ขาวตี๋ ดีกรีผู้บริหารรุ่นใหม่ รู้จัก โจ-เกรียงไกร ผู้กุมบังเหียนธุรกิจผ้าทอ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

จากชายหนุ่มผู้มีใจรักด้านศิลปะ ดนตรี ทำให้มุ่งมั่นที่จะเลือกเรียนด้านนิเทศศาสตร์ แต่ชีวิตกลับผกผัน เมื่อ โจล่ง หรือ โจ -เกรียงไกร เกียรติเสวีกุล หันกลับมามองธุรกิจอุตสาหกรรมทอผ้าของครอบครัวที่เขาเติบโตมาและอยู่กับมันมาโดยตลอด ความคิดที่ไม่อยากเห็นแม่เหนื่อยแล้ว และอยากทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อดูแลครอบครัว จึงทำให้เขายอมสละความฝัน ผันมามุ่งเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์และการส่งออก จนทำให้ในวันนี้พลิกธุรกิจของครอบครัวให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

โจ – เกรียงไกร หรือ โจล่ง – เกรียงไกร เกียรติเสวีกุล ในตอนนี้เขาอายุ 30 ปี เมื่อย้อนไปในช่วงวัย 22 – 25 ปี เขาได้พลิกธุรกิจอุตสาหกรรมทอผ้าของครอบครัวให้กลับขึ้นมาประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจอีกครั้ง และยังมุ่งมั่นกุมอาณาจักรผ้าทอที่อยู่ในมือให้ดียิ่งขึ้นจนถึงปัจจุบัน และถ้าหากใครชื่นชอบในสายดนตรี เชื่อว่าคงคุ้นหน้ากับหนุ่มขาวตี๋คนนี้กันอยู่บ้าง เพราะถึงแม้จะดูแลธุรกิจผ้าทอที่มีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาททั้งหมด แต่ในมุมความฝันทางสายศิลปะ ดนตรี เขาก็ไม่ลืมทำเป็นงานอดิเรกควบคู่กันไปด้วย จึงจะได้เห็นนักบริหารรุ่นใหม่คนนี้เป็น DJ หรือ MC ตามงานคอนเสิร์ตต่างๆ

เพื่อให้รู้จักนักบริหารรุ่นใหม่ไฟแรงคนนี้กันมากขึ้น มาฟังเรื่องราวจากปากเขากันดีกว่า จุดเริ่มต้น จุดผกผัน ชีวิต ความฝัน ความคิดที่ดูโตเกินวัย รวมถึงการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง เพราะถ้ามองในมุมแวดวงธุรกิจ เขาได้ขึ้นแท่นเป็น “นักธุรกิจอายุน้อยร้อยล้าน” ไปแล้วเรียบร้อย

หนุ่มโจ หรือ โจล่ง เกรียงไกร เกียรติเสวีกุล เริ่มร้อยเรียงเรื่องราวชีวิตก่อนเข้าสู่แวดวงธุรกิจให้ฟังว่า

“จริงๆ แล้วผมเป็นคนรักดนตรี ศิลปะ งานบันเทิง แต่ด้วยความที่บ้านผมเป็นโรงงานทอผ้า และแม่ต้องการคนช่วย และเห็นแม่ลำบากมานานตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมไม่อยากเห็นแม่เหนื่อย จึงตั้งใจแน่วแน่ ยินดีทิ้งความฝันในสิ่งที่ตัวเองรัก ทั้งด้านดนตรีที่เคยทำเพลงไว้ก็หยุดและทิ้งหมด เพราะตอนแรกตั้งใจไว้ว่าถ้าจบมัธยมจะเรียนต่อด้านนิเทศศาสตร์ ก็ตัดสินใจเลือกเรียนคณะแฟชั่นดีไซน์และศึกษาเรื่องการส่งออก เพื่อนำสิ่งที่เรียนมาช่วยธุรกิจของที่บ้าน ความจริงแล้วก็ได้คลุกคลี เรียนรู้ คอยสังเกตการทำงานของแม่มาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นแล้ว จำได้ว่าตอนอายุ 17 ปี ผมลงไปเริ่มเรียนรู้เรื่องเส้นด้าย ผ้ามีกี่ชนิด การส่งผ้าเข้าโรงย้อมมีขั้นตอนอย่างไร ทอผ้าอย่างไรจึงจะมีคุณภาพ พอเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย เวลาปิดเทอมก็จะเข้าไปช่วยทำงานเต็มตัว เพราะนึกอยู่ตลอดว่าไม่ว่าช้าหรือเร็ว เราก็คือคนที่จะต้องสานต่อธุรกิจ ตอนนี้ยังมีแรง มีไฟ ก็ควรรีบเรียนรู้และออกสตาร์ทเลย”

เป็นเรื่องปกติที่หลายครอบครัวนักธุรกิจย่อมมีการวางรากฐานและปลูกฝังลูกๆ ให้เดินตามรอย เพื่อสานต่อธุรกิจที่ลงแรงสร้างไว้ แต่ครอบครัว “เกียรติเสวีกุล” ไม่เป็นเช่นนั้น ยินดีให้อิสระลูกๆ ไม่เคยบังคับหรือโน้มน้าว

“ตั้งแต่ผมเกิดมา ลืมตาตื่นมาทุกเช้าก็เห็นโรงงานทอผ้า เห็นเส้นด้าย พอโตขึ้น ครอบครัวก็ไม่เคยปลูกฝัง กะเกณฑ์ หรือสั่งให้ผมต้องทำในสิ่งที่ครอบครัวทำ แต่เป็นด้วยตัวผมเองที่เข้ามาสัมผัสและเรียนรู้ เพราะในใจลึกๆ อยากรีบเรียนจบเร็วๆ แล้วมาช่วยครอบครัว ซึ่งเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมก็มาช่วยครอบครัวดูแลธุรกิจทันที”

เมื่อต้องมารับผิดชอบธุรกิจอุตสาหกรรมผ้าทอของครอบครัว ใช่ว่าเขาจะทำเล่นๆ เพราะโจทุ่มเททั้งชีวิต ตั้งเป้าหมายเพื่อให้ครอบครัวประสบความสำเร็จ แม้ระหว่างทางต้องสัมผัสรสชาติของชีวิตหลากหลายที่ค่อยๆ สอนให้เขาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 

ปัจจุบันผมรับผิดชอบบริหารธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ทั้งการคัดสรรวัตถุดิบ พวกเส้นด้าย ตรวจสอบราคาตลาด ควบคุมคุณภาพ และลงแรงออกหาลูกค้าเอง ซึ่งทำแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานแล้ว ตอนแรกๆ ผมชอบให้คนขับรถไปส่งผมใกล้ๆ ที่หมาย เพื่อต่อรถเมล์แล้วลงเดินไปพบลูกค้า เพราะบางคนเขามีเวลาไม่มาก การไปรถส่วนตัวอาจเสียเวลามากกว่า เราจึงต้องใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่ามากที่สุด” 

เหตุการณ์ประทับใจและยังคงจดจำ ที่สามารถมัดใจลูกค้ามาได้โดยตลอด ตั้งแต่เดินตลาดยังไม่มีใครรู้จัก

สไตล์การทำงานผมจะเอาความจริงใจและความเป็นตัวเองเข้าสู้ครับ ทุกๆ วันผมจะพยายามวิ่งเข้าหาลูกค้าทุกเจ้าเท่าที่จะทำได้ จากที่ลูกค้าไม่มั่นใจ ไม่กล้าสั่ง จนเริ่มสั่ง กลายเป็นบอกกันแบบปากต่อปาก เพราะความที่เราจริงใจ เอาใจใส่ในทุกรายละเอียด ตั้งใจบริการเขาอย่างเต็มที่ ประกอบกับเรานำเสนอแต่สิ่งที่ดีที่สุด ทั้งด้วยคุณภาพของผ้าและราคาสมเหตุสมผล ทำให้ลูกค้าทุกคนประทับใจและจดจำ จนเขาเรียกผมว่า ตี๋ขายผ้า โจตี๋ โจตี๋ผ้ายืด หรือโจล่ง ที่คนทั่วไปเรียกกัน ต่อมาก็เริ่มมีการขยายฐานลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนธุรกิจของเราสามารถขยายโรงงานใหม่เพิ่ ซื้อเครื่องเพิ่ม เพื่อรองรับลูกค้าและตอบสนองให้ได้อย่างพอเพียง

จากวันแรกจนถึงวันนี้ ถือว่าความทุ่มเทที่โจลงแรงเกินความคาดหมายของเขาไปเลย

“ลูกค้าติดใจในเนื้อผ้าและคุณภาพการผลิตของโรงงานเราครับ ผมเลือกที่จะไม่ขายตัดราคาใคร แต่เลือกที่จะทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในคุณภาพ เพราะถ้าตัดราคากันเอง สุดท้ายตลาดจะตาย คนที่เสียหายคือโรงงาน”

แม้เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ แต่โจมีความคิดที่กล้าลุย กล้าเหนื่อย ไม่ยอมแค่นั่งอยู่ในห้องแอร์ แต่ต้องลุยไปในตลาด อัพเดตเทรนด์ตลอดว่าช่วงไหนเทรนด์สีไหนกำลังเป็นที่นิยม ดูแลลูกค้าว่าต้องการอะไร ที่สำคัญต้องใส่ใจในเนื้องาน โดยเฉพาะเรื่องผ้าเป็นสิ่งสำคัญ 

“มุมมองของผม ผ้าก็เหมือนอาหาร ถ้าเราปรุงอร่อย ใช้วัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ พอเขากินอิ่ม เดี๋ยวเขาก็ต้องกลับมากินอีก สิ่งสำคัญที่สุดที่ถือเป็นเคล็ดลับความสำเร็จในธุรกิจของเราคือการเข้าถึงลูกค้า ลงไปดูแลลูกค้า และสิ่งที่เป็นจุดแข็งของเราคือผ้ายืด ที่ทอออกมาแล้วมีการทดสอบสีและเปอร์เซ็นต์การยืดหยุ่นของผ้าที่ได้มาตรฐานสากล และเนื้อผ้ามีการสปริงตัวดี”

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตการทำงาน 

“ผมต้องการให้ลูกค้าเมื่อนึกถึงผ้ายืดที่มีคุณภาพในเมืองไทย ต้องคิดถึง R C Knitwear ที่ผมทุ่มเทปลุกปั้นขึ้นมาและความรักในธุรกิจของผมครับ”

เป็นธรรมดาที่การบริหารงานต้องเจอปัญหาเรื่องคน พนักงาน 

“พอเขาทอผ้าเป็นแล้วก็ลาออก แต่กว่าที่เราจะฝึกเขาจนเชี่ยวชาญ สามารถดูแลเครื่องทอผ้าได้ ต้องใช้เวลาและลำบากมาก” 

โจยอมรับว่าในการดำเนินธุรกิจ หากเราต้องการที่จะเติบโตไปข้างหน้า เป็นเรื่องปกติที่จะต้องพบอุปสรรค ปัญหา จำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเตือน สร้างแรงจูงใจ และให้กำลังใจตัวเองเสมอ เมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรค

สำหรับผม แรงจูงใจอันประเสริฐอย่างเดียวเลยคือการคิดถึงแม่ คิดถึงวันที่แม่ร้องไห้เพราะไม่มีคนช่วยแม่ แค่นี้ผมก็ไม่กลัวอะไรแล้ว พร้อมเสียสละเพื่อครอบครัว เพื่อให้แม่และครอบครัวเรามีความสุข อุปสรรคหรือปัญหาถึงจะใหญ่แค่ไหน ผมเชื่อว่าต้องข้ามผ่านมันไปได้ ทุกปัญหาจะต้องมีทางออก ผมพร้อมที่จะสู้กับมัน และจะไม่ยอมแพ้ เหมือนคำหนึ่งที่ผมชอบมากและบอกตัวเองเสมอว่า เราจะไม่แพ้ ถ้าเราไม่ยอมแพ้

แม้วัย 30 ปีที่อาจดูเป็นหนุ่มน้อยในแวดวงนักธุรกิจ แต่เขากลับมีความนิ่ง สุขุม ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย นั่นเพราะได้รับการฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบอยู่ตลอด รวมถึงประสบการณ์ทุกข์สุข หรือแม้กระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต แต่สิ่งใดที่ทำให้เขาผ่านอุปสรรคมาได้ 

“ผมเชื่อว่าชีวิตคนเราทุกคนจริงๆ ไม่มีคำว่าล้มเหลวหรอกครับ มีแต่ล้มเลิก หากเราสู้และรักษาแพชชั่นหรือความปรารถนาเอาไว้ มันจะเป็นแรงผลักทำให้เราก้าวไปข้างหน้า ไม่หยุดนิ่ง ไม่ถอยหลังหรือล้ม ผมเชื่อจริงๆ ว่าถ้าเราตั้งใจทำวันนี้ให้ดีที่สุด เราจะมีวันพรุ่งนี้ และวันหนึ่งเราจะประสบความสำเร็จแน่นอน”

ไม่ใช่แค่ดูแลเรื่องธุรกิจตลอดเวลา แต่งานอดิเรกก็ต้องแบ่งเวลาให้ด้วย

“ผมอยากมีเวลามากกว่านี้ เพราะทุกวันนี้เวลาพักผ่อนค่อนข้างน้อย ไหนจะต้องบริหารธุรกิจที่บ้าน ต้องออกไปพบลูกค้า และยังมีงานอดิเรกที่ชอบ ทำให้ผมมีเวลาพูดคุยกับคนในครอบครัวค่อนข้างน้อย แต่บทบาทในการดูแลธุรกิจ ผมจะเข้มงวดกับตัวเองมากๆ ไม่เคยทิ้งหน้าที่หลักที่ต้องทำ และตั้งใจจะสร้างมูลค่าทางธุรกิจให้เติบโตยิ่งๆ ขึ้น

เลือกวิธีจัดการความเครียดที่จะมาบั่นทอนสุขภาพกายและใจอย่างไร

“เวลาเครียดผมชอบออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส ต่อยมวย หรือไม่ก็นั่งวาดรูปเพื่อให้จิตใจนิ่งสงบลง หรือเลือกพูดคุยกับคนที่คิดบวก เพราะการทำแบบนี้เราจะได้รับพลังบวกกลับมาครับ”

ในมุมชีวิตส่วนตัว โจพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดสรรเวลาใน 1 สัปดาห์สำหรับ “สิ่งที่ต้องทำ” กับ “สิ่งที่อยากทำ” 

“สิ่งที่อยากทำและขาดไม่ได้เลยสำหรับผมคือการออกกำลังกายเล่นกล้าม ความที่เรามีหน้าที่รับผิดชอบมาก การดูแลสุขภาพจึงสำคัญ แม้งานจะยุ่งแค่ไหน ผมจะต้องจัดเวลาออกกำลังกายทุกวัน ควบคู่ไปกับการคุมอาหาร ไม่ใช่กินอะไรก็ได้ แต่จะเลือกกินแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ดีต่อสุขภาพเท่านั้น และพยายามจัดสรรเวลากินข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าในครอบครัว และหาเวลาไปวาดรูปกับครูศิลปะที่ผมเคารพนับถือ เพราะการวาดรูปให้ผมมากกว่าการวาดรูป”

เมื่อถอดหมวกจากมุมนักธุรกิจ หมวกอีกใบที่เขามีคือ มุมสายอาร์ต สายศิลปิน โดยโจเป็นลูกศิษย์ของ รูโต – หม่อมหลวงจิราธร จิรประวัติ และครูปาน – สมนึก คลังนอก ศิลปินนักวาดภาพประกอบชื่อดัง

“ศิลปะช่วยผมได้มากในการดำรงชีวิต เราจะต้องมีศิลปะชีวิต สิ่งที่ครูโตสอนศิลปะผม ผมได้รับประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะศิลปะช่วยผมทางด้านจิตใจ ช่วยกล่อมเกลา ทำให้ผมมีความสุขุมและมีพลังคิดบวกตลอดเวลา ทำให้นิ่งและมีสมาธิ ทำให้ผมวาดรูปเก่งขึ้น และที่สำคัญทำให้ผมใช้ชีวิตอย่างมีสติ”

มองตัวเองเป็นคนแบบไหน 

“ผมเป็นคนลุยๆ ใจนักเลง กล้าได้กล้าเสีย เอาจริงเอาจัง แมนๆ และจริงใจครับ”

ไลฟ์สไตล์ในวันพักจากเรื่องงาน 

“สิ่งสำคัญผมจะพักผ่อนให้เพียงพอก่อนไปทำกิจกรรมต่างๆ เสมอ เพราะความพร้อมของร่างกายต้องมาก่อนครับ”

ความฝันสูงสุดสำหรับชีวิตนักธุรกิจจากวันนี้ไปถึงวันข้างหน้า

“สำหรับความใฝ่ฝันสูงสุดที่อยากก้าวไปให้ถึง และภาพจำเมื่อใครๆ นึกถึงผมคือ อยากให้ธุรกิจเติบโต ยิ่งใหญ่ อยากให้คนจำภาพผมในฐานะทายาทนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จโดยใช้เวลาเพียง ปี ตั้งแต่อายุ 22 – 25 ปี ในการพลิกธุรกิจของที่บ้านให้เติบโตและประสบผลสำเร็จด้วยความเสียสละที่มีต่อครอบครัว และผมหวังว่าวันข้างหน้าผมจะเป็นเถ้าแก่น้อยที่คนจดจำ หรือนักธุรกิจอายุน้อยร้อยล้านที่คนทั่วไปนึกถึงเป็นคนแรก และสร้างแรงบันดาลใจให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ครับ” 

 


เรียงเรียงโดย: Gingyawee_แพรวดอทคอม
ภาพ: IG @joe_long_9

ดูดวงรายวัน ประจำวันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2560

ดูดวงรายวัน ประจำวันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2560 เช็คทุกวัน ทันทุกดวงกับ แพรว ดอทคอม

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

การงาน :  ท่านอาจมีปัญหากับเจ้านาย หรือเพื่อนร่วมงาน เพราะวันนี้ท่านมีอุดมการณ์ มีความเป็นตัวเองสูง ยากที่ใครจะสามารถเข้าใจได้

การเงิน :  มีสติหน่อย อย่าลงทุนแบบใจใหญ่ เพราะจะทำให้เกิดหนี้สินได้

ความรัก : วันนี้ท่านอยู่ในโลกแห่งอุดมการณ์ โต้แย้งเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ รอบตัว จนอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ควรหลีกเลี่ยงความคิดที่สับสนวุ่นวาย คนโสด พัฒนาจากเพื่อนนะคะ

สุขภาพ : เน้นการดูแลสุขภาพจิต เพราะท่านมีโอกาสเป็นโรคเครียด ไมเกรน หรือซึมเศร้า

 

ผู้ที่เกิดวันจันทร์

การงาน :  แม้จะเป็นวันหยุด แต่ท่านก็อยู่ไม่ติดที่ ต้องเดินทางติดต่องานตลอดเวลา ควรให้ความสำคัญกับการปกครองบริวาร เพราะท่านใจดีเกินไป จนบริวารไม่เกรงใจ

การเงิน :  หมดกับการลงทุน และความรัก

ความรัก : วันนี้กำลังอยู่ในอารมณ์เบื่อหน่าย และวุ่นวายใจ หยุดยาวนี้ควรชวนกันเดินทางไปพักบ้าง ไรบ้าง จะทำให้มีความสุขขึ้น คนโสด อ่อนไหว ไม่มั่นใจ ลังเล ตัดสินใจอะไรไม่ได้เลยค่ะวันนี้

สุขภาพ : พกยาดม ยาอม ยาหม่องไปด้วย มีอาการหน้ามืด ตาลาย เวียนศีรษะ

 

ผู้ที่เกิดวันอังคาร

การงาน  :  จะได้ทำงานที่ชอบและมีความสุข ได้รับความรัก ความเมตตา และการยอมรับจากผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน

การเงิน :  คล่องตัว ผู้ใหญ่ให้การอุปถัมภ์

ความรัก :  วันนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ครอบครัวได้มาอยู่กันพร้อมหน้า คนโสด เสน่ห์แรง มีความสุขมากมาย

สุขภาพ : ระวังโรคที่เกี่ยวกับการย่อยอาหาร การเจ็บป่วยในช่องท้อง

 

ผู้ที่เกิดวันพุธ

การงาน  :  ท่านยังคงหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับเรื่องงานตลอดเวลา ทุ่มเทกับการทำงาน จนไม่สนว่าวันนี้เป็นวันหยุด ท่านควรพักและให้คนอื่นได้พักด้วย

การเงิน   :  ช่วยเหลือบุคคลอื่นจนตัวเองเดือดร้อน แต่โชคดีที่ผู้ใหญ่และเพื่อนให้การช่วยเหลือ

ความรัก : วันนี้สับสนวุ่นวายระหว่างไปทำงานหรือไปเที่ยวกับครอบครัวดี ป้าขออนุญาตแนะว่า วันนี้วันหยุดก็ควรไปเที่ยว ถูกต้องที่สุด  คนโสด ท่านขี้เบื่อ ก็เลยไม่แน่ใจว่า จะอยู่เป็นโสดดี หรือจะมีคู่ดี ไม่เป็นไรนี่คะ ไม่ต้องรีบเลือกก็ได้

สุขภาพ : ระวังอาการปวดเสียดท้อง

 

ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

การงาน : วันนี้วันพระ แต่ท่านยังคงเข้าไปเกี่ยวพันกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ซ่อนเร้น แหล่งบันเทิงยามราตรี

การเงิน : เลือกคบเพื่อนหน่อย เพราะอาจนำพาท่านไปเสียเงินกับเรื่องอบายมุข

ความรัก :  วันนี้หากท่านกำลังมีความรักที่ซ่อนเร้น ระวังจะเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นได้ คนโสด ท่านมีโอกาสที่จะหลงปลื้มกับคนที่มีเจ้าของแล้ว

สุขภาพ : มีเกณฑ์เกิดอุบัติเหตุ หลีกเลี่ยงการเมาแล้วขับ

 

ผู้ที่เกิดวันศุกร์

การงาน  : ยังคงอยู่ในช่วงเวลาที่ปลีกวิเวก วันนี้วันพระใหญ่ ท่านอาจกำลังจำศีล หรือปฏิบัติธรรม เพื่อเตรียมพร้อมกับการปฎิบัติงานในอนาคต

การเงิน :  อยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ขัดสน

ความรัก : วันนี้ท่านมีทิฐิมานะ คาดหวังกับคู่สูง ทำให้เกิดการขัดแย้งกันได้ คนโสด เลือกนานเลยค่ะ วันนี้

สุขภาพ  :  ติดเชื้อหรือภูมิแพ้ ระวังการใช้ของร่วมกับบุคคลอื่น

 

ผู้ที่เกิดวันเสาร์

การงาน : ขอกากบาทในวันพระนะคะ จะเกิดปัญหาและอุปสรรคที่หนักหนาสาหัสเกินกว่าจะแก้ไขได้ทันท่วงที อาจถึงขั้นลาออกจากงาน หรือเลิกจ้างได้เลย วันนี้วันพระใหญ่ ไปทำบุญเสริมบารมีให้สบายใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้นค่ะ

การเงิน : ติดขัด ฝืดเคืองตลอดเวลา อดทนๆๆ

ความรัก : มีโอกาสหย่าร้างสูง เพราะมีรักซ้อน หรือถูกหลอก คนโสด สั้นๆ อย่าไว้ใจใครนะคะวันนี้

สุขภาพ :  ระวังตัวเบอร์ 10 ค่ะ

 

ฤกษ์ดีมาแล้ว! นับถอยหลัง 5 เดือน “ป๊อก-มาร์กี้” ลั่นระฆังวิวาห์

หลังจากเมื่อวานนี้หนุ่ม “ป๊อก – ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์” ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงความรู้สึกในวันขอแต่งงาน ทั้งยังเผยเกี่ยวกับเรื่องที่ไปออกปากบอกแม่นางเอกสาว “มาร์กี้ – ราศรี บาเล็นซิเอก้า” ว่า “แม่ครับ ผมไม่ได้มาเล่นๆนะครับแม่” ซึ่งเมื่อถูกถามเกี่ยวกับฤกษ์สมรส เจ้าตัวก็ออกปากว่าต้องขอไปถามคุณแม่ “แม่ปุ๊ก – อาภัสรา หงสกุล” ก่อน

ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เจอกับหนุ่ม “ป๊อก” อีกครั้ง ซึ่งงานนี้เจ้าตัวก็ยิ้มหน้าบานมาพร้อมกับประกาศฤกษ์ดีว่าจะเข้าพิธีหมั้นกับ “มาร์กี้” ในวันที่ 8 ธันวาคมนี้ ส่วนงานแต่งจะมีขึ้นในวันที่ 24 ธันวาคม 2560

ได้ฤกษ์เร็วๆนี้ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการเตรียมงานว่าจะทันหรือเปล่า เจ้าตัวยอมรับว่ารู้สึกกังวลเหมือนกันว่าจะเตรียมไม่ทัน ซึ่ง “มาร์กี้” เองก็ตกใจที่ได้ฤกษ์เร็วขนาดนี้ นอกจากนี้ “ป๊อก” ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถ่ายพรีเวดดิ้งทันไหม ถ้าหากไม่ทันจริงๆ คงใช้รูปที่ไปเที่ยวด้วยกันแทน เพราะแต่ละรูปก็มีความหมายไม่น้อยเลยทีเดียว

“มาร์กี้ – ป๊อก”

7 เพลงเพราะแห่งตำนาน “แหวน-ฐิติมา” ราชินีหญิงร็อค หลังสิ้นใจด้วยโรคมะเร็ง

เกิดเรื่องน่าเศร้าต่อวงการเพลงและวงการบันเทิงไทยอีกครั้ง เมื่อราชินีเพลงร็อค แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร สิ้นลมแล้วด้วยโรคมะเร็งกระดูกที่โรงพยาบาลศิริราชฯในวันนี้ (7 ก.ค. 2560)

ต่อสู้กับโรคมะเร็งมาอย่างยาวนาน สำหรับตำนานร็อคเกอร์สาว แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร ที่ชีวิตต้องประสบป่วยเป็นโรคมะเร็ง รักษาจนหาย และป่วยเป็นโรคมะเร็งต่ออีกครั้ง ตั้งแต่มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม จนมาถึงมะเร็งกระดูก นักร้องสาวต้องจบชีวิตลง สร้างความเศร้าสลดต่อวงการเพลงไทยเป็นอย่างมาก เพราะเธอนั้นเปรียบเป็นราชินีเพลงร็อคที่ได้สร้างตำนานเพลงอันไพเราะ ความหมายลึกซึ้งกระแทกใจแฟนเพลงมาอย่างยาวนาน

สำหรับการเข้าสู่วงการเพลงของแหวน – ฐิติมา เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2527 ซึ่งมีเพลงแรกเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง วัยระเริง จุดนี้จึงทำให้ชีวิตนักแสดงเริ่มผันมาเป็นนักร้องอาชีพอย่างจริงจัง และนับเป็นนักร้องหญิงร็อคคนแรกของเมืองไทย ซึ่งยังเป็นนักร้องคนที่ 4 ของค่ายเพลงชื่อดังอย่างแกรมมี่อีกด้วย

ด้วยความสามารถของพี่แหวนนั้น มีผลงานเพลงการันตีมากมาย และเป็นนักร้องผู้มีความสามารถล้นเหลือ เพราะเธอสามารถร้องเพลงได้ทั้งแนวป็อป ร็อค ลูกทุ่ง รวมถึงยังได้จัดคอนเสิร์ตเพื่อความสุขให้แฟนๆ มาอย่างยาวนาน ซึ่งคอนเสิร์ตสุดท้ายของพี่แหวนคือ คอนเสิร์ต “มือขวาสามัคคี REUNION” ร่วมกับหนุ่ย – อำพล, ไมโคร, นูโว, ใหม่ เจริญปุระ และบิลลี่ โอแกน ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 27 – 28 กรกฎาคม 2557

เพื่อเป็นการรำลึกถึงตำนานร็อคเกอร์สาว ผู้ที่มีเพลงอมตะหลายเพลงประดับวงการเพลงไทยมานาน แพรวดอทคอม จึงขอรวมเพลงของแหวน – ฐิติมามาให้ได้ฟัง และเชื่อไม่น้อยเลยว่าในวันข้างหน้า ไม่ว่ากี่ปีก็ตาม เพลงของร็อคเกอร์สาวคนนี้ก็ยังไพเราะและมีผู้ชมเปิดฟังอยู่เสมอ

เพลง อาจจะเป็นคนนี้

เป็นเพลงอยู่ในอัลบั้ม Best of แหวน ฐิติมา ที่ได้นิติพงษ์ ห่อนาค มาแต่งคำร้อง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของคนคนหนึ่งที่ผ่านเรื่องเศร้าระทมมาจนใจบอบช้ำ จนกระทั่งได้มาเจอคนใหม่ซึ่งอาจจะเป็นคนนี้ที่ทำให้ชีวิตกลับมาสดใสอีกครั้ง

เพลง ฟ้ายังมีฝน

เพลงนี้ได้สีฟ้ามาเป็นผู้แต่งเนื้อเพลง อยู่ในอัลบั้ม 25 ปี แหวน คนที่รู้ใจ โดยเนื้อเพลงบวกเสียงร้องของนักร้องสาวได้ให้กำลังใจผู้ฟังเป็นอย่างดี ได้ให้แง่คิดว่าชีวิตเจอเรื่องเศร้าเป็นเรื่องปกติ ทั้งรักที่จากไป ก็เหมือนฟ้าที่ยังต้องมีฝน หรือเกิดเป็นคนก็ย่อมเสียน้ำตา

เพลง เรามีเรา

เรามีเรา เพลงนี้ได้พี่ดี้ – นิติพงษ์ ห่อนาค มาแต่งคำร้อง และอัสนี โชติกุล มาช่วยแต่งทำนองและเรียบเรียง โดยเพลงนี้อยู่ในอัลบั้มชื่อว่า แหวน ฐิติมา ที่แค่เปิดเพลงมาด้วยท่อน

“แต่ก่อนแต่ไรไม่เคยอุ่นใจ โดดเดี่ยวเดียวดายข้างกายไม่มีใครสักคน”

แฟนเพลงก็คงต้องร้องอ๋อกันแล้ว เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายดี ปลุกพลังให้แก่คนที่ท้อแท้ โดดเดี่ยวมาแค่ไหน ถ้ามีเรา มีใครสักคน ก็พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตไปได้

เพลง เชิ้ตแขนยาว-ไทสีเทา

หนึ่งในเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม ฉันเป็นฉันเอง ที่ได้เรวัต พุทธินันทน์ มาแต่งคำร้องให้ โดยเนื้อเพลงให้อารมณ์เหมือนเล่าเรื่อง โดยสถานที่เกิดเหตุคือปากซอย 15 ที่เดินผ่านไปผ่านมาทุกวันเป็นเรื่องธรรมดา จนกระทั่งได้พบกับหนุ่มคนหนึ่งที่ใส่เสื้อเชิ้ต เน็คไทสีเทา มันก็เลยดูเกินธรรมดาขึ้นมา เป็นเพลงดีและน่ารักอีกเพลง

เพลง เจ็บกระดองใจ

เจ็บกระดองใจ เป็นเพลงในอัลบั้ม เพลงโจ๊ะ ที่มีเนื้อหาสนุก ตรงไปตรงมา ติดดิน และมีกลิ่นความเป็นไทย เพลงนี้ได้ประมวล พร้อมพงษ์ มาแต่งคำร้อง โดยเนื้อเรื่องเป็นการประชดโต้ตอบชายที่มาหลอกให้รักแบบตรงไปตรงมา เพลงนี้เชื่อว่าใครหลายคนร้องได้คล่องปากเชียวละ

เพลง ยึกยัก

เป็นอีกหนึ่งเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม Best of แหวน ฐิติมา ที่ได้อรรณพ จันสุตะ มาแต่งคำร้องให้ เป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ เต้นตามได้อีกเพลงหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อเพลงติดหูว่า “ยึกยัก เธอนั่นแหละที่ยึกยัก ยึกยัก ทั้งที่ใจก็จริงจัง” โดยเนื้อหาเพลงก็น่ารัก ชวนให้คนที่มาปิ๊งเราหยุดยึกยัก แล้วเข้ามาคุยกับเราตรงๆ เสียที

เพลง คนที่รู้ใจ

ส่งท้ายกับเพลง คนที่รู้ใจ จากอัลบั้ม Unforgettable ที่ได้นักแต่งเพลงคุ้นเคย พี่ดี้ – นิติพงษ์ ห่อนาค มาแต่งให้ เป็นเพลงที่มีเนื้อหาน่ารักที่ฟังเมื่อไหร่หรือฟังกี่ครั้งก็ยังไพเราะ โดยเนื้อหาได้พูดถึงคนที่รักและเข้าใจคนหนึ่ง ไม่ต้องสนใจใคร แค่เรารู้ เข้าใจ และรักกันก็พอ

 


เรื่อง: Gingyawee_แพรวดอทคอม
ภาพ: IG @waenthitima, วิกิพีเดีย

แหวน - ฐิติมา

ห่วงลูกที่สุด “แหวน – ฐิติมา” สู้มะเร็งด้วยความรัก สมกับเป็นหญิงแกร่งจนลมหายใจสุดท้าย

แหวน - ฐิติมา
แหวน - ฐิติมา

หลังจากรักษาโรคมะเร็งมานานถึง 5 ปี สุดท้ายการต่อสู้อันยาวนานของ “แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร” ก็ถึงเวลาสิ้นสุดลงแล้ว การจากไปของพี่แหวนครั้งนี้ไม่ใช่แค่นำความเสียใจมาสู่ครอบครัวเท่านั้น แต่บรรดาแฟนเพลงของพี่แหวนเองก็รู้สึกเศร้าไม่น้อยเช่นกัน

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ข่าวเรื่องการป่วยของ “แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร” ถูกพูดถึงมากขึ้นในโลกโซเชียล หลังจากที่พี่แหวนออกมาเปิดเผยถึงขั้นตอนการรักษาตัวเองทาง Facebook ส่วนตัว

แหวน - ฐิติมา

แพรวได้มีโอกาสไปเจอพี่แหวนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอีกครั้ง พี่แหวนยังคงเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ทีมงานตลอดเวลา แม้ว่าการสัมภาษณ์ครั้งนั้นจะมีการถามถึงอาการป่วยที่พี่แหวนต้องเผชิญอยู่ด้วยก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นกำลังใจสำคัญ ซึ่งทำให้พี่แหวนฮึดสู้กับโรคนี้ก็คือครอบครัว โดยเฉพาะลูกสาวคนเดียวอย่างน้องปันปัน ที่พี่แหวนรักและเป็นห่วงที่สุดในชีวิต

“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แหวนรักษาตัว เขาไปทัวร์เยอรมนีกับเนเธอร์แลนด์กับที่คณะ แหวนอยากให้เขาไปอย่างมีความสุข ไม่อยากให้ต้องกังวลใจ แหวนสามารถรักษาตัวเองได้ จึงไม่ได้บอกลูก แต่เขาก็เห็นข่าวที่เราเขียนอัพขึ้นเฟซบุ๊กบ้าง ซึ่งแหวนพยายามเขียนในเชิงบวก คิดเผื่อว่าหากเขามาอ่านจะได้ไม่กลัว

“พี่ปุ๊ (สามี) อยู่กับแหวนตลอด พอปันปันกลับมาจึงมานอนเฝ้า พอผ่าตัดเสร็จ สภาพแหวนมีทั้งสายเดรนเลือดกับน้ำเหลืองและน้ำเกลือ แต่แหวนไม่ได้ทำตัวเป็นคนไข้ หยอกล้อกันปกติ บอกช่วยพาแม่เข้าห้องน้ำหน่อย ระวังสายน้ำเกลือนะ อย่าให้พับ เดี๋ยวน้ำเกลือเข้าเส้นเลือด เขายังถ่ายรูปคู่กับแหวนขึ้นไอจี เขียนว่าสู้ๆ ยิ่งตอนนี้ลูกกำลังเรียนที่เบิร์กเลย์ ไหนจะเรียนหนัก และต้องรับผิดชอบตัวเองด้วย ก็ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ”

แหวน - ฐิติมา

การต่อสู้กับโรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยหัวใจที่แข็งแกร่งอย่างมากในการรักษาแต่ละขั้นตอน พี่แหวนเองก็ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญที่พี่แหวนนึกถึงเสมอก็คือ การมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่พี่แหวนรัก

“ทุกสิ่งเริ่มต้นจากลูก การที่เราคิดดี คิดบวก เพราะไม่อยากให้ลูกต้องเป็นทุกข์ใจ สิ่งที่เราได้รับกลับมาเหนือความคาดหมายคือกำลังใจ มีคนเป็นห่วงเยอะมาก แหวนอ่านเฟซบุ๊กแล้วน้ำตาไหล ซึ่งเป็นน้ำตาของความปลื้มปีติ ต้องขอบคุณทุกๆ กำลังใจ จากที่เคยคิดถึงแต่ตัวเอง ครอบครัว ก็เริ่มคิดถึงคนอื่น ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ก็อยากทำประโยชน์ให้มากที่สุด

“ความที่แหวนรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ได้มีโอกาสพบเห็นผู้ป่วยที่อาการหนักกว่าเรามากมาย บางรายฉายแสงกว่า 30 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง ต้องขอบคุณหมอบัว – วิษณุ โล่ห์สิริวัฒน์ ที่นอกจากรักษาแล้ว ยังทำให้แหวนเห็นคุณค่าในตัวเอง ตอนให้คีโมได้ร้องเพลงช่วยงานที่โรงพยาบาลศิริราช วันที่ 30 เมษายน 2559 ได้เล่นคอนเสิร์ต Love & Heart เมื่อคิดว่าได้ทำเพื่อคนอื่น อารมณ์ดีขึ้นมาทันที ใครที่กำลังต่อสู้กับมะเร็งอยู่ก็อย่าท้อ อยู่ต่อเถอะ เพื่อคนที่คุณรัก”

และนี่ก็คงเป็นบทสัมภาษณ์สุดท้ายที่แพรวจะได้มีโอกาสคุยกับพี่แหวน หลับให้สบายนะคะ และเราจะคิดถึงพี่ตลอดไป

“พี่แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร”

เรียบเรียงจากคอลัมน์สัมภาษณ์ นิตยสารแพรว ฉบับวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2559

หญิงร็อคหัวใจแกร่ง “แหวน-ฐิติมา” เสียชีวิตแล้วหลังฮึดสู้มะเร็งมานานถึง 5 ปี

นับถอยหลังอีกเพียง 3 วันเท่านั้นจะถึงงานคอนเสิร์ต “รวมพี่ รวมน้อง ร่วมร้อง เรามีเรา” ที่ศิลปินรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน และรุ่นน้อง กว่า100 ชีวิตจัดขึ้นเพื่อให้กำลังใจร็อคเกอร์สาว โดยรายได้ทั้งหมดนั้นจะมอบให้คุณแหวนในการรักษาตัวอาการป่วยหลังต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งกระดูกและแทรกซ้อนเป็นโรคมะเร็งลำไส้มานานถึง 5 ปี ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีรายงานว่าหญิงร็อคหัวใจแกร่ง “แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร” เสียชีวิตแล้ว ที่โรงพยาบาลศิริราชฯ ด้วยวัย 54 ปี โดยพิธีกรรมทางศาสนานั้น ในวันที่ 10 ก.ค. 2560 เวลา 14.00 น. จะมีการรดน้ำศพ และสวดอภิธรรมในเวลา 17.00 น. ที่วัดธาตุทอง ศาลา 4 จนถึงวันที่ 14 ก.ค. 2560 และฌาปนกิจวันที่ 15 ก.ค. 2560

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่าคอนเสิร์ต “รวมพี่ รวมน้อง ร่วมร้อง เรามีเรา” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม นี้ ที่ร้านทองหล่อเล่นสด (ทองหล่อซอย 10) ยังคงจัดเหมือนเดิม เพื่อรำลึกถึง “แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร” นักร้องหญิงร็อคคนแรกของไทย

สำหรับ “แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร” เกิดวันที่ 4 กันยายน พ.ศ.2505 มีความชื่นชอบเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเมื่อเข้าศึกษาที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักแสดงละครเวทีและนักร้องในวงลูกทุ่งนิเทศศาสตร์ โดยปี พ.ศ.2524 ได้เข้าประกวดร้องเพลงมณเฑียรทอง แล้วได้รับรางวัลชนะเลิศ จึงได้ร้องเพลงประจำอยู่ที่โรงแรมมณเฑียรให้วงโอเรียลเต็ล ฟังค์ ของเต๋อ – เรวัต พุทธินันทน์ และได้ร่วมงานกับวงฮ็อตชิลลี่, อริสโตแคตส์ (วงฟิลิปปินส์) และอิสซึ่น ต่อมาในปี พ.ศ.2526 ได้ย้ายมาร้องประจำที่ค็อกเทลเล้านจ์ของเบียร์สิงห์เฮ้าส์

ในปี พ.ศ.2527 “แหวน – ฐิติมา สุตสุนทร” ได้แจ้งเกิดร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “วัยระเริง” และได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัดแกรมมี่จากการชักชวนของ “เต๋อ – เรวัต พุทธินันทน์” โดยนอกจาก “แหวน” เป็นนักร้องหญิงร็อคคนแรกของไทยแล้ว ยังเป็นศิลปินลำดับที่ 4 ของแกรมมี่ด้วย

นอกจากเพลงร็อคแล้ว “แหวน – ฐิติมา” ยังสามารถร้องเพลงได้หลากหลายแนวแบบวาไรตี้ ป็อป ร็อค หรือลูกทุ่งก็ได้ งานเพลงชุดแรกของแหวน – ฐิติมา ปี พ.ศ.2527 ชุด “ฉันเป็นฉันเอง” มีเพลงฮิต เช่น ไดอารี่สีแดง ผู้หญิงคนนี้ เชิ้ตแขนยาว-ไทสีเทา โดยในอัลบั้มนี้ยังประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างมาก ต่อมาในปี พ.ศ.2529 มีอัลบั้ม “เรามีเรา” มียอดจำหน่าย 500,000 ตลับ ทำให้แฟนเพลงทั้งประเทศ และเพลงเรามีเราเป็นเพลงที่ดังมากในยุคนั้น และถือเป็นเพลงที่อมตะของวงการเพลงไทยเพลงหนึ่งเลย

ทั้งนี้ในส่วนของชีวิตครอบครัวนั้น “แหวน – ฐิติมา” ได้สมรสกับ “บรรเจิด กฤษณายุธ” มีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน คือ “ปันปัน – เต็มฟ้า กฤษณายุธ” ซึ่งสาวคนนี้นับว่าเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นเลย มีความสามารถหลากหลายด้าน ทั้งนักร้อง นักแสดง นางแบบ และยังเป็นนักกีฬายิมนาสติกทีมชาติไทยอีกด้วย

 

“ปีเตอร์” เปิดปากหลังเซ็นหย่า “พลอย” เรียบร้อย ทำข้อตกลงหยุดสาดน้ำลายใส่กันเพื่อลูก

เป็นเรื่องราวยืดเยื้อกันอยู่นาน ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2560 นักร้อง/นักแสดงหนุ่ม “ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล” ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก หลังจากเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (6 ก.ค. 2560) ได้เดินทางไปเซ็นใบหย่าแยกทางกับ พลอย – พลอยพรรณแม่ของลูก (น้องแพนเตอร์ และน้องพูม่า) ที่สำนักงานเขตวัฒนา

โดย “ปีเตอร์” เปิดเผยว่าการเซ็นใบหย่าทำภายใต้ข้อตกลงว่าจะไม่มีการพูดถึงกันออกสื่อ เพราะเห็นตรงกันว่าไม่ควรสร้างปัญหาให้แก่กัน ถือเป็นการตัดปัญหา จะได้โฟกัสที่ลูกได้เต็มที่ เพื่ออนาคตที่ดี

“พลอย” อดีตภรรยา และ “แพนเตอร์ – พูม่า” ลูกชาย

“หลังจากที่ทุกอย่างเห็นตรงกันแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากนะครับ จริงๆ แล้วในเรื่องของรายละเอียด ผมได้มีการเซ็นสัญญากันไปว่าในเรื่องของรายละเอียดจะเก็บกันไว้ระหว่างสองคน ไม่เปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนนะครับ คือในเรื่องของข่าวคราวต่างๆ นานา เรามีความเห็นตรงกันว่าเราไม่ควรมีการสร้างปัญหาแก่กันครับ เรื่องทั้งหมดในข้อตกลงเป็นเรื่องราวที่ว่าตอนนี้จะทำให้เราตัดปัญหาและโฟกัสที่ลูกได้เต็มที่ ให้ลูกได้มีอนาคตที่แจ่มใสและที่ดีครับ”

ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล

โดยในส่วนของการทำหน้าที่พ่อนั้น “ปีเตอร์” บอกว่าคนที่เป็นแฟนคลับของพ่อกับลูกไม่ต้องหวง แถมยังเปรยว่าอาจจะได้เห็นภาพของพ่อลูกมากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย

“แน่นอนครับ อันนี้ก็อยู่ในข้อตกลงที่ผมเซ็นไปว่าจะไม่เปิดเผย แต่รับรองได้ 100 เปอร์เซ็นต์นะครับ ตอนนี้ใครที่เป็นแฟนคลับพ่อกับลูกก็จะมีการเห็นภาพพ่อกับลูกมากขึ้น จะมีการรับไปค้างกับผมบ้าง มันก็มีการตกลง เขาเรียกว่าอะไร การช่วยแบ่งหน้าที่กัน คือถ้าผมมีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ก็จะได้สอนภาษาเดนิชด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่พลอยเขายืนยันว่าอยากให้ลูกพูดภาษาเดนิชเป็น”

“ปีเตอร์” และลูกๆ

เมื่อถูกถามว่าการที่เราไม่เปิดเผยคืออยากให้จบปัญหาทุกอย่างใช่ไหม ดาราหนุ่มยอมรับว่าใช่ ก่อนตบท้ายด้วยว่า การหย่าร้างถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อลูก

“ก็ใช่นะครับ ถ้ามันมีการพูดถึงรายละเอียด มันจะมีคนที่ตีความ หลายคนก็หลายความ เดี๋ยวจะเกิดเรื่องดราม่าอีก ในที่สุดผมก็อยากจะให้ข้ามความเป็นดราม่าไปให้ได้ ถึงแม้จะพูดถึงผมหรือพูดถึงพลอย แต่ลูกก็จะเป็นคนที่ได้อ่านในอนาคต ผมก็อยากจะข้ามพวกนี้ไป สำหรับผมคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราเดินหน้าเพื่อลูกได้ครับ”

เปิดใจกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกหลังจากเดินทางไปเซ็นใบหย่าเมื่อวานนี้

“เมลาเนีย ทรัมป์” เยือนโปแลนด์ด้วย 2 ลุค 2 สไตล์ที่แตกต่าง คงคอนเซ็ปต์เน้นสีสันสดใสเรียกแสงแฟลชจากสื่อ

ประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางเยือนโปแลนด์ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนการประชุมสุดยอด G20 ระดับโลก ซึ่งจัดขึ้นที่ฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี พร้อมกับเมลาเนีย ทรัมป์ (Melania Trump) และอีวานก้า ทรัมป์ (Ivanka Trump) ซึ่งได้รับการต้อนรับจากประธานาธิบดีโปแลนด์ อันด์แชย์ ดูดา (Andrzej Duda) และภรรยาของเขา Agata Kornhauser-Duda ทั้งเมลาเนียและอีวานก้าทำให้สื่อตะลึงตั้งแต่ก้าวออกจาก Air Force One เพราะชุดที่เลือกสวมใส่ค่อนข้างโดดเด่นพอตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่จะกลายเป็นประเด็นให้ได้พูดถึงกันอีกแล้ว

สตรีหมายเลขหนึ่งลงมาจาก Air Force One ด้วยเสื้อโค้ตสีเขียวมรกตสุดเด่นจากแบรนด์ Diane von Furstenberg มูลค่า $2,400 หรือประมาณ 81,748 บาท และผ้าพันคอสีเขียวที่เข้ากับชุด แต่งแต้มด้วยรองเท้าส้นสูงสีดำที่จะเห็นเธอใส่อยู่บ่อยๆ หลังจากทักทายสื่อและได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่โปแลนด์แล้วเรียบร้อย เมลาเนียก็นั่งรถลิมูซีนไปยังที่พัก

นอกจากนี้อีวานก้า ลูกสาวของทรัมป์ ก็ร่วมเดินทางมาพร้อมสามี จาเร็ด คุชเนอร์ (Jared Kushner) ของเธอด้วย อีวานก้าปรากฏตัวด้วยลุคสุดมั่นจาก Escada จับคู่เสื้อและกางเกงสีแดง เข้ากับรองเท้าส้นสูงสีดำ ทำให้ได้ลุคที่ทะมัดทะแมงและดูดี

ก่อนที่ประธานาธิบดีจะกล่าวสุนทรพจน์ในจัตุรัสคราซินสกี้ กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งและลูกสาวคนแรกเดินทางไปรอบๆ เมืองเพื่อสร้างความประทับใจให้การเดินทางทางการเมืองครั้งที่ 2 เมลาเนียได้พบกับ Agata Kornhauser-Duda สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของโปแลนด์ที่พระราชวัง Belweder ซึ่งเมลาเนียมาในเดรสพิมพ์ลายของ Delpozo 

เดรสแบบ Navi Midi ที่เมลาเนียเลือกเป็นสีสันสดใส ลายพิมพ์มีความเก๋ สะดุดตา ออกแบบลายเส้นสีชมพู สีส้ม และสีน้ำเงินได้อย่างลงตัว โดยเดรสตัวนี้วางขายได้ในราคา $2,300 หรือราคาประมาณ 78,342 บาท


 

ไม่ว่าเมลาเนีย ทรัมป์ จะออกงานกี่ครั้งก็เน้นเสื้อผ้าสีสันสดใสอยู่ตลอด ลุคเบาๆ สีอ่อนๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีให้เห็น แต่ถ้าเทียบแล้ว ลุคที่มีสีสันเด่นมักจะเห็นได้ง่ายกว่า เพราะก่อนหน้านี้เธอก็เลือกสวมเดรสลายดอกสีเหลืองสดในวันจันทร์ และดูเหมือนว่าลุคสไตล์สดใสจะเป็นเอกลักษณ์และภาพจำของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งไปซะแล้ว

 

 

 

 

ภาพและที่มา : www.aol.com , [email protected]

 

 

“ปุ๊กลุก-ฝนทิพย์” ฝากถึงหนุ่มๆ ริอยากจีบต้องพร้อมฝ่า 8 ด่านปราการหัวใจ

“ปุ๊กลุก – ฝนทิพย์ วัชรตระกูล” ถือเป็นดาราที่ถูกโฟกัสเรื่องราวความรักมาตลอด แต่พอถามกี่ครั้ง เจ้าตัวก็ยืนยันว่าโสด หัวใจไม่ได้มีใครจับจองอยู่ ทำเอาหลายคนสงสัยว่าสวยระดับนางเอก แถมมีมงกุฎนางงามการันตี ทำไมสาวคนนี้ถึงยังไม่พร้อมมอบหัวใจให้ใครดูแลสักที

ล่าสุดในงานบวงสรวงละครเรื่อง “นางทิพย์” ที่ช่อง 7 สี จึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้แบบจริงจัง ซึ่งสาว “ปุ๊กลุก” ยอมเปิดหมดเปลือก ทั้งยังยอมรับว่าถึงจะไม่สวย แต่ก็เป็นคนเลือกเยอะพอสมควร แต่ทุกๆอย่างมักมีเหตุผลเสมอ งานนี้เลยขอล้วงลึกไปเลย หนุ่มๆต้องทำยังไง ถึงจะฝ่าด่านมาเป็นคนรู้ใจของสาวคนนี้ได้

“ปุ๊กลุก – ฝนทิพย์ วัชรตระกูล”

1. ข่าวเยอะ ต้องทำใจ : ถือเป็นดาราที่ตกเป็นข่าวอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องความรักกับหนุ่มๆในวงการ ซึ่ง “ปุ๊กลุก” ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า แจ็กพ็อตตลอดที่พระเอกที่ร่วมงานกันส่วนใหญ่ไม่มีแฟน ไม่ว่าจะเป็น “ไมค์ – ภัทรเดช สงวนความดี” หรือ “อ๋อม – อรรคพันธ์ นะมาตร์” โดยเธอบอกว่าทั้งสองเป็นคนที่เธอเคยร่วมงานหลายครั้ง ยิ่งช่วงกองถ่ายละครชีวิตจะอยู่ที่กองถ่ายเป็นส่วนมาก เลยทำให้สนิท แต่ถ้าช่วงไหนไม่ได้ร่วมงานกันก็จะห่างๆกันไป แต่ยังมีกดไลค์บ้าง ส่วนเรื่องจะเป็นแฟนนั้น ถ้าจะเป็นก็คงเป็นแฟนกันไปนานแล้ว

2. เข้าใจธรรมชาติของงานวงการบันเทิง : “ปุ๊กลุก” เผยว่า ที่ผ่านมาเธอทำงานหนักมาก ช่วงเข้าวงการใหม่ๆรับละครตลอด 7 วันเลยทีเดียว หนุ่มๆบางคนจึงไม่เข้าใจเท่าไหร่ ซึ่งเธอเองเข้าใจได้ เพราะขนาดคุณพ่อคุณแม่ยังต้องใช้เวลา 2 – 3 ปี กว่าจะเข้าใจระบบการทำงาน ต้องพามาเจอ พามาอยู่ด้วย ท่านถึงเข้าใจว่าเราไม่มีเวลาพัก ดังนั้นคนที่จะมาอยู่ตรงนี้ได้ต้องเข้าใจ

3. หนุ่มๆต่อคิวขายขนมจีบเยอะ : ดีกรีนางเอก แถมยังมีมงกุฎมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์มาการันตีความสวย สาว “ปุ๊กลุก” จึงเป็นที่สนใจของหนุ่มๆ ทั้งเธอยังยอมรับว่าอาจจะไม่สวยมาก แต่ก็เลือกเยอะพอสมควร มีหนุ่มๆเข้ามาขายขนมจีบเยอะ แม้จะไม่เท่าที่อินเดีย ที่ไปไหนมาไหนมีหนุ่มๆมองตลอด แต่ที่เมืองไทยก็ไม่น้อย โดยสาว “ปุ๊กลุก” ยังแอบกระซิบว่า หนุ่มๆหลายคนก็ทราบว่าเขามีคู่แข่ง เพราะเราอยู่วงการก็เหมือนอยู่ในที่แจ้ง สามารถเช็กได้อยู่แล้ว

4. รักจริงต้องอดทน : นางเอกสาวยังเผยอีกว่า ผู้ชายคบผู้หญิง พอเลิกกันมันไม่มีอะไรเสียหาย แต่เธอเองที่เป็นผู้หญิง แถมยังเป็นดาราด้วย จึงมีคนเฝ้าจับตามองเยอะ ถ้าคบกับใครแล้วเลิกและเป็นข่าว มันดูไม่สวยงามสักเท่าไหร่

5. อย่าใจร้อนรีบเร่งเป็นแฟนกัน : เพราะสาว “ปุ๊กลุก” ไม่มีหนุ่มเป็นตัวเป็นตนสักที เลยทำให้ “ปุ๊กลุก” ถูกสัมภาษณ์เยอะเกี่ยวกับเรื่องความรัก อีกทั้งไม่อยากรีบเร่งเพื่อคนอื่น แต่อยากซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง ถ้ายังไม่มั่นใจก็อาจจะขอเวลา Take Time ถ้า Take Time กับเราไม่ได้ และเร่งให้เราต้องเป็นแฟนกัน ทำให้ต้องแยกกันไป โดยเธอได้ยกตัวอย่างว่า “มีครั้งนึงที่แบบมาถึงเมเจอร์ รัชโยธิน แล้ว ทำไมถึงกินข้าวไม่ได้ จนเขาคิดว่าเราไม่ยอมเปิดตัว เพราะไม่ให้เกียรติเขา แต่หนูก็เข้าใจว่าหนูเป็นผู้หญิง แล้วหนูมีคนคนนึงคุยอยู่แล้ว บอกว่า ‘น้องครับ อย่าไปที่นี่เลย เพราะมีคนนั้นคนนี้’ หนูก็คงแบบอะไร แต่ถ้ามองอีกมุมนึง เราเป็นนักแสดง เราต้องใช้เวลากับเขา ถ้าวันนึงเรามั่นใจ เราเปิดอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้มันยังเป็นช่วงเรียนรู้และศึกษา คุยโทรศัพท์อย่างเดียวก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง มันก็คงต้องมีไปกินข้าวบ้าง แต่พอเราไปแล้วไม่เปิดตัว เขาก็ไม่เกทอีกว่าเราคุยหลายคนเหรอ หรือว่าทำไมชีวิตมันยากจัง มันก็ไม่ได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ไปให้พี่ๆเจอ คือเป็นที่ไม่ได้ไพรเวตมาก แต่พี่ๆอาจไม่ได้ไปในวันนั้น เช็กแล้วงานอีเว้นต์มาลงที่นี่ก็จะไม่ไป บางทีก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านก็ช่วยเราได้ คือไม่ได้อยากหลบ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าคนนี้จะใช่หรือเปล่า ถ้าวันนึงใช่ก็เปิดแน่นอน”

สวยขนาดนี้ยังโสดได้ไง

6. ไม่ใช่ไฮโซก็เข้ามาจีบได้ : มีข่าวกับหนุ่มไฮโซและนักธุรกิจอยู่เนืองๆ ทำให้หลายๆคนสงสัยว่าหนุ่มเหล่านี้จะมีโอกาสพัฒนาสถานะไปเป็นแฟนมากกว่าหนุ่มๆธรรมดาหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้ “ปุ๊กลุก” กล่าวว่า “เงินมันไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดในชีวิตของหนู หนูหาเงินเองได้”

7. อยากเริ่มต้นความสัมพันธ์จากเพื่อน : ดาราสาวมองว่าการที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์จากความเป็นเพื่อนน่าจะเป็นอะไรที่โอเคที่สุด โดยบอกว่า “คิดว่าถ้าเป็นเพื่อนกันมาก่อนคงไม่เกร็ง และคงเข้าใจระบบการทำงานของเรา อาจจะหายากไปนิดนึง แต่ก็คิดว่าถ้าเกิดจะมีคนที่ใช่จริงๆก็คงเข้าใจ”

“พี่อั้ม – ปุ๊กลุก”

8. ทีมตรวจสแกนละเอียดยิบยิ่งกว่าดีเอสไอ : ด่านสุดท้ายต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะนอกจากหนุ่มๆที่เข้ามาจะต้องโดนใจ “ปุ๊กลุก” แล้ว ยังต้องถูกใจ “พี่เอส” (ผู้จัดการส่วนตัว) “พี่อั้ม – พัชราภา ไชยเชื้อ” และเพื่อนซี้ “มิน – พีชญา วัฒนามนตรี” ซึ่งนักแสดงสาวเผยว่า “คนใกล้ตัวค่อนข้างซีเรียส เพราะเราไม่ได้มีความรักมานานแล้ว เวลาจะมีใครเข้ามา ‘พี่อั้ม’ ก็บอกให้พาเขามากินข้าวด้วยกัน จะได้ช่วยสแกนให้ เราเป็นนักแสดง คนที่เข้ามาหาเรา เราก็ต้องแสแกนก่อน ให้คนรอบข้างสแกนว่าเขามาหาเราที่เราเป็นเรา หรือว่าด้วยชื่อเสียงของเรา เราไม่ได้ดูถูกใคร แต่มันก็ต้องดูให้มั่นใจและแน่ใจ ใช้เวลาในการพิสูจน์เขา”

“มิน” “ปุ๊กลุก” สองสาวเพื่อนซี้

เอาเป็นว่าคงต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะมีหนุ่มคนไหนผ่านด่านหินเข้ามาพิชิตหัวใจของนางเอกคนนี้ได้สำเร็จ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นคงต้องฝากไปถึงทีมตรวจสแกนให้ลดระดับความเข้มงวดสักหน่อย เพราะไม่ว่า “พี่อั้ม” หรือ ”น้องมิน” หัวใจตอนนี้เป็นสีชมพูไปแล้ว ก็ให้โอกาสสาว “ปุ๊กลุก” หัวใจฟรุ้งฟริ้งบ้างนะ

 

อิจฉา! เคน-ต่อ หนุ่มหล่อต่างรุ่น แลกหมัดต่อหมัดจีบ ชมพู่-อารยา ใน กามเทพปราบมาร

เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว สำหรับ ละครซีรีส์ The Cupids บริษัทรักอุตลุด ที่ได้ฝากเรื่องราวความรักหลายแบบผ่านนักแสดงคู่รักรุ่นเล็กไปแล้ว 7 ตอน ในวันนี้ก็ได้มาถึงคราวคู่รักรุ่นใหญ่ #ทีมบอสเจ๊ลี เคน – ธีรเดช และชมพู่ – อารยา ที่จะมาเป็นคู่สุดท้ายปิดฉากซีรีส์ในตอน กามเทพปราบมาร 

มอบความสนุกให้แฟนๆ มาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม จากช่วงเวลา 5 เดือน มาในเดือนกรกฎาคมนี้ ก็ถึงคราวปิดฉากละครซีรีส์ The Cupids บริษัทรักอุตลุด กันแล้ว โดยวันนี้ (7 ก.ค. 60) ตอน กามเทพปราบมาร ตอนสุดท้ายของซีรีส์ที่ได้คู่พระ-นางรุ่นใหญ่ เคน – ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ และชมพู่ – อารยา เอ ฮาร์เก็ต จะเริ่มออนแอร์ตอนแรก ทั้งยังพาทีมพระ-นางตั้งแต่ตอนแรกๆ โผล่มาให้เห็นหน้าจนแฟนๆ ได้อิ่มเอมใจและหายคิดถึงกันแน่นอน

สำหรับพระ-นาง เคน – ชมพู่ จะนับว่าเป็นคู่ที่หลายคนรอชมเลยก็ว่าได้ โดยก่อนหน้านี้ทั้งคู่นั้นเคยมีผลงานละครร่วมกันมาแล้วอย่าง วิวาห์ว้าวุ่น, รหัสทรชน, รักคุณเท่าฟ้า และอันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่

เคน – ชมพู่ – ต่อ

โดยในละครซีรีส์ The Cupids ตอน กามเทพปราบมาร ความรักคู่นี้ก็ไม่ได้ออกแนวราบรื่นอย่างที่คิดนะ เพราะมีหนุ่มน้อยหน้าใสต่างรุ่นกับหนุ่มเคนมาแลกหมัดต่อหมัดเพื่อจีบสาวชมพู่ นั่นคือ ต่อ – ธนภพ ลีรัตนขจร นักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรง เรียกว่าต้องมีแบ่งทีมเป็น 2 ฝ่าย พร้อมติดแฮชแท็กเชียร์หนุ่มเคนและหนุ่มต่อกันมั่งละ ส่วนเรื่องราวจะสนุกสนานสมตอนสุดท้ายของซีรีส์แค่ไหน รอพิสูจน์กันคืนนี้กับตอนแรกได้เลย เอาเป็นว่าตอนนี้ขอเสิร์ฟรูปมาให้ได้ชมกันก่อน และถ้าชาวแพรวเป็นสาวชมพู่ จะเลือกให้หัวใจกับใครดีน้า…ระหว่างเคน – ต่อ ส่วน แพรวดอทคอม เลือกไม่ถูกเลยจริงๆ จ้า (ยิ้มเขินเบาๆ)


เรื่อง: Gingyawee_แพรวดอทคอม
ภาพ: IG @kun_jun @broadcastthaitv @nottchomthewedding #กามเทพปราบมาร

ครั้งแรกในไทย “บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่” เทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ เปลี่ยนกรุงเทพฯ เป็นเมืองศิลปวัฒนธรรมระดับโลก

“บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่” Bangkok Art Bienale 2018 (BAB2018) เทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ที่จะเปลี่ยนให้กรุงเทพมหานคร เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเวนิสแห่งตะวันออก กลายเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมระดับโลก โดยงานนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน นำโดย นายฐาปน สิริวัฒนภักดี (ประธานกรรมการบริหาร อาร์ต เบียนนาเล่) และ ศาสตราจารย์ ดร. อภินันท์ โปษยานนท์ จุดมุ่งหมายสำคัญสำหรับงานนี้ ภายใต้แนวคิด สุขสะพรั่ง พลังอาร์ต (Beyond Bliss) เพื่อทำให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางสำคัญทางด้านศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และมีแผนการจัดงานในทุกๆ 2 ปี ที่จะจัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปินไทย และศิลปินต่างประเทศจากทั่วโลก นำมารวมกันไว้ ณ สถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมของกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็น อาคาร โบราณ สวน วัด เส้นทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา แหล่งชุมชนที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน และถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยอันทรงคุณค่า

เรีกได้ว่า “บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่” Bangkok Art Bienale 2018 (BAB2018) เป็นเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสจในอันทรงคุณค่าของผลงานแต่ละชิ้นเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนและยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังทำให้กรุงเทพมหานครเป็นศุนย์กลางที่จะช่วยสะื้อนภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะวัฒนธรรมของไทย ให้ประจักษ์แก่สายตานักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อบกเล่าความเป็นไทยไปทั่วโลก โดยตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2560 จะมีการเปิดรับสมัครศิลปินทั่วโลก สามารถส่งผลงานของท่านได้ที่ www.bkkartbiennale.com

ครั้งแรก! Asava จับมือ ซาร่า เล็กจ์ ออกคอลเล็คชั่นพิเศษ เพิ่มกิมมิกด้วยอาร์มลายอิโมจิ

อาซาว่า หรือ Asv (เอเอสวี) แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำของประเทศไทย นำโดยผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ หมู – พลพัฒน์ อัศวะประภา ได้ดึงซาร่า เล็กจ์ นักแสดง/นางแบบมากความสามารถ มาร่วมออกแบบแคปซูลคอลเล็คชั่นพิเศษ ภายใต้ชื่อ “Asv x Sara L. Capsule Collection” ในคอนเซ็ปต์ชุดบอดี้สูท (Bodysuit) ที่คำนึงถึงการสวมใส่ได้จริงตลอดทั้งวัน พร้อมด้วยไอเท็มที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อย่างกระเป๋าถักไหมพรมและเสื้อคลุมลายทาง โดยทั้งหมดถูกบรรจงออกแบบมาจากการผสมผสานความเป็น Asv และ ซาร่า เล็กจ์ เข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็นอีกหนึ่งคอลเล็คชั่นที่สื่อถึงบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของหญิงสาวในแบบฉบับ Asv

หมู – พลพัฒน์ อัศวะประภา กล่าวถึงคอลเล็คชั่นพิเศษนี้ว่า “จุดเริ่มต้นของคอลเล็คชั่นนี้เริ่มมาจากความต้องการตอกย้ำถึงภาพลักษณ์และความชัดเจนของแบรนด์ Asv เราจึงเสาะหาบุคคลที่มีบุคลิกและไลฟ์สไตล์ที่ตรงตามดีเอ็นเอหลักของแบรนด์ Asv คือ เข้าถึงได้ รักการผจญภัย และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่น (Approachable, Adventurous, Aspiration) ทำให้เราตัดสินใจชวนซาร่า เล็กจ์ มาร่วมกันออกแบบแคปซูลคอลเล็คชั่นในครั้งนี้ ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองและนำเสนอความคิดเห็นกัน ซาร่าก็ตอบตกลงทันที”

ซาร่า เล็กจ์ กล่าวเสริมว่า “ในคอลเล็คชั่น Asv x Sara L. Capsule Collection นี้ มาในคอนเซ็ปต์ชุดบอดี้สูท (Bodysuit) ที่คำนึงถึงการสวมใส่ได้จริงตลอดทั้งวันค่ะ จะมีจุดเด่นตรงการตัดเย็บแถบสีคู่ตรงข้าม ทำให้ชุดโดดเด่น ไม่เรียบจนเกินไป โดยสีที่เราเลือกใช้จะเป็นโทนสีที่เป็นเอกลักษณ์ประจำแบรนด์ Asv ได้แก่ สีขาว (White) แดง (Red) น้ำเงิน (Blue) และสีพิเศษอย่างสีชมพูไข่มุก (Pearl) นอกจากนี้ยังมีอีกสองไอเท็มพิเศษ คือ กระเป๋าถักไหมพรมลายริ้วพร้อมลูกปอมปอมสลับสี และเสื้อคลุมลายทางที่มาพร้อมกับอาร์มลายอิโมจิน่ารักๆ อย่างฟลามิงโก (Flamingo) ใบมอนสเตอรา (Monstera) รถมัสแตง (Mustang) ซิการ์ (Cigar) และอื่นๆ มาเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่ให้ลูกค้าสามารถนำอิโมจิเหล่านั้นมาครีเอตติดบนเสื้อคลุมหรือเสื้อยืดตามสไตล์ความชอบของแต่ละคนได้ค่ะ

สาวคนไหนอยากครีเอตลายน่ารักๆ บนเสื้อผ้าของอาซาว่าด้วยตัวเอง ก็สามารถพบกับแคปซูลคอลเล็คชั่นพิเศษ “Asv x Sara L.” ได้ที่โซนดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ชั้น 1 สยามพารากอน และร้านของอาซาว่าตามห้างชั้นนำจ้า

 

 

 

 

 

6 อันดับไอเท็มดีไซน์โก้เพื่อคุณผู้ชาย ราคาแรงแพงสุดร้อยกว่าล้าน OMG!

วิวัฒนาการแฟชั่นของผู้ชายเป็นเรื่องเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยประวัติศาสตร์และประเพณีได้มีมาตั้งแต่ยุควิกตอเรีย ต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1900 จนถึงยุค 80 มีแนวโน้มทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจเป็นตัวบอกว่าอะไรจะเป็นที่ยอมรับ ในยุคปัจจุบันเองเครื่องประดับก็ยังคงเป็นตัววัดระดับฐานะทางสังคม

อุปกรณ์เสริมมีบทบาทสำคัญเสมอในประวัติศาสตร์แฟชั่น อย่างสุภาพบุรุษยุควิกตอเรียที่แสดงออกถึงความมั่งคั่งของพวกเขาผ่านหมวกชั้นนำ กระเป๋า นาฬิกา ไม้เท้าอันประณีต และวิธีที่โดดเด่นเหนือฝูงชนก็คือการใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากคนอื่น วันนี้เราได้เลือก 6 อันดับไอเท็มของคุณผู้ชายที่มีราคาแพงที่สุดในโลกมาให้ดูแล้ว

มาลุ้นอันดับไปพร้อมๆ กันเลย เริ่มด้วย…

6. กระเป๋าสตางค์คาร์บอนไฟเบอร์ ($1400) หรือราคาประมาณ 47,591 บาท 

มากันที่ไอเท็มแรก คือ กระเป๋าสตางค์ ซึ่งวิวัฒนาการมาจากชิ้นผ้าสุดเรียบง่ายเพื่อเก็บเหรียญ ตามหลักแล้ววัสดุที่ใช้หนังจะเป็นงานที่มีฝีมือมากที่สุด อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งในด้านการก่อสร้างและการชำระเงิน ทำให้เกิดการนำวัสดุใหม่มาใช้ผลิตมากขึ้น

ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) ใช้กระเป๋าสตางค์แบบคาร์บอนไฟเบอร์ แบรนด์ Dunhill มูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ และภายในเป็นเครื่องหนัง มีน้ำหนักเบาและทนทาน ด้วยสไตล์ที่ทันสมัย ​​แต่ก็มีคุณสมบัติลับคือ การปลูกถ่ายโลหะที่ช่วยป้องกันของมีค่าด้านในอย่างบัตร เพราะต้องใช้ลายนิ้วมือเพื่อเปิดกระเป๋า

 

5. ร่มหนังจระเข้ ($50,000) หรือราคาประมาณ 1,699,699 บาท 

ร่มเป็นหนึ่งในไม่กี่ไอเท็มที่ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการจะใช้ แต่ถ้าเข้าช่วงฤดูฝนและฝนตกทุกวันแล้ว มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณไม่เปียก แถมยังเป็นร่มที่สะดุดตา มีการออกแบบและสร้างขึ้นโดยมาตรฐานของอิตาลี Flavio Briatore ดีไซเนอร์แบรนด์ Angelo Galasso ได้ออกแบบผลงานชิ้นเอกในราคา 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งร่มคันนี้ถูกสร้างขึ้นจากหนังจระเข้แท้ที่สามารถกันน้ำได้ด้วย

 

4. รองเท้าไนกี้ ($50,000) หรือราคาประมาณ 1,699,699 บาท 

ภูมิปัญญาดั้งเดิมชี้ไปที่รองเท้าแบบ Brogues หรือ Oxfords ซึ่งเป็นคู่กันมาตลอด เพราะให้ความหรูและทันสมัยได้ไม่ต่างกัน ​​แต่รองเท้าผ้าใบเองก็มีการฟื้นตัวอย่างยอดเยี่ยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวโน้มรองเท้าผ้าใบมีการจัดการเพื่อแทรกซึมเข้าไปในตำแหน่งทางสังคมมากมาย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าแบรนด์ต่างๆ เช่น Dolce & Gabbana และ Gucci ได้เข้าสู่ตลาดด้วยการออกแบบของตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม Nike รุ่น Diamond Encrusted Air Force ยังคงเป็นรองเท้าผ้าใบที่แพงที่สุดในโลก เพราะเจ้าของอย่าง Big Boi แร็พเปอร์ชาวอเมริกัน นำรองเท้าไปฝังเพชรและนำออกประมูลเพื่อหารายได้ช่วยการกุศล

 

3. แว่นตากันแดด ($408,000) หรือราคาประมาณ 13,869,551 บาท 

แว่นตากันแดดเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ทำให้ดูดีขึ้นได้ภายในพริบตา ซึ่งแว่นตาราคาแพงรุ่น De Rigo Vision นี้เป็นของ Chopard แบรนด์ดังเรื่องนาฬิกาและเครื่องเพชรพลอยสวิสแบบพิเศษ โดย Chopard ขายแว่นตากันแดดสุดเก๋ในราคา 408,000 ดอลลาร์สหรัฐ แว่นตาอันนี้ประดับด้วยเพชร 51 เม็ด หนัก 4 กะรัต ทองคำ 60 กรัม จากทอง 24 เค และเพชรต้องใช้เทคนิคพิเศษประกอบเข้าด้วยกัน ตัวขาแว่นตาออกแบบเป็นรูปตัวซีจากแบรนด์ Chopard

 

2. นาฬิกาข้อมือ ($ 2,800,000) หรือราคาประมาณ 95,183,198 บาท 

ไม่มีองค์ประกอบใดของสไตล์บุรุษที่ผสมผสานแฟชั่นและการทำงานได้อย่างลงตัวดีไปกว่านาฬิกาข้อมือ ข้อดีของนาฬิกาข้อมือคือ มีนาฬิกาสำหรับทุกโอกาส สามารถตอบสนองความปรารถนาของหลายๆ คนได้ แม้ว่านาฬิกาที่มีราคาแพงจะเป็นเรื่องปกติสำหรับนักสะสมตัวยง ซึ่งมีนาฬิกาชิ้นเยี่ยมจากแบรนด์ Blancpain หรือ Patek Philippe ที่มีราคาสูงกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ Hublot Bing Bang Watch ยังคงเป็นที่นิยมในแง่ของราคา เมื่อมีทีมงาน 17 คน ใช้เวลา 14 เดือนเพื่อสร้างนาฬิกาที่ประกอบด้วยเพชร 637 ชิ้น และก่อนหน้านี้มีข่าวเมาท์ว่า Beyoncé ได้ซื้อเป็นของขวัญให้ Jay-Z สามีของเธอ ซึ่งนาฬิกามีมูลค่าถึง 2.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

มาถึงอันดับที่ 1 แล้ววว

1. Cufflinks ($4,200,000) หรือราคาประมาณ 142,774,797 บาท 

ด้วยความละเอียด ไม่ว่าจะเล็กขนาดไหน ความใส่ใจในรูปลักษณ์สามารถสร้างความแตกต่างได้ คือเหตุผลว่าทำไมจึงไม่แปลกใจเลยที่รายการที่แพงที่สุดในบรรดาไอเท็มทั้งหมดจะมีขนาดเล็กที่สุด

Cufflinks ปรากฏตัวครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 Cufflinks เป็นหนึ่งในไม่กี่ชิ้นของเครื่องเพชรพลอยที่ผู้ชายจะได้รับอนุญาตให้สวมใส่ จากการได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและผู้คนให้ความสนใจอย่างมาก ส่งผลให้แบรนด์ Jacob & Co. สร้างกระดุมข้อมือเพชร ราคา 4.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแกนกลางของแต่ละ Cufflinks มีเพชรสีเหลือง 10.5 กะรัต และประดับด้วยเพชรแบบ Baguette Cut อีก 5 กะรัต นับว่าเครื่องประดับนี้คืองานศิลปะที่น่าทึ่ง แน่ใจได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการประดับข้อมือของราชวงศ์หลายแห่งทั่วโลกมาแล้ว


 

อื้อหือออออ ราคาไอเท็มแต่ละชิ้น เห็นแล้วจะเป็นลม คือสามารถเอาไปซื้อบ้าน ซื้อรถอย่างหรูได้เลยนะเนี่ย แต่ก็อย่างว่า ความชอบของแต่ละคนต่างกัน ใครสบายใจแบบไหน แล้วไม่เดือดร้อนคนอื่น ก็ลุยไปเลยจ้า

 

 

 

 

 

ภาพและที่มา : luxurylaunches.com

หม่อมเจ้าการวิก

ใต้ร่มฉัตร เปิดเรื่องราวชีวประวัติ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ชีวิตช่วงต้นสงครามโลกในยุโรป (ตอนที่13)

หม่อมเจ้าการวิก
หม่อมเจ้าการวิก

หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ชีวิตช่วงต้นสงครามโลกในยุโรป 

ในที่สุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อุบัติขึ้นในภาคพื้นทวีปยุโรป ผลกระทบก็ได้เกิดขึ้นกับในหลวงรัชกาลที่ 7 และผู้ติดตาม ซึ่งก็ทรงเตรียมการรับมหาภัยครั้งนี้อย่างเต็มพระกำลัง

พระตำหนักคอมพ์ตันเฮ้าส์

ระหว่างที่พระตำหนักคอมพ์ตันเฮ้าส์ กำลังซ่อมแซม พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์จะเสด็จฯไปเมืองรัวย่าต์ (ROYAT) ประเทศฝรั่งเศส เพื่อประทับรักษาพระองค์โดยการสรงน้ำแร่ จากนั้นจึงเสด็จฯประเทศอียิปต์เป็นลำดับต่อมา

ผู้ตามเสด็จประกอบด้วยสมเด็จพระบรมราชินี หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯและหม่อมเสมอ หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณีและผม โดยผมทำหน้าที่จัดการเรื่องตั๋วและจองที่ประทับถวาย โดยเสด็จฯมาลงเรือที่เมืองเนเปิล ประเทศอิตาลี และขึ้นฝั่งที่เมืองอเล็กซานเดรีย แล้วไปประทับโรงแรมเมน่าเฮ้าส์ (MENA HOUSE) ซึ่งเป็นเรือนไม้โบราณอยู่ใกล้ๆกับพีระมิดในกรุงไคโร ผมได้ตามเสด็จไปชมพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษามัมมี่และสิ่งของมีค่าต่างๆที่ขุดพบ พระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรแล้วรับสั่งอธิบายได้หมดว่าสิ่งของแต่ละชิ้นมีที่มาอย่างไร ทั้งนี้เคยเสด็จฯอียิปต์มาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนเสด็จฯกลับเมืองไทยหลังจากทรงจบการศึกษาจากอังกฤษ และทรงพระอักษรไว้มากมาย ทั้งยังรับสั่งว่า

ในหลวงรัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพฯ ทรงกล้อง

“มาดูแค่นี้ไม่พอ ต้องล่องแม่น้ำไนล์ด้วย เพื่อให้ได้บรรยากาศที่แท้จริง” (เพื่อให้เหมือนกับบรรยากาศในการอ่านนวนิยายของอกาธา คริสตี้)

ในหลวงรัชกาลที่ 7 เสด็จฯเยือนต่างประเทศ

ช่วงที่เสด็จฯนั้นเป็นเวลาที่ทางการอียิปต์กำลังก่อสร้างเขื่อนอัสวานอยู่ พระองค์ท่านเสด็จฯลงประทับเรือไอที่มีใบพัดสองข้าง ล่องขึ้นล่องลงรวมเวลาราว 1 เดือน โดยระหว่างทางเสด็จฯได้ทรงแวะทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆ มีที่แห่งหนึ่งทรงพบกับสิบตำรวจเอกคนหนึ่งไว้หนวดเฟิ้มคล้ายพระเจ้าไกเซอร์แห่งเยอรมนี ทีแรกผมนึกว่าเป็นนายพลเสียอีก แต่งตัวโก้มาก เขากราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯไปเสวยที่บ้านของเขาซึ่งใหญ่โตมาก เขาจัดอาหารพื้นเมืองมาถวาย มีอยู่รายการหนึ่งเป็นนกพิราบยัดไส้ ตัดหัว เท้าและถอดกระดูกออก เขาสาธิตการรับประทานด้วยการฉีกขาออกข้างหนึ่งจิ้มในน้ำจิ้มรสเผ็ดที่มีใบไม้ ดูคล้ายแกงขี้เหล็กรสชาติอร่อย ตอนหลังกลับมาบอกให้นายบวย นิลวงศ์ ทดลองปรุงถวาย เขาเก่ง ทำได้รสชาติใกล้เคียงมาก

อีกครั้งหนึ่งที่จำได้แม่นยำ คือ พระเจ้าอยู่หัวทรงได้พบกับขุนนางอียิปต์ผู้หนึ่ง ชื่ออาห์บุด ปาชา (AHBUD PASHA) เป็นมหาเศรษฐี มีเรือยนต์เร็วและไร่อ้อยใหญ่โต เขามีภรรยาเป็นชาวอังกฤษ ได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯไปเสวย และเขาคือคนที่แนะนำให้ทรงรู้จักกับ ฯพณฯ อาลี มาเฮอร์ (ALI MAHER) นายกรัฐมนตรีอียิปต์ขณะนั้น ซึ่งผมจำความตอนหนึ่งที่เขากราบบังคมทูลถามว่า ในฐานะที่เมืองไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เขาอยากรู้ว่าควรทำอย่างไร เพราะอียิปต์ตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะแยกมาเป็นประเทศอิสระหรือจะยอมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติตะวันตกดังเดิม พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า

“การไม่เป็นเมืองขึ้นใครนั้นจะมีศักดิ์ศรีกว่า แต่สิ่งที่จะต้องเสียสละคือ ต้องเปลืองเงินทองในการเลี้ยงรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย ถ้าเผื่อยอมเป็นเมืองขึ้น ประเทศที่เป็นพี่เลี้ยงก็จะเป็นผู้ออกเงินให้ ตัวก็ทำหน้าที่ทำมาหากินของตนไป โดยไม่ต้องมีทหารป้องกันรั้วบ้านของตัวเอง”

เขาก็กราบบังคมทูลว่า รับสั่งสั้นและเข้าใจง่าย ตกลงท่านนายกฯจะไปดำเนินการอย่างไรไม่อาจทราบได้ จากนั้นไม่นานก็ได้รับข่าวว่าท่านถูกลอบสังหาร และนายพลนัสเซอร์ขึ้นมาเป็นผู้นำ และสถาปนาอียิปต์เป็นประเทศอิสระดังเช่นทุกวันนี้

ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงกล้อง ทรงฉายพร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ

นอกจากนี้ ผมได้ตามเสด็จไปชมวิหารโบราณสถานหลายแห่ง โดยที่พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสอธิบายให้ได้รับรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ตำนานประวัติความเป็นมาที่ทรงเล่านั้น หากจะเล่าในที่นี้ก็คงยืดยาวทีเดียว แต่ในระหว่างที่ยังเสด็จฯอียิปต์อยู่นั้น ก็มีข่าวลือว่าพระองค์ท่านทรงไปตั้งกองบัญชาการที่พม่าเตรียมเข้าเมืองไทย เพื่อทรงรับพระราชอำนาจคืน โดยจะมีคนทำการถวาย เรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ด้วยพระองค์ไม่ทรงทราบในเรื่องนี้เลย มีแต่ทางรัฐบาลสมัยนั้นที่ยังคงพยายามสร้างข่าวใส่ร้ายป้ายสีทำให้ต้องทรงเสียพระราชหฤทัยอยู่เสมอ และเหตุการณ์ที่ทรงเสียพระราชหฤทัยมากคือ เด็จอากรมหมื่นอนุวัตรฯที่ทรงถูกอัญเชิญขึ้นเป็นองค์ประธานผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หลังจากที่เพิ่งทรงสละราชสมบัติใหม่ๆ ทรงถูกกดดันจากปัญหาต่างๆ จึงตัดสินพระทัยปลงพระชนม์องค์เองด้วยพระแสงปืน ตั้งแต่พ.ศ.2479

พระเจ้าอยู่หัวและผู้ตามเสด็จ ทรงใช้เวลาประพาสอียิปต์นานถึงเดือนเศษจึงเสด็จฯกลับถึงกรุงลอนดอน ไม่กี่วันต่อมาสถานการณ์สงครามที่ทรงดาดหมายไว้ก็เป็นเรื่องจริง เมื่ออังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมันในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2482 ตามสนธิสัญญาที่อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำไว้กับประเทศโปแลนด์ โดยมีเงื่อนไขว่าหากมีประเทศใดมารุกล้ำดินแดนของโปแลนด์ ทั้งสองประเทศจะเข้าช่วยเหลือและประกาศสงครามด้วยทันที

ในช่วงต้นของสงคราม เยอรมันทำศึกในแผนที่เรียกว่า ‘สงครามสายฟ้าแลบ’ บุกเข้ายึดครองประเทศต่างๆในยุโรปด้วยกองทัพรถถังและการบินอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฮอลันดา เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก และสุดท้ายคือ ฝรั่งเศส ที่ยอมจำนน เพื่อมิให้เยอรมันบินมาทิ้งระเบิดในกรุงปารีสอย่างย่อยยับดังเช่นการรุกรานในประเทศอื่นๆ แต่ในช่วงปีแรกของการเริ่มสงคราม เยอรมันยังไม่บุกเข้าอังกฤษ แต่รัฐบาลซึ่งเปลี่ยนมาอยู่ภายใต้การนำของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิล(SIR WINSTON SHERCHILL) นั้นได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือสภาวะสงครามนี้ด้วยการจำหน่ายหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ พร้อมกับคูปองปันส่วนอาหาร และน้ำมัน ตอนกลางคืนก็ต้องอำพรางไฟไม่ให้แสงสว่างเล็ดลอดออกมาจนมืดมิดไปทั้งเมือง

เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล

เวลานั้นพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ และครอบครัวย้ายมาประทับที่พระตำหนักคอมพ์ตันเฮ้าส์ด้วย เพื่อสร้างความอบอุ่นพระราชหฤทัยและใกล้ชิดกับพระองค์ท่านในยามสงคราม อีกทั้งเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด และตอนหลังผมได้ย้ายมาอยู่ตำหนักบริดจ์เฮ้าส์ (BRIDGE HOUSE) ของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ และครอบครัว ซึ่งอยู่ห่างจากพระตำหนักราว 8 นาทีทางรถยนต์ เพื่อไม่ให้เกิดความแออัดเกินไปในที่ประทับ

สถานการณ์ของสงครามเมื่อตอนที่ฝรั่งเศสยอมจำนนต่อเยอรมันเท่ากับว่าเหลือเพียงอังกฤษประเทศเดียวในยุโรปที่ยังยืนหยัดต่อสู้ต่อไป ขณะที่สหรัฐอเมริกายังยึดถือนโยบายความเป็นกลาง แต่ก็ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการสงครามให้แก่อังกฤษ ท่าทีของสงครามดูจะตึงเครียดมากขึ้น พระเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งว่า จะต้องหนีลูกระเบิดเสียก่อน จึงทรงแปรพระราชฐานไปเช่าตำหนักใหม่ในเขตเดวอน (DEVON) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกลึกเข้าไป และหม่อมเจ้ากอกษัตริย์ สวัสดิวัตน์ พระอนุชาองค์หนึ่งในสมเด็จพระบรมราชินี ซึ่งทรงศึกษาอยู่ในเบลเยี่ยมได้เสด็จมาประทับด้วย

ในหลวงรัชกาลที่ 7และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ

แต่นับวันสงครามดูจะทวีความโหดร้ายน่ากลัว พระเจ้าอยู่หัวทรงกังวลพระราชหฤทัยและห่วงใยครอบครัวของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ ที่เพิ่งทรงมีโอรส จึงตัดสินพระราชหฤทัยเช่าโรงแรมประทับให้อยู่ลึกเข้าไปอีกในเขตนอร์ธเวลส์ (NORTH WALES) ชื่อโรงแรมเลคเวอร์นี (LAKE VYRWNYL HOTEL) ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงมีทะเลสาบสวยงาม โดยเสด็จฯไปประทับพร้อมกับสมเด็จพระบรมราชินี พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ หม่อมมณี และโอรส (ม.ร.ว.เดชนศักดิ์ ศักดิเดชน์ ภาณุพันธุ์) ส่วนองค์อื่นๆ รวมทั้งผมยังคงอยู่ที่เวอร์จิเนียวอเตอร์ (เดี๋ยวนี้คนจะรู้จักเวอร์จิเนียวอเตอร์ในชื่อของเวนท์เวิร์ธ (WENTWORTH) ซึ่งมีสโมสรทางกีฬาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของอังกฤษมากกว่า) และได้ไปเข้าเฝ้าฯอย่างสม่ำเสมอ

ในระหว่างที่พระเจ้าอยู่หัวประทับที่โรงแรมนี้ เป็นเวลาเดียวกับที่เยอรมันส่งกำลังทางอากาศเข้ามาทำลายอังกฤษด้วยการทิ้งระเบิดถล่มกรุงลอนดอน และเมืองอุตสาหกรรมในชนบทที่สำคัญอยู่หลายครั้ง จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น ทุกคนตกใจ หากพระองค์ท่านเพียงแต่ทรงเลิกพระขนง (คิ้ว) และไม่ได้รับสั่งอะไร แล้วสิ่งที่ผมรู้สึกชื่นชมยิ่งนักคือ

การที่ได้เห็นความสามัคคี ความมานะอดทนบากบั่นของชาวอังกฤษที่ร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้เยอรมันอย่างไม่เกรงกลัวและไม่ขวัญเสีย…

 

มิตรภาพแตกหักเจ็บขั้วหัวใจ! 5 ละครไทย เปลี่ยนเพื่อนรักเป็นร้าย เพราะรักชายคนเดียวกัน

จากเพื่อนรักเปลี่ยนเป็นเพื่อนร้าย สาเหตุเพราะชอบผู้ชายคนเดียวกัน เชื่อว่าในชีวิตจริงก็คงมีไม่มากก็น้อย ซึ่งพล็อตเรื่อง “ละครไทย” ในวงการบันเทิงบ้านเราก็มีละครแนวนี้ออกมาให้แฟนละครได้ชมกันอยู่เรื่อยๆ อย่างในปีนี้ เร็วๆ นี้ ละครเรื่อง เพลิงบุญ ที่นักแสดงสาวมากฝีมือ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ และเบลล่า – ราณี แคมเปน ก็ต้องมาประชันบทบาท เพื่อผู้ชายคนเดียว คือ ป้อง – ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์

วันนี้ แพรวดอทคอม เลยขอรวม 5 ละครไทย แนวเพื่อนรัก รักชายคนเดียวกันมาให้แฟนๆ ได้ดูกันเสียหน่อย ว่าแต่ละครเรื่องนั้นจะมีความโดดเด่น พล็อตเรื่องแตกต่างกันขนาดไหน ส่วนจะมีลิสต์รายชื่อตรงกับที่ชาวแพรวดอทคอมคิดเอาไว้ไหม ไปดูกันเลยจ้า

กุหลาบเล่นไฟ 

ประเดิมที่เรื่อง กุหลาบเล่นไฟ ที่ออนแอร์ทางช่อง 7 แล้วกระแสพูดถึงในโซเชียลแรงมากเหมือนกัน โดยเวอร์ชั่นล่าสุดคือในปี 2557 ได้ 3 สาว นาว – ทิสานาฏ รับบท ปริตา, เซฟฟานี่ อาวะนิค รับบท รัญชิตา และโบว์ – ธัญญะสุภางค์ รับบท ปัทมาศ มาแสดงเป็นเพื่อนรักที่หลงรักผู้ชายคนเดียวกัน คือ ธิปไตย รับบทโดย วี – วีรภาพ เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของสาวนาวที่มีเพื่อนสนิท 2 คน คือ เซฟฟานี่ สาวเปรี้ยว และโบว์ สาวเรียบร้อย โดยเซฟฟานี่ต้องหมั้นหมายกับพระเอก ในขณะเดียวกันสาวโบว์แอบมีใจให้พระเอก เพราะฝึกงานจนเกิดความใกล้ชิด ซึ่งพระเอกและสาวนาวมามีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอีกทีหนึ่ง เรื่องราวจึงมีทั้งความแก่งแย่ง ต้องสู้ทั้งเรื่องงาน มิตรภาพ และสู้เพื่อกุมหัวใจผู้ชายคนเดียวกัน

สำหรับกุหลาบเล่นไฟ ถ้าย้อนไปปี 2546 นักแสดงสาวที่มารับบทเป็นเพื่อนรักเพื่อเชือดเฉือนบทบาทกันคือ พลอย จินดาโชติ (ปริตา), พิชชา อาภากาศ (ปัทมาศ) และสุคนธวา เกิดนิมิตร (รัญชิตา) ส่วนพระเอกที่มารับบท ธิปไตย หรือตรัย คือ อัษฎา พานิชกุล

สามีตีตรา 

เอ่ยชื่อละคร สามีตีตรา หลายคนต้องร้องแซ่บซี้ดขึ้นมาแน่นอน เพราะเรื่องนี้กระแสโด่งดังฮิตติดลมบนมาก และได้สร้างชื่อให้นักแสดงผิวสีน้ำผึ้ง จุ๋ย – วรัทยา นิลคูหา แจ้งเกิดเปรี้ยงอีกครั้งหลังจากย้ายช่องมาเล่นร้าย โดยรับบทเป็น สายน้ำผึ้ง ที่คอยริษยาและตามแย่งสามีเพื่อนรัก พลอย – เฌอมาลย์ รับบทเป็น กั้ง หรือกะรัต อยู่ตลอด แม้กระทั่งจุ๋ยท้องกับผู้ชายคนอื่นก็ยังมาเล่นงานสาวพลอยถึงบ้าน อ้างว่าพิศุทธิ์ สามีของกั้ง รับบทโดย โป๊ป – ธนวรรธน์ เป็นพ่อของลูก เรื่องนี้จัดว่าแรงทีเดียว ด้วยฝีมือของนักแสดงสาวทั้งคู่ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทำให้คนดูอินและรักละครเรื่องนี้กันมากทีเดียว

Club Friday To Be Continued ตอน เพื่อนรัก เพื่อนร้าย

ขึ้นชื่อว่า Club Friday มีเรื่องราวที่มีความแรงให้แฟนๆ ได้เลือกเสพกันอยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือตอน เพื่อนรัก เพื่อนร้าย ที่ได้ 2 นักแสดงสาวลุคเปรี้ยว แซ่บ เท่ กิ๊บซี่ – วนิดา รับบท การ์ตูน และสายป่าน – อภิญญา รับบท เชอรี่ มาเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันมาก แต่มิตรภาพต้องแตกหักเพราะผู้ชายคนเดียว โดยเป็นเรื่องราวของเชอรี่และการ์ตูนที่เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนจนทำงาน ซึ่งการ์ตูนมีแฟน คือ กอล์ฟ – พิชญะ ฝ่ายสายป่านมองว่าแฟนเพื่อนก็เหมือนแฟนเรา จึงจัดการตีท้ายครัวจนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ในขณะเดียวกันก็ไปตั้งท้องกับผู้ชายคนอื่น และมาแอบอ้างว่ากอล์ฟเป็นพ่อ จนทำให้ได้แต่งงานกัน เรื่องนี้ถือว่ากิ๊บซี่น่าสงสารมาก แม้กระทั่งไปเจอคนรักใหม่ สายป่านก็ยังตามไปแย่งอีก แต่สุดท้ายเชอรี่ก็ได้รับบทลงโทษในชีวิตไป ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่กระแสพูดถึงไม่น้อยเลย

น้ำเซาะทราย

ถูกนำมารีเมคปัดฝุ่นหลายเวอร์ชั่น หรือจะเรียกว่าเป็นละครตำนานเรื่องหนึ่งของไทยเลยก็ว่าได้ สำหรับเรื่อง น้ำเซาะทราย ที่เมื่อช่วงต้นปีได้ 3 นักแสดงรุ่นใหญ่ กบ – สุวนันท์, เจี๊ยบ – โสภิตนภา และหนุ่ม – ศรราม กลับมาคัมแบ็กร่วมงานกัน และโชว์ฝีมือการแสดงที่เล่นลึกได้อารมณ์มาเป็นของขวัญให้แฟนๆ ได้ดูไปอินไป โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเพื่อนรัก กบ รับบท วรรณนรี, เจี๊ยบ รับบท พุดกรอง ที่สาวเจี๊ยบเป็นม่ายสาวและแอบมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภีม หรือหนุ่ม – ศรราม เรื่องนี้ดราม่าหนักมากทีเดียว เพราะนอกจากสาวกบจะทราบความจริงแล้ว แต่มันเกี่ยวข้องกับปัญหาชีวิตครอบครัวที่ยังมีลูกๆ ด้วย เรียกว่าแม้แต่งงานกันแล้ว แต่ความสัมพันธ์ก็สั่นคลอนได้ตลอดเวลา แต่เรื่องนี้ก็สอนให้คนดูได้แง่คิดนอกจากความบันเทิงกลับมาเช่นกัน

เพลิงบุญ

ส่งท้ายรอชมปลายปีนี้กับละครเรื่อง เพลิงบุญ ที่ปล่อยแค่ตัวอย่างละครออกมาก่อนหน้านี้ ความแซ่บ เผ็ด แรง ได้กลิ่นดราม่าก็จ่อเสิร์ฟให้คนดูมากเลยทีเดียว โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเพื่อนรัก เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ รับบท ใจเริง และเบลล่า – ราณี รับบท พิมาลา ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน โดยเจนี่และพระเอก ป้อง – ณวัฒน์ เคยชอบพอกัน แต่เจนี่ทิ้งหนุ่มป้องไปหาชายคนใหม่ หนุ่มป้องเสียใจมาก จนกระทั่งเกิดความรู้สึกดีๆ กับเบลล่า ซึ่งแอบชอบหนุ่มป้องมาตลอด และทั้งสองก็ได้แต่งงานใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกัน แต่เรื่องนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เมื่อเจนี่กลับมาหาหนุ่มป้อง ขอพักอาศัยในบ้านเดียวกัน และแอบมีความสัมพันธ์กับป้องจนกระทั่งตั้งท้องลูกชาย ซึ่งเรื่องราวจะจบเช่นไร ต้องรอลุ้นกันเมื่อละครออนแอร์ โดยเรื่องนี้เคยแจ้งเกิดให้ชื่อแอน ทองประสม และหน่อย – บุษกร ที่เล่นเมื่อปี 2539 โด่งดังมาแล้ว คาดว่ากระแสพูดถึงมาแรงไม่น้อย

แต่ละเรื่องถ้าดูให้ได้ความบันเทิงก็ได้ แต่ถ้ามองลึกลงไป ละครทุกๆ เรื่องก็แฝงข้อคิดให้คนดูได้กลับไปคิดต่อเหมือนกันนะ

 


เรื่อง: Gingyawee_แพรวดอทคอม
ภาพ: http://drama.ch7.com/story/all/87934, Teaser กุหลาบเล่นไฟ Ver.2, IG @darathaitv3 #สามีตีตรา @sukanya2511 @kob_nada_nadol @lakorn_online @bie_kpn

ดูดวงรายวัน ประจำวันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560

ดูดวงรายวัน ประจำวันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 เช็คทุกวัน ทันทุกดวงกับ แพรว ดอทคอม

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

การงาน :  วันนี้ท่านจะได้รับงานใหม่ ซึ่งจะสร้างชื่อเสียงในสายวิชาชีพของท่าน นับเป็นจุดเริ่มต้นสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาสู่ชีวิต หลังจากที่ตรากตรำทำงานหนักมานาน

การเงิน :  จะได้รับชื่อเสียง เงินทองจากผลของงาน

ความรัก : วันนี้วันศุกร์ลองวีคเอ็นท์ น่าจะวางแผนไปเที่ยวกันบ้าง จะได้มีเวลาปรับทัศนคติ จูนสิ่งที่คิดเข้าหากัน เพราะแต่ละคนอยู่ในโลกส่วนตัว มีความคิดของตัวเอง คนโสด ท่านยังเข็ดกับความรัก วันนี้ก็ยังคงไม่ฟันธง

สุขภาพ : ระวังโหมงานหนัก จนพักผ่อนไม่เพียงพอ และรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา จนเกิดโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย

 

ผู้ที่เกิดวันจันทร์

การงาน : ใกล้ถึงวันพระใหญ่ ท่านจึงเข้าสู่โหมดปล่อยวาง วันนี้ก่อนทำอะไร ขอให้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ถึงหลักสัจธรรมในชีวิต ยึดหลักความพอเพียง ถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต จะทำให้การทำงานราบรื่น

การเงิน : ระงับกิเลส ก็จะไม่เดือดร้อน

ความรัก : วันนี้ความรักสายขาว รู้จักรักในทางที่ถูก ปล่อยวาง และมีสติ ควบคู่กับการใช้ปัญญา ก็จะทำให้เป็นความรักที่ยืนยงและยืนยาว คนโสด ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ค่ะ

สุขภาพ : เป็นโรคตามวัย เช่นโรคชรา อัมพฤกษ์ อัมพาต

 

ผู้ที่เกิดวันอังคาร

การงาน  : ท่านใส่เต็มเหนี่ยว เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน ไม่เกรงกลัวใดๆ ดื้อรั้น และไม่ยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น  เพราะฉะนั้นท่านต้องระวังบริวารจะไม่ซื่อสัตย์ จนเกิดความผิดพลาดล้มเหลวได้อย่างไม่น่าเชื่อ

การเงิน :  ต้องการประสบความสำเร็จอย่างสูง จึงลงทุนแบบกล้าได้กล้าเสีย ไม่ปรึกษาใคร

ความรัก :  ผู้หญิงจะมีภาวะความเป็นผู้นำ เก่งกล้าและโดดเด่น คุณผู้ชายคงต้องยอมให้เธอนะคะวันนี้ หากยอมอยู่แล้วก็ยอมอีกเบอร์หนึ่ง คนโสด ผู้หญิงจะเจ้าชู้ กรุ้มกริ่ม ไม่แคร์หากจะจีบผู้ชายก่อน

สุขภาพ : มาแบบทุกขลาภ จะเจ็บป่วยเวลาที่ได้รับงานใหม่

 

ผู้ที่เกิดวันพุธ

การงาน  :  ขอกากบาทนะคะ วันนี้อารมณ์เบื่อเพิ่มระดับจนเข้าสู่ความหดหู่ ท่านกำลังเผชิญปัญหาความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งมาจากการที่ท่านไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของผู้ร่วมงาน จนนำไปสู่การทะเลาะ ระวังถูกใส่ร้าย หักหลัง ตกเป็นแพะรับบาปโดยไม่ตั้งใจ

การเงิน   :  ชักหน้าไม่ถึงหลัง หลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเงินที่ผิดกฎหมาย

ความรัก : วันนี้ท่านอาจพบกับความผิดหวัง เมื่อได้รู้ว่าคู่ท่านหักหลัง หลอกลวง อาจเป็นแค่เรื่องเล็กๆ จนถึงเรื่องใหญ่ อย่าเพิ่งด่วนกังวลใจไปก่อน คนโสด ระวังมีคู่ซ้อน   

สุขภาพ : ระวังโรคประจำตัวของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

 

ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

การงาน : ท่านมีเกณฑ์จะได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางต่างประเทศ หรือเดินทางรอบโลกสูงมาก รวมถึงงานที่เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนและแหล่งอบายมุข

การเงิน : เงินไหลเวียนไม่ขาดมือ ระวังถูกหลอก ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

ความรัก :  วันนี้หากท่านจะให้คู่ครองดูแลเรื่องการเงิน ก็คิดหนักๆ นิด เพราะมีความเสี่ยงต่อการผิดพลาดสูง คนโสด คนที่ใช่อาจไม่ได้เลือก แต่คนที่เลือกอาจไม่ใช่

สุขภาพ : มีเกณฑ์เป็นโรคเลือด ต่อมน้ำเหลืองไม่ดี หรือดีซ่าน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

 

ผู้ที่เกิดวันศุกร์

การงาน  : เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ทบทวน และทำความเข้าใจในวิถีทางแห่งการดำรงชีวิต ท่านอาจตัดสินใจเรียนต่อ หรือศึกษาค้นหาความรู้ทางวิชาการเพิ่มเติม

การเงิน :  ได้มาจากความรู้ความสามารถเป็นหลัก อาจมีโชคจากอสังหาริมทรัพย์ หรือการเกษตร

ความรัก : วันนี้ท่านต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ หรือยึดติดอยู่กับญาติผู้ใหญ่มาก ก็ทำตามพวกท่านไปไม่เสียหาย คนโสด มีโอกาสพบรักกับต่างชาติ

สุขภาพ  :  ระวังระบบหมุนเวียนเลือดไม่ปกติ อาจมีความดันมาเกี่ยวข้อง

 

ผู้ที่เกิดวันเสาร์

การงาน : วันนี้ท่านมีอำนาจ วาสนาบารมี ก็ขอให้ประกอบกิจการงานด้วยดี คิดดี พูดดี ท่านจะได้รับพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้พบกับความสำเร็จ แต่เมื่อใดที่ท่านไร้คุณธรรมจะเกิดผลร้าย อย่างชนิดตั้งตัวไม่ติดทีเดียว

การเงิน : ชอบทำบุญและช่วยเหลือคน

ความรัก : ชีวิตครอบครัวท่านยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่และเครือญาติตลอด อยู่ภายใต้กรอบประเพณีที่เคร่งครัดจนไม่ค่อยสบายตัวนัก คนโสด อยู่ในสายตาผู้ใหญ่จ้า

สุขภาพ : ระวังโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการแพ้อากาศ ฝุ่นละออง

 

กัญจนพร คันธสมบูรณ์

เพิ่มสปีดเมคอัพสวยด่วนสไตล์เซเลบสาว “เบล – กัญจนพร” รับรองไม่เปลืองเวลา แถมโคตรปัง!!

Alternative Textaccount_circle
กัญจนพร คันธสมบูรณ์
กัญจนพร คันธสมบูรณ์
ตื่นมาตอนเช้ายังไม่ทันได้ตั้งสติก็หมดเวลาชิลล์แล้ว อดจิบกาแฟชมนกชมไม้เลย ชีวิตคนเมือเนี่ยมีแต่ความเร่งรีบ ธุระปะปังเยอะไปหมด แต่ถึงจะรีบแค่ไหน เชื่อว่าสาวๆ คงไม่ยอมเปลือยหน้าสดจากบ้านกันแน่ๆ ใช่ไหมคะ ยังไงซะก็ขอสวยจัดเต็มหน่อย ถึงแม้เวลามีจำกัด แต่ แพรวดอทคอม มีเคล็ดลับเมคอัพสวยด่วนของเซเลบสาวสวย  “เบล – กัญจนพร คันธสมบูรณ์” มากระซิบบอก ตั้งแต่เทคนิคจนถึงบิวตี้ไอเท็มที่ใช้เลย มีอะไรบ้างไปดู
 

เตรียมผิวก่อนเมคอัพ
“ปัญหาของผู้หญิงส่วนใหญ่คือ เมคอัพหลุดไหลเยิ้มระหว่างวัน เบลจึงให้ความสำคัญกับขั้นตอนเตรียมผิวเป็นพิเศษ
เพราะเชื่อว่าผิวที่ชุ่มชื่นเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดที่จะทำให้เครื่องสำอางติดทน ต่อให้ไม่มีเวลาแค่ไหนก็ต้องบำรุง เบล
เลือกเอสเซ้นส์แบบน้ำ ‘The History of Whoo’Ja Saeng Essence ให้ความเบาสบาย ไม่เหนียวเหนอะหนะผิว
ใช้วิธีตบและกดเบาๆ ให้ผิวรู้สึกตื่นตามด้วยสเปรย์น้ำแร่ ‘La Roche-Posay’ Serozinc Oil Blotting Mist ก่อนเมคอัพ ฉีดทั่วใบหน้าแล้วปล่อยให้น้ำซึมเข้าผิวโดยไม่ต้องซับออกจะช่วยควบคุมความมัน และล็อกเครื่องสำอางให้อยู่ทนนานยิ่งขึ้น”

ปกปิดเนียนสนิท
“เบลมีปัญหาเรื่องใต้ตาคล้ำดำมาก เพราะฉะนั้นจึงขาดคอนซีลเลอร์ไม่ได้เลย แนะนำเนื้อครีมแบบจิ้มจุ่ม ‘Nars’ Radiant Creamy Concealer ที่เกลี่ยง่ายและยังคงความชุ่มชื่นให้ผิวไม่เป็นคราบ

“เทคนิคคือ ให้แต้มเนื้อคอนซีลเลอร์บนจุดที่ต้องการปกปิด เบลเน้นบริเวณใต้ตา มุมปาก และรอยสิว ทิ้งไว้ประมาณ 2 – 3 วินาที รอให้เนื้อครีมเซตตัวแล้วจึงเกลี่ยอุปกรณ์ช่วยที่เวิร์คที่สุดสำหรับการปกปิดคือ นิ้วมือ เพราะมีอุณหภูมิความร้อนที่ช่วยให้เนื้อคอนซีลเลอร์เนียนสนิทไปกับผิว นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นไฮไลท์เน้นให้หน้าดูพุ่งและมีมิติได้ด้วยแต้มเบาๆ บนกระจับปาก สันจมูก และคางค่ะ”

ติดขนตาปลอมแบบแน่นทน
“อันดับแรกต้องตัดขนาดขนตาปลอมให้พอดีกับรูปตาก่อน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอาการเจ็บตา น้ำตาตกจนเครื่องสำอางไหลเยิ้มได้ ทากาวบนขนตาปลอม แล้วรอให้แห้งประมาณ 10 วินาที จากนั้นติดให้ชิดโคนขนตาที่สุด โดยไล่ติดจากหางตาไปยังหัวตา ระวังไม่ให้ชิดกับหัวตามากไปจะได้ขนตาที่ดูสวยพอดี ติดทนแน่น และรวดเร็ว อย่าลืมดัดขนตาก่อนติดขนตาปลอมเพื่อความเนียน สำหรับสาวที่ขนตาน้อยให้ปัดมาสคาราไปด้วยเลยค่ะ”

บลัชออนเนื้อครีมชิ้นเดียวจบ
“มีเวลาจำกัด แนะนำให้ใช้บลัชออนเนื้อครีม ‘Chanel’ Le Blush Crème de Chanel สี Revelation เบอร์
63 สีส้มอมชมพู เป็นสีที่ทายังไงก็เกิด เพราะดูเนียนเหมือนแก้มมีเลือดฝาด ดูเป็นธรรมชาติสุดๆ แถมยังเกลี่ยง่ายและ
ให้ความติดทนนานมากกว่าแบบฝุ่นด้วย

“เคล็ดลับการทาบลัชออนของเบลมีสองแบบ หนึ่ง แต้มเป็นจุดเล็กๆ 3 จุดในแนวเฉียงจากพวงแก้มขึ้นไปถึงโหนกแก้ม จะช่วยให้หน้าดูเรียวเล็ก สอง แต้มเป็นเส้นตรงบริเวณพวงแก้มแล้วเกลี่ยวนเป็นวงกลม จะช่วยให้หน้าดูเด็ก ไม่ควรป้ายเป็นแถบใหญ่ เพราะเสี่ยงต่อการพลาดพังได้ง่ายค่ะ ชิ้นนี้บอกเลยว่าเริดมากพกแค่ตลับเดียวประยุกต์ใช้เป็นบลัชออน อายแชโดว์ และลิปสติก ได้ทั้งงานแก้ม ตา และปากเลยค่ะ”

ปากเป๊ะกับลิปสติกเนื้อแมตต์
“สิ่งสำคัญสำหรับการทาลิปสติกเนื้อแมตต์คือ ผิวปากต้องดี ไม่แห้งแตก หรือลอกเป็นขุย เพราะฉะนั้นจึงควรสครับริมฝีปากก่อน วิธีที่ง่ายและเซฟเวลาที่สุดคือหลังแปรงฟัน ให้ใช้แปรงสีฟันนี่แหละถูวนเบาๆ แล้วเช็ดออก จะช่วยให้ปากดูเนียนขึ้น เบลทาลิปสติกจากตัวแท่งเลย เพื่อความรวดเร็ว เวลาทาควรเกร็งริมฝีปากให้ตึง โดยลากจากกลางริมฝีปากไปยังมุมปากทั้งสองข้าง จะได้ความคมเป๊ะ ขอบปากดูชัด สำหรับใครที่ริมฝีปากแห้งมากให้ทาลิปบาล์มบางๆ
เท่านั้นแล้วซับออก”

ภาพจาก Instagram : nobelbelle
ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 907
เรียบเรียง : PP_แพรวดอทคอม

 

ไม่พลิกโผหน้ากากอีกาเผือก “ซานิ AF6” น้ำตาแตก ดีใจมีคนจำเสียงได้

เรียกว่างวดเข้ามาทุกทีแล้วสำหรับรอบ Final ของรายการ “หน้ากากนักร้อง” (THE MASK SINGER 2) โดยเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นการตัดสินหาผู้ชนะใน GROUP B ซึ่งเป็นการปะทะกันระหว่าง “หน้ากากเสือจากัวร์” แชมป์ และ “หน้ากากอีกาเผือก” น้องสาว “หน้ากากอีกาดำ”

และหลังจากรอคอยมาเกือบครึ่งค่อนคืน ผลปรากฏว่า “หน้ากากเสือจากัวร์” สามารถเอาชนะ “หน้ากากอีกาเผือก” ไปได้ ซึ่งผู้ที่อยู่ภายใต้ “หน้ากากอีกาเผือก” คือนักร้องสาวเสียงห้าว “ซานิ AF6 – นิภาภรณ์ ฐิติธนการ” อดีตแชมป์หญิงคนแรกในรายการทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย

โดยภายหลังจากที่ถอดหน้ากากออก นักน้องสาวได้เผยความรู้สึกว่าขอบคุณรายการ The Mask Singer มากๆนะคะ ในหน้ากากอีกาเผือกนั้นน้ำตาไหลเลยนะ สิ่งเดียวที่มันทำให้ชีวิตนักร้องที่ไม่มีอะไรเลยหนึ่งคนดีใจคือ อ้าปากร้องเพลงแล้วคนจำเสียงได้ วันแรกที่เปิดตัว น้ำตาไหลในหน้ากากนั้นจริงๆ ความรู้สึกทุกข์สุขในหน้ากากมันมีพลังมากมาย เราเคยคิดว่าอาชีพนักร้องเรามันจบไปรึยังวะ เรายังเดินอยู่ได้ไหม เรายังไหวไหม เราไม่ใช่นักร้องที่ร้องเพลงได้เพราะที่สุด แต่มีความสุขที่สุดทุกครั้งที่จับไมค์ ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคำติชม ขอบคุณและน้อมรับทุกคำด่าคำติ ขอบคุณที่ทำให้ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง ขอบคุณที่ทุกคนยังไม่เลิกรักเพลง Rock ทุกวันนี้ที่ยังเดินอยู่เพราะรัก มันไม่ใช่อาชีพที่ไว้แค่ทำมาหากิน มันคือชีวิต เราใช้ชีวิตเพื่อสู้กับชีวิตมาตลอดชีวิต และยังจะสู้ต่อไป…ป.ล. รู้สึกโล่งเหมือนได้ขี้ อึดอัดที่โดนจี้มาหลายเดือน เน่! เฉียบ 😂 ฝากเชียร์หน้ากากเสือจากัวร์ต่อด้วยนะคะ ขอพลังให้ Group B พี่เสือจากัวร์จ๋า สู้เขานะคะ🖤

keyboard_arrow_up