตอร์การ์ด ประจำปี 2560 (Mastercard Global Destinations Cities Index –GDCI 2017) ซึ่งทำการสำรวจติดต่อกันเป็นปีที่ 7

กรุงเทพฯ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มีการค้างคืนมากถึง 19.41 ล้านคนในปี 2559 และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวจะเติบโตขึ้น 4  เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น 20.2 ล้านคนในปี 2560 นี้ และจากการสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางโลกของมาสเตอร์การ์ด ประจำปี 2560 นี้ กรุงเทพฯ ยังติด 1 ใน 5 ของเมืองที่นักท่องเที่ยวพักค้างคืนมีการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุดถึง 14.08 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การสำรวจดังกล่าวไม่เพียงจัดอันดับ 132 เมืองทั่วโลกที่มีผู้มาเยือนมากที่สุด และมีการใช้จ่ายมากที่สุดเท่านั้น แต่ยังวิเคราะห์จำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในปีปฏิทิน 2559 เพื่อใช้คาดการณ์การเติบโตในปีถัดไป พร้อมกับนำเสนอข้อมูลที่ทำให้เข้าใจถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองจุดหมายปลายทาง รวมถึงรูปแบบการเดินทางและการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในเชิงลึกอีกด้วย

จากผลการสำรวจฯ นักเดินทางที่มาเยือนกรุงเทพฯ (88.6%) เป็นการเดินทางเพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นจุดประสงค์หลัก ซึ่งมีมากกว่าการเดินทางมาเพื่อจุดประสงค์ทางธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด (11.4%) และมี 3 สิ่งที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายมากที่สุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ ช้อปปิ้ง (22.9%) ที่พัก (22.6%) และการบริการต่างๆ ในกรุงเทพฯ (21.5%) และจากผลการสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางโลกของมาสเตอร์การ์ดล่าสุด ยังนำเสนอข้อมูลใหม่เกี่ยวกับประเทศต้นทาง 5 อันดับแรกที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปยังเมืองจุดหมายปลายทาง โดย 5 ประเทศต้นทางที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวยังกรุงเทพฯ มากที่สุดได้แก่ ประเทศจีน (34.3%) ญี่ปุ่น (7.1%) เกาหลีใต้ (4.3%) อินเดีย (4.1%) และ สหราชอาณาจักร (3.8%) ตามลำดับ

ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า เอเชียแปซิฟิกมีเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางสุดยอดของโลกติด 10 อันดับแรกมากที่สุด และยังมีการใช้จ่ายมากกว่าเมืองจุดหมายปลายทางในภูมิภาคอื่น นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเมืองต่างๆ ที่ติด 10 อันดับในอาเซียน มีการใช้จ่ายรวมในปี 2559 อยู่ที่ 91.16 พันล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายในยุโรปซึ่งอยู่ที่ 74.74 พันล้านเหรียญสหรัฐ และในอเมริกาเหนือที่ 55.02 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ในโอกาสนี้ อีริค ชไนเดอร์ รองประธานอาวุโส เอเชียแปซิฟิก ที่ปรึกษามาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า “จากการที่เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตด้านการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศมากที่สุด ธุรกิจท่องเที่ยวจะยังคงเป็นภาคธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ การที่มีจำนวนนักเดินทาง ทั้งเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนและเพื่อจุดประสงค์ทางธุรกิจเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค ชี้ให้เห็นถึงถึงความจำเป็นที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศควรหันมาลงทุนในเครือข่ายอัจฉริยะและสาธารณูปโภค ที่จะมอบประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวที่ราบรื่นให้กับทั้งประชาชนที่อยู่อาศัยในเมือง นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อพักผ่อน และนักธุรกิจ และเมืองที่ลงทุนในเครือข่ายและสาธารณูปโภคดังกล่าว จะสามารถพัฒนาศักยภาพของการเป็นเมืองจุดหมายปลายทางโลกอย่างแท้จริง และได้รับประโยชน์มหาศาลทางเศรษฐกิจจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นและอัตราการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย”

ทั้งนี้ จากผลสำรวจฯ นี้ ระบุว่า ลอนดอน ซึ่งอยู่ในอันดับสองรองจากกรุงเทพฯ มีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 19.06 ล้านคน ในขณะที่สิงคโปร์มีนักท่องเที่ยวจำนวน 13.11 ล้านคน แซงนิวยอร์กที่ 12.7 ล้านคน ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 5 เป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่ ในขณะที่โซล กระโดดขึ้นมาถึงสามอันดับจนมาอยู่ที่อันดับ 7 ที่ 12.39 ล้านคน ผลสำรวจเมืองสุดยอดจุดหมายปลายทางโลกของมาสเตอร์การดยังคาดการณ์การเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2560 ยกเว้นนิวยอร์ก ขณะที่โตเกียวคาดว่าจะมีการเติบโตมากที่สุด 12.2 เปอร์เซนต์

เมืองจุดหมายปลายทาง 10 อันดับแรกที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มีการค้างคืนมากที่สุดในปี 2559 พร้อมคาดการณ์การเติบโตในปี 2560 ได้แก่
   

เมือง

 

จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีการค้างคืน ในปี 2559

คาดการณ์

จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีการค้างคืน ในปี 2560

1 กรุงเทพมหานคร 19.41 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4%
2 ลอนดอน 19.06 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5%
3 ปารีส 15.45 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.4%
4 ดูไบ 14.87 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.7%
5 สิงคโปร 13.11 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.6%
6 นิวยอร์ก 12.70 ล้านคน ลดลง -2.4%
7 โซล 12.39 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.4%
8 กัวลาลัมเปอร์ 11.28 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.2%
9 โตเกียว 11.15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 12.2%
10 อิสตันบูล 9.16 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.9%

 

ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการเดินทาง และการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

จากเมืองที่เป็นสุดยอดจุดหมายปลายทางของโลกจำนวน 20 เมือง การเดินทางเพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นจุดประสงค์หลักที่นักเดินทางมาเยือนมากที่สุด นำโดย กัวลาลัมเปอร์ (92.2%) ซึ่งแตกต่างจากเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของนักเดินทางมาเพื่อจุดประสงค์ทางธุรกิจ (48.4%)

เมื่อพิจารณาตัวเลขในรายละเอียดของเมือง 10 สุดยอดจุดหมายปลายทางโลกในส่วนของค่าใช้จ่าย จะทำให้เราเข้าใจรูปแบบการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในขณะที่เดินทางไปยังเมืองต่างๆได้ดีขึ้น เช่น

  • อิสตันบูล –เป็นเพียงเมืองเดียวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินไปกับการดินเนอร์มากที่สุด (33.6%)
  • นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินไปกับการช็อปปิ้งในกรุงโซลมากที่สุด (5%) ตามด้วย ลอนดอน (46.7%) โตเกียว (43.1%) กัวลาลัมเปอร์ (31.3%) และดูไบ (31%)
  • สัดส่วนค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยวถูกใช้เป็นค่าที่พักและโรงแรมมากที่สุดเมื่อเดินทางไป ปารีส (8%) และ นิวยอร์ก (31.8%)
  • ด้วยระบบขนส่งมวลชนที่ดีเยี่ยม นักท่องเที่ยวพบว่า สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในลอนดอน (3%) สิงคโปร์ (4.6%) และโตเกียว (6.9%)

เปิดหมดเปลือก ดีเจนุ้ย – ธนวัฒน์ มีบ้าน 40 ล้านได้ เพราะถือพรหมจรรย์

ดีเจนุ้ย – ธนวัฒน์เล่าชีวิตจากนักข่าวตัวเล็กๆ จนทุกวันนี้มีบ้านหลังใหญ่ราคา 40 ล้าน เจ้าตัวเผยมีความเชื่อ เพราะถือพรหมจรรย์ทำให้ชีวิตเจริญ

ดีเจนุ้ย – ธนวัฒน์

เปิดใจพิธีกร ดีเจชื่อดัง นุ้ย – ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร จากอดีตนักข่าวบันเทิงที่สามารถปั้นตัวเองมาสู่จุดสูงสุดของชีวิต ขยันวิ่งรอกทำงานหนัก ใน 1 เดือนหยุดงานแค่ 1 – 2 วัน อีกทั้งยังเชื่อว่าเพราะถือพรหมจรรย์ เลยทำให้ชีวิตเจริญ ล่าสุดได้มานั่งเปิดใจในรายการคุยเช้า Show ที่มีธัญญ่า – ธัญญาเรศ และเอมมี่ – อมลวรรณ เป็นพิธีกร

ใน 365 วัน ทำงานกี่วัน?
“ก็มีหยุดบ้าง แต่ในเดือนหนึ่งจะหยุดสักวันสองวัน อย่างเดือนนี้หยุด 1 วัน เราจะมีรายการประจำ 6 – 7 รายการ ด้วยความที่มีหลายรายการ คิวมันก็จะลงไปถึงสิ้นปี นอกจากนั้นก็จะมีงานอีเว้นต์ต่างๆ”

ได้ยินมาว่าเราขี้งกมาก ในการรับงานแต่ละงานก็จะมีการคำนวณแล้วว่าจะได้กี่บาท หรือจะออกจากบ้านในแต่ละวันก็จะคำนวณว่าได้เท่านี้ถึงจะออก?
“ครับ คือเรามีความรู้สึกว่าถ้าเราจะออกไปสักหนึ่งวัน เราจะมีจุดมุ่งหมายให้ตัวเองว่าใน 1 เดือนเราจะมีรายรับเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นวิธีการของนุ้ย ถ้าสมมุติว่ามีรายการทีวีติดต่อมา รายการทีวีจะมีรายรับประมาณหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันจะไม่พอที่เราตั้งไว้ต่อวัน เราก็จะขอคิวเขาทั้งปี แล้วก็จะเอาไปแมตช์กับรายการอื่นเอา เช่น เช้าไปรายการเขา บ่ายมาอีเว้นต์ แต่ถ้าจะให้เทไปรายการเขาเดี่ยวๆ เลยก็จะไม่เอา เพราะถือว่าออกไปแล้วมันจะไม่คุ้มค่า คือเราจะมีการคำนวณให้ตัวเองว่าจุดมุ่งหมายมันเป็นยังไง แล้วทำให้ได้ตามเป้า”

เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งเราจะมาได้ถึงจุดๆนี้ เพราะเราเริ่มจากการเป็นนักข่าวบันเทิง?
“เริ่มจากทำนักข่าวมาตั้งแต่แรกๆ เลย ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่เบื้องหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าจังหวะมันโอเคแล้วจังหวะมันได้ พี่มดดำเป็นคนให้นุ้ยลองมาจัดรายการดู หลังจากนั้นชีวิตเลยค่อยๆ เปลี่ยน ก่อนหน้านั้นอยากเข้าวงการ แต่หน้าเราไม่ได้ เลยทำเบื้องหลังแทนละกัน แล้วเราเรียนวิทยุโทรทัศน์ด้วย เลยได้มาทำงานนี้ จนมาวันหนึ่งเหมือนชีวิตมันพลิก แล้วพี่มดดำเข้าไปคุยกับนาย ให้ลองจัดดู เขาก็ลงมาบอกเราให้จัดตอนนั้นเลย หลังจากนั้นก็ยาวเลย”

เปิดใจในรายการคุยเช้า Show

เรื่องที่ถือพรหมจรรย์ จริงไหม?
“อันนี้จริง”

แล้วที่บอกว่าไปดูหมอมา แล้วหมอบอกให้ถือพรหมจรรย์แล้วงานจะรุ่งแบบไม่มีหยุด จริงไหม?
“คือมีหมอดูดูจริง คือดวงเราเวลาจะเช็กว่าหมอคนไหนแม่นไม่แม่นเราจะเช็กจากเรื่องความรัก ถ้าบอกว่าช่วงนี้ความรักดีมาก ก็จะบอกให้เขาเก็บไพ่เลย แล้วกลับไป เพราะชีวิตเราไม่เคยมีความรัก เราเป็นคนขี้เบื่อ ถ้ามาถามว่าอยู่ไหน ทำอะไร เราจะโกรธมาก ไม่เคยคบใครและไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวใคร ไม่เคยชอบใครเลย เพราะเป็นคนที่มีพื้นที่ส่วนตัวสูงมาก ไม่ค่อยให้ใครเข้ามาในอาณาเขตของเรา ปิดกั้นมาก และไม่มีปมด้วย แค่ขี้รำคาญเฉยๆ”

เราคิดว่าที่เรารวยเพราะเราถือพรหมจรรย์?
“มันก็เป็นไปได้นะ เพราะหลังๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกอยากมีคู่ หมอดูทักไว้ว่าถ้ามีแฟนมันจะดร็อปลง”

รถปอร์เช่ที่ซื้อ เราซื้อเงินสดด้วย?
“ที่บ้าทำงานทุกวันนี้เพราะเป็นคนซื้อของแล้วซื้อเงินสด ไม่ชอบผ่อนของ อยากได้ของชิ้นนี้ก็จะต้องสด ก็เลยบ้าทำงานมาก เพื่อจะเก็บเงินเอามาซื้อของ”

ซื้อบ้าน 40 ล้านด้วยเงินสด?
“นุ้ยอยู่วงการมาสิบปีนะพี่ แล้วนุ้ยวิ่งทำงานขนาดนี้”

ดีเจอารมณ์ดี

เคยคิดท้อจนอยากออกจากวงการ?
“ก็เคยมีความคิดวูบหนึ่ง วงการนี้เป็นวงการที่นุ้ยรัก มันจะมีความคิดแค่ชั่ววูบหนึ่ง แต่ความคิดหลักๆ ที่เกิดในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่า เราอาจจะรู้สึกว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่เรารู้สึกดี เพื่อนร่วมงานไม่มีปัญหานะ บางครั้งมันเป็นแค่ชั่ววูบของอารมณ์ เราแค่อยากจะเปลี่ยนพื้นที่เฉยๆ ไม่ใช่อยากออกจากวงการไปเลย”

เรามองอนาคตในวงการบันเทิงยังไง?
“ทำอะไรเราต้องทำได้หลายๆ อย่าง คือนุ้ยไม่ได้วางจุดของตัวเองไว้ว่าเราจะเป็นพิธีกรหรือเล่นละคร เราต้องทำได้หลายอย่าง อยากอยู่ยาวๆ”

‘ขัดใจ มีแต่คนไม่โสดมาชอบ’ เช็คเลย ดวงวันที่ 28 กันยายน 2560

ดูดวงรายวัน ประจำวันพฤหัสที่ 28 กันยายน 2560 เช็คทุกวัน ทันทุกดวงกับ แพรว ดอทคอม

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

การงาน : ดึงประสบการณ์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ แม้ใครไม่เห็นผลงาน ก็ถือว่าได้มีโอกาสที่ได้ทำงานที่รัก หากผู้ใหญ่แนะนำช่องทางก็ฉกฉวยไว้ ไม่แน่ท่านอาจได้ใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า

การเงิน : หากวางโครงการอะไรไว้ให้รีบทำ เพราะอาจติดขัดเรื่องเงิน

ความรัก : วันนี้จับมือหันหน้ามาปรึกษากัน เพื่อวางรากฐานให้กับครอบครัว สามัคคีกันแล้วก็จะเห็นช่องทางเองละ คนโสด  มีเสน่ห์กับทั้งเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน เปิดใจรับไว้ก็ไม่เสียหลาย จะได้มีคนมาช่วยกันคิดช่วยกันทำ

สุขภาพ : ปวดตา จ้องทั้งจอเล็กและจอใหญ่ พักสายตาบ้าง

 

ผู้ที่เกิดวันจันทร์

การงาน : ขยัน ไฟแรง มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทำให้ท่านบุกเบิกงานใหม่ หรือต่อยอดทางธุรกิจได้ หากท่านสุขุมรอบคอบไว้ก็จะดี

การเงิน : ลงทุนอะไรไว้ก็ค่อยๆ เก็บเกี่ยวผลกำไร

ความรัก : หมดเวลาที่จะมานั่งเถียงกัน เอาชนะกันแล้ว เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ต้องจับมือกัน ไม่งั้นลำบากแน่ คนโสด ยังไม่มีเวลาว่าง เพราะติดงานชุลมุนไปหมด ปล่อยเรื่องความรักไปก่อน

สุขภาพ : ระบบลำไส้ไม่ค่อยดี ทานอาหารอะไรก็ต้องระวัง

 

ผู้ที่เกิดวันอังคาร

การงาน  :  สำหรับคนค้าขาย เศรษฐกิจอย่างนี้คงต้องทำใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไหนฝนจะตก พายุเข้า ของขายไม่ได้ พยายามประคับประคองให้ผ่านไปให้ได้

การเงิน :  ใช้จ่ายเยอะ หมดไปกับการทำบุญ

ความรัก :  วันนี้ความรักความสัมพันธ์ในครอบครัวยังดีกันอยู่ จะมีก็แต่เรื่องสุขภาพของคนในครอบครัว ก็ดูแลกันไป คนโสด ยังไม่ชัดเจน อย่าใจร้อน เอาแต่ใจตัวเอง เขาอาจเห็นนิสัยเราทำให้เลิกราได้

สุขภาพ :  รับประทานเยอะ จนรู้สึกอืด แน่นท้อง

 

ผู้ที่เกิดวันพุธ

การงาน  :  ไม่เหนื่อยมาก ในหนึ่งอาทิตย์ขอให้มีสักวันที่งานราบรื่นก็ยังดี เพราะท่านเตรียมงานมาดี

การเงิน   : มีรายจ่ายจร เช่น ซ่อมรถกระทันหัน

ความรัก : วันนี้ในครอบครัวจะมีการเลี้ยงฉลอง มีความเป็นไปได้ว่า คู่ท่านอาจได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง คนโสด จิตใจดีงาม มีข่าวดีในเร็ววัน

สุขภาพ : ระวังพักผ่อนน้อย อาจใจสั่น เป็นลมได้

 

ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

การงาน : ยังกังวลคิดมาก เป็นห่วงโปรเจ๊คท์ที่เริ่มต้นใหม่กำลังลุ้นว่าจะไปได้หรือเปล่า ป้าว่าเมื่อตั้งสติได้ คิดว่ารอบคอบพอแล้ว ก็น่าจะต่อยอดไปได้

การเงิน :  ใช้ลงทุนไปก่อน เก็บเกี่ยวทีหลัง

ความรัก : หันมาดูแลกันบ้าง อย่ามัวห่วงแต่งานเกินไป คนโสด ไม่ไหวแล้ว มีแต่คนไม่โสดเข้ามา อาจเป็นเพราะดวงเป็นที่สอง พยายามหลีกเลี่ยง

สุขภาพ :  อาจมีเรื่องของบ้านหมุน น้ำในหูไม่เท่ากัน

 

ผู้ที่เกิดวันศุกร์

การงาน  :  คิดว่าจะไปได้ดี แต่พอท่านทำงานผิดแล้วกระทบกันเป็นลูกโซ่เลย หากผิดพลาดบ่อยๆ จะถูกตำหนิได้

การเงิน : อย่าหวังผลของการลงทุนมาก จะหมุนไม่ทัน

ความรัก : วันนี้ลูกหลานหรือญาติพี่น้องของอีกฝ่ายเข้ามาวุ่นวายในครอบครัว ท่านต้องวางตัวเป็นกลาง เพราะอย่างไรเขาก็คือคนในครอบครัว คนโสด อาจมีปัญหาเรื่องเพศตรงข้าม นำชื่อเสียงท่านไปหากิน

สุขภาพ  : ระวังเรื่องปวดฟัน เหงือกเป็นหนอง  

 

ผู้ที่เกิดวันเสาร์

การงาน : งานมาเรื่อยๆ ท่านปฎิเสธคนไม่ค่อยเป็นด้วย ทำให้เพิ่มขยายขอบเขตมากขึ้น แต่ก็ควบคุมได้ เพราะงานเป็นระบบเข้าที่อยู่แล้ว คงไม่เหนื่อยมากเกินไป

การเงิน : ไม่ดีเลย เงินทองร่อยหรอลงทุกวัน กำลังคิดจะหารายได้เสริม

ความรัก : วันนี้ญาติพี่น้องในครอบครัวเจ็บป่วย ท่านอาจต้องเดินทางไปให้กำลังใจบ้าง  คนโสด คนที่เข้ามาต้องปรับตัวเข้าหากันหน่อย เพราะเขาอาจไม่มีภาวะผู้นำ แต่ก็ปรับสอนกันได้

สุขภาพ : เรื่องความดัน เบาหวาน กำเริบ

เจ้าสาวไม่กลัวฝน กับ 12 โมเม้นดีๆ เมื่อฝนตกในวันแต่งงาน

account_circle

12 โมเม้นดีๆ เมื่อ ฝนตกในวันแต่งงาน ต่อไปนี้ เกิดขึ้นกับเจ้าสาวตัวจริง 12 นาง ที่งานแต่งงานของเธออยู่ในช่วงฝนพรำ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอหวั่น แถมยังได้ภาพสวยๆ เก็บไว้เป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ในวันสำคัญของชีวิตอีกด้วย ซึ่งแพรว wedding ว่าสวยดีและมีคุณค่า ซึ่งเราอยากให้บ่าวสาวชาวไทยอย่าได้แคร์หรือนอยด์ไป หากงานแต่งในฝันของคุณจะมีสายฝนมาเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

เมื่อฝนตกโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เรามีเพื่อนเจ้าบ่าวนี่นา ถ้างั้นก็ช่วยกางร่มในช่วงกล่าวคำสาบานหน่อยแล้วกัน โมเม้นน่ารักแบบนี้ได้เก็บภาพดีๆ ที่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพด้วยนะคะ

นอกจากเสียงคลื่นซัดฝั่งแล้ว เม็ดฝนที่โปรยปรายยังทำให้ได้ไอเดียถ่ายภาพสุดแสนโรแมนติกแบบนี้ด้วยนะคะ

ภาพวันแต่งงานไม่ต้องมีแค่หน้าบ่าวสาวก็ได้ ถ้าวันนั้นเกิดฝนตกแล้วคุณคว้ารองเท้าบูทมาใส่ทัน ก็อย่าลืมเก็บภาพไว้อวดลูกหลาน ไม่แน่นะคะว่าปีหน้าเทรนด์รองเท้าเจ้าสาวสไตล์รองเท้าบูทอาจมาแรงก็ได้

ถึงหน้าตาจะแอบเหวอ แต่เจ้าบ่าวคนนี้ก็ปลื้มปริ่มที่แก๊งเพื่อนเจ้าสาวไม่แคร์ฝน แต่ยังคงยินดีกับช่วงเวลาแห่งความสุขของเพื่อนรัก

เพราะเมื่อแต่งงานไปแล้วคุณทั้งคู่คือคนๆ เดียวกัน แล้วจะแปลกตรงไหน ถ้าจะเกินไปพร้อมกันด้วยร่มคันเดียวกันแบบนี้

ไหนๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าฝนจะตก แล้วทำไมไม่จัดร่มแบบเดียวกันไว้เป็นพร้อมที่มีประโยชน์ใช้งานได้แบบคู่นี้ละค่ะ                              

แน่นอนว่าการเข้างานพร้อมกันของครอบครัวคือสิ่งที่เจ้าสาวทั้งหลายฝันถึง แต่ถ้าในวันนั้นฝนพรำละก็ อย่าได้คิดว่ามันจะเละเทะ เพราะไม่ว่าจะยังไงก็ตามพ่อแม่ของคุณยังคงยินดีกับช่วงเวลาแห่งความสุขของคุณเสมอ

หลังจากจัดพื้นที่หลบฝนเรียบร้อยแล้ว  บ่าวสาวจะไม่จัดภาพสวยๆ ที่มีสายฝนเป็นองค์ประกอบสักหน่อยคงดูกระไรอยู่นะคะ

อีกโมเม้นซึ้งมากที่ทำเอากำร่มแน่นคือ โมเม้นจุมพิตใต้ร่มกลางสายฝนแบบนี้ไงคะ

ผู้ชายคนนี้ไม่เพียงแค่กล่าวคำสาบานจะดูแลเธอคนนี้ตลอดไปหลังจากนี้ แต่ในวันงานชายคนนี้ก็ได้เริ่มทำหน้าที่นั้นเรียบร้อยแล้ว

แม้จะไม่มองกล้องแต่การช่วยกันประคองกายหลบฝนหลังฝนเทแบบนี้ ทำให้เกิดเป็นภาพดีๆ ที่ไม่ได้เจอได้กันทุกคนนะคะ

ปิดท้ายความน่ารักของโมเม้นฝนพรำวันแต่งงานการอาการชุลมุนวุ่นวายวิ่งหนีหลบฝนกันของบ่าวสาวคู่นี้ ที่แม้ฝนจะแรงแค่ไหน แต่ดูสิคะ เขาทั้งคู่ไม่คิดจะปล่อยมือกันสักนิด 🙂

keyboard_arrow_up