บุลการี

บุลการี เปิดตัวป๊อป-อัพสโตร์แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ เซ็นทรัลชิดลม

account_circle
บุลการี
บุลการี

บุลการี (Bvlgari) ประกาศเปิดตัวป๊อป-อัพสโตร์ใหม่ล่าสุด ณ โซน Luxe Galerie ชั้น 1 ห้างเซ็นทรัลชิดลม ห้างสรรพสินค้าลักชัวรีระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ โดยร้านเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา

บุลการี เปิดตัวป๊อป-อัพสโตร์แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ เซ็นทรัลชิดลม มรดกสถาปัตยกรรมโรมันบรรจบกับความหรูหราทันสมัย

 

เซ็นทรัลชิดลม ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของเซ็นทรัล รีเทล ได้ผ่านการปรับโฉมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Store Of Bangkok” เพื่อยกระดับสู่การเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการช้อปปิ้งระดับโลกที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่เหนือระดับและโดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซน Luxe Galerie บนพื้นที่กว่า 8,000 ตารางเมตร ที่รวบรวมแบรนด์ลักชัวรีชั้นนำตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ไว้ในที่เดียว

ป๊อป-อัพสโตร์ของบุลการีนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของ อิล คาเฟ่ (Il Caffè) ภายในโรงแรมบุลการี โรมา (Bvlgari Hotel Roma) คาเฟ่ที่โดดเด่นด้วยบรรยากาศผ่อนคลายและพื้นที่กลางแจ้งกว้างขวางใต้ระเบียงของจัตุรัสจักรพรรดิออกุสตุส พร้อมการตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้และดอกไม้พื้นเมือง อิล คาเฟ่ ยังเป็นคาเฟ่แห่งแรกในอิตาลีที่มีแนวคิดเฉพาะตัว และเป็นผลงานชิ้นแรกของเชฟชื่อดัง นิโด โรมิโต (Niko Romito)

ร้านป๊อป-อัพสโตร์ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ 259 ตารางเมตรนี้ นำเสนอการตกแต่งด้วยหินอ่อนและทราเวอร์ทีนเน้นความหรูหรา สะท้อนถึงความตั้งใจของบุลการีในด้านงานฝีมือประณีต การออกแบบที่ล้ำสมัย และความสง่างามเหนือกาลเวลา พื้นที่จัดแสดงแบบวงกลมยังมีมุมนั่งพักผ่อนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากระเบียงกลางแจ้งของอิล คาเฟ่ และพืชพรรณเขียวขจีเหมือนในโรงแรมบุลการี โรมา

ในป๊อป-อัพสโตร์แห่งนี้ บุลการีนำเสนอคอลเล็คชั่นไอคอนิกอย่าง เซอร์เพนติ (Serpenti) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพทางความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์ พร้อมเสน่ห์ดึงดูดใจและการเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ยังมีคอลเลกชั่นยอดนิยมอื่นๆ เช่น บีซีโรวัน (B.zero1), ดีวาส์ ดรีม (Divas’ Dream) และ บุลการี บุลการี (Bvlgari Bvlgari) รวมถึงเครื่องประดับ นาฬิกา สินค้าเครื่องหนังสุดประณีต แว่นตา และแอคเซสซอรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลาของนครโรมัน

ผู้มาเยือนป๊อป-อัพสโตร์นี้จะได้รับมากกว่าการชมผลงานอัญมณีสุดวิจิตร แต่จะได้สัมผัสกับจิตวิญญาณของนครโรมันและแก่นแท้แห่งการออกแบบแบบอิตาเลียนที่สะท้อนผ่านพื้นที่ อบอวลด้วยบรรยากาศอบอุ่นและดึงดูดใจราวกับบ้านพักสุดหรูในโรม ที่พร้อมมอบเสน่ห์แบบโรมันแท้ๆ ท่ามกลางใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร การออกแบบทันสมัยยังยกย่องมรดกล้ำค่าของบุลการีและสะท้อนความยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลาที่สร้างแรงบันดาลใจไม่รู้จบ


รูปทรงอิสระ ไหล่ตั้งฉาก…สำรวจ MEN’S SUMMER 26 จาก SAINT LAURENT

Alternative Textaccount_circle

น่าติดตามไม่แพ้รันเวย์ไหน สำหรับ SAINT LAURENT MEN’S SUMMER 26 ที่ครั้งนี้ Anthony Vaccarello ได้แรงบันดาลใจมาจากช่วงเวลาที่ผู้คนแต่งตัวแบบปกปิด และเปิดเผยในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังมี clinamen งานศิลปะจัดวางโดย Céleste Boursier-Mougenot ลักษณะเป็นอ่างทรงกลมที่มีเครื่องถ้วยชามพอร์ซเลนลอยและกระทบกัน มาช่วยเสริมการสร้างสรรค์ ฉะนั้นเสื้อผ้าคอลเล็คชั่นนี้จึงเผยให้เห็นถึงความเย้ายวน น่าค้นหา และละเอียดอ่อน

โดยซิลลูเอตที่เราสังเกตได้จะเห็นว่าผ้าส่วนใหญ่จะมีลักษณะเบาและบาง เพื่อให้เห็นถึงรูปทรงที่เป็นอิสระ แต่ในขณะเดียวกันช่วงเอวยังต้องเข้ารูปเพื่อส่งเสริมสรีระ มาพร้อมทรงไหล่กว้างและตั้งฉากให้ลุคดูแฟชั่น ส่วนโทนสีที่ปรากฏในคอลเล็คชั่นนี้มีทั้ง สีน้ำตาล (Sand), สีขาว (Salt), สีส้ม (Pale Ochre), สีเขียว (Dry Moss) และสีฟ้า (Pool Blue)


ภาพและข้อมูล: Courtesy of SAINT LAURENT

ไอคอนสยาม ร่วมกับ ‘Alo’ ฉลอง International Yoga Day 2025 เชิญชวนเหล่าคนรักสุขภาพร่วมกิจกรรม Breathe & Flow – Sunset Yoga

account_circle

ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร่วมกับ Alo (อะโล) แบรนด์แฟชั่นและชุดออกกำลังกายลักซ์ชัวรี่จากสหรัฐอเมริกา จัดกิจกรรม “Breathe & Flow – Sunset Yoga” เนื่องในวัน International Yoga Day 2025 เชิญชวนคนรักสุขภาพและโยคะร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ICONSIAM Park ชั้น 2

กิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนแนวคิด Mindful Luxury อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Alo ที่ผสมผสานแฟชั่น ฟังก์ชัน และสุขภาพอย่างลงตัว พร้อมตอกย้ำบทบาทของไอคอนสยามในฐานะ Global Experiential Destination ที่ไม่เพียงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แต่ยังเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่เปิดรับผู้คนหลากหลายกลุ่มให้มาใช้ชีวิตอย่างสมดุลและใส่ใจสุขภาพร่วมกัน

ติดตามข่าวสารและอัปเดตเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: ICONSIAM
และเยี่ยมชมคอลเลกชันและดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ Line Official Account: @alothailand


Jacob & Co

G-Dragon สร้างตำนานใหม่ในโลกแฟชั่นด้วยจี้ลิมิเต็ดจาก Jacob & Co

account_circle
Jacob & Co
Jacob & Co

G-Dragon ขยายจักรวาลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของเขาอีกครั้ง ด้วยการจับมือกับ Jacob & Co แบรนด์นาฬิการะดับอาวองต์-การ์ด ร่วมสร้างสรรค์จี้ลิมิเต็ดเอดิชัน Jacob & Co x Peaceminusone Pendant ที่ถ่ายทอดอัตลักษณ์และปรัชญา “peace minus one” ซึ่งเน้นย้ำถึงเสรีภาพในการแสดงออกและความคิดสร้างสรรค์

G-Dragon สร้างตำนานใหม่ในโลกแฟชั่นด้วยจี้ลิมิเต็ดจาก Jacob & Co

ดีไซน์ของจี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดอกเดซี่ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ G-Dragon โดยตีความใหม่ให้กลีบดอกหายไปหนึ่งกลีบ เป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่สมบูรณ์แบบที่งดงาม มีให้เลือกสองเวอร์ชั่น ได้แก่ รุ่นเงินประดับซัฟไฟร์สีเหลืองและกรีนซาโวไรต์ (ราคาประมาณ 43,334 บาท) และรุ่นทองคำขาว 18 กะรัต ฝังเพชรเต็มเรือน พร้อมเพชรสีเหลืองแฟนซีวิวิคเม็ดกลางและกรีนซาโวไรต์ (ราคาประมาณ 39,7760 บาท)

จี้ทั้งสองรุ่นมาพร้อมโซ่ยาว 20 นิ้ว ปรับระดับได้ที่ 18 นิ้ว ผลิตจำนวนจำกัดและมีหมายเลขประจำชิ้น มาพร้อมกล่องบรรจุสุดพิเศษ และใบรับรองความแท้ที่ลงลายมือชื่อของ G-Dragon

“ผมอยากให้แฟน ๆ ใส่เครื่องประดับของผมโดยไม่ต้องยึดติดว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” G-Dragon กล่าวไว้ในวิดีโอ “การได้ทำงานโปรเจกต์นี้กับ Jacob เป็นสิ่งใหม่และสนุกมากสำหรับผม”

การเปิดตัวจี้ในครั้งนี้ยังสืบเนื่องจากการเผยโฉม Jacob & Co Astronomia Solar G-Dragon เรือนเวลาไฮจิวเวลรี่สุดเอ็กซ์คลูซีฟในปี 2025 ซึ่งสร้างขึ้นเพียงหนึ่งเดียวในโลก มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 33,138,365 บาท) หน้าปัดตกแต่งด้วยโลกหมุนได้สีเทอร์ควอยซ์ โอบล้อมด้วยมังกรทองคำชมพู ทั้งยังโดดเด่นด้วยหน้าปัดรูปดอกเดซี่ที่ขาดกลีบดอกหนึ่งกลีบ ประดับเพชรทรงบาแก็ตต์สีขาว 193 เม็ด และแซฟไฟร์หลากสีอีก 152 เม็ด


Disaster Manager…รศ.ทวิดา กมลเวชช เจ้าแม่นักจัดการภัยพิบัติ

Alternative Textaccount_circle

หลายคนขนานนามอาจารย์ว่า “เจ้าแม่ภัยพิบัติ” แต่เราขอใช้คำว่า “เจ้าแม่นักจัดการภัยพิบัติ”

          เพราะจากเหตุการณ์ภัยพิบัติและโรคระบาดที่เกิดขึ้นในไทย ทั้งสึนามิ 2547, น้ำท่วม 2554, แผ่นดินไหวเชียงราย 2557, โควิด-19 2562 และล่าสุดแผ่นดินไหว 2568  ทุกเหตุการณ์ที่ว่ามา อาจารย์แก้ว-รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงสนามทุกครั้ง

          โดยเฉพาะล่าสุดกับภารกิจกู้ชีวิตและซากตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ครั้งนี้อาจารย์รับหน้าที่ Disaster Manager หรือผู้จัดการภัยพิบัติ ด้วยคำพูดฉะฉาน ตอบสื่อตรงไปตรงมา  ทำให้ได้รับคำชื่นชมและกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์

ก่อนจะรับบทบู๊ อาจารย์เริ่มต้นอาชีพเป็นพนักงานบริษัทไอที จับพลัดจับผลูมาเรียนด้านภัยพิบัติ และเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในปัจจุบัน ซึ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ชีวิตคือการทำงาน ทำงาน และทำงาน เธอต้องทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ รวมถึงช่วงกลางคืน หากมีเหตุใหญ่

อดสงสัยไม่ได้ว่า ชีวิตดำเนินด้วยหลักยึดอะไร ใจถึงสู้ขนาดนี้

ขึ้นชื่อว่า “ภัยพิบัติ” ไม่น่ามีใครอยากเจอ อะไรทำให้อาจารย์สนใจงานด้านนี้คะ

            “ที่จริงไม่ได้สนใจสายนี้ตั้งแต่แรกค่ะ เดิมเรียนสายวิทย์มาตลอด เพราะที่บ้านอยากให้เป็นหมอ จนกระทั่งใกล้สอบเอ็นทรานซ์ รู้สึกว่าตัวเองเก่งด้านบริหารจัดการ ชอบทำกิจกรรมและชอบภาษามากกว่า จึงเบนเข็มมาเรียนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พอเรียนจบก็ทำงานที่บริษัทระบบจัดการข้อมูลแห่งหนึ่ง กระทั่งวันหนึ่งทางคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตามตัวให้มาสอบเป็นอาจารย์ที่คณะ สอนอยู่สักพักก็ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ University of Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกา บังเอิญว่าอาจารย์ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ ทั้งเรื่องแผ่นดินไหว พายุเฮอร์ริเคน สึนามิ จึงแนะนำว่า ยูลองเรียนเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติสิ เพราะมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เคยทำงานด้านไอทีมาก่อน และยังจบรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งสามอย่างนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในด้านการจัดการในภาวะวิกฤต ด้วยความที่ถูกสอนมาว่าให้เชื่อฟังอาจารย์ จึงตัดสินใจเรียนคณะบริหารสาธารณะและนโยบาย โฟกัสเรื่องการบริหารจัดการภัยพิบัติ และเทคโนโลยีการสื่อสาร

“ช่วงที่ไปเรียนตรงกับปี 2000 ซึ่งอเมริกาเกิดเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 พอดี อาจารย์ที่ปรึกษาก็ส่งไปหน้างาน ให้เรียนรู้วิธีการบริหารความเสี่ยง การประสานงาน ตอนนั้นได้เรียนรู้ระบบการทำงานของสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง หรือ FEMA และได้มีโอกาสทำงานที่ศูนย์ภัยพิบัติแปซิฟิคที่สหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันอาจารย์ที่ปรึกษาก็มีคอนเน็คชั่นกับทางญี่ปุ่น จึงได้เรียนรู้ระบบการจัดการภัยพิบัติ ของญี่ปุ่นด้วย เรียนไปนานเข้าก็ชอบ เพราะเดิมชอบดูซีรี่ส์สืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว รู้สึกว่าอาชีพนี้เหมาะกับบุคลิกของตัวเองดี”

เล่าประสบการณ์ลงพื้นที่จริงที่จำไม่ลืม ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ

            “น่าจะเป็นช่วงเกิดสึนามิที่ประเทศไทยและอินโดนีเซียเมื่อปี 2547 บังเอิญเป็นช่วงใกล้จบที่กำลังเขียนวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่า ไหนๆ เกิดสึนามิแล้ว ไปทำเรื่องนี้ด้วยสิ จึงทำวิทยานิพนธ์หัวข้อ ‘การบูรณาการ การจัดการภาวะฉุกเฉิน’ ก็พอดีว่าเมืองไทยอยากจัดตั้งศูนย์เตือนภัยสึนามิ จึงขอความช่วยเหลือไปที่สหรัฐฯ ทางศูนย์ภัยพิบัติแปซิฟิคจึงให้อาจารย์และทีมลงพื้นที่ช่วยเหลือ ช่วงนั้นจึงมีโอกาสทำงานให้กับประเทศไทยที่ภูเก็ตและพังงา โดยเป็นหนึ่งในทีมวิจัยบินไปทั่วทั้งเมืองไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น อเมริกา ฮาวาย ซึ่งสุดท้ายคนไทยก็ทำสำเร็จนะคะ สามารถสร้างศูนย์เตือนภัยพิบัติได้ภายใน 5 เดือนหลังจากเกิดสึนามิ ทั้งๆ ที่ปกติต้องใช้เวลาสร้างศูนย์ฯ เป็นปี แม้ระบบอาจไม่เต็มร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็สามารถเตือนภัยได้

“ส่วนเรื่องที่จำไม่ลืมคือตอนลงพื้นที่จังหวัดพังงา เรารู้สึกใกล้ชิดเพราะบ้านของคุณแม่และคุณน้าอยู่ที่นั่น (ทุกคนปลอดภัยดี)วันหนึ่งอาจารย์ต้องไปที่วัดย่านยาว ซึ่งเป็นสถานที่เก็บศพในจังหวัด ถึงแม้จะจอดรถไกลจากวัดมาก แต่พอเปิดประตูรถปุ๊บสิ่งแรกที่ปะทะทันทีคือกลิ่นศพที่กำลังเน่า เนื่องจากถูกสอนมาว่า เวลาลงพื้นที่ต้องทำตัวเสมือนคนท้องถิ่น คนที่นั่นไม่ใส่หน้ากาก อาจารย์ก็ไม่ใส่ เขายืนแจกยาหม่องอยู่หน้าวัด อาจารย์ก็ไม่รับ จึงรับรู้ทุกอย่างได้ชัดมาก อย่างการเห็นคนหาบศพเดินผ่านไประยะประชิด และเป็นครั้งแรกที่เห็นศพเน่าโดยไม่มีฟอร์มาลีน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกกระแทกจนช้ำและแช่น้ำเกลือในทะเลเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นสภาพและกลิ่นจึงรุนแรงมาก ความรู้สึกตอนนั้นอึดอัดและรับรู้ถึงความทุกข์ระทม เพราะด้วยสภาพศพ ทำให้ญาติที่มารอระบุตัวผู้เสียชีวิตดูหน้าไม่ออกว่าใช่คนในครอบครัวหรือเปล่า บรรยากาศจึงโหดมากในแง่ความรู้สึก

“หลังจากสึนามิที่พังงา ต้องบินไปที่เมืองอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซียต่อ เพราะที่นั่นโดนสึนามิเหมือนกัน อาจเพราะมีภูมิคุ้มกันจากเมืองไทย แม้อาเจะห์จะมีคนตายอยู่ที่หลักแสน แต่ก็ไม่รู้สึกมากเท่าตอนอยู่เมืองไทย ถึงอย่างนั้นสภาพบ้านเมืองที่อาเจะห์ก็โหดกว่ามากค่ะ เพราะนอกจากคนตายเยอะ มองไปทางไหนบ้านเรือนก็ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ตอนที่อาจารย์กับทีมลงพื้นที่ เราถึงขั้นต้องขนน้ำสะอาดไปจากจาร์กาต้า เพราะกังวลเรื่องโรคระบาด เนื่องจากเวลามีคนตายหลักแสน เจ้าหน้าที่ไม่สามารถกู้ได้เร็ว ศพจะทับถมจนเกิดโรคระบาด ในขณะที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ช้อนส้อมจานชามก็ต้องถูกล้างจากน้ำที่นี่ มีความเสี่ยงสูงจึงต้องเตรียมน้ำไปเอง”

ตอนนั้นกลัวไหมคะ

“ที่กลัวคืออาฟเตอร์ช็อค (หัวเราะ) เพราะตอนอยู่ที่อาเจะห์ อาจารย์ต้องนอนอยู่บนชั้น 2 ของโรงแรม ที่กังวลเพราะรู้ข้อมูลมาเยอะว่าแผ่นดินไหวแบบนี้สามารถเกิดอาฟเตอร์ช็อคได้ ซึ่งที่จริงการรู้ข้อมูลก็เพื่อให้เตรียมตัว ไม่ใช่เพื่อกังวล จึงต้องใส่ชุดทำงานและรองเท้าพร้อมวิ่งโดยวางเป้ใส่ของไว้ข้างเตียง ส่วนตอนอยู่พังงาไม่กลัวนะ เพราะเป็นสึนามิที่เกิดในทะเลระยะไกล และตอนนั้นก็มีแถลงการณ์จากศูนย์สึนามที่ฮาวายแจ้งมาว่า เราจะไม่เจออาฟเตอร์ช็อคแน่นอน

“ส่วนผีหรือเรื่องลึกลับแม้จะมีคนเล่านู้นนี้อยู่บ้าง อาจเพราะจิตแข็ง และยังไม่เคยเจอ จึงตอบไม่ได้ว่ากลัวไหม แต่โดยรวมแล้วเวลาเจอศพ หรือความพินาศ ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะยอมรับว่าเราเลือกทำงานด้านนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอ”

แล้วฉายา “เจ้าแม่ภัยพิบัติ” มาได้อย่างไรคะ

        “ผู้ที่ตั้งฉายานี้ท่านเสียไปแล้วค่ะ เป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์นี่แหละ ท่านทราบว่า ตั้งแต่ตอนที่อาจารย์ไปเรียนต่างประเทศ ก็เกิดเหตุการณ์ 9/11 หลังจากนั้นประเทศไทยก็เกิดสึนามิ ต่อด้วยสึนามิที่เซนได ยังไม่นับเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554  ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ได้ทำงานร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดตั้งศูนย์อพยพที่มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ท่านจึงแซวว่า ‘นี่มีดวงหายนะหรือเปล่า’ และพูดขำๆ กับคนอื่นว่า  ‘ผมว่าเราจะต้องสถาปนา ให้อาจารย์ทวิดาเป็นเจ้าแม่ภัยพิบัติแล้วล่ะ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ก็เกิดภัยพิบัติเยอะไปหมด…’ (หัวเราะ)

“ดูๆ แล้วที่ท่านพูดก็อาจจะจริง เพราะตั้งแต่มีภัยพิบัติมา สื่อก็เริ่มรู้จักเรามากขึ้น จนเป็นที่รู้กันว่าเมื่อไรประเทศชาติสงบสุข สื่อจะไม่เคยตามหาอาจารย์ทวิดา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม แผ่นดินไหวที่เชียงราย สึนามิที่เซนได ดินถล่มที่สุมาตรา เหตุการณ์โควิด แม้กระทั่งแผ่นดินไหวครั้งที่ผ่านมา สื่อจะตามหาเรา เป็นการย้ำเตือนว่า จะพบอาจารย์ได้เฉพาะเวลาที่เกิดเรื่องเลวร้ายเท่านั้น แม้กระทั่งท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติเองก็ตั้งฉายาใหม่ให้ขำๆ ว่า ‘เจ้าแม่หายนะ’ (หัวเราะ)

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุด ทางกทม. และอาจารย์มีวิธีรับมือกับภาวะวิกฤตอย่างไรคะ

“โดยปกติเวลาเราทำงาน เราจะรับคำสั่งจากเจ้านายเพียงคนเดียวเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน งานภัยพิบัติก็เช่นกัน ผู้นำต้องเป็นผู้กระจายงาน ซึ่งเจ้านายอาจารย์ก็คือ ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ พอเกิดเหตุท่านผู้ว่าฯ ก็ออกคำสั่งว่า ‘แก้ว ตั้งศูนย์บัญชาการ!’ เราก็จัดการตั้งศูนย์ฯ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ และได้รับมอบหมายให้ประสานงานกับทั้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, หน่วยงานราชการ และหน่วยงานต่างประเทศ รวมถึงดูแลความเรียบร้อยข้างในศูนย์ฯ ด้วย

“ส่วนบริเวณสำนักงานสตง. ความรับผิดชอบหลักจะอยู่ที่คุณสุริยชัย รวิวรรณ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และคุณภัทร์กร สินสุข ผู้อำนวยการเขตจตุจักร ที่ต้องรับบทตัดสินใจเรื่องหนักๆ  แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากมาก เช่น การลงพื้นที่ด้านในส่วนที่อาคารถล่ม ท่านผู้ว่าฯ จะลงพื้นที่หน้างานเพื่อช่วยตัดสินใจด้วย เพราะท่านเรียนจบวิศวะฯ จึงเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างอาคาร

          “สำหรับงานด้านนอกพื้นที่ประสบภัย เช่น การอนุญาตเรื่องคนเข้า-ออกพื้นที่ ไปจนถึงเรื่องสื่อมวลชน ท่านผู้อำนวยการเขตจะดูแล แต่ถ้าตัดสินใจยาก อาจารย์ต้องเข้าไปช่วยประสานงาน รวมถึงดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่เกิดเหตุ เช่น การระบายน้ำ อย่างช่วงที่ฝนตก ทุกคนก็อยากระบายน้ำออก แต่อาจารย์จะคอยห้ามว่า ช้าก่อน น้ำตรงนี้ถูกขังอยู่ข้างใต้มานานและอาจเคยสัมผัสศพมา เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดได้ ต้องผ่านการฆ่าเชื้อถึงจะปล่อยไปได้ ซึ่งหน้าที่นี้ในหลักวิชาการ จะเรียกว่า Disaster Manager คือผู้จัดการที่ต้องช่วยดูแลให้ทุกฝ่ายทำงานพร้อมกันได้ 

          “เพราะฉะนั้นอาจารย์ไม่ใช่ผู้ออกคำสั่ง แต่จะรู้ทุกเรื่องและมีหน้าที่วิ่งเชื่อมทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานพร้อมกัน แม้กระทั่งช่วงไหนที่อาจารย์ไปงีบหลับ ก็จะมีโค้ดลับกับทีมว่า ถ้าผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทีมติดปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามต้องโทรเรียก อย่างน้อยการมีตาเพิ่มอีกคู่ ก็ช่วยตัดสินใจได้

          “ส่วนเรื่องการสัมภาษณ์สื่อ อาจารย์ไม่สามารถทำเองได้ ต้องได้รับคำสั่งเท่านั้น เล่าย้อนว่า พอเข้าวันที่ 2 ที่เกิดเหตุ ท่านผู้ว่าฯ ต้องไปประจำหน้างานที่อาคารถล่ม จึงฝากอาจารย์แถลงข่าวความคืบหน้าและแถลงข่าวรวมการเฉพาะกิจที่ศูนย์บัญชาการ ซึ่งหน้าที่เหล่านี้ทำเองไม่ได้นะคะ ต้องรอคำสั่ง นั่นเป็นการสัมภาษณ์สื่อครั้งแรก

          “พอถึงวันที่ 3 ทีมกู้ภัยต่างประเทศเดินทางมาถึง อาจารย์ต้องทำหน้าที่ประสานงานให้กับทีมไทยเพราะต้องใช้ภาษาอังกฤษหลัก จึงขอท่านผู้ว่าฯ ไปประจำอยู่หน้างาน อยู่ไปสักพัก รองผู้อำนวยการ กทม. ซึ่งคือท่านปลัดกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเบอร์สองรองจากท่านผู้ว่าฯ โทรมาแจ้งว่า ต้องมีใครสักคนสื่อสารหน้างานกับสื่อ ซึ่งท่านผู้อำนวยการเขตให้อาจารย์สัมภาษณ์สื่อแทน จึงเกิดคลิปไวรัลขึ้นในวันนั้นค่ะ”

อีกหน่วยที่เป็นกำลังหลักในภารกิจครั้งนี้คือทีมกู้ภัย มีวิธีทำงานอย่างไรคะ 

“ครั้งนี้มีทีมกู้ภัยหลายหน่วยที่มาช่วยเรา ทั้งทีมกู้ภัยจากต่างประเทศ ทีมไทยเองก็มีทหาร พลเรือน อาสาสมัคร มูลนิธิ และภาคเอกชน ซึ่งท่านผู้ว่าฯ เป็นผู้เชื่อมแต่ละทีมเข้าหากัน และช่วยดูการลงพื้นที่หน้างานด้วย

“โดยปกติทีมกู้ภัยจะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ ทีมค้นหาและกู้ภัยขนาดเบา (Light Team) ทีมค้นหากู้ภัยขนาดกลาง (Medium Team) และสุดท้ายคือทีมค้นหาและกู้ภัยขนาดหนัก (Heavy Team) คือลุยงานหนัก สามารถเคลื่อนพลเข้าพื้นที่ภัยพิบัติทั่วโลกได้ภายใน 72 ชั่วโมง และปฏิบัติการต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ซึ่งทีมกู้ภัยอิสราเอลที่มาช่วยเรา อยู่ในเครือข่ายของ USAR ระดับ Heavy มีเครื่องมือครบถ้วน

“สิ่งแรกที่ทีมอิสราเอลทำ คือขอคุยกับผู้รอดชีวิต เพราะต้องการรู้พฤติกรรมของคนในตึกก่อนเกิดเรื่อง เพราะแต่ละชั้นมีลักษณะการทำงานที่ต่างกัน เช่น งานฉาบ ทาสี ทำเหล็ก หรือปูน เขาอยากรู้ว่าท่าทางการทำงานของคนงานเป็นอย่างไร หากวิ่งจะวางของตรงจุดไหน วิ่งไปอย่างไร  ใช้บันไดไหน และถ้าตึกเอียงคนจะเทไปทางไหน นี่คือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เมื่อเข้าไปในที่เกิดเหตุ เขาไม่ผลีผลาม ไม่เหยียบยอดตึกเด็ดขาดเพราะอาคารอาจไม่เสถียรและจะใช้เครื่องสแกนตรวจหาสัญญาณชีพแทนค่ะ เรื่องโชคดีในภารกิจนี้คือ เรามีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งโดรน กล้อง CCTV สามารถมองเห็นการทำงานของทุกฝ่ายได้

“เพราะฉะนั้นเวลาคนภายนอกบอกว่า เราทำงานช้า อยากให้คิดว่า ถ้าบุ่มบ่าม รีบเอาเครื่องมือใหญ่เข้าไปช่วยทันที แล้วเครื่องมือล้มลงมาในระดับสูงราว 130 กว่าเมตร สถานการณ์จะยิ่งแย่กว่าเดิม เช่นเดียวกับที่สื่อพยายามให้อาจารย์พูดให้ได้ว่า ‘ผ่านไป 72 ชั่วโมงแล้วต้องกู้ซาก’ อาจารย์ไม่พูดค่ะ เพราะแม้ว่า 72 ชั่วโมงคือเวลามาตรฐานที่คนสามารถรอดชีวิตได้ แต่เรามีความหวังว่า อาจมีบางคนที่แข็งแรงสามารถอยู่นานกว่านั้นได้”

อุปสรรคสำคัญของภารกิจนี้ที่คนภายนอกไม่เข้าใจ คืออะไรคะ

“ใน 72 ชั่วโมงแรกของการค้นหาช่วยเหลือกู้ชีพ อุปสรรคประการที่หนึ่งคือ ต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้โครงสร้างถล่มซ้ำ หรือเคลื่อนตัว จนอาจจะไปกดทับผู้ที่รอดชีวิตหรือบาดเจ็บ  สอง ต้องระวังความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และจัดระบบเข้าพื้นที่อย่างระมัดระวัง ข้อที่สามคือ ลักษณะการถล่มเป็นรูปแบบแพนเค้ก มีแผ่นและกองซีเมนต์มีขนาดใหญ่ ทั้งยังมีเหล็กจำนวนมาก ขดงอรวมกัน ทำให้การบีบตัดปูนและเหล็กยากมาก  ซึ่งไม่ใช่เพราะไม่มีเครื่องมือ แต่เป็นเพราะการเข้าปฏิบัติการมีความยากและซับซ้อน”

ภารกิจนี้กังวลเรื่องอะไรมากที่สุดคะ

“ถ้าหากตึกสตง. ไม่ใช่ตึกเดียวที่ถล่ม เราคงแย่กว่านี้ ต้องไม่ลืมว่า 24 ชั่วโมงแรก เหตุเกิดทั้ง 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ ต้องตัดสินใจหนักมากว่าใครจะรับผิดชอบอยู่จุดไหน ครั้งนี้ต้องขอบคุณออนไลน์ เพราะเมื่อเกิดเหตุ ผู้อำนวยการเขตทั้ง 50 เขต ไม่ต้องออกจากพื้นที่ของตัวเองเลย เราประชุมผ่านออนไลน์ขึ้นจอครั้งเดียวรับรู้ทั่วกัน รวมถึงแอปพลิเคชั่น Traffy Fondue ก็ช่วยได้มาก เพราะประชาชนช่วยรายงานและถ่ายภาพความเสียหายต่างๆ ส่งมาให้ ทำให้เราเห็นสภาพทั้งหมดของกรุงเทพฯ และประเมินความเสียหายได้ค่อนข้างเร็ว เมื่อเรารู้แล้วว่า สภาพตึกส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ยังสอบผ่าน ท่านผู้ว่าฯ ก็สามารถเข้ามาแก้สถานการณ์ที่ตึกสตง. ได้เร็วขึ้น”

การทำงานที่ทั้งต้องแข่งกับเวลาและความคาดหวังของผู้คน อาจารย์มีวิธีเตรียมตัวและรับมือกับความกดดันอย่างไรคะ

            “ต้องทำตัวเองให้พร้อม เริ่มจากสุขภาพต้องดี ป่วยไม่ได้ ต่อมาคือ ต้องจำรายละเอียดของงานให้ดี และเวลาลงพื้นที่ต้องตัดเรื่องอื่น อยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะนี่คือครั้งแรกที่ต้องลงมือทำงานเอง ก่อนหน้านี้เราอยู่ในบทบาทนักวิจัย ทำงานประเมินระบบ ประเมินการจัดการ แต่ไม่ใช่คนลงมือทำงาน

“ความยากในครั้งนี้คือไม่มีข่าวดีเลย นอกจาก 9 คนที่ช่วยได้ในวันแรก เราช่วยใครไม่ได้อีกเลย ไม่มีใครรู้สึกดีหรอกค่ะ มีสิ่งที่ทำไม่ได้เกือบทุกวันที่ผ่านไป ทุกครั้งที่กลับบ้าน อาจารย์รอตลอดว่าเมื่อไรจะเจอข่าวดี

“แต่ถึงแม้จะเครียด เราก็ไม่มีเวลาหมกมุ่นกับความครียด เพราะทุกเช้างานต่างๆ ระดมเข้ามารออยู่เต็มไปหมด คนแรกที่ต้องเจอก่อนใครคือ ท่านผู้ว่าฯ ที่จะเดินมาถามว่า “แก้ว เมื่อวานเป็นอย่างไร” จึงไม่มีเวลาคิดโทษตัวเองว่าที่ทำไม่ได้เพราะไม่มีความสามารถ หรือทำไมต้องโดนคนอื่นๆ ต่อว่า เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลจะต้องซ้ำเติมตัวเองถ้าเราทำเต็มที่แล้ว หากมัวแต่หมกมุ่นกับความเครียดจะไม่มีเวลาจัดการงาน อีกทั้งคนที่รอหน้างานก็มีเยอะ”

เหตุการณ์ครั้งนี้มอบบทเรียนอะไรบ้าง เพื่อรับมือกับอนาคตคะ

            “ประมาณ 8 ปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ ดร. เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ เคยบอกว่า อยากให้อาจารย์ทำวิจัยเรื่องการออกแบบมาตรการนโยบายลดความเสี่ยงตึกถล่มจากแผ่นดินไหว ซึ่งตอนนั้นส่วนตัวยังคิดไม่ถึงว่ากรุงเทพฯ จะมีเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจึงต้องเลิกพูดคำว่า ‘คาดไม่ถึง’ แต่ต้องรีเสิร์ชข้อมูลให้หนักกว่านี้ ตราบใดที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ออกมาพูดว่า ‘โอกาสเกิดแผ่นดินไหวเป็นศูนย์’ ในฐานะนักบริหารจัดการ เราต้องเตรียมข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงตั้งแต่แรก เมื่อเกิดเรื่องจะไม่ยากขนาดนี้

“ข้อต่อมาคือ รัฐยังมีอุปกรณ์การทำงานกู้ภัยไม่เพียงพอ ถามว่าจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์สำรองไว้เลยไหม ต้องเข้าใจก่อนว่าในหนึ่งปี รัฐใช้งบประมาณไปกับหลายเรื่อง การจะซื้อทุกอย่างเพื่อรอเหตุการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไรก็คงยาก แต่ขณะเดียวกันพรุ่งนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ ทางสายกลางที่สุดคือ เราต้องเก็บรวบรวมข้อมูลอุปกรณ์ที่หน่วยงานและอาสาสมัครมี ว่าอุปกรณ์พิเศษอยู่กับใครบ้าง ขณะเดียวกันก็ควรลงทุนอุปกรณ์ที่จำเป็น เพราะเมื่อเกิดเหตุจะสามารถหยิบไปใช้งานได้เลย

  “ขณะเดียวกันเราต้องพัฒนาศักยภาพของทีมกู้ภัย อย่างตอนนี้ประเทศไทยมีทีมกู้ภัย USAR ที่ได้ขอประเมินรับรองระดับ Medium แล้วก็จริง แต่เราต้องสอบระดับ Heavy ให้ได้ คนของเราต้องพัฒนาศักยภาพมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ทางกรุงเทพมหานคร กำลังจะทำศูนย์ฝึกกู้ภัยอาคารสูง อยากฝึกเจ้าหน้าที่หลายหน่วยร่วมกัน ด้วยการมอบหมายโจทย์ให้ยากขึ้น เพื่อให้เขามีทักษะรับมือในอนาคต

“ต่อมาคือ ต้องปรับปรุงกฎหมายระเบียบการเงินให้พร้อมมากขึ้นในภาวะฉุกเฉิน เพราะครั้งนี้ถ้าหน่วยกทม. ทำงานคนเดียว อีก 3 เดือนก็ไม่รู้จะเสร็จหรือเปล่า เรายังต้องพึ่งทหาร เอกชน มูลนิธิ อาสาสมัคร สมาคมต่อต้านภัยพิบัติ ซึ่งทุกคนที่มา เขาเสียรายได้ราว 50 วันเพื่อช่วยเรา ยังไม่นับที่ว่า รถและเครนเสียทุกวันเนื่องจากการกู้ซากตึกใหญ่อุปสรรคเยอะ สายเครนไปเกี่ยวเข้ากับเหล็กเส้นในซากตึกก็พังแล้ว ซึ่งเขาซ่อมกันเอง ไม่เพียงเท่านั้น เรายังใช้น้ำมันเยอะมากวันละราว 5,000 ลิตร ตกเป็นเงินวันละ 200,000 บาท ซึ่งตอนนี้ทางอิตาเลียนไทยจ่ายให้อยู่ ยังไม่นับค่าเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟ อุปกรณ์บางอย่าง เช่น ถังออกซิเจน ถังแก๊ซ ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมค่าแรงและการช่วยเหลือผู้ค้าขายในละแวกนี้ ณ ตอนนี้ (พฤษภาคม) อาจารย์ประเมินว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลยังไม่เพียงพอ ตอนนี้ได้ทำเรื่องไปกรมบัญชีกลางเพื่อขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมแล้ว

“สุดท้ายคือการสื่อสารกับหน่วยงานและภาคประชาชน ต้องจัดระบบเพิ่มอีกพอสมควร เพราะความยากคือ เราแม่นยำได้เท่าที่เราแม่นยำ เร็วได้เท่าที่เราเร็ว ซึ่งสองอย่างนี้ไม่เคยมาคู่กัน จะแม่นยำได้ต้องใช้เวลา แต่หน่วยงานก็ต้องรีบทำงาน ทำอย่างไรให้ทุกคนรู้เท่ากัน พร้อมกัน และแม่นยำ ซึ่งยากนะคะ เป็นโจทย์ถัดไป ที่เราต้องจัดระบบเชื่อมให้ดีกว่านี้”

นอกเหนือจากงานภัยพิบัติ หน้าที่ของรองผู้ว่าฯ ดูแลเรื่องอะไรบ้างคะ

“ที่จริงงานหลักที่อาจารย์ทำคือสายสุขภาพ โจทย์ที่ได้รับจากท่านผู้ว่าฯ ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้คนตัวเล็กๆ เข้าถึงบริการสุขภาพได้เร็วที่สุด ใกล้บ้านที่สุด มีมาตรฐานที่สุด อาจารย์จึงทำโครงการขยายเส้นเลือดฝอย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ทั่วถึง เช่น โครงการตรวจสุขภาพฟรีหนึ่งล้านคน, แอปพลิเคชั่น หมอ กทม., แอปพลิเคชั่น สมุดสุขภาพ, จัดงานวิ่งล้อมเมือง, เปิดศูนย์บริการสาธารณสุขและโรงพยาบาลนอกเวลาราชการ ใจจริงอยากให้คนกรุงเทพฯ เปิดใจให้กับศูนย์บริการสาธารณสุขที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านก่อน ซึ่งตอนนี้ทางกทม. ได้สร้างใหม่และปรับปรุงหลายแห่ง ถ้าอาการไม่หนัก ลองมาใช้บริการศูนย์บริการสาธารณสุขก่อนนะคะ เพื่อมอบพื้นที่ให้คนไข้ที่อาการหนักได้เข้าไปใช้บริการที่โรงพยาบาลได้มากขึ้น

“นอกจากนี้อาจารย์ยังดูแลโรงพยาบาลของกรุงเทพมหานคร ทั้งหมด 11 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลกลาง, โรงพยาบาลตากสิน, โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์, โรงพยาบาลสิรินธร, โรงพยาบาลราชพิพัฒน์, โรงพยาบาลเวชการุณรัศมิ์ โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน โรงพยาบาลนคราภิบาล, โรงพยาบาลรัตนประชารักษ์ (คลองสามวา), โรงพยาบาลบางนา, โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ และมีโรงพยาบาลวชิระพยาบาล ที่เราดูแลครึ่งหนึ่ง

“สำหรับปีนี้เราได้เปิดโรงพยาบาลใหม่เพิ่มที่กรุงเทพฯ เพื่อแก้ปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบุษราคัมจิตการุณย์ เขตสายไหม, โรงพยาบาลพระมงคลเทพมุนี เขตภาษีเจริญ เป็นแผนก OPD ตรวจรักษาโรคทั่วไป อุบัติเหตุและฉุกเฉิน รับสิทธิบัตรทองและประกันสังคมด้วย และยังมีโปรเจ็คต์ ทำโรงพยาบาลอีกสองแห่งที่ดอนเมืองกับทุ่งครุค่ะ

“นอกจากงานสายสุขภาพ ท่านผู้ว่าฯ ยังมอบหมายงานบริหารด้วย อาจารย์ดูแลสำนักยุทธศาสตร์ ดูแลนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี ของท่านผู้ว่าฯ ตลอดจนการดูแลสำนักงานข้าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้เรามีข้าราชการและลูกจ้างรวมกัน 80,000 คน จะดูแลเรื่องตำแหน่ง การแต่งตั้ง สรรหา โปรโมทลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว แล้วก็เรื่องสวัสดิการรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ค่ะ”

ความรับผิดชอบเยอะขนาดนี้ จัดสรรเวลาอย่างไรคะ

            “ไม่ต้องคุยเรื่องจัดสรรเวลาค่ะ (หัวเราะ) เพราะคอนเซ็ปต์ของอาจารย์คือ ‘work ไร้ บาลานซ์’ ทำงาน 3 ปี ยังไม่เคยมีวันหยุด เพิ่งหยุดไปหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เพราะติดโควิด เรื่องของเรื่องคือ เมื่อไรก็ตามที่เป็นวันหยุดยาวของคนกรุงเทพฯ มักจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นเสมอ ท่านผู้ว่าฯ เองจึงไม่ปรารถนาให้อาจารย์อยู่นอกพื้นที่ซึ่งก็ถูกแล้ว เพราะงานของอาจารย์เป็นเรื่องฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง

“ส่วนชีวิตทำงานในแต่ละวันค่อนข้างยุ่ง หน้าห้องเคยจัดคิวให้ วันที่พีคสุดเจอไป 11 นัดๆ ละ 1 ชั่วโมง ชีวิตเริ่มต้นตั้งแต่ 7 โมงเช้ายาวไปถึงกี่ทุ่มก็ไม่รู้ ตอนเที่ยงก็กินข้าวในรถ ทุกวันนี้พยายามล็อคคิวช่วงบ่ายของทุกวันเพื่อตามงานสำนักงานที่เรากำกับ ทั้งเรียกมาพบ หรือไม่ก็ไปตามถึงที่ คือไปโผล่โรงพยาบาลเลย ไปดูชุมชน เยี่ยมคนติดเตียง บางวันก็ไปสถานีดับเพลิง ส่วนครึ่งวันเช้าจะเป็นการประชุมค่ะ

            “โชคดีที่อาจารย์นอนไม่เยอะ เวลานอนสูสีกับท่านผู้ว่าฯ แต่ตื่นสายกว่า เพราะอาจารย์ไม่ได้วิ่งตอนเช้า อาศัยวิ่งตอนเย็นแทน ความโชคดีอีกอย่างคือหัวถึงหมอนก็หลับได้เลย เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียน อีกเรื่องคือ อาจารย์ไม่ซีเรียสเรื่องวันหยุด ไม่เคยอยากไปทะเลหรือต่างประเทศเพราะสมัยเรียนเดินทางเยอะแล้ว เวลาพักผ่อนคือ วันไหนที่ได้ตื่น 8 โมงเช้า กลางคืนได้กลับบ้านดูซีรีส์ หรือมีเวลาล้างห้องน้ำ ซักผ้า ทำกับข้าว จัดบ้าน แค่นี้ก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นสถานที่โปรดของอาจารย์คือเตียงนอน อีกแห่งคือร้านกาแฟ ซึ่งบางทีก็แอบหนีทีมไปนั่งทำงานเงียบๆ ในนั้นสักครึ่งชั่วโมง แค่นี้ก็ดีใจแล้วค่ะ

“อีกเรื่องที่คนภายนอกไม่ค่อยรู้ คือ เห็นภาพลุยๆ แบบนี้ ความจริงชอบแต่งตัวมาก สมัยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแต่งตัวสวยไปทำงานทุกวัน ชอบซื้อผ้าไทยแล้วนำมาออกแบบชุดเอง รวมถึงการสรรหารองเท้าส้นสูงมาแมตช์กับเสื้อผ้า นี่มีรูปที่แฟนคลับรวมหลายๆ ชุดที่อาจารย์ใส่ส่งมาให้ดูด้วยนะ (เปิดรูปให้ดู) แต่พอมาเป็นรองผู้ว่าฯ ไม่ค่อยมีโอกาสใส่ หนึ่งอาทิตย์ได้ใส่ชุดสวยหนึ่งวันก็เก่งแล้ว เพราะงานเราต้องลุย แต่ถ้าวันไหนใส่แล้วชอบก็จะชมตัวเองในกระจกว่า สวย (ยิ้ม)”

อะไรที่ทำให้อาจารย์ยังอยากทำงานนี้ต่อไปทุกวันคะ

            “อาจารย์คิดว่าข้อดีของการทำงานกทม. เมื่อเทียบกับตอนเป็นอาจารย์มหาลัยคือ ตอนเป็นอาจารย์งานไม่เคยเสร็จ เราเป็นคณบดีงานบริหารจึงเต็มมือ งานวิจัยก็มี ต้องลงพื้นที่และออกมาทำงานบริการวิชาการ เช่น การอบรม หรือให้คำปรึกษากับหน่วยงาน แต่งานของ กทม. ต่างกันเลย ระหว่างวันเหนื่อยเกือบตาย แต่พอกลับบ้านทุกอย่างตัดทิ้งได้ เพราะคนอื่นก็นอนกันหมดแล้ว บางคืนจึงได้นอนแต่หัวค่ำบ้าง เช่น 4 ทุ่ม ยกเว้นคืนไหนมีไฟไหม้ อย่างช่วงที่ไฟไหม้ลาดกระบัง ตีหนึ่งอาจารย์ยังอยู่หน้างาน

“ส่วนตื่นเช้ามาก็ไม่มีโอกาสได้ขี้เกียจ เพราะไลน์จากท่านผู้ว่าฯ จะเด้งมาทุกเช้า ขึ้นกับว่าไลน์นั้นจะส่งให้รองผู้ว่าฯ คนไหนจึงดีดทุกวัน ถึงงานจะหนักแต่ก็สนุกกว่ามาก เพราะได้ความรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน เนื่องจากในระบบงาน มีเรื่องราวและความรู้เยอะจริงๆ เช่น โครงสร้างทั้งหมดของการบริหารงานพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ไม่ได้อยู่ใต้กำกับของ กทม. เพิ่มอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เรียนรู้มาทั้งชีวิตเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ จึงยังสนุกกับการแก้ปัญหา

“แต่ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ตอบตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกเหนื่อยค่ะ ต่างจากตอนทำงานมหาวิทยาลัยที่ทำ 24 ชั่วโมงไม่เคยเหนื่อยเลย อาจเป็นเพราะการทำงานตรงนี้ไม่ใช่แค่ความคาดหวังของเราที่อยากทำให้ดี แต่เป็นความคาดหวังของประชาชนจำนวนมากและหลากหลายกลุ่ม งานจึงยากตลอดเวลา”

สุดท้าย อยากให้อาจารย์ฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่อยากมีแรงขับเคลื่อนชีวิตค่ะ

“บางครั้งคนเราคาดหวังคำชมจากผู้อื่น ซึ่งเหนื่อยเกินไป อาจารย์แค่คิดว่า วันนี้เราพอใจกับตัวเองหรือยัง เมื่อกลับถึงบ้านสามารถบอกตัวเองได้ว่า วันนี้เราทำอะไรได้ หรือ ไม่ได้  ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำอะไรสำเร็จทุกวัน แค่ทำเต็มที่ก็แฮปปี้แล้ว ต่อให้พลาด ล้มเหลว พรุ่งนี้ก็แก้ตัวใหม่ และถ้าพรุ่งนี้ทำได้คงรู้สึกว่า เก่ง! (หัวเราะ)

“ส่วนถ้ามีใครมาชม หรือได้อะไรดีๆ กลับมาก็ถือว่าเป็นโบนัสเล็กๆ ที่เติมเต็มชีวิต อย่างตอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย จะรู้สึกดีใจเวลาที่นักศึกษาเข้ามาเล่าว่า เขาทำอะไรสำเร็จ ทุกวันนี้ก็รู้สึกดีใจที่มีผู้สูงอายุนำผลไม้มาฝากหมอพยาบาลที่ออกหน่วยตรวจสุขภาพเพราะเห็นว่าพวกเขาทำงานหนัก หรือดีใจที่เราได้ช่วยชีวิตคน เพราะฉะนั้น ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาจึงอยากสู้และออกไปทำงาน เพราะเราตอบตัวเองได้ว่า เรามีประโยชน์

ความสุขคือแค่นี้เลยค่ะ

อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในคอลัมน์ Interview นิตยสารแพรว ฉบับมิถุนายน 2568


เรื่อง: Fai                       

ภาพ: วรสันต์

นาฬิกาไฮจิเวลรี่

Tiffany & Co. เปิดตัว นาฬิกาไฮจิเวลรี่ รุ่นใหม่ แรงบันดาลใจจาก Bird on a Rock

account_circle
นาฬิกาไฮจิเวลรี่
นาฬิกาไฮจิเวลรี่

Tiffany & Co. เปิดตัว นาฬิกาไฮจิวเวลรี่ รุ่นใหม่ Bird on a Flying Tourbillon Azure Blossom เรือนเวลาสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียง 10 เรือนทั่วโลก ถ่ายทอดความสง่างามเหนือระดับผ่านการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ Jean Schlumberger นักออกแบบระดับตำนานของแบรนด์ ผสมผสานจิตวิญญาณของธรรมชาติ ความเชี่ยวชาญด้านเครื่องประดับ และกลไกอันล้ำลึกของการทำนาฬิกาชั้นสูง

Tiffany & Co. เปิดตัว นาฬิกาไฮจิเวลรี่ รุ่นใหม่ แรงบันดาลใจจาก Bird on a Rock

มรดกแห่งแรงบันดาลใจจาก Bird on a Rock สู่จิเวลรี่เวลา

18W BIRD FLYING TOURBILLION METIER d’ART DIAL 39MM

นาฬิกาเรือนนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเข็มกลัด Bird on a Rock ซึ่ง Jean Schlumberger ออกแบบให้ Tiffany & Co. เมื่อปี 1965 โดยถ่ายทอดความหลงใหลในธรรมชาติ ตั้งแต่สวนเขียวชอุ่มในปารีส ไปจนถึงท้องทะเลของเกาะกวาเดอลูป—สู่ดีไซน์หน้าปัดซ้อนชั้นที่เปี่ยมด้วยความฝันและจินตนาการ นกค็อกคาทูทองคำขนาดจิ๋วฝังเพชรที่เหมือนโผบินจากกลไกตูร์บิญอง คือหัวใจของการออกแบบที่สะท้อนความเป็นอิสระอย่างงดงาม

งานฝีมือชั้นสูงจากช่างผู้ชำนาญ

หน้าปัดเรือนนี้หลอมรวมหัตถศิลป์ระดับสูงถึง 5 แขนง ได้แก่

  • ชาเพลเว่อีนาเมล (Champlevé Enamel)

  • การลงเคลือบแลกเกอร์ (Lacquer)

  • การแกะสลักทองคำ (Gold Engraving)

  • การฝังเพชร (Gem-setting)

  • การเจียระไนคริสตัลแซฟไฟร์ (Sapphire Crystal Cutting)

กระบวนการลงยาทำด้วยมือในแต่ละเฉดสี ต้องเผาในเตาสูงกว่า 800°C ทีละชั้น ก่อนจะวางเส้นทองคำขาวทับเพื่อสร้างลวดลายสุดประณีต เสริมด้วยดอกไม้แลกเกอร์เคลือบเงา และโดมคริสตัลแซฟไฟร์ที่เบาราวขนนกแต่เปล่งประกายราวเพชร

เปล่งประกายทุกมุมมองด้วยอัญมณี 771 เม็ด

Bird on a Flying Tourbillon Azure Blossom ใช้เวลารังสรรค์กว่า 100 ชั่วโมง พร้อมอัญมณีรวม 771 เม็ด หนักกว่า 3.8 กะรัต

18W BIRD FLYING TOURBILLION METIER d’ART DIAL 39MM

  • ตัวเรือนทองคำขาว 18 กะรัต ประดับเพชรกลม 341 เม็ด

  • หน้าปัดย่อยแสดงเวลาฝังเพชรแบบสโนว์เซ็ตติ้ง 168 เม็ด

  • ฝาหลังเผยกลไกพร้อมแผ่นตกแต่งฝังเพชร 143 เม็ด

  • เม็ดมะยมไขลานฝังเพชรเดี่ยว 0.42 กะรัต

  • สายหนังจระเข้เสริมหัวเข็มขัดตัว T ประดับเพชรอีก 49 เม็ด

ทุกรายละเอียดล้วนสะท้อนความพิถีพิถันในแบบฉบับ Tiffany & Co. ที่ให้ความสำคัญแม้ในจุดที่ซ่อนเร้น

กลไกฟลายอิงตูร์บิญงที่ Tiffany & Co. พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรก

เรือนเวลารุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลานด้วยมือ Caliber AFT24T01 ที่ผลิตโดย Artime Manufacture ผู้เชี่ยวชาญด้านกลไกระดับโอต์โอร์โลเฌอรีจากสวิตเซอร์แลนด์ โดยใช้เวลาพัฒนากว่า 2 ปี กลไกฟลายอิงตูร์บิญงแบบไร้สะพานรองด้านบน หมุนรอบตัวเองทุก 60 วินาทีใต้โดมคริสตัลเจียระไนอย่างปราณีต สะท้อนประกายระยิบระยับราวบทกวีแห่งเวลา

ความงามจากภายใน ฝาหลังเผยศิลป์กลไกอันละเมียดละไม

ฝาหลังคริสตัลแซฟไฟร์โชว์โครงสร้างกลไกสุดวิจิตร ด้วยการตกแต่งแบบ

18W BIRD FLYING TOURBILLION METIER d’ART DIAL 39MM

  • พ่นทราย

  • ขัดลายตรง

  • ขัดซาติน

  • ขัดแต่งขอบ

  • และขัดเงา

ตัดกันระหว่างเฟืองเคลือบทองและโทนสีเงินเย็น สะพานจักรรูปดาวแรงบันดาลใจจาก Tiffany® Setting กลายเป็นองค์ประกอบที่สะท้อนความเป็น Tiffany อย่างสมบูรณ์แบบ

เรือนเวลาที่เป็นทั้งศิลปะ เครื่องประดับ และนวัตกรรม

Bird on a Flying Tourbillon Azure Blossom คือบทสรุปของปรัชญาการออกแบบของ Tiffany & Co. ที่รวมความเชี่ยวชาญด้านจิวเวลรี ความแม่นยำของกลไก และศิลปะหัตถกรรมชั้นสูงเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่สะท้อนความหรูหราเหนือกาลเวลา พร้อมเชื้อเชิญให้ผู้สวมใส่ดำดิ่งสู่โลกแห่งความฝันและจินตนาการไร้ขอบเขต


เปิดเส้นทางอะควาแมนเมืองไทย “ทราย-สิรณัฐ สก๊อต” กับภารกิจอนุรักษ์ท้องทะเล

Alternative Textaccount_circle

“จากรายงานสถานการณ์ขยะทะเลชี้ว่า พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นหนึ่งในประเภทขยะที่พบมากที่สุด ทำให้ในแต่ละปีมีสัตว์น้ำกว่าร้อยล้านชีวิตต้องเสียชีวิต ร่วมด้วยปัญหาการลักลอบทำประมงในเขตอุทยานและวิถีการท่องเที่ยวที่ละเมิดกฎ ส่งผลให้ระบบนิเวศในหลายพื้นที่พังทลาย”

นี่คือความจริงอันน่าหวาดหวั่นที่ “ทราย – สิรณัฐ สก๊อต” ทายาทรุ่นที่ 4 ของบุญรอดบริวเวอรี่ และนักอนุรักษ์ท้องทะเลไทย ต้องการตอกย้ำให้ผู้คนหันมา ใส่ใจสภาพแวดล้อมทางทะเลจริงจัง ผ่านโครงการ Sea You Strong และภารกิจว่ายน้ำเดี่ยว ระยะทาง 30 กิโลเมตร (2022) เพื่อปลุกกระแสอนุรักษ์ในระดับประเทศ

My Safe Zone

“ตอนเด็กๆ ทรายไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ด้วยความที่มีปัญหาครอบครัว คุณตากับคุณยายจึงเป็นเพียงสองคนที่คอยเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนด้วยความรัก ซึ่งทุกวันนี้ยังจำความอบอุ่นนั้นได้ จนกระทั่งพวกท่านจากไป รู้สึกเคว้งคว้าง ไม่เข้าใจตัวเองหลายอย่าง ทำให้ชอบวาดรูป เพื่อระบายความรู้สึก

“จนช่วงหนึ่งได้มีโอกาสไปทะเลที่หัวหิน โมเมนต์แรกที่จำได้คือตอนเดิน ลงไปกลางทะเลรู้สึกเป็นอิสระ เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ช่วยเยียวยาจิตใจ บรรเทาความวุ่นวายในใจให้ค่อยๆ สงบลง และสิ่งที่สัมผัสได้คือความอบอุ่นที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่ได้รับจากคุณตาคุณยาย จึงเป็นเหตุผลที่ทรายหลงรักทะเลครับ

“จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากทำงานด้านสิ่งแวดล้อมคือ ตอนไปเรียนด้านภาพยนตร์และแอนิเมชั่น ที่ California Institute of the Arts ประเทศสหรัฐอเมริกา ความที่ทรายชอบศิลปะ ชอบวาดรูป ดูการ์ตูนดิสนีย์ เมื่อเรียนจบก็ไปสมัครเป็นพนักงานขายของในร้านค้าที่ดิสนีย์แลนด์แคลิฟอร์เนีย ขณะทำงานสังเกตเห็นว่าวันหนึ่ง เราใช้ถุงพลาสติกใส่ของเยอะมาก จึงเริ่มทักลูกค้าที่มาซื้อของว่าคุณต้องการ ถุงพลาสติกจริงหรือเปล่า และนำเสนอให้ซื้อถุงผ้าแทน แม้ราคาแพงกว่า แต่สามารถใช้ซ้ำได้ และตอนนั้นผู้จัดการร้านมีนโยบายใหม่คือการให้คะแนน Performance ของพนักงานที่ขายถุงผ้าได้มากที่สุด ซึ่งตรงกับเป้าหมายของทรายพอดี สุดท้ายจึงได้เป็นพนักงานที่ทำยอดขายถุงผ้าได้สูงที่สุด ทำงานอยู่ประมาณ 3-4 เดือน รู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่านั้น และอยากทำประโยชน์ในขอบเขตที่ใหญ่ขึ้น จึงตัดสินใจกลับไทยเพื่อค้นหาตัวเองอีกครั้ง

“ช่วงนั้นทรายใช้เวลาอยู่กับทะเลเยอะมาก อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ทรายอยู่ทะเลตั้งแต่ 9 โมงเช้าจน 6 โมงเย็น ทั้งว่ายน้ำ ลอยตัว ทำสมาธิ เดินเล่นบนหาด เรียกว่าทิ้งชีวิตบนบกไปเลย จนวันหนึ่งเห็นขยะ เกลื่อนหาด ทรายจึงเดินเก็บทั้งวัน ได้ขยะมาเต็มกระสอบ ความรู้สึกนั้นสร้างพลังให้กับตัวเอง จึงคิดว่าชีวิตต่อจากนี้อยากทำอะไรเพื่อทะเลบ้าง จึงตั้งใจว่าจะทำงานอนุรักษ์ เพราะอยากสร้างโลกที่สวยขึ้น ดูแลสัตว์ในท้องทะเลให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นครับ” (ยิ้ม)

Sea You Strong

เมื่อตัดสินใจมุ่งหน้าทำงานอนุรักษ์อย่างจริงจัง ทรายจึงเริ่มลงพื้นที่สำรวจเพื่อเรียนรู้ถึงปัญหาที่แท้จริง จนจัดตั้งโครงการ Sea You Strong เมื่อปี 2021 “ขณะที่ทรายกำลังสำรวจเกาะต่างๆ ในจังหวัดกระบี่ ซึ่งพบขยะจำนวนมาก โดยเฉพาะที่หาดสามร้อยยอด ด้วยความที่เป็นหน้ามรสุม ทำให้ขยะถูกซัดขึ้นฝั่งจำนวนมาก จึงถือโอกาสจัดโครงการเก็บขยะร่วมกับสิงห์อาสา เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในชุมชนให้เห็นความสำคัญของปัญหาขยะ และช่วยกันลดปริมาณขยะที่เป็นมลพิษทางทะเล

“โดยทรายได้ชวน 12 โรงเรียนในพื้นที่ตำบลตลิ่งชันและตำบลเกาะศรีบอยา อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ เริ่มจากติดต่อให้คุณครูและเด็กๆ นักเรียนมาช่วยกันเก็บขยะไปคัดแยกและรีไซเคิลเป็นวัสดุเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมพานักวิชาการมาช่วยอบรมด้วย

 “ต่อจากนั้นก็มีปฏิบัติภารกิจเก็บกู้อวนที่ชาวประมงทิ้งไว้ใต้ทะเลตามเกาะ ในจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต และพังงา เพื่อรักษาระบบนิเวศและการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเล เพราะทุกปีจะมีเศษอวนใช้แล้วถูกทิ้งลงทะเลมากถึง 640,000 ตัน คิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณขยะทั้งหมดในโลก หากปล่อยไว้นานอวนจะสะสม สิ่งสกปรกจนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างปะการังที่อยู่ใกล้เคียงและตายในที่สุด”

Thailand’s Aquaman

แม้จะเก็บข้อมูลและลงพื้นที่มาไม่รู้กี่ครั้ง แต่กลับพบว่าเสียงร้องขอความช่วยเหลือให้ทะเลยังดังไม่พอ ทรายจึงตัดสินใจว่ายน้ำข้ามเกาะคนเดียวกว่า 30 กิโลเมตร เพื่อเปลี่ยนความเงียบให้กลายเป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในแวดวงอนุรักษ์ จนได้รับฉายา “อะควาแมนเมืองไทย”

“เมื่อปี 2022 นึกอยากทดลองว่ายน้ำเดี่ยวข้ามทะเลไป-กลับจากอ่าวนางถึงเกาะปอดะ จังหวัดกระบี่ รวม 6 ชั่วโมง เพื่อแสดงจุดยืนของตัวเองด้านอนุรักษ์และกระจายเสียงไปถึงผู้คนให้ได้รับรู้ปัญหาขยะและสารพิษในท้องทะเลที่สัตว์น้ำต้องเผชิญ

“หลังจากทำภารกิจนี้สำเร็จก็ถูกพูดถึงในโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก ทรายดีใจสุดๆ เพราะคนเริ่มหันมาสนใจเรื่องท้องทะเลมากขึ้น ต่อมาจึงจัดโครงการ “Sea You Strong : หยุด bully ทะเล’ (2023) เป็นกิจกรรมว่ายน้ำข้ามทะเลฝั่งอันดามัน เริ่มจากกระบี่ พังงา และไปสิ้นสุดที่ภูเก็ต รวมระยะทางราว 70 กิโลเมตร ภายในเวลา 2 วัน เพื่อตอกย้ำและเรียกร้องสิทธิ์แทนทุกสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลอีกครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลในอันดามันให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักกันอีกด้วย

 “วินาทีที่ขึ้นฝั่งพบว่ามีคนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม ต่างจากเมื่อก่อนที่แทบไม่เคยเห็นข่าวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม พอมีโครงการนี้เกิดขึ้น หลายสื่อก็เริ่มนำเสนอเรื่องราวนี้ลงในโซเชียลมีเดีย ในขณะเดียวกันประเด็นเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทะเลก็กลายเป็นบทสนทนาในสังคมมากขึ้น จึงดีใจมากๆ ครับ”

Sea the Truth

“ต่อมาปี 2024 ทรายได้มีโอกาสทำงานเป็นที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หน้าที่คือ ทำงานด้านการอนุรักษ์และเป็นสื่อกลางด้านการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น คอยแนะนำนักท่องเที่ยวที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บหอยไปเป็นที่ระลึก การเหยียบปะการัง รวมถึงคอยจัดการกับผู้ประกอบการหรือกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมาย

“เคสหนักๆ ที่ทรายเจอคือ มีกลุ่มประมงบางกลุ่มมักลักลอบทำประมงในเขตพื้นที่อุทยาน อย่างที่กระบี่ เมื่อก่อนมีปลาใบเยอะมาก แต่พวกเขาไปตกปลาจนหายจากพื้นที่ จนกลายเป็นสัตว์หายากมากไปแล้ว รวมถึงทัวร์บางกลุ่ม ถ้าตามกฎหมายต้องมีมัคคุเทศก์ที่มีบัตรรับรองการทำงานอยู่ด้วย ซึ่งหลายเจ้าไม่มี และไม่มีการตักเตือนนักท่องเที่ยว

“ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ทำงานที่นี่ ทรายได้เรียนรู้และเห็นความจริงในทุกๆ มิติ ได้ลงมือปกป้องทะเลอย่างเต็มที่เท่าที่คนหนึ่งจะทำได้ และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องออกมาเพื่อใช้เวลาวิเคราะห์ทบทวนตัวเองสักพัก ทำงานช่วยทะเลมาเยอะแล้ว อยากจะมองหาวิธีการในการช่วยทะเลในรูปแบบอื่นๆ ต่อไป อย่างตอนนี้ที่ให้สัมภาษณ์หลายๆ สื่อก็เป็นการทำงานอนุรักษ์เช่นเดียวกัน และได้ผลมาก เพราะคนในสังคม หันมาสนใจกันมากขึ้น (ยิ้ม)

“สุดท้ายนี้อยากฝากถึงทุกคนว่า ถ้ามนุษย์มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดี สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็สมควรได้รับสิทธิ์นั้นเช่นกัน หากเรายังเพิกเฉยต่อเรื่องนี้หรือมัวแต่รอให้คนมีจิตสำนึก ไม่ตักเตือนกัน ก็อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสียสิ่งมีค่าในธรรมชาติไปอย่างถาวร”
          ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในสกู๊ป Let’s Save The World นิตยสารแพรว ฉบับเดือนมิถุนายน 2568


เรื่อง: Prince

ภาพ: วรสันต์

อุ่นเครื่องหูทอง กับ Violette, D Gerrard และ The Parkinson ใน “JAZZ ME TO THE MOON”

account_circle

AME IMAGINATIVE (เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ) ในเครืออมรินทร์กรุ๊ป จัดงานแถลงข่าว “ONE BANGKOK PRESENTS JAZZ ME TO THE MOON CONCERT” ครั้งแรกของการรวมตัว ที่สุดของศิลปินเหล่า Star Travelers ทั้ง 4 ศิลปิน THE TOYS, VIOLETTE WAUTIER, D GERRARD, THE PARKINSON ในรูปแบบคอนเสิร์ตที่คุณไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน ด้วยการนำเพลงฮิตมาเรียบเรียงใหม่ ผสมผสานกับเสียงดนตรี Jazz อย่างลงตัว โปรดักชันแสง สี เสียงจัดเต็มครั้งยิ่งใหญ่ ใน ปรากฏการณ์คอนเสิร์ตเหนือจินตนาการทะยานสู่ดวงจันทร์ “ONE BANGKOK PRESENTS JAZZ ME TO THE MOON CONCERT” ในวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 2568 ณ One Bangkok Forum

อุ่นเครื่องหูทอง กับ Violette, D Gerrard และ The Parkinson ใน “JAZZ ME TO THE MOON”

คุณเจรมัย พิทักษ์วงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด ในเครืออมรินทร์กรุ๊ป เผยถึงการจัด “ONE BANGKOK PRESENTS JAZZ ME TO THE MOON CONCERT” ว่า “AME เริ่มธุรกิจจากสายงาน Media และ Event ซึ่งมีความเป็น Living และ Lifestyle อาทิ แบรนด์บ้าน และสวนที่มีชื่อเสียงมายาวนาน จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่า Passion ลึก ๆ มันมีเสียงดนตรีอยู่ตลอดเวลา ก็เลยคิดว่าในอนาคต เราจะทำธุรกิจ Entertainment เป็นผู้จัดคอนเสิร์ตให้ได้ จนผ่านเวลามา ณ ตอนนี้เราได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Entertainment อย่างเต็มตัว ได้จัดคอนเสิร์ตตาม Passion ในดนตรีที่มีมานาน และได้เติมเสียงเพลงเข้าไปในทุกการใช้ชีวิต Lifestyle หรือ ความเป็น Living ตามที่เราได้ตั้งใจไว้แล้วครับ โดย Jazz Me Concert Series เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะสนับสนุนและ สร้าง Perception ทางดนตรี Jazz ให้เข้าถึงทุกคน โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายรวมถึงบุคลากรทางดนตรี Jazz ในประเทศไทยที่มีฝีไม้ลายมือเก่ง ๆ อยู่มากมาย เราจึงอยากสร้างประสบการณ์ Good Experience ด้วยดนตรี Jazz ที่เข้าถึงได้ง่าย ผ่านบรรยากาศที่ดี ดนตรีที่ดี หรือ Good Vibe Good Music นั่นเองครับ”

“และไม่ใช่แค่งานเดียวแล้วจบ แต่จะเป็น Music Series ที่ต่อเนื่องไปทั้งปี และในอนาคตก็อาจจะมีหลายรูปแบบ หลายรอบด้วยครับ โดยรอบแรกนี้ เราเชิญศิลปิน 4 ท่านที่คนไทยคุ้นเคยแน่นอน แต่ความพิเศษคือทุกเพลงจะถูกเรียบเรียงใหม่ในเวอร์ชั่นแจ๊ส พร้อมวงดนตรีสดเต็มวง เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสบทเพลงเดิมในอารมณ์ใหม่ ที่ทั้งลึกซึ้ง มีชีวิต และอบอุ่นหลายคนอาจจะเคยร้องเพลงเหล่านี้ตามได้อยู่แล้ว แต่เราอยากให้มาลองฟังในบรรยากาศของแจ๊สแบบสด ๆ ซึ่งเชื่อว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าประทับใจมากครับ และไม่ใช่แค่คอนเสิร์ตบนเวทีใหญ่เท่านั้น Jazz Me the Series ยังต่อยอดเป็นโปรเจกต์ระยะยาว โดยเราทำงานร่วมกับ One Bangkok เพื่อจัดแสดงดนตรีแจ๊สแบบ pop-up ทั่วโครงการ ตั้งแต่นักศึกษาดนตรีไปจนถึงมืออาชีพ เพื่อให้ผู้คนที่แวะมาใช้ชีวิตที่นี่ ได้ใกล้ชิดกับเสียงดนตรีในทุกจังหวะ”

“เราเชื่อว่าแจ๊สไม่ใช่ดนตรีที่เข้าใจยาก แต่เป็นดนตรีที่เข้าใจ ‘ความรู้สึก’ ได้ดีที่สุด และเป็นสื่อกลางที่ดีมากสำหรับการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน”

“สำหรับคอนเสิร์ตรอบแรกของ Jazz Me to the Moon จะจัดขึ้นในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 ที่ One Bangkok และก่อนหน้านั้น ยังมี Pride Flower (29 มิถุนายน) และ Course Friends (26 กรกฎาคม) รออยู่เรียกได้ว่าตลอดเดือนนี้ AME และ One Bangkok จะเปลี่ยน Forum ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งดนตรีและพลังสร้างสรรค์อย่างแท้จริงครับ”

ด้าน คุณวรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส โครงการ วัน แบงค็อก กล่าวเสริมว่า “One Bangkok  ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้กับผู้คน ทั้งในแง่ของสถาปัตยกรรม พื้นที่สีเขียว หรือกิจกรรมทางวัฒนธรรม ดนตรี ถือเป็นหนึ่งในศิลปะที่เข้าถึงได้ง่าย มีพลังในการสร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งคอนเสิร์ต JAZZ ME TO THE MOON สามารถสะท้อนแนวคิดนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นกิจกรรมที่รวมศิลปินคุณภาพจากหลากหลายรุ่น เปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพร่วมกับมืออาชีพ และเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่เราตั้งใจมอบให้กับทุกคน สำหรับ One Bangkok ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นหัวใจสำคัญของเมืองที่น่าอยู่ เชื่อว่าเมืองที่ดีไม่ใช่แค่ตึกสวยงามหรือสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ต้องมีสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจผู้คนด้วย ที่ผ่านมา One Bangkok สนับสนุนกิจกรรมด้านศิลปะหลากหลายรูปแบบ ทั้งงานแสดง นิทรรศการ คอนเสิร์ต โครงการประกวดสำหรับนักออกแบบระดับเยาวชน ไปจนถึงการเป็นพันธมิตรกับภาครัฐ ภาคเอกชน สถานฑูต และเทศกาลศิลปะระดับประเทศ เพราะเราอยากให้ศิลปะ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และเป็นพลังที่เชื่อมโยงคนกับเมืองอย่างกลมกลืน ผลักดันให้ One Bangkok เป็น Thailand’s Leading World-Class Art and Cultural Destination เป็น “เมืองกลางใจ” ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์มีคุณค่าสำหรับทั้งผู้คนและเมือง”

ขณะที่ คุณนคร วิมลจิตรสอาด ผู้จัดการทั่วไปสายงานสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวถึงการร่วมงานในครั้งนี้ว่า “ในนามของ ไทยฮอนด้า ซึ่งเป็นผู้ดูแลรถจักรยานยนต์ Honda ทั่วประเทศ เรามองว่ากลุ่มเป้าหมายของเรานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ‘ผู้ที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์’ เท่านั้น แต่หมายถึงคนที่มี ‘ไลฟ์สไตล์’ ที่พร้อมจะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ และพร้อมจะใช้ชีวิตอย่างมีสีสัน”

การสนับสนุนคอนเสิร์ต Jazz Me to the Moon จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่เรานำเสนอ ‘วัฒนธรรมใหม่’ ให้กับกลุ่มนี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดนตรี กีฬา หรือกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ ดนตรีแจ๊สเองก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ ที่ช่วยเติมเต็มความหมายของการใช้ชีวิตให้หลากหลายยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ เราไม่ได้มองแค่คนที่มีมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว แต่รวมถึงกลุ่ม Non-Motorcycle คนที่อาจจะยังไม่มีรถจักรยานยนต์ หรือแม้แต่คนที่ขับรถสี่ล้ออยู่แต่อยากเปลี่ยนประสบการณ์มาใช้มอเตอร์ไซค์ในแบบใหม่ ๆ เราจึงอยากให้ทุกคนได้รู้สึกสนุกและอินกับไลฟ์สไตล์ที่ผสานทั้งการขับขี่และเสียงดนตรีเข้าด้วยกัน นี่คือสิ่งที่เรามองว่า Honda จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนได้มากกว่าการเป็นแค่ยานพาหนะครับ”

และ คุณสมบูรณ์ วศินชัชวาล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “คอนเสิร์ต Jazz to the Moon สะท้อนแนวคิดของ Fraser Property Home ได้เป็นอย่างดีครับ เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในการ ‘สร้างสรรค์ประสบการณ์ชีวิตให้คงอยู่’ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และเติมเต็มความอบอุ่นให้กับการใช้ชีวิตของลูกค้าด้วย

สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์พิเศษที่เราภูมิใจนำเสนอให้กับลูกค้าของเราโดยเฉพาะ เพราะดนตรีแจ๊สมีเสน่ห์เฉพาะตัวในเรื่องของอารมณ์และบรรยากาศ และแต่ละบทเพลงที่นำเสนอในค่ำคืนนั้น เป็นเวอร์ชั่นพิเศษที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะ เป็นประสบการณ์ที่ ‘สัมผัสได้เพียงครั้งเดียว’

เราหวังว่าผู้ที่มาร่วมงานจะได้รับความสุขจากเสียงเพลง ได้ซึมซับบรรยากาศอบอุ่น และมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกับคนที่รัก เหมือนที่ Fraser Property Home ตั้งใจสร้างสรรค์ทุกโครงการเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดีครับ”

โดยผู้อยู่เบื้องหลังคอนเสิร์ตครั้งนี้ คือ คุณขจรเดช พรมรักษา (กบ Big Ass) Show Director ให้สัมภาษณ์ว่า “จุดเริ่มต้นของ “ONE BANGKOK PRESENTS JAZZ ME TO THE MOON CONCERT” เริ่มต้นจากความตั้งใจของ AME ที่อยากทำโชว์ Jazz ในรูปแบบที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้จริง ๆ เราเห็นว่าดนตรี Jazz มีเสน่ห์มาก แต่มักถูกมองว่าไกลตัว เราเลยคิดว่าจะทำยังไงให้มันน่าฟัง เข้าใจง่าย ตรงนี้ก็เลยเกิดเป็นคอนเสิร์ตครั้งสำคัญที่ไม่ได้แค่เอาเพลงฮิตมาเล่นใหม่ในแบบ Jazz แต่เราคัดเลือกศิลปินที่มีลายเซ็นชัดเจน ในแบบของตัวเองได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น THE TOYS, VIOLETTE WAUTIER, D GERRARD หรือ THE PARKINSON ทั้งหมดจะขึ้นเวทีเดียวกันกับวง Orchestra Jazz Band ที่เราตั้งใจให้เป็นแกนหลักของโชว์ เพื่อสร้างสรรค์ดนตรีที่ทั้งน่าฟัง อบอุ่น และมีพลังในบรรยากาศที่คุณจะรู้สึกเหมือนได้ทะยานสู่ดวงจันทร์ไปกับเสียงเพลงจริง ๆ ซึ่งศิลปินทั้ง 4 คน เป็นเหมือนตัวแทนของดวงดาว ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน THE TOYS ตัวแทนดวงดาว MAR เสียงของเขาคือสนามรบของความรู้สึกทั้งอบอุ่นและลึกล้ำในเวลาเดียวกัน VIOLETTE WAUTIER ตัวแทนดวงดาว VENUS  ทุกโน้ตเปล่งประกาย ความสวยของเสียงที่คุณ “รู้สึก” ได้ตั้งแต่แรกฟัง D GERRARD ตัวแทนดวงดาว COMET เท่สุดสะใจสุด พุ่งตรง มาแบบไม่ทัน ตั้งตัว THE PARKINSON ตัวแทนดวงดาว MERCURY โรแมนติกสุดทาง กลิ่นอายที่ไม่มีใครเหมือน ครับ”          

 “ด้านดนตรี เราหยิบเพลงที่ทุกคนคุ้นเคย ทั้งเพลงฮิตของศิลปิน และเพลงพิเศษ มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบ Jazz ที่ยังฟังง่าย แต่มีลูกเล่นทางดนตรีเยอะขึ้น ส่วนเพลงที่เกี่ยวกับดวงดาว เราเลือกมาเพื่อพาคนดูลอยไปกับบรรยากาศของโชว์จริง ๆ เป็นโมเมนต์ที่ทั้งอบอุ่นและโรแมนติกครับ ทีมงานและศิลปินทุกคนตั้งใจมากในการดีไซน์โชว์ครั้งนี้ ทั้งการเรียบเรียงเพลงใหม่ การเลือกเพลงพิเศษ รวมถึงการเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดให้กลมกล่อมครับ” คุณธีรภัทร์ จันทบ (ดั๊ก) Music Director กล่าวเสริม

จากนั้นเข้าสู่ช่วง MINI CONCERT อุ่นเครื่องไป ตัวแทน Star Travelers กับ 3 ศิลปิน ขึ้นเวทีร้องเพลง VIOLETTE WAUTIER – ตั้งแต่มีเธอฉันมีความสุข (This Time), THE PARKINSON – จะบอกเธอว่ารัก (Tell Her That I Love) และ D GERRARD – รถไฟบนฟ้า (Galaxy Express) โชว์พลังเสียงปลดล็อกสกิลหูเคลือบทอง ร่วมกับที่สุดของวง The Orchestra Jazz Band

VIOLETTE WAUTIER “รู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ตนี้ เพราะปกติไม่ค่อยได้มีโอกาสนำเพลงของตัวเอง มาถ่ายทอดในสไตล์ Jazz มากนัก มีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินเก่ง ๆ และ The Orchestra Jazz Band ทำให้คอนเสิร์ตครั้งนี้พิเศษมาก และเป็นอีกบทใหม่ของการเล่าเรื่องผ่านเสียงดนตรีที่น่าตื่นเต้นมากค่ะ ซึ่งตอนฟัง Demo ครั้งแรก คือ ว้าวมากค่ะ มันไม่ใช่แค่เปลี่ยนแนว แต่เป็นการตีความใหม่ทั้งหมด เราเลยตั้งใจใส่ความเป็นวิโอเลตเข้าไปเต็มที่ ทั้งการร้องและอารมณ์ เพื่อให้เพลงมันเล่าเรื่องในแบบของเรา ได้ชัดที่สุดค่ะ คอนเสิร์ตนี้ไม่เหมือนครั้งไหนแน่นอนค่ะ ใครที่อยากฟังเพลงเพราะ ๆ ในเวอร์ชันใหม่ ต้องห้ามพลาดนะคะ มาเจอกันให้ได้นะ

กานต์ THE PARKINSON “พวกเราดีใจมากครับที่ได้ร่วมอยู่ในโชว์นี้ เพราะดนตรี Jazz คือรากของพวกเราอยู่แล้ว แล้วการได้เล่น ในเวอร์ชันที่จัดเต็มกับวง Orchestra แบบนี้มันทำให้เราตื่นเต้นมาก อยากให้ทุกคนได้ฟังเพลงในอีกมุมหนึ่งที่อาจไม่เคยได้ยิน จาก THE PARKINSON มาก่อน พอฟัง Demo แล้วรู้เลยว่ามันจะเป็นโชว์ที่ไม่ธรรมดา อยากให้ทุกคนได้ฟังสดจริง ๆ ใครที่รักในเสียงดนตรี และความรู้สึกของเพลงดี ๆ เราอยากให้มาสัมผัสด้วยตัวเองครับ”

D GERRARD “มันเป็นอะไรที่ท้าทายและน่าสนใจมากครับ เพราะปกติผมจะอยู่กับแนว R&B/Hip-Hop พอได้มาทำเพลงในเวอร์ชัน Jazz มันเป็นการเปิดมุมใหม่ของตัวเอง และการที่เราได้รวมพลังกับศิลปินคนอื่น ๆ ที่มีสไตล์ของตัวเอง มันยิ่งทำให้โชว์ครั้งนี้มีพลัง ผมรู้สึกตื่นเต้น เพราะมันเหมือนเปิดโอกาสให้เราเอาคาแรกเตอร์ของตัวเองมาถ่ายทอดในอีกบรรยากาศหนึ่ง ผมเลยพยายามคงจังหวะ  และคำของตัวเองไว้ แต่ปรับวิธีเล่าเรื่องให้เข้ากับบรรยากาศของโชว์นี้มากขึ้น ไม่อยากให้พลาดจริง ๆ เพราะนี่ไม่ใช่แค่คอนเสิร์ต แต่เป็นประสบการณ์เพลงเพราะในเวอร์ชั่นใหม่ แล้วเจอกันครับ”

ONE BANGKOK PRESENTS JAZZ ME TO THE MOON CONCERT” ครั้งแรกของจักรวาลเพลงเพราะที่คุณจะได้สัมผัส ที่สุดของศิลปินเหล่า Star Travelers ทั้ง 4 ศิลปิน THE TOYS, VIOLETTE WAUTIER, D GERRARD, THE PARKINSON บนเวทีเดียวกันกับวง The Orchestra Jazz Band แล้วมาทะยานสู่ดวงจันทร์ไปด้วยกัน เปิดจำหน่ายบัตรในราคา 4,000 / 3,500 / 3,000 / 2,500 / 2,000 บาท กดบัตรได้ที่ แอปพลิเคชัน The Concert และเว็บไซต์ https://cooll.ink/NEWS_JazzMetotheMoon/

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

Facebook: Jazz Me Concert Series และ SudsapdaIG: @jazzmeconcertseries / @sudsapda


 

พรีเวดดิ้ง

เบื้องหลัง พรีเวดดิ้ง ณเดชน์&ญาญ่า กับทริปแห่งความทรงจำ

Alternative Textaccount_circle
พรีเวดดิ้ง
พรีเวดดิ้ง

เผยโมเมนต์สุดอบอุ่นจากทริปยุโรป! ณเดชน์และญาญ่าเลือกเก็บภาพ พรีเวดดิ้ง สไตล์เป็นกันเอง ถ่ายแบบฮาๆ สร้างความทรงจำที่ไม่เหมือนใคร

กลายเป็นทริปสุดพิเศษที่หลายคนจับตามอง สำหรับทริปฮอลิเดย์ยาวเกือบหนึ่งเดือนของว่าที่บ่าวสาว ณเดชน์ คูกิมิยะ และ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ ที่นอกจากจะเป็นการพักผ่อนแล้ว ยังแอบซุ่มเก็บภาพพรีเวดดิ้งสุดอบอุ่นอีกด้วย โดยเฉพาะโมเมนต์เบื้องหลังที่ได้ หมาก ปริญ สุภารัตน์ มารับบทเป็นตากล้องส่วนตัวให้

ณเดชน์ ให้สัมภาษณ์ โปรโมทละคร ใจขังเจ้า ที่ประกบกับนางเอก พาย รินลดา โดยจะออนแอร์คืนนี้ (19 มิย.) ทางช่อง 3 กด 33

ไปต่างประเทศกับญาญ่ามาเป็นอย่างไรบ้าง?

“เป็นทริปฮอลิเดย์ที่ติดต่อกัน ยาวเกือบหนึ่งเดือนเต็มครับ เพราะว่าเสียค่าตั๋วไปแล้ว ก็อยากจะไปแบบยาวๆ คือน้องมีงานที่สเปนอยู่แล้ว แล้วก็บินมาเจอกันที่นอร์เวย์ แล้วค่อยบินไปที่กรีซ แล้วไปอิตาลีต่อครับ ซึ่งที่นอร์เวย์ หลังจากที่ขอหมั้นน้องเขาแล้ว น้องเค้าก็ยังอยากไปดินเนอร์กับครอบครัวที่นอร์เวย์ แล้วก็จะหาโลเคชั่นที่จะใช้แต่งงาน ซึ่งเราก็มีในใจแล้วว่าเราจะจัดที่ไหน เหลืออย่างเดียวว่าสถานที่เค้าจะว่างเวลาไหน รวมไปถึงเอกสารต่างๆ และสถานที่ที่เราเลือกมันมีไม่กี่สถานที่ ที่เรารู้สึกว่ามันจัดแล้วอบอุ่น และเราเลือกจัดที่นอร์เวย์เพราะว่าเป็นบ้านเกิดน้องครับ อีกสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจคือสิ่งแวดล้อม ตัวอาคาร ใช่แหละตรงนี้แหละแน่ๆ แล้วต้องดูก่อนว่าแพงหรือเปล่า (ยิ้ม)”

พรีเวดดิ้ง

เห็นว่าทริปนี้มีการถ่ายพรีเวดดิ้งด้วย?

“ใช่ครับ เราก็ได้ไปถ่ายพรีเวดดิ้งด้วย มันเลยเป็นทริป เที่ยวด้วย ถ่ายพรีเวดดิ้งด้วย ไม่ได้ซีเรียสว่ารูปจะต้องอลังการครับ เพราะผมกับญ่า เราสองคนค่อนข้างมีสไตล์เป็นของตัวเอง หารูปมาเป็นเรฟฯ ถ่ายออกมาเป็นแนวๆ นี้ ก็ชวนหมากกับคิมไปเป็นตากล้องให้หน่อยครับ เพราะถ้าเราจ้างตากล้องไปเอง ค่าใช้จ่ายจะมหาศาล แต่นี่ก็ไปเที่ยวกับเพื่อน ก็ใช้แรงงานเพื่อนด้วย โดยเฉพาะพี่หมาก เพอร์เฟ็กซ์มากครับ เรียกเขาได้เลยว่า ‘ใหญ่ อาหมาก’ เพราะว่ากล้องเค้าใหญ่มาก”

พรีเวดดิ้ง

การถ่ายพรีเวดดิ้งกับพี่หมากเป็นอย่างไรบ้าง?

“พี่หมากบอกว่าอยากได้แบบไหน ให้บอกมาเลย ถ่ายไปเยอะๆ เดี๋ยวค่อยไปเลือกกัน เราไม่ได้มีการจัดไฟครับ ถ่ายแบบไปเรื่อยๆ ถ่ายตามฟิล เอาแสงธรรมชาติ ซึ่งสตอรี่ที่เราวางไว้ เราไม่ได้ฟิก แค่เราอยากแสดงออกความเป็นตัวตนของเรา แสดงความรักของเราสองคนครับ เพราะบางทีรูปเบลอๆ พอถ่ายออกมาแล้ว มันมีเรื่องราวมาก ซึ่งเราก็ชอบกัน แต่บางรูปสวยมากๆ เหมือนถ่ายลงแมกกาซีน เราก็ชอบมากๆ มันแล้วแต่สถานที่ที่เราไปถ่ายครับ ทุกเมืองที่เราไป เราก็จะถ่ายกันครึ่งวัน จากนั้นเราก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ”

มีโมเมนต์ที่ถ่ายพรีเวดดิ้งกันเองบ้างไหม?

“มีครับ มันก็มีความรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ถ่ายพรีเวดดิ้ง แต่มันตื่นเต้นมาก เมื่อหมากกับคิมกลับก่อนครับ และเหลืออีกสองเซต ที่ผมกับญาญ่าต้องถ่ายกันเอง ต้องตั้งกล้องถ่ายกันเอง ตอนนั้นก็จ้างตากล้องไม่ทันแล้ว ก็คิดว่าตั้งกล้องถ่ายกันเองก็ได้ แต่ก็ไม่มีขาตั้งกล้อง เราก็เลยต้องวางตามเสา หรือไม่ก็เอากระเป๋าเป็นฐาน ตั้งเวลา 10 วิ วิ่งกันไป แล้วก็วิ่งกลับมา แรกๆ ก็ขำ หลังๆ เริ่มเหนื่อย แต่มันก็สนุกดีครับ ซึ่งเซตนี้จะใช้ในงานที่นอร์เวย์”

อัปเดตงานแต่งงานตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว?

“ตอนนี้งานแต่งก็เริ่มแล้วครับ ก็เริ่มจากสถานที่ ดูชุด ได้สถานที่แล้ว ได้โรงแรมแล้ว อันนี้หมายถึงที่นอร์เวย์ แล้ววันก็ได้แน่ๆ แล้ว ล่าสุดก็คุยกันเรื่องชุดแล้วครับ ก็จะมีความเป็นสไตล์ขอนแก่น ชุดขอนแก่นจะมีแค่สองชุด ชุดบายศรีสไตล์อีสาน แล้วก็ชุดดินเนอร์ตอนเย็น ส่วนชุดที่กรุงเทพฯ เป็นประมาณเลี้ยงฉลอง ขอบคุณทุกๆ คน ที่เมตตาเราทั้งสองคนมาโดยตลอด”

รู้สึกตื่นเต้นกับงานแต่งที่กำลังจะมาถึงไหม?

“ถามว่ามันตื่นเต้นไหม มันตื่นเต้นนะครับ แต่เครียดนะ มันจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า บางคนเค้าจองกันมานาน แต่สำหรับเรามันค่อนข้างที่จะกระชั้นชิดครับ เหมือนไฟรนก้น ต้องรีบแล้วล่ะ”

‘บ่วงรักสีเทา ตัดก็ไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ไหว ใช่คุณไหม??? เช็กเลย!!!’ ดวงรายสัปดาห์ 23-29 มิถุนายน 2568

Alternative Textaccount_circle

‘ความรักสีเทา บ่วงมัดใจ ตัดก็ไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ไหว’

ดวงรายสัปดาห์ 23-29 มิถุนายน 2568

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

การงาน  :   ชาวอาทิตย์ปิดท้ายปลายเดือนมิถุนายนแบบไม่ค่อยโล่งใจโล่งคอนักนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานหรือดำเนินธุรกิจในสายบริการ เช่น ร้านอาหาร เครื่องดื่ม สปา แอร์โฮสเตส มัคคุเทศก์ ฯลฯ จนถึงสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับเด็ก แม้คุณจะทำงานแบบแม่นเป๊ะ เป็นมนุษย์เพอร์เฟ๊กชั่นนิสต์แค่ไหนก็ตาม แต่ด้วยดวงชะตาในช่วงสัปดาห์นี้มีความเป็นไปได้ว่าทุกสิ่งจะล่าช้าออกไป ไม่ว่าคุณจะเสนอโครงการได้เนี๊ยบขนาดไหน ก็มีโอกาสที่จะไม่เข้าตากรรมการ ก็ใจเย็นๆ อย่าหุนหันพลันแล่น เอาแต่ใจ อดทนรอไปก่อน

การเงิน  :  รายจ่ายในช่วงปลายเดือนก็จะเยอะหน่อยล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกของกินของใช้กระจุกกระจิก ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ก็ควรประหยัดหน่อยนะ เดี๋ยวจะไปไม่ถึงสิ้นเดือน

ความรัก  :  มีโอกาสที่คุณจะอยู่ในโหมดหลงคู่ครองแบบไม่เป็นอันทำอะไรกันเลย ยังมีโอกาสรวมถึงคนอื่นด้วยนะ มีความเป็นไปได้ที่จะมีเรื่องเด็กๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง  จึงควรระวังความผิดหวังไว้ด้วย คนโสด  มีโอกาสหลงง่าย เคลิ้มง่าย ก็เช่นกันว่าต้องระวังความผิดหวังไว้ด้วย หากจะให้ดีก็ควรดูใจกันนานๆ

สุขภาพ  :  ต้องระวังเรื่องของมดลูก ประจำเดือนมาไม่ปกติ นอกจากนั้นยังมีการติดเชื้อในกระแสเลือด เช่น ไวรัสบี ไวรัสเอ รวมถึงโรคที่เกิดจากการขาดแคลเซี่ยม เช่น กระดูกพรุน หรือกระดูกเสื่อม เป็นต้น

ผู้ที่เกิดวันจันทร์

การงาน  :  สำหรับชาวจันทร์เริ่มต้นสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนด้วยความหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานหรือดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับการติดต่อประสานงาน การบริหารจัดการ และการให้บริการคำแนะนำในเรื่องต่างๆ มีโอกาสที่คุณจะได้เริ่มต้นโครงการใหม่ๆ ซึ่งในช่วงสัปดาห์นี้จะเกี่ยวข้องกับงานในสายศิลปะศิลปิน ความคิดสร้างสรรค์ ความสวยงาม ความบันเทิง หรือหากคุณเป็นศิลปิน นักแสดง นักเขียน นักข่าว อยู่แล้ว งานที่ทำค้างไว้หรือเก่าเก็บ ก็ได้เวลาเปิดแสดงผลงานเสียที และมีโอกาสได้รับการตอบรับที่งดงามด้วย แต่ก็อย่าใจร้อน ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น เพราะจะทำให้ความสำเร็จนั้นไม่เป็นที่น่าจดจำ

การเงิน  :   มีโชคในเรื่องของการลงทุน แต่ก็จะได้มาแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ที่ได้แบบตูมๆ ก็คือได้มาแบบสิเน่หา

ความรัก  :  งานก็ดี ความรักก็ราบรื่น แม้คุณจะสามารถบริหารจัดการทั้งงานในบ้านและนอกบ้านได้อย่างเรียบร้อยลงตัวก็ตาม แต่ยกเว้นอีโก้ในตัวคุณที่ยังไม่สามารถบาลานซ์ให้พอดีได้ จึงกลายเป็นว่าอยู่ใกล้กันนัก มีแต่ทะเลาะกัน   คนโสด  เสน่ห์มาเต็มๆ เลยค่ะ แต่เป็นไปได้ว่าคุณจะไม่รีบตัดสินใจ คบไปเรื่อย และเรื่อยๆ

สุขภาพ  :  เอ็นจอยอีตติ้งค่ะ อาหารเป็นให้เธอทั้งหมดแล้ว เหนื่อย เครียดก็รับประทาน สบายใจก็รับประทาน จึงระวังน้ำหนักจะตามมา รวมถึงไขมัน เบาหวาน ความดัน อ้อ โรคหัวใจด้วยนะ

ผู้ที่เกิดวันอังคาร

การงาน  :   ชาวอังคารเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่มาพร้อมความคาดหวังสูงลิ่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานหรือดำเนินธุรกิจทางด้านดนตรี กวี ศิลป์ เย็บปักถักร้อย งานฝีมือ ฯลฯ หากคุณกำลังปรารถนาความสำเร็จก็อาจต้องเผื่อใจไว้บ้าง เพราะในช่วงสัปดาห์นี้ดวงชะตายังไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขลุกขลัก ติดปัญหาไปหมด เอกสารทางราชการอาจผิดพลาด สามารถเป็นคดีความได้ ทั้งทางแพ่งและอาญา ที่เจ็บปวดที่สุดคือเพื่อนสนิทที่มีโอกาสเปลี่ยนท่าทีกลายเป็นทรยศ หักหลัง ทางที่ดีคุณควรหาเพื่อนที่รู้ใจจริงๆ มาช่วยทำงาน รวมถึงปรึกษาผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ด้วย

การเงิน  :  แม้จะสามารถหารายได้จากวาสนาและบารมีของคุณได้มากแค่ไหน แต่ก็มีรายจ่ายเข้ามาจนแทบไม่พอใช้ หากใครจะมาขอให้ช่วยเซ็นค้ำประกัน หรือเป็นนายหน้ากู้เงินให้ โดยให้เปอร์เซ็นต์อย่างงาม ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะมีความเสี่ยงที่คุณจะต้องรับผิดชอบแทน หรือตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

ความรัก  :  เจ้าชู้นะคะสัปดาห์นี้ แม้คุณจะไม่สนใจ แต่เขาก็จะเข้ามาอยู่ในสายตาให้คุณสนใจเอง ยิ่งหากใครอยู่กับคู่ครองตลอดเวลาด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวัง เพราะมีโอกาสที่จะเกิดปากเสียงขึ้นได้ง่ายๆ  คนโสด  มีเสน่ห์นะคะ ทั้งรักเก่าและรักใหม่เลยทีเดียว มีโอกาสที่จะตกหลุมรักกับคนที่ทำงานที่เดียวกันด้วยล่ะ

สุขภาพ  :  อวัยวะที่สำคัญที่สุดในช่วงสัปดาห์นี้คือ หัวใจ รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจด้วย ส่วนระบบเลือดก็ต้องบำรุงอย่างรีบด่วน นอกจากนั้นยังต้องระวังเรื่องสายตา ตระกูลต้อ กำลังมาเยือนแล้ว

ผู้ที่เกิดวันพุธ

การงาน   :  ส่งท้ายสัปดาห์ปลายเดือนอย่างมีนัยยะสำคัญ สำหรับชาวพุธที่กำลังนอนเกาพุงอยู่บ้านมานาน รีบลุกขึ้นมาเตรียมรีดเสื้อผ้าได้แล้วค่ะ เพราะโอกาสมาถึงแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าผู้ใหญ่ที่มีบารมีจะชวนคุณไปทำงานหรือร่วมธุรกิจ โดยจะเกี่ยวข้องกับความสามารถทางด้านการพลิกแพลงกลยุทธ์ของคุณ รวมถึงในแนวซิกซ์เซ้นส์ หมอดู วัตถุโบราณ เครื่องรางของขลัง 

การเงิน  :  สามารถหารายได้นอกบ้านได้อย่างราบรื่น แต่ต้องทำด้วยตัวเอง ไม่ควรร่วมหุ้นลงทุนกับใคร แต่ก็ไม่ควรใช้เงินมือเติบมากนักนะคะ เก็บเงินไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นจะลำบาก

ความรัก  :   ช่วงสัปดาห์นี้ชาวพุธมีหลากหลายโหมดมาก ทั้งโหมดขี้เกียจ นอนเกาพุง ไม่ทำอะไรเลย กับโหมดที่ลุกขึ้นมาเอาจริงเอาจัง มึนตึง และโหมดโรแมนติก อารมณ์สุนทรี รสนิยมดีจนน่าแปลกใจ คนโสด  อารมณ์ดี โรแมนติกสุดๆ แต่ก็อย่าเคลิ้มง่ายๆ  เพราะดวงแต่งงานยังมาไม่ถึง

สุขภาพ  :  มีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วย หรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรกลั้นปัสสาวะ เพราะกรวยไตและกระเพาะปัสสาวะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ นอกจากนั้นต้องระวังติดเชื้อจากการใช้สถานที่สาธารณะกลับมาที่บ้านด้วย 

ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

การงาน  :  เปิดสัปดาห์ใหม่มาพร้อมกับความคาดหวังของผู้ใหญ่เลยนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวพฤหัสที่ทำงานหรือดำเนินธุรกิจในสายกฎหมาย เช่น ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา ที่ปรึกษาทางกฎหมาย รวมถึงครูบาอาจารย์ มีโอกาสที่คุณจะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากผู้ใหญ่ เพื่อนร่วมงาน และเจ้านายก็เมตตา แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแฝงอยู่ด้วยความคาดหวังว่าคุณจะทำงานให้เขาพอใจและประสบความสำเร็จ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าความเครียด ความกดดันทั้งปวงจะตกอยู่ที่คุณ จึงมีโอกาสที่จะทำงานผิดพลาดได้ง่าย อย่าประมาท!   

การเงิน  :  หากคุณคิดจะทำธุรกิจกับคนรักมีโอกาสที่ผู้ใหญ่จะส่งเสริมและสนับสนุน แต่ก็ควรทำอย่างโปร่งใส ไม่ควรหมกเม็ดหลอกลวง เพราะผลตอบรับจะกลับกันทันที ธุรกิจมีความเสี่ยงที่จะล้มเลิกได้

ความรัก  :  หากคุณตั้งมาตรฐานชีวิตครอบครัวไว้สูง งานนี้ผู้ใหญ่ของคุณจะมาช่วยบริหารจัดการ ซึ่งคู่ครองของคุณก็ได้ดังใจ ช่วยดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางอีกแรง  คนโสด  มีโอกาสได้พบรักกับผู้ใหญ่ หรือชาวต่างชาติในที่ทำงาน หากพบแล้วก็จับไว้แน่นๆ เพราะเขานับเป็นคู่บุญบารมีของคุณเลย

สุขภาพ   :  มีความเสี่ยงที่กระเพาะปัสสาวะและกรวยไตจะติดเชื้อนะคะ เพราะฉะนั้นอย่ากลั้นปัสสาวะ ซึ่งมีโอกาสที่จะโกโซบิ๊กได้เลย นอกจากนั้นยังต้องระวังช่วงขาที่จะบาดเจ็บ ปวด ตึง เดินไม่สะดวก

 ผู้ที่เกิดวันศุกร์

การงาน  :  เข้าสู่สัปดาห์ปลายเดือนแบบนี้ สำหรับชาวศุกร์เริ่มนั่งไม่ติด คิดหนักว่าจะเมคมันนี่อย่างไร เพื่อไม่ให้ปิดงบตัวแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวศุกร์ที่ทำงานหรือดำเนินธุรกิจกับครอบครัวไม่ว่าจะของตัวเอง คนรัก หรือเพื่อนสนิท น่าจะหน้าดำคร่ำเครียดทำยอดโดยไม่คิดถึงเวลาส่วนตัว ก็ต้องระวังในเรื่องการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ หรือมีการวางแผนล่วงหน้าที่ไม่ดี จะมีโอกาสตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ผิดพลาดเสมอ

การเงิน  :  เร่งหาเงิน ทำยอด ก็นับว่าโชคดีที่มีโอกาสได้เงินปันผลจากธุรกิจ และสามารถหาจ็อบพิเศษเข้ามาได้เรื่อยๆ

ความรัก :   ช่วงนี้เข้าใจตรงกันว่า…ต่างคนต่างแยกย้ายไปหาเงินก่อน ถึงวันหยุดแล้วค่อยเป็นเวลาของเรา คนโสด  สำหรับชาวศุกร์ในสัปดาห์นี้ท่องอยู่คำเดียวว่า ‘เงินๆๆ’ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ท่องคำว่า ‘รัก’ นะคะ มีโอกาสมาแบบฟ้าแลบเลย

สุขภาพ  :   ทำงานมากๆ อดหลับอดนอนก็ต้องระวังระบบเลือดจะมีปัญหา เกิดอาการหน้ามืด วูบ ใจสั่น จนถึงเป็นลมกลางอากาศเลย

ผู้ที่เกิดวันเสาร์

การงาน  :   ชาวเสาร์เปิดสัปดาห์ใหม่ปลายเดือนมาพร้อมกับความอึดอัดใจเลยนะคะ สำหรับผู้ที่เป็นหัวหน้าทีม หัวหน้าโครงการ หัวหน้าชุดอยู่แล้ว หรือหากยังไม่ได้เป็น สัปดาห์นี้คุณมีโอกาสได้บุกเบิกเป็นเจ้าของโครงการที่เกี่ยวกับเอ็นเทอร์เทน อีเว้นท์บันเทิง ดนตรี คอนเสิร์ต เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ ซึ่งคุณไม่ชอบ ไม่ถนัด ไม่ได้เลือก แต่ก็ต้องทำ เพราะติดสัญญาที่เป็นเอกสาร หรือวาจา แต่อย่างไรก็ตามคุณควรใจกว้าง เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานบ้าง ไม่เช่นนั้นจะยิ่งทำให้งานเกิดปัญหาถึงขั้นต้องยุติลงกลางคัน

การเงิน  :  มีโอกาสที่คุณจะได้เงินจากงานบันเทิง งานเทา แต่เพราะความใจดีของคุณที่จะถูกดูดเงินง่ายมาก ทั้งด้วยความสมัครใจและถูกหลอก

ความรัก  :  เป็นไปได้ว่าเพราะคุณให้เวลากับการทำงานมาก จนกลายเป็นช่องว่างให้บุคคลที่สามเข้ามาป่วนจนความรักความสัมพันธ์ของคุณแตกแยก คนโสด  ต้องระวังความรักสีเทาจะกลายเป็นบ่วงที่จะผูกมัดหัวใจคุณไปตลอด ตัดไม่ขาด หันหลังกลับก็ไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ไหว

สุขภาพ   :  หากคุณเป็นนักเที่ยว นักดื่ม แล้วยิ่งงานเข้าเยอะด้วยแล้ว เวลาพักผ่อนก็เหลือน้อยลง จึงมีโอกาสที่จะล้มป่วยลงได้ง่าย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือดจาง ดีซ่าน ต่อมน้ำเหลืองไม่ดี

NCT DREAM

NCT DREAM บุกราชมังฯ! เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ความสำเร็จครั้งใหม่

Alternative Textaccount_circle
NCT DREAM
NCT DREAM

NCT DREAM พร้อมบุกราชมังฯ! เตรียมพบประสบการณ์การเดินทางข้ามกาล-อวกาศในคอนเสิร์ตใหญ่ “2025 NCT DREAM TOUR in BANGKOK” 16-17 สิงหาคม 2025 นี้

SM True พาทุกคนเดินทางข้ามกาล-อวกาศ เพื่อร่วมฝันถึงทุกช่วงเวลาสำคัญของวงเค-ป็อปแห่งยุค NCT DREAM (เอ็นซีที ดรีม) พร้อมตอกย้ำประวัติศาสตร์ความสำเร็จใน 2025 NCT DREAM TOUR <THE DREAM SHOW 4 : DREAM THE FUTURE> in BANGKOK ณ สเตเดียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ‘ราชมังคลากีฬาสถาน’ ทั้งหมด 2 รอบการแสดง ในวันเสาร์ที่ 16 และวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2025 เวลา 19:00 น.

คอนเสิร์ตครั้งนี้จะถูกถ่ายทอดภายใต้คอนเซปต์ “การเดินทางข้ามกาล-อวกาศ (Space-Time Travel)” ซึ่งจะพาย้อนไปสู่อดีตที่พวกเขาวาดไว้ตลอด 9 ปี สู่ปัจจุบันอันยิ่งใหญ่ พร้อมเปิดฉากประวัติศาสตร์บทใหม่แห่งอนาคตที่จะสร้างไปด้วยกันกับ NCTzen (เอ็นซีทีเซ็น : ชื่อแฟนคลับอย่างเป็นทางการ)

ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา NCT DREAM ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันเปี่ยมล้น ผ่านหลากหลายผลงานเพลงคุณภาพและเวทีการแสดงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นอัลบั้มเต็มที่มียอดขายทะลุล้านทุกชุด รวมถึงเพลงฮิตอย่าง Hot Sauce (맛)’, ‘Glitch Mode (버퍼링)’, ‘Candy’, ‘ISTJ’, ‘Smoothie’ และ ‘When I’m With You’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2024 กับอัลบั้ม ‘DREAM( )SCAPE’ ถ่ายทอดความกังวลและความขัดแย้งของวัยรุ่น ตามมาด้วยอัลบั้มเต็มชุดที่ 4 ‘DREAMSCAPE’ สื่อถึงความตื่นเต้นและเสรีภาพในอุดมคติ โดยทั้งสองอัลบั้มถูกนำเสนอผ่านเวิลด์ทัวร์ <THE DREAM SHOW 3 : DREAM( )SCAPE> ที่ผสานบทเพลงและเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ จนสร้างปรากฏการณ์ความประทับใจไปทั่วโลก กับ 37 รอบการแสดงใน 25 เมือง ครอบคลุมทั้งเอเชีย อเมริกา และยุโรป ส่งผลให้อัลบั้มใหม่ที่กำลังจะปล่อยในเดือนกรกฎาคมนี้ ยิ่งเป็นที่น่าจับตามองว่า NCT DREAM จะส่งผ่านบทเพลงและข้อความใหม่ ๆ ที่ลึกซึ้งแบบใดในปีนี้

นอกจากนี้ NCT DREAM จะเริ่มต้นเวิลด์ทัวร์ครั้งที่ 4 <THE DREAM SHOW 4 : DREAM THE FUTURE> ณ กรุงโซล ระหว่างวันที่ 10–12 กรกฎาคมนี้ โดยพวกเขาได้สร้างสถิติใหม่กับการเป็น “ศิลปินที่จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวมากที่สุดใน GOCHEOK SKY DOME” สถานที่จัดแสดงในร่มที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี ด้วยจำนวนการแสดงรวมทุกคอนเสิร์ตถึง 12 รอบ และบัตรจำหน่ายหมดทุกรอบการแสดง พิสูจน์สถานะ ‘Performance King’ อย่างแท้จริง จากนั้นจะเดินทางไปมอบประสบการณ์การแสดงสุดตระการตาในเมืองสำคัญทั่วเอเชีย ได้แก่ กรุงเทพฯ (16–17 ส.ค.), ฮ่องกง (30 ส.ค.), จาการ์ตา (27–28 ก.ย.), สิงคโปร์ (18–19 ต.ค.), ไทเป (6 ธ.ค.), กัวลาลัมเปอร์ (13–14 ธ.ค.) และอื่น ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น การกลับมาประเทศไทยครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งที่ 4 เท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ NCT DREAM ในฐานะศิลปินกลุ่มแรกของค่าย SM ENTERTAINMENT ที่สามารถจัดคอนเสิร์ต ณ ราชมังคลากีฬาสถาน สเตเดียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 พร้อมด้วยการแสดงที่สมศักดิ์ศรี ‘Performance King’ กับบทเพลงอันทรงพลัง การแสดงอันแข็งแกร่งที่สุด และโปรดักชันที่ยกระดับความอลังการ เพื่อให้ภาพความสมบูรณ์แบบอย่างที่ทุกคนจินตนาการตลอดเส้นทางที่ผ่านมากลายเป็นจริง

เปิดจำหน่ายบัตรรอบสมาชิก “NCTzen DREAM” Membership (GL) Pre-Sale ในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2025 เวลา 19:00 น. ถึงวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2025 เวลา 02:59 น., รอบสมาชิก JOY-CLUB Pre-Sale วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2025 เวลา 11:00 น. – 18:59 น. และรอบบุคคลทั่วไป วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2025 ตั้งแต่เวลา 11:00 น. เป็นต้นไป ทางเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ และทางเว็บไซต์ www.allticket.com/event/NCTDREAM_THEDREAMSHOW4_BANGKOK บัตรราคา 8,700 VIP PACKAGE / 7,500 / 6,800 / 6,500 / 6,000 / 5,700 / 5,200 / 4,700 / 3,900 / 3,500 / 2,900 / 2,500 บาท (บัตรนั่งทั้งหมด) พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับผู้ซื้อบัตร

“Sansiri Treasure Hunt” แอดเวนเจอร์สุดสนุกในกรุงเทพกรีฑา เอาใจทุกเจเนอเรชั่น

Alternative Textaccount_circle

อีเวนท์ยิ่งใหญ่ใจกลางกรุง ‘Sansiri Treasure Hunt’ กับกิจกรรมไลฟ์สไตล์สุดตื่นเต้นและแอดเวนเจอร์สนุกสนานที่ แสนสิริ เนรมิต Sansiri Krungthep Kreetha Community บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ ต้อนรับกว่า 2,500 คน จากกว่า 300 ครอบครัว ทุกเจเนอเรชั่นได้ร่วมสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง

‘Sansiri Treasure Hunt’ เปลี่ยนถนนในกรุงเทพกรีฑาให้กลายเป็นแผนที่ล่าสมบัติสุดยิ่งใหญ่ ด้วยกิจกรรมผจญภัยแบบอินเตอร์แอคทีฟพร้อมฐานทัพต่างๆ และสวนไดโนเสาร์จากพัทยาเอาใจนักล่าสมบัติวัยจิ๋ว นอกจากนี้ยังมีการประกวดแต่งกายธีม Adventure ที่ครอบครัวร่วมสนุกกันเต็มที่ รวมถึงโซน Food Truck ที่คึกคักจากร้านดังทั่วกรุงเทพฯ


‘ ยู.เอส.สัมมิท (โอเวอร์ซีย์) ’ คิดเพื่อคุณถึงลูกน้อย เปิดตัว ‘เพียวรีน คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก และ ขวดนมซอฟเฟล็กซ์ รุ่นใหม่’

account_circle

เพียวรีน (Pureen) โดย บริษัท ยู.เอส.สัมมิท (โอเวอร์ซีย์) จำกัด แบรนด์คุณภาพจากอเมริกา ที่คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์คุณแม่และลูกน้อยมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด Pureen Thinking about baby and you คิดเพื่อคุณถึงลูกน้อย ตอกย้ำการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มาพร้อมคุณภาพและความปลอดภัยในการดูแลปกป้องบนพื้นฐานทางเภสัชศาสตร์ จนได้รับความไว้วางใจมากว่า  55 ปี  จำหน่ายมากถึง 10 ประเทศในเอเชีย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่  เพียวรีน คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก (Pureen Kids Yoghurt Prebiotic) สบู่เหลวอาบน้ำ – สระผม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ขวดนมเกรดพรีเมี่ยม Pureen SoftFlex ขวดนมแก้วบอโรซิลิเกต (Borosilicate Glass) และขวดนม PPSU พร้อมทำความรู้จัก เพียวรีนให้มากขึ้นในฐานะแบรนด์ที่มุ่งมั่นพัฒนาเลือกใช้วัตถุดิบตลอดจนส่วนผสมมาผลิตภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกและคุณเม่เพื่อสุขอนามัยที่ดีของลูกน้อยและคุณแม่มายาวนาน  

เกริก แท่นแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ โดย บริษัท ยู.เอส.สัมมิท (โอเวอร์-ซีย์) จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะที่เพียวรีนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการคิดค้นและพัฒนาตอบโจทย์คุณแม่และคุณลูกจนได้รับความไว้วางใจยาวนานต่อเนื่อง  โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย  เป็นอีกครั้งที่เราภูมิใจที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เพียวรีน คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก  แน่นอนว่าพรีไบโอติกเป็นเหมือนอาหารผิว มีส่วนช่วยเพิ่มเกราะชั้นผิวให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้นทั้งยังเสริมด้วยโยเกิร์ตธรรมชาติบำรุงปกป้องผิวและมีกลิ่นหอมให้เด็กๆ เพลิดเพลิน กับการอาบน้ำและสระผม พร้อมกันนี้เพียวรีนยังมีผลิตภัณฑ์กลุ่มขวดนมเพียวรีน ซอฟเฟล็กซ์  (Pureen SoftFlex) เป็นขวดนมเกรดพรีเมี่ยม ที่เลือกวัสดุที่ปลอดภัยสำหรับทารก โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดเซทนี้  เป็นขวดแก้วบอโรซิลิเกต ขวดแก้วใสพิเศษมีอายุการใช้งานยาว ทนความร้อนสูงถึง 200 °C และทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และขวดนมขวดสีชา (PPSU) ที่มีความปลอดภัยทนทาน ทนความร้อนสูง 180 °C ทั้งขวดนมแก้ว และขวดนม PPSU มาพร้อมกับจุกนม รุ่นซอฟเฟล็กซ์ ซึ่งเป็นจุกนมนวัตกรรมที่ให้สัมผัสเสมือนนมแม่  ผลิตภัณฑ์ของเพียวรีนยังคงการันตีและตอกย้ำในเรื่องของคุณภาพความปลอดภัย เหมือนที่เพียวรีนตั้งใจทำในทุกๆ ผลิตภัณฑ์เสมอมา เป็นความสุข เป็นความสบายใจที่มั่นใจได้ ทั้งของคุณแม่และคุณลูก”

เพียวรีนชูจุดเด่นผลิตภัณฑ์พรีไบโอติก เนื่องจากปัจจุบันสภาพอากาศรังสีอัลตราไวโอเลต มลภาวะ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตอาจทำให้สกินไมโครไบโอมของผิวหนังเสื่อมสภาพได้ โดยเฉพาะผิวบอบบางของเด็กๆ ดังนั้นพรีไบโอติกจึงเป็นอาหารของผิวมีประโยชน์ในกระตุ้นให้จุลินทรีย์ดีเจริญเติบโต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งปกป้องและสร้างความแข็งแรงให้ผิว เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ผิวหนัง รวมทั้งเพิ่มเกราะชั้นผิวให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้ผิวสุขภาพดี ลดการอักเสบของผิว บำรุงปกป้องเส้นผมและหนังศรีษะให้ชุ่มชื่นซึ่งผลิตภัณฑ์เพียวรีน คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก ที่ออกมาใหม่สำหรับรุ่น คิดส์ 4 กลิ่น

– คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก เฮดทูโทวอช รีเฟรชชิ่ง เกรป

– คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก เฮดทูโทวอช สมูทตี้  เชอร์รี่

– คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก เฮดทูโทวอช ฟิซชี่ เลมอนเนด

– คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก เฮดทูโทวอช ไฮจีนิค คริมสัน เบอร์รี่

ใช้ได้ทั้งอาบน้ำและสระผม  บำรุงปกป้องเส้นผมและหนังศรีษะที่บอบบางของลูกให้ชุ่มชื่น ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน พร้อมกลิ่นหอมสดชื่น ดีสำหรับการดูแลผิวและผมของลูกในแต่ละวัน  

คุณเกริกกล่าวทิ้งท้ายว่า ‘เพียวรีน’ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ และปลอดภัย เพื่อช่วยให้คุณแม่และลูกน้อยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับพันธกิจหลักของแบรนด์ คือ “คิดเพื่อคุณ ถึงลูกน้อย” นอกจากนี้ ‘เพียวรีน’ ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก ยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมทุกความต้องการของคุณแม่และลูกน้อย อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างขวดนมและน้ำยาซักผ้าออแกนิค และเบบี้ไวพส์ ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัย โดยยังคงคุณภาพสูตรเดิมที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่และครอบครัว

เพียวรีน คิดส์ โยเกิร์ต พรีไบโอติก (Pureen Kids Yoghurt Prebiotic) และกลุ่มขวดนมเพียวรีน ซอฟเฟล็กซ์ 
(Pureen SoftFlex)  มีจำหน่ายแล้ววันนี้ ในห้างสรรพสินค้าแผนกเด็ก, ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์แม่และ
เด็กชั้นนำทั่วไป รวมทั้งช่องทาง  e-commerce ผ่าน shopee และ lazada

ทั้งนี้ เพียวรีนยังมีกิจกรรมส่งเสริมกายขาย เพื่อตอบแทนกับลูกค้าด้วย กิจกรรม เพียวรีน ลุ้นโชค…สุดปัง ชิงรางวัลทุกเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2568 – 15 สิงหาคม 2568 โดยสามารถแอดไลน์ @Pureenthai เพื่อดูรายละเอียดและวิธีการร่วมกิจกรรมเพิ่มเติม


สานรักสู่ชีวิตคู่ คุณอมรพันธุ์ อร่ามวัฒนานนท์ & คุณอัญชลี เลิศพนมวรรณ

account_circle

งานวิวาห์สุดประทับใจของ คุณอมรพันธุ์ อร่ามวัฒนานนท์ และ คุณอัญชลี เลิศพนมวรรณ  ไม่ได้เป็นเพียงงานเฉลิมฉลองความรัก แต่คือการประกาศจุดเริ่มต้นชีวิตคู่ที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจ ความผูกพัน และคำมั่นสัญญาจากใจจริงที่จะดูแลและรักกันตลอดไป

ในวันที่ความรักเบ่งบานไปทั่วทุกมุมห้องเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน แกรนด์บอลลูน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 นั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานมงคลสมรสธรรมดา แต่คือการประกาศจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจและความผูกพันระหว่างบุตรชาย  ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย “คุณอมรพันธุ์ อร่ามวัฒนานนท์” และ  “คุณอัญชลี เลิศพนมวรรณ”

ภายในงานเจ้าสาวคุณอัญชลีปรากฏตัวภายใต้ชุดเดรสเกาะอกดีไซน์เรียบหรูที่ขับเน้นความสง่างามตามธรรมชาติของเธอให้โดดเด่น เช่นเดียวกับเจ้าบ่าว คุณอมรพันธุ์ ที่ดูหล่อเหลาภูมิฐานในชุดสูทสากล สะท้อนถึงความมั่นคงและความพร้อมที่จะก้าวเดินเคียงข้างกัน ทั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี มาเป็นประธานในพิธี

สิ่งที่ทำให้งานนี้พิเศษยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ความยิ่งใหญ่ของสถานที่หรืองดงามของการตกแต่ง แต่เป็นความจริงใจที่ทั้งคู่ได้มอบให้กันและกัน ทั้งคู่กล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญนี้ พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาจากใจจริงว่าจะดูแลและรักกันตลอดไป คำสัญญาที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังนี้สร้างความประทับใจและความซาบซึ้งให้กับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน

สำหรับประวัติของ  คุณอมรพันธุ์ อร่ามวัฒนานนท์ เป็นบุตรชาย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กับ คุณวิจิตรา อร่ามวัฒนานนท์  จบปริญญาตรีด้าน Industrial Engineering จาก University of Wisconsin, ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะมาต่อปริญญาโทด้าน Master of Science in Marketing ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบัน คุณแบงค์ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี แวลู จำกัด (มหาชน) และบริษัท ยูนิคอร์ด จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง อาหารพร้อมทาน และ Pet Food รายใหญ่ของโลก ที่มีการผลิตและส่งออกไปทั่วโลกมากกว่า 200 ประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นผู้กำกับดูแลบริษัทในเครือของครอบครัวอีก 8 บริษัท ซึ่งเป็นธุรกิจด้านการผลิตอาหารแช่แข็งครบวงจรและส่งออกไปทั่วโลก นับเป็นนักธุรกิจหนุ่มและผู้บริหารชั้นนำของประเทศที่ดูแลธุรกิจในเครือทั้งหมดด้วยยอดขายที่มากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี

ขณะที่คู่สมรส คุณอัญชลี เลิศพนมวรรณ เป็นนักธุรกิจหญิงเก่งได้รับทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน ณ Brandon Valley High School สหรัฐอเมริกา ก่อนจะจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด จากมหาวิทยาลัยมหิดล อินเตอร์เนชั่นแนล และคว้าปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ สาขา Brand Management จาก Institute Marangoni ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ปัจจุบัน คุณอัญชลี ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ดูแลกิจการครอบครัว บริษัท ทวีทรัพย์โบรกเกอร์ ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 34 ปี รวมถึงบริษัท IFCC จำกัด (มหาชน) และบริษัทเติมทรัพย์พร็อพเพอร์ตี้ โดยกำกับดูแลด้านฝ่ายขาย การตลาด การประกันภัยทุกประเภท และให้การปรึกษาด้านสื่อสารการตลาดและการบริหารด้านอสังหาริมทรัพย์


Hearts2Hearts

Hearts2Hearts ชวนตกหลุมรักใน ‘STYLE’ ซิงเกิลใหม่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์

Alternative Textaccount_circle
Hearts2Hearts
Hearts2Hearts

Hearts2Hearts คัมแบ็กสดใส! ชวนทุกคนตกหลุมรักใน ‘STYLE’ ซิงเกิลใหม่ล่าสุดที่เผยเสน่ห์แตกต่าง พร้อมท่าเต้นชัฟเฟิลที่พร้อมฮิตอีกครั้ง

Hearts2Hearts (ฮาร์ตส์ทูฮาร์ตส์) เกิร์ลกรุ๊ปวงล่าสุดจากค่าย SM ENTERTAINMENT พาทุกคนตกหลุมรักใน ‘STYLE’ ซิงเกิลใหม่ล่าสุดที่สัมผัสได้ถึงเสน่ห์แบบใหม่ของพวกเธอ ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศอันชวนฝันและลึกลับในเพลงเดบิวต์ ‘The Chase’ (เดอะ เชส) ที่ปล่อยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ซิงเกิลใหม่ ‘STYLE’ เป็นเพลงแดนซ์จังหวะเร็วที่นำเสนอพลังแห่งความสุขผ่านเสียงร้องแสนสดใสและมีชีวิตชีวาของสมาชิก ผสานกับการเน้นไปที่จังหวะอันสนุกสนานและเบสที่ดึงดูดใจ ที่สำคัญ ฮิตเมเกอร์อย่าง KENZIE (เคนซี) ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนในเพลง ‘The Chase’ (เดอะ เชส) ยังเป็นผู้แต่งเนื้อเพลง ‘STYLE’ ซึ่งพูดถึงความอยากรู้อยากเห็นและความรู้สึกคลุมเครือต่อคนที่ดูเฉยเมยแต่มีสไตล์อย่างชัดเจน พร้อมข้อความราวกับมนต์สะกดว่า ‘เหมือนที่ฉันชอบสไตล์อย่างที่คุณเป็น คุณเองก็จะรักสไตล์ของ Hearts2Hearts เช่นกัน’

สำหรับการแสดงของเพลง ‘STYLE’ จะเข้ากับบรรยากาศของเพลงและถ่ายทอดอารมณ์น่ารักแต่เท่ของ Hearts2Hearts ออกมาอย่างโดดเด่น อีกทั้งท่อนฮุกสุดติดหูที่ผสมผสานเข้ากับท่าเต้นหลักของเพลง ‘STYLE’ ซึ่งนำการเต้นชัฟเฟิลที่เคยได้รับความนิยมมาตีความใหม่ใน ‘สไตล์ของ Hearts2Hearts’ ยิ่งช่วยเพิ่มความสนุกในการรับชมการแสดง และทำให้การเต้นชัฟเฟิลกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง

นอกจากนี้ สมาชิก Hearts2Hearts ได้กล่าวความรู้สึกถึงแฟน ๆ ที่รอคอยการคัมแบ็กครั้งแรกหลังจากเดบิวต์ดังนี้ “พวกเราอยากมอบพลังที่สดใสและกำลังใจให้กับ ‘S2U’ (ฮาร์ตชู : ชื่อแฟนคลับอย่างเป็นทางการ) ด้วยเพลง ‘STYLE’ ค่ะ ‘S2U’ คะ ! พวกเราจะได้เจอกันบ่อย ๆ เพราะฉะนั้น ช่วยตั้งตารอกันด้วยนะคะ ! พวกเราจะพยายามอย่างหนักเพื่อแสดงภาพลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้นของเราให้ทุกคนได้เห็นกันค่ะ รักและขอบคุณเสมอนะคะ” และ “การคัมแบ็กด้วยเพลงที่สดใสและสนุกสนานทำให้พวกเราดีใจมากที่จะได้แสดงเวทีที่แฟน ๆ ทุกคนสามารถสนุกไปด้วยกันได้มากขึ้นค่ะ พวกเราจะกลับมาหาทุกคนพร้อมกับคอนเทนต์ที่หลากหลายด้วยค่ะ เพราะฉะนั้น ช่วยรอติดตามกันเยอะ ๆ นะคะ”

BEYOND THE VINES ฉลองครบรอบ 10 ปี ด้วยคอลเล็คชั่นลายดอกไม้จาก LIBERTY FABRIC

account_circle

Beyond The Vines (บียอนด์ เดอะ ไวนส์)  ก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 พร้อมเปิดตัวคอลเล็คชั่นลายดอกไม้รุ่นพิเศษที่รังสรรค์จากผ้า Liberty Fabric เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง 150 ปีแห่งศิลปะการออกแบบของแบรนด์ สิ่งทอระดับตำนานจากอังกฤษ

BEYOND THE VINES ฉลองครบรอบ 10 ปี ด้วยคอลเล็คชั่นลายดอกไม้จาก LIBERTY FABRIC

โดยคอลเล็คชั่นนี้ผสานดีเอ็นเอด้านการออกแบบที่เน้นฟังก์ชันการใช้งานของ Beyond The Vines เข้ากับลายพิมพ์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Liberty ซึ่งถูกถ่ายทอดลงบนซีรีส์กระเป๋ายอดนิยมอย่าง Crunch Carryall และแอคเซสเซอรี่ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันสำหรับทุกวัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของ Beyond The Vines ที่ได้นำลายดอกไม้มาผสมผสานในแบบฉบับของแบรนด์ เสริมลูกเล่นด้วยพื้นผิวเคลือบ PVC มันวาว เติมมิติใหม่ให้ชิ้นงานอย่าง ทันสมัย พร้อมสอดแทรกกลิ่นอายแฟนตาซีผ่านดีเทลรูปแมลงตัวจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในกราฟิก สะท้อนเรื่องราวของสวนในฝันได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

โดยไฮไลต์ของคอลเล็กชันนี้อยู่ที่ลายพิมพ์อันโดดเด่น 3 ลาย จากอาร์ไคฟ์เฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปี ของ Liberty ได้แก่ 

  • Clio: ลวดลายดอกไม้เล็ก ๆ เปี่ยมด้วยเสน่ห์ความไร้เดียงสา ที่ได้แรงบันดาลใจจากการออกแบบในยุค 1930s สะท้อนความประณีตของเทคนิคการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ไม้แบบดั้งเดิมของ Liberty ได้อย่างงดงาม
  • Archive Gingham: ลวดลายแพตช์เวิร์กยุคใหม่ที่นำดอกไม้เพ้นต์มือมาจัดเรียงบนผืนผ้าลายตารางโปร่งแสง ให้กลิ่นอายความทรงจำอันแสนอบอุ่นและความร่วมสมัยในคราวเดียวกัน
  • Nell, Annie & May: ทุ่งดอกไม้ในงานพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ไม้ที่บานสะพรั่งไปด้วยลายเส้นและความไม่สมบูรณ์แบบที่ละเอียดอ่อน สะท้อนแรงบันดาลใจจากการทดลองลายพิมพ์ยุคแรกของ Liberty

คอลเล็กชันนี้แบ่งออกเป็นสองรอบสำหรับการวางจำหน่าย โดยแปลงโฉมแอคเซสเซอรี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน    ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า กระเป๋าเพาช์ กระเป๋าใส่แล็ปท็อป ไปจนถึงกระเป๋าเก็บอุณหภูมิ ให้กลายเป็นชิ้นงานที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและการเล่าเรื่องราวผ่านงานออกแบบอย่างมีสไตล์  

DROP 1 — วางจำหน่าย 27 มิถุนายน 2025

การเปิดตัวครั้งแรกนี้จะเน้นไปที่ Crunch Carryall Series ที่ถูกสร้างสรรค์ในลายพิมพ์ Liberty ทั้งสามแบบ พร้อมสามขนาดที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกวัน กระเป๋าเหล่านี้โดดเด่นด้วยหูหิ้วสั้น สายสะพายปรับได้ และซิปที่ถอดออกได้  พร้อมช่องด้านในสำหรับใส่ขวดน้ำ โทรศัพท์ แล็ปท็อป (สำหรับขนาด 02 และ 03) โดย Carryall 03 ยังมีช่องเสียบกระเป๋าเดินทางที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นช่องใส่ของเพิ่มเติมได้อีกด้วย

  • ราคา: เริ่มต้นที่ 2,590 บาท
  • วางจำหน่ายในลาย: Clio, Archive Gingham และ Nell, Annie & May

เสริมทัพซีรีส์ Carryall ด้วย BTV Liberty Heart Pouch และ Round Pouch  เพาช์ขนาดกะทัดรัดแบบคลิปออน    โดดเด่นด้วยลายผ้า Liberty เคลือบ PVC มาพร้อมตะขอเกี่ยวที่ถอดออกได้ สายคล้องข้อมือ และโลโก้สีดำรุ่นพิเศษ

  • ราคา: 1,190 บาท
  • วางจำหน่ายในลาย: Clio และ Nell, Annie & May

DROP 2 — วางจำหน่าย 4 กรกฎาคม 2025

ปิดท้ายซีรีส์ลายดอกไม้ด้วยแอคเซสเซอรี่ดีไซน์เรียบง่ายที่เน้นฟังก์ชันการใช้งานเป็นหลัก โดยออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง

BTV_Liberty Laptop Sleeve 14” & 16”: ซองใส่แล็ปท็อปที่ออกแบบมาพร้อมบุนวมกันกระแทกด้านใน และช่องสำหรับอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยี โดยตกแต่งด้วยลายผ้า Liberty เคลือบ PVC

  • ราคา: 1,590 บาท

BTV_Liberty Lunch Bag: กระเป๋าเก็บอุณหภูมิพร้อมซิปกันน้ำ โดยมีช่องด้านหลัง และสายสะพายผ้าที่สามารถปรับได้ ยกระดับกระเป๋าเก็บอาหารขึ้นไปอีกขั้น

  • ราคา: 1,190 บาท

BTV_Liberty Travel Pouch (Small & Large): ตกแต่งด้วยซับในไนลอนสีตัดกัน หัวซิปเคลือบอีนาเมล และโลโก้นูน เหมาะสำหรับจัดเก็บสิ่งของจำเป็นขณะเดินทาง

  • ราคา: เริ่มต้นที่ 690 บาท

คอลเล็กชัน Beyond The Vines & Liberty Fabric นี้ จะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2568 เวลา 08.00 น. ทั้งทางออนไลน์และในร้านค้าทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ http://www.beyondthevines.co.th/ หรือติดตาม @beyondthevinesthailand บน Instagram 


 

เจาะสเต็ปบิวตี้สุดเป๊ะ ‘อิ๊งค์ – ดวงพร ต๊ะปัญญา’

account_circle

‘อิ๊งค์ – ดวงพร ต๊ะปัญญา’ คือสาวสวยเก่งและ CEO แห่งบริษัท Figure 8 Pilates คลาสพิลาทีสแบบไพรเวต ที่โด่งดังจากการดูแลรูปร่างให้กับลูกค้าหลากหลายกลุ่มตลอดกว่า 10 ปี รวมถึงบางคนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันในวงการบันเทิงด้วย จนตอนนี้ได้ฤกษ์เตรียมขยายสาขาและบุกตลาดต่างประเทศอย่างยิ่งใหญ่

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มากประสบการณ์ในสายพิลาทีสและเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจจากคนหลากหลายวงการแบบนี้ ไม่วายถูกโฟกัสเรื่องความสวยงาม การดูแลตัวเองทั้งรูปร่างและผิวพรรณ ซึ่งบอกเลยว่าเธอทำได้ดีแบบสมมง สามารถบริหารทั้งงานและเสน่ห์ความสวยไปพร้อมกัน ไม่ว่าชีวิตจะบีซี่แค่ไหน เรื่องความเป๊ะต้องไม่แผ่ว

BALANCING A BUSY LIFESTYLE WITH BEAUTY

“ไลฟ์สไตล์ของอิ๊งค์เรียกว่าต้องจัดเวลาทั้งเรื่องงานและการดูแลตัวเองเป็นอย่างมากค่ะ เพราะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ถ้าเป็นวันหยุดจริงๆ จะออกกำลังกาย ฟังเพลง จัดบ้าน ทำนั่นทำนี่ พอเสร็จภารกิจก็จะไปทำสวยตามตารางความงาม เข้าคอร์สเพื่อการดูแลผิว ก็อาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้ง เพราะเราต้องใช้หน้าและแต่งหน้าในการสอนทุกวัน

“ส่วนวันทำงานอิ๊งค์มีตารางสอนค่อนข้างแน่น ต้องจัดเวลาพักเบรกเพื่อทานอาหารที่มีประโยชน์ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือบ้าง พยายามจัดสรรเวลาช่วงสั้นๆ ให้ได้พักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ”

PILATES QUEEN’S BEAUTY LIFESTYLE

“ถ้าให้คะแนนความรักสวยรักงามของตัวเอง 1 – 10 อิ๊งค์คิดว่า 10 เลยดีกว่า ถือว่าใส่ใจมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องปรับทุกอย่างให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ด้วย อย่างอิ๊งค์สอนในสตูดิโอเปิดแอร์ทั้งวัน เดินออกมาข้างนอกน้อย ผิวจึงแห้ง เลยต้องให้ความสำคัญกับการบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งถ้าใส่หน้ากากอนามัยสอนยิ่งแห้งหนักกว่าเดิม ต้องดูแลผิวพรรณเกี่ยวกับใบหน้าเยอะหน่อย บางทีกลับมาต้องมาสก์หน้าและทาครีมที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง เพื่อให้รู้สึกสดชื่นและมั่นใจเวลากลับไปทำงาน

“ยิ่งเป็นครูพิลาทีสต้องใช้หน้าตา เจอนักเรียน เจอผู้คน เข้าสังคมตลอดเวลา สังเกตได้เลยว่าเขามักมองแบบสังเกตใบหน้าก่อน ครูหน้าตาและผิวพรรณเป็นอย่างไร การดูแลเรื่องนี้เป็นทั้งความสุขส่วนตัวและเป็นทั้งงานไปด้วย

“การดูแลให้ผิวชุ่มชื้น โบนัสที่จะได้เพิ่มคือช่วยในการแต่งหน้าให้ดูสวยง่ายขึ้นอีก คือทำให้แต่งหน้าติดทนขึ้นมาก แถมยังดูฉ่ำวาว ถ้าช่วงไหนนอนน้อย หรือครีมไม่ถึงจะเห็นได้ชัดเลยว่าเมคอัพไม่สวยสดใส หลุดลอกเร็ว”

HYDRATE SKIN INSIDE & OUT

“อีกสกินแคร์รูทีนที่ช่วยทำให้ผิวโกลว์ได้อย่างรวดเร็วคือการมาสก์หน้าค่ะ หลักๆ จะมาสก์หน้าก่อนนอน เสร็จแล้วทาเซรั่ม ตามด้วยไนท์ครีม ไม่ว่าจะเหนื่อยจากไหนมาอย่างไรก็ต้องลุกมาทาครีมก่อนเข้านอน ไม่มีการ Skip เพื่อรักษาความชุ่มชื้น

“และเมื่อต้องแต่งหน้า การเช็ดเครื่องสำอางเป็นเรื่องสำคัญ อย่าเช็ดด้วยน้ำหนักแรง เพราะจะทำให้ผิวหย่อน มีรอยย่น อิ๊งค์จะมีผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งที่เหมือนน้ำนมทาทิ้งไว้ก่อน 5 – 10 นาที เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำ จากนั้นมาสก์หน้า 15 – 20 นาที ยิ่งรู้ว่าวันไหนต้องแต่งหน้า การมาสก์หน้าก่อนแต่งหน้าจะช่วยให้การแต่งหน้าดูสดใสและง่ายขึ้นมากค่ะ”

NON-INVASIVE SURGERY IS A GAME CHANGER

**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และควรปรึกษาแพทย์

“ถ้าถามว่าในวัยนี้กังวลเรื่องอะไรมากที่สุด คงเป็นเรื่องริ้วรอยค่ะ มาตามอายุ แล้วอิ๊งค์ยิ้มง่าย เวลาสอนจะยิ้มให้นักเรียนเสมอ จึงเห็นรอยตีนกาได้ชัดที่สุด ช่วงจมูกก็มีริ้วขึ้นบ้างแล้ว เกิดจากการแสดงอารมณ์ด้วยการยิ้มนี่แหละ ซึ่งเรื่องใหญ่ขนาดริ้วรอยนี้ บางครั้งอิ๊งค์รู้สึกว่าแม้การบำรุงผิวจะช่วยได้บ้าง แต่การดูแลอย่างสม่ำเสมอและการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ

“เทรนด์ Collagen Biostimulator เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่อิ๊งค์ได้รู้จักและลองใช้ โดยเป็นการดูแลที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวพรรณจากภายใน ทำให้ผิวดูสดใสและเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งวิธีที่ดูแปลกปลอมเกินไป ซึ่งอิ๊งค์มองว่าเข้ากับแนวทางการดูแลผิวในแบบของตัวเองได้ดีเลยค่ะ

“ตัวที่อิ๊งค์ได้ลองคือ Program CHARISMA ด้วย Rh Collagen จากแบรนด์ KARISMA ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ล่าสุดจากประเทศอิตาลี ตัวนี้จัดอยู่ในหมวดหมู่ Collagen Biostimulator ที่เมื่อเข้าไปในผิวแล้วจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาตามกระบวนการธรรมชาติ ทำให้ผิวเรากลับมามีคอลลาเจนมากขึ้น จึงช่วยให้ใบหน้าดูเต่งตึง และสมดุลขึ้นแบบกลมกลืนกับโครงหน้าเดิมของเรา หน้าจึงดูไม่เปลี่ยนไม่แข็ง ซึ่งผลลัพธ์อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ค่ะ

UNLOCKING YOUHTFUL CHARISMA

“สิ่งที่อิ๊งค์ประทับใจมาก หลังทำ Program CHARISMAS ด้วย Rh Collagen จาก KARISMA อย่างแรกคือรู้สึกว่าการฟื้นตัวค่อนข้างรวดเร็ว ไม่ต้องหยุดงานและสามารถใช้หน้าได้เลย หลังทำแค่ทะนุถนอมผิว ล้างหน้าให้สะอาด ไม่เช็ดหน้าแรงๆ ก็พอ

“หลังจากที่ได้ลองทำ ผลลัพธ์ที่ได้คือมีคนทักว่าดูสดใสขึ้น ดูอ่อนวัย รู้สึกว่าริ้วรอยที่เคยกังวล แลดูสม่ำเสมอขึ้น และช่วยเสริมลุคให้ดูสมดุล ผิวโดยรวมดูเรียบเนียนและสุขภาพดีขึ้น ซึ่งอิ๊งค์ประทับใจกับผลลัพธ์มาก ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีจนอยากกลับไปทำอีกครั้งเลยค่ะ เพราะตอบโจทย์ความต้องการสวยของผู้หญิงไลฟ์สไตล์สุดบีซี่อย่างเราได้อย่างน่าประทับใจ”


แบมแบม

แบมแบม เผยที่มา Champion Ring แหวน 45 กะรัตสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรี

Alternative Textaccount_circle
แบมแบม
แบมแบม

แบมแบม GOT7 เผยที่มาแหวนเพชร 45 กะรัต ที่มาพร้อมเรื่องราวแรงบันดาลใจจาก “Champion Ring” เครื่องประดับที่เป็นมากกว่าเครื่องประดับ 

สมกับฉายาเศรษฐีอายุน้อยแห่งวงการ K-POP  สำหรับ แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล ศิลปินหนุ่มที่มักปรากฏตัวพร้อมกับ นาฬิกาสุดหรูรุ่นหายากมูลค่าตั้งแต่หลักล้านไปจนถึงเกือบ 100 ล้าน ล่าสุดในงาน “Xiaomi SEA Launch Event” Redmi Note 14 Series” ที่แบมแบมไปร่วมงานในฐานะแอมบาสเดอร์ ของเสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานนี้นักร้องหนุ่มทำพี่ๆ สื่อถึงกับแสบตาเมื่อเห็นแหวนเพชรเม็ดมึมา 45 กะรัต ที่เปล่งประกายไม่แพ้รัศมีความหล่อของเจ้าตัว

เมื่อถูกถามถึงแหวนที่สวมใส่อยู่ แบมแบมตอบด้วยอารมณ์ขันว่า “ไม่ๆๆ อันนี้ก็เป็นทรัพย์สินเฉยๆ ครับ วันไหนผมล้มละลายก็ถอดมันเอามาขายได้ (หัวเราะ) ไม่หนัก ไม่ปวดนิ้วเลย ตอนที่ดีไซน์มาเขาก็ดูจากส่วนสูงและน้ำหนักผม เวลาใส่จะได้รู้สึกสบายตัว ที่เห็นก็คือเป็นเพชร ถามว่ากี่กะรัต ผมไม่อยากบอกเลย แต่ต้องบอกใช่มั้ย 45 กะรัตครับ ไม่ได้เป็นเลขมงคลหรืออะไร”

ไอดอลหนุ่มยังได้เผยถึงที่มาของแหวนวงนี้ว่า “ผมมีสถานที่ที่เป็นคอสตูมจิวเวลรี่ของผมอยู่แล้ว ซึ่งผมก็ซื้อเพชรอันนี้มาได้ประมาณปีนึงและก็เก็บไว้เฉยๆ จนรู้สึกว่าทำไมไม่เอามาทำอะไรบ้าง เลยลองเอามาทำดู”

สำหรับความหมายของแหวนวงนี้ แบมแบมกล่าวว่า “ความหมายของแหวนวงนี้ก็คือ Champion Ring ถ้าเกิดใครได้ดู NBA เขาจะมี Champion Ring ตอนเขาชนะ ผมก็เลยเอามาใส่เพื่อโชว์ถึงศักดิ์ศรีของตัวเอง แค่นั้นเลย อีกความหมายหนึ่งก็คือให้ความสำคัญกับตัวเอง เหมือนแต่งงานกับตัวเอง”

การเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลัง “Champion Ring” ของแบมแบมในครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงแนวคิดในการให้คุณค่ากับตัวเองและการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในแบบฉบับของแบมแบมอีกด้วย

keyboard_arrow_up