หรือนี่คือเหตุผลที่พระบรมราชสรีรางคาร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ต้องแบ่งบรรจุ ๒ วัด

จากข่าวรายละเอียดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่มีการระบุว่า เวลา ๑๐.๓๐ น. ของวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐ จะมีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลและเชิญพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระเจ้าแผ่นดินทุกรัชกาล โดยริ้วกระบวนที่ ๕

ขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ ๕ เชิญพระโกศพระบรมอัฐิโดยพระที่นั่งราเชนทรยาน จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท รวมระยะทาง ๖๓ เมตร ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที

ส่วนเวลา ๑๗.๓๐ น. เป็นพระราชพิธีเชิญพระบรมราชสรีรางคาร(เถ้ากระดูก)ไปบรรจุ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร โดยริ้วกระบวนที่ ๖ ซึ่งพันโทหญิงพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงม้านำในริ้วขบวนนี้

ขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ ๖ ขบวนกองทหารม้า เชิญพระบรมราชสรีรางคารจากพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยรถยนต์พระที่นั่งออกจากพระบรมมหาราชวัง ทางประตูวิเศษไชยศรี ไปยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ขบวนกองทหารม้า เชิญพระบรมราชสีรางคาร จากวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยรถยนต์พระที่นั่ง ไปบรรจุ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
พันโทหญิงพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงม้านำซ้อมขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ 6

ทำให้มีบางคนสงสัยว่า เหตุใดพระบรมราชสรีรางคาร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จึงต้องแบ่งไปบรรจุถึง ๒ วัด

เพราะตามราชประเพณีโบราณ การถวายพระเพลิงพระบรมศพและการบรรจุพระบรมอัฐิ พระบรมราชสรีรางคารนั้น มีธรรมเนียมว่าหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ในวันรุ่งขึ้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาทรงเก็บพระบรมอัฐิลงพระโกศด้วยพระองค์เอง โดยจะทรงเก็บพระบรมอัฐิอย่างละชิ้นจนครบพระสรีระ จากนั้นอัญเชิญใส่พระโกศเพื่อไปประดิษฐานที่ “หอเก็บพระบรมอัฐิ” ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง

ส่วนพระบรมอัฐิที่เหลือ จะมีทั้งที่ให้พระราชโอรส พระราชธิดา และพระประยูรญาติใกล้ชิดทรงเก็บไปบูชา และให้เจ้าหน้าที่ทำการแปรสภาพเป็นพระบรมราชสรีรางคาร เพื่อนำไปบรรจุยังวัดประจำรัชกาล

ทว่าดังที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ไทยว่า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างตามโบราณราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล นั่นหมายความว่า นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงไม่มีวัดประจำรัชกาลเป็นของพระองค์

เพราะฉะนั้นการเลือกวัดประจำพระองค์ที่จะเป็นสถานที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารจึงใช้วิธีเลือกเอาวัดที่พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นๆ ทรงมีส่วนเกี่ยวข้อง

และเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีวัด ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า สถานที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ก็คือวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

โดยในส่วนของวัดบวรนิเวศราชวรวิหารนั้น เหตุที่ถูกเลือกให้เป็นวัดประจำพระองค์ก็เพราะว่าเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรทรงผนวชและจำวัดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ โดยพระตำหนักที่ประทับในครานั้นมีชื่อว่า ‘ปั้นหยา’ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงผนวชเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีบันทึกว่า ภายหลังทรงลาสิกขา ในเวลาที่ทรงว่างจากพระราชกรณียกิจ พระองค์มักทรงขับรถยนต์พระที่นั่งด้วยพระองค์เอง เพื่อไปเข้าเฝ้า แลสดับพระธรรมจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดในขณะนั้น

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ขณะทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ในพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

อีกทั้งวันเข้าพรรษาของทุกปี พระองค์ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปถวายพุ่มเทียนเข้าพรรษา รวมทั้งถวายผ้าพระกฐินเป็นวัดแรก เมื่อถึงช่วงพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินหลวงประจำปี และเมื่อทรงริเริ่มโครงการกังหันน้ำชัยพัฒนา ก็ทรงนำกังหันมาทดลองที่คลองเต่าภายในวัดบวรนิเวศวิหารเป็นที่แรกๆ เนื่องด้วยทอดพระเนตรเห็นน้ำในคลองที่ไหลเวียนไม่ดีนัก ทำให้คลองเต่าในปัจจุบันมีเต่า มีปลาอาศัยอย่างร่มเย็น

ใต้ฐานพระพุทธชินสีห์ พระประธานในวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

เพราะฉะนั้นการที่พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์จะถูกอัญเชิญไปประดิษฐานยังฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธชินสีห์ ในพระอุโบสถของวัดนี้ จึงนับว่ามีที่มาที่ไปที่สอดคล้องอย่างยิ่ง

แล้ววัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามล่ะ มีความสัมพันธ์กับพระองค์เช่นไร

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เช่นเดียวกับวัดบวรนิเวศวิหาร โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๒ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง

ภายในวัด นอกจากมีพระอุโบสถแล้ว ยังมีสุสานหลวงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์สีทอง ๔ องค์ เป็นที่บรรจุพระอัฐิและพระสรีรางคารของพระบรมราชเทวี พระราชเทวี เจ้าจอมมารดา พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระองค์ มีชื่อสอดคล้องกันเรียงลำดับจากเหนือไปใต้ว่า สุนันทานุสาวรีย์  รังษีวัฒนา เสาวภาประดิษฐาน และสุขุมาลนฤมิตร์

อนุสรณ์สถาน “รังษีวัฒนา”

เจดีย์อนุสรณ์สถาน รังษีวัฒนา” นี้เองที่เป็นที่บรรจุพระราชสรีรางคารของ ๓ สมาชิกราชสกุลมหิดล ได้แก่ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ 

พระพุทธบัลลังก์ของ “พระพุทธอังคีรส” ภายในบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระอัฐิสมเด็จพระศรีสุลาไลย พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในรัชกาลที่ ๓ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร และพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗

การที่พระบรมราชสรีรางคารส่วนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ถูกแบ่งมาประดิษฐานที่ฐานพระพุทธบัลลังก์ของ “พระพุทธอังคีรส” พระประธานในพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จึงอาจจะเป็นด้วยเหตุผลเดียวกับที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เคยทรงมีพระดำริไว้เมื่อครั้งมีพระชนม์ชีพว่า…

ฉันจะอยู่ข้างแม่” ด้วยก็เป็นได้

ไม่ธรรมดา! เทคโนโลยีเสมือนจริง ความลับที่ซ่อนอยู่ในแผ่นพับที่ระลึกจากงานพระราชพิธีฯ

ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ทรงคุณค่าสำหรับแผ่นพับที่ระลึกจากงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพราะสามารถรับชมภาพ โดยมีเสียงประกอบ อัลบั้มภาพ และภาพแบบ 3 มิติ ได้ ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงวัฒนธรรม

 

 

ประชาชนที่เดินทางไปถวายดอกไม้จันทน์แสดงความอาลัยที่พระเมรุมาศจำลองและซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ทั่วประเทศ จะได้รับแผ่นพับที่ระลึกพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 

ภายในแผ่นพับนอกจากจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่มีความสำคัญแล้ว ยังมีเทคโนโลยี AR Code หรือเทคโนโลยีเสมือนจริง ตัวช่วยที่จะทำให้แผ่นพับปกติไม่ธรรมดาอีกต่อไป เพราะสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างชัดเจนด้วยภาพแบบสามมิติที่ไม่เคยมีมาก่อน เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นผ่านสมาร์ทโฟน แล้วเปิดกล้องส่องไปที่ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ โดยมีวิธีการดังนี้

1. แอปพลิเคชั่น Zappar 

เปิดแอปพลิเคชั่นแล้วใช้กล้องสแกนภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ที่มีสัญลักษณ์ Zappa อยู่ด้านล่างขวา จะมีเมนูให้เลือกพิเศษ ทั้งวีดีโอ ประมวลภาพเหตุการณ์พระราชพิธีฯ และอื่นๆ

1

1

2. แอปพลิเคชั่น Arzio 

เพียงเปิดแอปพลิเคชั่นแล้วใช้กล้องสแกนภาพพระบรมฉายาลักษณ์ จะสามารถรับชมภาพ โดยมีเสียงประกอบ อัลบั้มภาพ และภาพแบบ 3 มิติ ให้เลือกชมอีกด้วย

 

คลิปแสดงการใช้งานแผ่นพับที่ระลึก

แผ่นพับที่ระลึกมี 3 รูปแบบ คือ ฉบับภาษาไทย ฉบับภาษาอังกฤษ และฉบับที่จะแจกในนิทรรศการช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560 ซึ่งแผ่นพับที่ระลึกถูกออกแบบให้สามารถพกพา หรือสามารถใส่กรอบบูชาได้


 

ภาพและข้อมูล : http://www.js100.com

คลิป : Twitter@pinky_antz

 

 

ท้ายสุดของพระราชพิธี ยลวัดประดิษฐาน พระบรมราชสรีรางคาร ประจำรัชกาลที่ 1-9

การอัญเชิญ พระบรมราชสรีรางคาร ไปบรรจุยังวัดนับเป็นกระบวนการท้ายสุดของงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

ท้ายสุดแต่อยู่ในใจนิรันดร์…สำหรับกระบวนการอัญเชิญ พระบรมราชสรีรางคาร (เถ้าที่เหลือนอกจากกระดูก) ไปประดิษฐานตามพระอารามหลวงยังที่ต่างๆ นับเป็นกระบวนท้ายสุดของพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ โดยพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ส่วนริ้วขบวนที่ 6 ขบวนกองทหารม้า ได้เชิญพระบรมราชสรีรางคารทั้งหมดจากพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยรถยนต์พระที่นั่งออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี ไปยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร จากนั้นขบวนกองทหารม้าอีกขบวนหนึ่ง เชิญพระบรมราชสรีรางคารส่วนหนึ่ง จากวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร โดยรถยนต์พระที่นั่ง ไปบรรจุ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ซึ่งวัดทั้งสองแห่งนี้จะถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 9 โดยนิตินัย

วันนี้แพรวดอทคอมจึงขอพาย้อนไปดูวัดที่ประดิษฐานพระบรมราชสรีรางคาร ตั้งแต่รัชกาลที่ 1-9

รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร 

รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร 

และวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร

 

รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร
และไว้ที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ ที่วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม

วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร
พระร่วงโรจนฤทธิ์ ที่วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
และวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

 


*ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องความหมายคำว่า พระบรมอัฐิ และพระบรมราชสรีรางคาร
จาก อาจารย์ กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ (ครูลิลลี่)

อัฐิ (อัด-ถิ) หมายถึง กระดูกคนที่เผาแล้ว
สรีรังคาร (สะ-รี-รัง-คาน, สะ-รี-ราง-คาน) หมายถึง เถ้าถ่านที่ปะปนกับกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยของศพที่เผาแล้ว
พระบรมอัฐิ หมายถึง กระดูกชิ้นใหญ่ๆ ที่จะเก็บรักษาไว้ในพระบรมมหาราชวัง
พระบรมราชสรีรางคาร หมายถึง เถ้าที่เหลือนอกจากกระดูก เป็นส่วนที่เหลือจากการถวายพระเพลิง

 

ข้อมูล: Twitter @__PyeLy__
ภาพ: วิกิพีเดีย, www.findagrave.com

รู้แล้วจะหนาว มาดามผู้เรียบง่ายคนนี้ ที่แท้คือผู้สำเร็จราชการฯ คนที่29แห่งแคนาดา

ทำความรู้จักมาดามฌูว์ลี ปาแย็ต ผู้สำเร็จราชการฯคนที่29 แห่งแคนาดา อดีตนักบินอวกาศคนแรกหญิงของประเทศ

มาดามฌูว์ลี ปาแย็ต

ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ผ่านมา มีพระราชอาคันตุกะและบุคคลสำคัญเดินทางมาร่วมแสดงความอาลัย ซึ่งระหว่างการถ่ายทอดสดพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ภาพของสตรีที่สวมชุดสีดำซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งที่5ของพระราชวงศ์ต่างประเทศ เป็นที่สะดุดตาของใครหลายคน เนื่องจากชุดที่สตรีสูงศักดิ์สวมใส่นั้น เป็นชุดสีดำเรียบๆไม่มีการประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มีเพียงกระเป๋าเป้1ใบที่สะพายอยู่ด้านหลัง

ทั้งนี้ในเวลาต่อมาจึงได้ทราบว่าสตรีผู้นี้คือ มาดามฌูว์ลี ปาแย็ต ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร

มาดามฌูว์ลี ปาแย็ตในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

โดยในเวลาต่อมาอาจารย์ลอย ชุนพงษ์ทอง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ ได้ใจดีอธิบายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุเกี่ยวกับคำถามที่ว่า “หญิงฝรั่งคนนี้เป็นใครราชวงศ์ไหน ไม่ประดับเครื่องราชฯ ไม่เคยเห็นมาก่อน” ซึ่งอาจารย์ชี้แจงให้ฟังว่า มาดามฌูว์ลี ปาแย็ต คืออดีตนักบินอวกาศ และวิศวกรคอมพิวเตอร์ โดยเมื่อเร็วๆนี้ได้รับการสถาปนาเป็นประมุขสูงสุด ของประเทศแคนาดา ซึ่งทางประเทศได้ยกย่องมาดามเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ของตนเองได้ดีเยี่ยม ดำรงตำแหน่ง ประมุขสูงสุดเทียบได้กับประธานาธิบดี สามารถรับรองและตอบโต้กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา และสั่งปลดนายกรัฐมนตรีได้

ผู้สำเร็จราชการฯคนที่29 แห่งแคนาดา

สำหรับประวัติมาดาม มาดามฌูว์ลี ปาแย็ต ปัจจุบันอายุ 53 ปี จบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และการบิน ในปี 1992 ต่อมาได้รับเลือกจากบรรดาผู้สมัครทั้งหมด 5,000 ให้เป็น 1 ใน 4 นักบินอวกาศชาวแคนาดาคนแรกที่ได้ขึ้นปฏิบัติภารกิจในสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station) ในปี1999 นอกจากนี้เธอยังได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จาก 24 มหาวิทยาลัย และยังสามารถพูดสื่อสารได้ถึง 6 ภาษารวมทั้ง อิตาลี, รัสเซีย, สเปน และ เยอรมันด้วย

เมื่อครั้งเป็นนักบินอวกาศ

ภาพจาก : www.mironline.ca

ดาวน์โหลดฟรี! แบงก์ชาติออกหนังสือรวมธนบัตรรัชกาลที่ ๙ ให้ชาวไทยเก็บสะสม

ควรค่าแก่การสะสมเป็นอย่างยิ่ง แบงก์ชาติ เปิดดาวน์โหลดหนังสือรวมธนบัตรรัชกาลที่ ๙ กว่า 30 แบบตลอดรัชกาล 

​เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้จัดทำ หนังสือธนบัตรรัชกาลที่ ๙ เอกลักษณ์แห่งองค์พระมหากษัตริย์และความเป็นไทย ซึ่งได้รวบรวมภาพธนบัตรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ออกใช้หมุนเวียนและธนบัตรที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ พร้อมให้ทุกท่านดาวน์โหลดได้ทั้งในรูปแบบ e-book และ ไฟล์ PDF​​

ธนบัตรที่แบงก์ชาตินำมารวมในหนังสือเล่มนี้ เป็นธนบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ รวมทั้งหมด ๙ แบบ และยังรวมไปถึงธนบัตรที่ออกในโอกาสมหามงคลต่างๆ ด้วยอีก ๒๒ แบบ

หน้าปกของหนังสือรวมธนบัตรรัชกาลที่๙

1

สารบัญของหนังสือรวมธนบัตรรัชกาลที่ ๙

1

ธนบัตร ๑ บาท

1

ธนบัตร ๕ บาท

1

ธนบัตร ๑๐๐ บาท

 

ธนบัตรที่ระลึกในโอกาสมหามงคล

1

ธนบัตรที่ระลึกในโอกาสมหามงคล

 

สำหรับประชาชนที่ต้องการเก็บสะสมธนบัตรรัชกาลที่ ๙ สามารถดาวน์โหลดได้จากลิงก์นี้ https://www.bot.or.th/broadcast/EBook/commemorativebook/index.html#p=1 สามารถใช้มือปัดจากขวาไปด้านซ้าย e-book ก็จะเปิดทีละหน้า เหมือนกับเราเปิดหนังสืออ่าน หรือถ้าใช้คอมก็ใช้เมาส์คลิกเปิดหน้าต่อไปได้เลย


 

ภาพและข้อมูล : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

พิธีโบราณของช่างหลวง อัญเชิญเครื่องสดบางส่วน ไป จำเริญ(ลอย)น้ำ หลังถวายพระเพลิงฯ

หลังจากการถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อค่ำคืนวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา เช้าวันนี้ (27 ต.ค.60) เวลา 07.00 น. ทางสำนักพระราชวังได้ทำพิธี จำเริญ(ลอย)น้ำ โดยนำเครื่องสดพระจิตกาธานบนพระเมรุมาศ ไปลอยน้ำที่ปากคลองบางกอกใหญ่

ถือเป็นธรรมเนียมพิธีโบราณของเหล่าช่างหลวงที่มาอย่างยาวนาน สำหรับ พิธีจำเริญ(ลอย)น้ำ ที่ทางเพจ สัตตมาลี น้ำปรุงตำรับในวัง ได้นำข้อมูลที่ดีมาเผยแพร่ต่อประชาชนชาวไทย โดยหลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อค่ำคืนวานนี้ ในเช้าวันที่ 27 ตุลาคม 2560 เวลา 07.00 น. ทางสำนักพระราชวัง นายบุญชัย ทองเจริญบัวงาม นักจัดการงานในพระองค์ชำนาญการ กองศิลปกรรม สำนักพระราชวัง และช่างฝีมือทำเครื่องสดประดับพระจิตกาธานบนพระเมรุมาศ ได้อัญเชิญเครื่องสดบางส่วน ที่หลงเหลือจากการถวายพระเพลิงฯ ไปจำเริญ(ลอย)น้ำ ที่ปากคลองบางกอกใหญ่

โดยเจ้าพนักงานสำนักพระราชวังได้อัญเชิญเครื่องสดประดับจิตกาธานลงมาจากพระเมรุมาศเมื่อเวลา 04.00 น. ห่อด้วยผ้าขาววางบนพานทอง มีทั้ง กาบกล้วย ดอกไม้ ม่านตาข่ายดอกไม้สด กรองดอกไม้จากเขตพระราชฐานชั้นใน ภู่กลิ่น พวงแขวนที่ประดับที่มุมของพระจิตกาธาน ลายแทงหยวกประดับชั้นรัดเอว ชั้นรัดเกล้า แล้วนำไปล่องเรือบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ หน้าป้อมวิไชยประวิทธิ์ ซึ่งเป็นคุ้งน้ำที่มีน้ำผ่านตลอดเวลา

จากนั้นนายช่างกล่าวคำบูชาขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า “ด้วยเพลิงฟ้าที่ได้จุดขึ้นในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว พระเพลิงฟ้ามีความร้อนแรง ความร่มเย็นแห่งสายน้ำของพระคงคาดับเพลิงฟ้าที่ร้อนแรงลุกโชติช่วงให้ดับสิ้น เพื่อความเป็นสิริมงคล ความร่มเย็นเป็นสุขของเหล่านายช่างที่มาถวายงาน และประเทศไทยต่อไป”

ต่อมา พล.ร.ต.เดชดล ภู่สาระ เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ ผู้ดูแลเกี่ยวกับเรื่องของสายน้ำโดยตรงเป็นผู้นำจำเริญน้ำ ตามด้วยเหล่านายช่างค่อยๆ หย่อนเครื่องสดทีละชิ้นลงในแม่น้ำ รวมถึงธูปเทียนดอกไม้ที่เป็นสีขาว เรียกว่าขันครู หรือขัน 5 เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์แห่งศีลและความดีงาม ที่ได้ใช้ในพิธีบวงสรวงสังเวยช่างเครื่องสดราชสำนัก โดยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็นำมาจำเริญน้ำด้วย และกระบวนนี้ถือเป็นการเสร็จสิ้นในการทำงานเครื่องสดถวายของเหล่าช่างหลวง

สำหรับพิธีนี้ได้มีการนำมาลอยน้ำบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ตั้งแต่สมัยพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนี แต่เป็นการดำเนินการภายใน และพิธีนี้มีความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณจากปากครูถึงลูกศิษย์ว่า พระเพลิงที่ทรงจุดนั้นเป็นเพลิงฟ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ จะดับโดยการเป่าหรือใช้น้ำไม่ได้ ต้องดับโดยมหานทีสีทันดรที่มีเทวดาอารักษ์อยู่คือ พระแม่คงคา เพื่อความร่มเย็นและเป็นสิริมงคล ซึ่งนายบุญชัยได้กล่าวว่า พิธีนี้เป็นสิ่งที่ไม่อยากพบ ไม่อยากทำ ไม่อยากเห็น เพราะโอกาสที่จะทำคือต้องมีการสูญเสีย

ทั้งนี้ งานกรองดอกรักฝีพระหัตถ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในชั้นเรือนยอดสูงสุดชั้นที่ 9 ที่ไม่ได้รับความเสียหาย จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะประชาชนจะได้ชมในงานนิทรรศการพระเมรุมาศที่จะขึ้นระหว่างวันที่ 2-30 พฤศจิกายน 2560

 

ที่มาและภาพ: เพจ Facebook – สัตตมาลี น้ำปรุงตำรับในวัง

การยิงสลุต

รู้ไหม..ทำไม “ทหารปืนใหญ่ต้องยิงสลุต 21 นัด” แล้วลูกกระสุนไปตกที่ไหน

Alternative Textaccount_circle
การยิงสลุต
การยิงสลุต
เมื่อวานนี้ (26 ตุลาคม 2560) ระหว่างงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร หลายคนคงจะได้เห็นภาพและเสียงที่ดังกึกก้องทั่วท้องสนามหลวงผ่านการถ่ายทอดสดแล้ว ในช่วงที่ทหารปืนใหญ่ยิงสลุต 21 นัด โดยการยิงแต่ละครั้งเป็นเพียงการกระทำเชิงสัญลักษณ์ เพื่อถวายพระเกียรติแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙

ฉะนั้น ปืนใหญ่ที่ใช้จึงไม่ได้บรรจุกระสุนจริง เป็นเพียงลูกแบลงค์ (blank) ที่ทำให้เกิดเสียงและควันเท่านั้น หวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยไขข้อข้องใจสำหรับหลายคนที่ไม่ทราบหรือสงสัยว่าการยิงปืนใหญ่สลุตเป็นอันตรายหรือเปล่า แล้วลูกกระสุนจะไปตกที่ไหนได้นะคะ

โดยการยิงสลุตในไทย มีขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก่อนมายกเลิกในสมัยสมเด็จพระเพทราชา จากนั้น ธรรมเนียมการยิงสลุตนี้เริ่มกลับมารื้อฟื้นขึ้นอีกครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 คราวที่ต้อนรับเซอร์ จอห์น เบาว์ริง ราชทูตอังกฤษ เมื่อปีพ.ศ.2398 โดยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ จัด 1 กองร้อยปืนใหญ่ยิงสลุตในขั้นตอนถวายพระพร โดยทำการยิงตามจังหวะของเพลงสรรเสริญพระบารมี 21 นัด

สมัยก่อนการยิงสลุตในไทยยังไม่มีข้อบังคับ เพิ่งจะมีข้อบังคับในการยิงสลุตช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพ.ศ. 2448 เรียกว่า “ข้อบังคับว่าด้วยการยิงสลุต ร.ศ.125” ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชกำหนดการยิงสลุตขึ้นใหม่คือ การยิงสลุต ร.ศ.131 (พ.ศ.2455) กำหนดให้มีจำนวนปืนไม่ต่ำกว่า 4 กระบอก ซึ่งมีขนาดลำกล้องไม่เกิน 120 มิลลิเมตร ห้ามยิงตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกไปแล้วจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น แบ่งประเภทการยิงสลุตไว้ 3 ประเภท คือ สลุตหลวง แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ สลุตหลวงธรรมดา มีจำนวน 21 นัด และสลุตหลวงพิเศษ มีจำนวน 101 นัด สลุตข้าราชการ และสลุตนานาชาติ

พระราชกำหนดยิงสลุต ร.ศ.131 (พ.ศ.2455) ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อ พ.ศ.2483 แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ทางราชการรื้อฟื้นประเพณียิงสลุตขึ้นมาใหม่ เริ่มยิงสลุตครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2491 ดังนั้น ประเพณีการยิงสลุตจึงสืบทอดจากนั้นมาจนทุกปัจจุบัน

ที่มา : wikipedia (การยิงสลุต) / คลิปจาก YouTube : ไทยกระจ่าง

เกิดที่ทุ่งพระเมรุ อัศจรรย์เหตุการณ์จริงที่ยังหาคำตอบไม่ได้

อัศจรรย์เหตุการณ์จริงที่ทุ่งพระเมรุ ในระหว่างงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

แต่โบราณเชื่อว่าพระมหากษัตริย์คือสมมติเทพที่ลงมาจุติเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อประกอบคุณความดีและสะสมบารมี เมื่อเสด็จสวรรคตก็กลับขึ้นสรวงสวรรค์ ประกอบกับในโบราณจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์เรื่องอัศจรรย์ ถูกบันทึกไว้มากมาย และเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2560 ที่ทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง) ซึ่งมีการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้ปรากฏเหตุการณ์ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ถึง 4 เรื่อง


หมอกธุมเกตุ

วันที่ 25 ต.ค. 2560 เวลาประมาณ 23.00 น.ภาพจาก : Athikom Chaisrithong
วันที่ 26 ต.ค. 2560 เวลาประมาณ 6.00 น. ภาพจาก Noppasit Wongwaeoprasert

ช่วงค่ำของวันที่ 25 – 26 ต.ค. 2560 ในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้เกิดมีหมอกปกคลุมไปทั่วมณฑลพิธีท้องสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง โดยหลายคนเชื่อว่าเป็น “หมอกธุมเกตุ” ซึ่งมักเกิดเมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่ของบ้านเมือง เช่นพระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคต ดั่งเช่นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 วันเสด็จสวรรคตในหลวงรัชกาลที่5 ทว่าอยู่ๆวันนี้ก็ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง


ท้องฟ้าเปิดราวปาฏิหาริย์

ภาพจาก : ไทยรัฐ
ภาพจาก : ไทยรัฐ

สภาพอากาศในวันที่ 26 ต.ค. 2560 ตั้งแต่ช่วงเช้าท้องฟ้าเปิด แต่พอคล้อยบ่ายกลับอึมครึมจนเมื่อเวลา 15.45 น.ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่เมื่อถึงเวลาเริ่มพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ฟ้ากลับเปิดอีกครั้งอย่างปาฏิหาริย์ ราวกับว่าฝนที่หยุดในครั้งนี้เพราะพระบารมีในหลวงรัชกาลที่9


แสงสีดำทะยานขึ้นฟ้า

ภาพจาก : ArmyNews2017

วันที่ 26 ต.ค. 2560 หลังจากเจ้าพนักงานปฏิบัติการถวายพระเพลิงพระบรมศพไป 9 นาที บนท้องฟ้าเหนือยอดพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศได้ปรากฏเส้นหรือแสงสีดำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นเส้นตรงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทั้งที่ในบริเวณทั่วท้องสนามหลวง ไม่ใช่กลุ่มควัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าเส้นหรือแสงสีดำนี่มาจากสิ่งใด


ฝูงนกกระยางขาว

ภาพจาก : มติชน
ภาพจาก : tukky66

วันเดียวกันเวลาประมาณ 22.00 น. ในช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะมีพระราชพิธีถวายเพลิงพระบรมศพจริง ได้มีฝูงนกกระยางขาวบินรอบพระเมรุมาศ ซึ่งเมื่อนับดูแล้วปรากฏว่านกฝูงนี้มีจำนวน 9 ตัว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าบอกว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เพราะปกติแล้วชนิดนี้ไม่บินออกมาในเวลากลางคืน ขณะที่ยังเพิ่มรายละเอียดว่าปกตินกกระยางขาวอาศัยอยู่บริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐานและสวนสัตว์ดุสิต แม้ผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่หลายคนได้เชื่อไปแล้วว่านกกระยางขาวฝูงนี้บินรอบพระเมรุมาศเพื่อพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย


 

งดงาม ทรงคุณค่า ‘เล่าเรื่องพ่อ’ ผ่านภาพจิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งทรงธรรม

พระที่นั่งทรงธรรม ถือเป็นอาคารประกอบหลังสำคัญในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพราะใช้เป็นสถานที่สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับทรงธรรมและทรงประกอบพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในการออกพระเมรุพระศพ และภายในพระที่นั่งทรงธรรมยังเป็นที่ตั้งอาสนะพระสงฆ์และธรรมมาสน์ด้วย

สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรร่วมกันจรดปลายพู่กันลงบนผ้าแคนวาสขนาดจริงของจิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งทรงธรรมด้วยความประณีต ซึ่งงานนี้ออกแบบโดย นายมณเฑียร ชูเสือหึง รักษาการในตำแหน่งจิตรกรชำนาญการ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร โดย สำนักช่างสิบหมู่ วิทยาลัยช่างศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ร่วมมือกันบรรจงลงสีจิตรกรรมฝาผนัง

จิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งทรงธรรม ช่างสิบหมู่ได้คัดเลือกโครงการพระราชดำริเรียบเรียงเป็นเรื่องราวไว้ 46 โครงการ โทนสีภาพอ้างอิงจากจิตรกรรมฝาผนังในวัดเครือวัลย์วรวิหาร กรุงเทพมหานคร และวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ในประเทศอินเดีย รูปแบบจัดทำเป็นจิตรกรรมไทยร่วมสมัย ใช้สีหลักคือ สีเหลือง แทนวันพระราชสมภพ สีเขียว แทนความอุดมสมบูรณ์ และสีน้ำเงิน แทนความสดใสชุ่มชื้น

ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระที่นั่งทรงธรรม ช่างสิบหมู่ใส่ใจจรดพู่กันลงไป ร้อยเรียงเรื่องราวทั้ง 46 โครงการให้ภาพออกมาเสมือนจริง เป็นจิตรกรรมฝาผนังผนังที่ถ่ายทอดความงดงามจากช่างศิลป์ของไทย และสะท้อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งจะอยู่กับเราคนไทยไปตลอดเช่นกัน 

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเก็บพระบรมอัฐิ ร.๙

Alternative Textaccount_circle
เช้าวันนี้ 27 ตุลาคม 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง

โดยมี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี, ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เฝ้ารับเสด็จ

จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๑๐ เสด็จฯ ไปยังพระเมรุมาศ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ โดยมีเจ้าพนักงานภูษามาลาถวายเปิดผ้าเยียรบับคลุมพระบรมอัฐิ และ ร.๑๐ ทรงเก็บพระบรมอัฐิสรงพระสุคนธ์ในขันทองคำแล้วประมวลลงในพระโกศทองคำลงยาประดับเพชร รวม 6 พระโกศ และพระราชทานพระโกศพระบรมอัฐิแก่พระบรมวงศานุวงศ์ด้วย


เรื่องและภาพ : แพรวดอทคอม

‘เริ่มต้นรักใหม่ แต่รักนี้ต้องดูใจกันนานๆ’ เช็คเลย ดวงวันที่ 27 ตุลาคม 2560

ดูดวงรายวัน ประจำวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 เช็คทุกวัน ทันทุกดวงกับ แพรว ดอทคอม

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

การงาน :  ท่านที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชน หรือประชาสัมพันธ์ หากกำลังเริ่มต้นสร้างสรรค์ทำงานใหม่ อาจมีอุปสรรคและปัญหาในเบื้องต้น ขออย่าหวั่นไหวหรือยอมแพ้ เพราะความสำเร็จกำลังรอท่านอยู่

การเงิน : หนี้สินต่างๆ จะคลี่คลาย ที่เป็นเจ้าหนี้ก็จะได้เงินคืน

ความรัก : วันนี้รักเก่าจบไปแล้ว หากกำลังเริ่มต้นรักใหม่ก็คงยังต้องดูใจกันไปก่อนนาน เท่าไหร่ยิ่งดี คนโสด ยังเป็นโสดต่ออีกหนึ่งวันนะจ๊ะ

สุขภาพ : ระวังตัวเบอร์สูงสุด โดยเฉพาะหัวใจ สายตา และหลัง

 

ผู้ที่เกิดวันจันทร์

การงาน :  งานด้านงานช่าง หรือการก่อสร้างบ้าน หรืองานที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม ท่านกำลังจะเริ่มต้นคิดหรือสร้างสรรค์โปรเจ๊คท์ใหม่ ซึ่งท่านต้องใช้ปฏิภาณ ไหวพริบ เพื่อเอาตัวรอดกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

การเงิน  : ช่วยเหลือคนอื่นมากจนการเงินตัวเองสะดุด

ความรัก :  วันนี้ท่านอาจมีโครงการที่จะต่อเติมบ้าน หรือซ่อมบ้าน แต่ท่านยังโลเล เพราะคิดละเอียดทุกขั้นตอนจึงยังไม่ได้ลงมือสักที คนโสด ท่านน่ารัก คุยเก่ง แต่ก็ไม่วางใจใครง่ายๆ

สุขภาพ : ไม่ค่อยเจ็บป่วย แต่หากเป็นก็หนักเลย อวัยวะที่ต้องดูแลเป็นพิเศษคือ ช่องท้อง มดลูก

 

ผู้ที่เกิดวันอังคาร

การงาน  :  ท่านติดต่องานด้วยความไม่มั่นใจ ลังเลใจ คิดมาก วิตกกังวล เพราะบริวารไม่ให้ความเกรงใจเท่าที่ควร ควรพักหรือไปท่องเที่ยวให้จิตใจสงบก่อนแล้วค่อยติดต่องานใหม่ดีกว่า

การเงิน : หมดเงินไปกับการลงทุนและช่วยเหลือคนอื่น จนต้องเอ่ยปากขอผู้ใหญ่

ความรัก : วันศุกร์แล้ว ท่านควรพาคู่ไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดบ้าง เพื่อช่วยยืดความรักความสัมพันธ์ให้ยืนยาว คนโสด หากท่านลดความขี้น้อยใจ แสนงอน จะมีคู่เป็นตัวเป็นตนล่ะ

สุขภาพ : งดอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และคลอเรสเตอรอล เพราะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ไขมันอุดตัน

 

ผู้ที่เกิดวันพุธ

การงาน  : ผู้ใหญ่ก็ยังไม่ทิ้งท่าน คอยส่งเสริมและสนับสนุน ผู้บังคับบัญชาก็ให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ เพื่อนร่วมงานก็ให้การช่วยเหลือ จนเกิดความอิจฉาริษยาในหมู่คนทำงาน ซึ่งท่านต้องเอาตัวรอดให้ได้

การเงิน : หมดกับการสงเคราะห์ผู้คนทั้งไม่รู้จัก และญาติมิตร

ความรัก : วันนี้ความรักความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ค่อยราบรื่น จุกจิก ระแวงกันมากไปหน่อย  คนโสด ท่านต้องมองผู้ใหญ่สักนิดนะคะ เพราะจะเข้าใจท่านที่สุด

สุขภาพ :  ระบบย่อยจะมีปัญหา น้ำย่อยทำงานผิดปกติ ควรทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ

 

ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

การงาน :  ท่านเข้าสู่โหมดศิลปิน งานที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ศิลปะ ศิลปิน การบริการจะประสบความสำเร็จ มีคนให้การสนับสนุนด้วย แต่ก็อย่าวางใจเสียทีเดียว อาจถูกหักหลังได้

การเงิน :  ใช้เงินเก่ง ควรหาผู้จัดการการเงิน

ความรัก : วันนี้พวกท่านลั้ลลาตามประสาวันศุกร์ คนโสด โลกยังคงเป็นสีชมพูค่ะ แต่ให้ระวังนิดคนที่ท่านถูกใจเป็นประเภทลั้ลลา ชอบกิน ดื่ม เที่ยว

สุขภาพ : ขับรถระวังด้วย ข้อสำคัญ เมาอย่าขับนะคะ

 

ผู้ที่เกิดวันศุกร์

การงาน  : ท่านที่ทำงานเกี่ยวข้องกับศิลปะ ดนตรี และวงการบันเทิง จะประสบความสำเร็จ แต่ท่านต้องใช้ความรู้ความสามารถ เพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์บางอย่าง

การเงิน :  ผู้หญิงวาจาเป็นทรัพย์

ความรัก :  ผู้หญิงจะช่วยส่งเสริมหน้าที่การงานของสามี เธอมีทั้งบุ๋น และบู๊ พิษสงแพรวพราวทีเดียว คนโสด วันนี้ผู้หญิงครบเครื่องค่ะ สวยและรวยมาก แซ่บอีกต่างหาก

สุขภาพ  :  สั้นๆ ค่ะ โรคอ้วนถามหาแล้ว

 

ผู้ที่เกิดวันเสาร์

การงาน : ธุรกิจในครอบครัว หรือด้านต่างประเทศที่ท่านรับผิดชอบอยู่ วันนี้จะมีปัญหาขลุกขลักให้แก้ไขตลอดเวลา ท่านต้องอาศัยการพลิกแพลงหรือใช้กลยุทธ์ต่างๆ จึงจะผ่านพ้นไปได้

การเงิน : ไม่ควรเซ็นค้ำประกัน หรือเอกสารกู้ยืมทุกชนิด

ความรัก : วันนี้อาจมีปัญหาเรื่องความหึงหวง และแสดงความเป็นเจ้าของสูงจนอาจเกิดปากเสียงกันได้ คนโสด ท่านจะได้พบคู่แท้

สุขภาพ : ดูแลหัวใจให้ดีๆ กับเรื่องสายตา

ถวายพระเพลิงพระบรมศพจริง ความเศร้าปกคลุมใจคนไทยทั้งประเทศ

สัญญาณถวายพระเพลิงพระบรมศพ กลุ่มควันสีขาวลอยเหนือพระเมรุมาศ ประชาชนรอบโดยรอบก้มกราบส่งพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 60 เวลา  23.20 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนบริเวณโดยรอบสนามหลวงได้หันหน้าไปยังพระเมรุมาศพร้อมก้มกราบพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ภายหลังกลุ่มควันสีขาวลอยเหนือพระเมรุมาศซึ่งเป็นสัญญาณการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ประชาชนหลายคนร้องไห้เสียใจอย่างที่สุดนับเป็นบรรยากาศเศร้าโศกที่หลายคนคงจดจำไปชั่วชีวิต


ภาพจาก : dhammatan

ตามไปดู 10 ชุดเจ้าสาวแพงที่สุดในโลก เห็นราคาแล้วต้องร้อง OMG!

account_circle

ชุดเจ้าสาว ส่วนประกอบสำคัญที่ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็พร้อมจะทุ่มให้ได้ชุดสวยและดูดีที่สุดในวันแต่งงาน แน่นอนว่ายิ่งชุดสวยก็ยิ่งมีราคามาก ไอ้ที่เราเห็นดาราคนดังในบ้านเราใส่ๆ กันน่ะ แค่รู้ราคายังอ้าปากค้าง หึหึ! (แสยะยิ้มหนึ่งที!) แต่นั่นน่ะมันเบาะๆ เพราะยังมีชุดที่แพงกว่านั้นอีกมากโข ถ้าอยากรู้ว่ามันแพงยังไง แพรวเวดดิ้ง จะพาไปดูค่ะ Go! ชุดเจ้าสาวแพงที่สุดในโลก

10 ชุดเจ้าสาวราคาแพงที่สุดในโลก มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องใจกล้าซื้อและใส่ด้วย!

อันดับที่ 10 Melania Knauss Wedding Gown มูลค่า 200,000 ดอลลาร์ (5,973,000 บาท)

ชุดนี้ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง John Galliano ที่รังสรรค์สุดเจ้าสาวแสนงามให้กับอดีตนางแบบ Melania Knauss เมื่อครั้งแต่งงานกับเศรษฐีชื่อก้องโลก Donald Trump ที่ตอนนี้กลายเป็นอดึตสตรีหมายเลข 1 ไปแล้ว แต่นางจะแคร์เพื่อ??? เพราะชุดของนางในวันที่แต่งงานกับท่านทรัมป์นั้น ว่ากันว่าแพงมากกกกก! และชายกระโปรงชุดนี้ก็ยาวมากกกกถึง 13 ฟุต (เกือบๆ 4 เมตร!) หมดผ้าดัสเชสซาตินเนื้อดีไปถึง 91 เมตร ประดับประดาด้วยคริสตัลกว่า 1,500 เม็ด และไข่มุกน้ำหนักรวม 50 ปอนด์ แหม! สามีรวยซะขนาดนี้ก็ใส่ๆ ไปเถอะจ้ะ (อิจฉาแรง!!!)

อันดับที่ 9 Fiery Red Platinum Wedding Dress มูลค่า 250,000 ดอลลาร์ (7,467,000 บาท)

ชุดเจ้าสาวชุดนี้ถูกผลิตขึ้นในมณฑลอันฮุย ประเทศจีน เนื้อผ้าแพลตินัมสีแดงสด ประดับลายเคลือบเงาสีเงินดูหรูหรา ถึงแม้ว่าในโลกนี้จะมีชุดเจ้าสาวที่ทำจากเงิน ทอง เพชร มากมายหลายชุด แต่เชื่อเถอะค่ะว่า ชุดที่ทำจากแพลตินัมน่ะ หาได้ยากยิ่งนัก เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยค่ะว่าทำไมถึงแพงขนาดนี้!

อันดับที่ 8 Mauro Adami Platinum Wedding Dress มูลค่า 373,000 ดอลลาร์ (11,140,000)

อีกหนึ่งชุดเจ้าสาวที่ทำจากแพลตินัมที่สวยงามไม่แพ้กัน ออกแบบโดย Mauro Adami ในปี 2008 หมดผ้าไปกว่า 40 เมตร ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดีและแพลตินัม ทำให้ชุดเจ้าสาวออกสีเงินๆ เมทาลิกเก๋ไก๋ ปักลูกไม้ลายดอกเพิ่มเข้าไปตรงช่วงคอและชายกระโปรง ถึงแม้จะไม่ใช่ชุดสีขาวแต่ขอบอกเลยว่า สวยมว้ากกกก!!!

อันดับที่ 7 Amal Clooney’s Wedding Dress มูลค่า 380,000 ดอลลาร์ (11,350,000)

ชุดเจ้าสาวของ Amal Clooney ภรรยาของนักแสดงและผู้กำกับฮอลลีวู้ดคนดัง สวยเริ่ดในวันแต่งงานด้วยชุดเจ้าสาวจาก Oscar de la Renta ซึ่งกลายเป็นผลงานการออกแบบชุดสุดท้ายก็ดีไซเนอร์ชื่อดังจะเสียชีวิตหลังจากงานแต่งของเอมาลไม่นาน ชุดนี้ถูกออกแบบมาเป็นสไตล์เกาะไหล่ ใช้ผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสชั้นดี ดูเรียบหรู และที่สำคัญคือ แพงมากจ้า!

อันดับที่ 6 Sarah Burton Wedding Dress for Kate Middleton มูลค่า 434,000 ดอลลาร์ (12,962,000 บาท)

มีชาร์ตจัดอันดับงานแต่งไหนที่เจ้าสาวคนนี้จะไม่ทะลุทะลวงเข้าไปบ้างไหมคะ? คำตอบคือไม่มี! เข้าชาร์ตมาสวยๆ ด้วยอับดับ 5 กับชุดแต่งงานคนดังระดับตำนานที่ใครๆ ก็ใส่ตาม ชุดนี้ออกแบบโดย Sarah Burton ดีไซเนอร์จากแบรนด์ Alexander McQueen ตัดเย็บด้วยผ้าซาตินกาซาร์ ผสมผสานผ้าลูกไม้อังกฤษและผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสอย่างลงตัว ชายกระโปรงยาวเกือบ 3 เมตร สวยและแพงแค่ไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าหลังงานแต่งนางเจ้าสาวคนอื่นๆ ก็เรียกร้องใส่ชุดเจ้าสาวผ้าลูกไม้แขนยาวกันเป็นแถวๆ

อันดับที่ 5 Peacock Feather Wedding Gown by Vera Wang มูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์ (54,000,000 บาท)

ชุดเจ้าสาวสีเขียวสด ออกแบบโดยแบรนด์ชุดเจ้าสาวชื่อดัง Vera Wang ตัดเย็บในปี 2009 โดยทำจากขนนกยูงตัวผู้กว่า 2000 กิ่ง และใช้ช่างตัดเย็บ 8 คนในการติดขนนกยูงลงไปบนชุด เห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่เอามือทาบอกสงสารนกยูงที่ไม่รู้ว่าสังเวยขนไปเยอะแค่ไหนเพื่อชุดแต่งงานแสนแพงชุดนี้!!!

อันดับที่ 4 Danasha Luxury Wedding Gown มูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์ (54,000,000 บาท)

ชุดนี้เป็นการร่วมกันออกแบบโดยดีไซเนอร์อินเตอร์ Danasha Luxury และ Jad Ghandour มองๆ ไปก็ดูเหมือนจะธรรมดาๆ ไม่มีหางยาว ไม่มีผ้าลูกไม้ แต่สิ่งพิเศษที่ทำให้ชุดนี้ราคาสูงลิบลิ่วก็คือ ทองคำ 18k กว่า 200 กรัม และเพชรเบลเยี่ยมกว่า 75 กะรัตที่ประดับอยู่บนชุดนี่แหละที่ทำให้ความธรรมดามีราคาแพงจนน่าขนลุก!

อันดับที่ 3 White Gold Diamond Dress by Yumi Katsura มูลค่า 8.5 ล้านดอลลาร์ (306,000,000 บาท)

ชุดเจ้าสาวชิ้นมาสเตอร์พีซ ส่งเข้าชาร์ตโดยดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น Yumi Katsura เหตุผลที่แพงหูฉี่ขนาดนี้ก็เพราะว่าตัดเย็บจากทองคำขาวผสมผสานผ้าไหมและผ้าซาตินเนื้อละเอียดที่สุด ประดับด้วยไข่มุกกว่าพันเม็ด เพชรทองคำขาวที่หายากมากๆ กว่า 5 กะรัต และเพชรสีเขียวอีก 8.8 กะรัต จริงๆ ชุดนี้ก็เคยเป็นอันดับ 1 ของชุดเจ้าสาวที่แพงที่สุดในโลกนะคะ แต่สุดท้ายก็ตกมาอยู่อันดับ 3 จนได้

อันดับที่ 2 The Diamond Wedding Gown มูลค่า 12 ล้านดอลลาร์ (432,000,000 บาท)

หลังจากครองชุดเจ้าสาวแพงที่สุดอันดับหนึ่งมานาน ปีนี้ตกลงมาอยู่อันดับ 2  แล้วจ้า ชุดนี้เป็นการร่วมมือออกแบบของดีไซเนอร์ด้านเสื้อผ้า Renee Strauss และดีไซเนอร์เครื่องเพชร Martin Katz ที่สร้างสรรค์ชุดเจ้าสาวห่มเพชรชุดนี้สำหรับใช้ขึ้นรันเวย์อวดความเวอร์วังในปี 2006 ที่จัดขึ้นใน Ritz-Carlton Marina del Ray รัฐ California ทั้งชุดนี้ประดับด้วยเพชร 150 กะรัต ประดับคริสตัลวิบวับลงบนเวลคลุมผมเจ้าสาวด้วย

อันดับที่ 1  Hany El Behairy Bridal Gown มูลค่า 15 ล้านดอลลาร์ (448,000,000 บาท)

 

ขึ้นแท่นชุดแต่งงานที่แพงที่สุดในโลก จากฝีมือดีไซเนอร์ชาวอียิปต์ Hanyl El Behairy สร้างสรรค์ชุดเจ้าสาวที่ใช้เวลาผลิตกว่า 800 ชั่วโมง เปิดตัวครั้งแรกที่งานแฟชั่นวีคกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อปลายปี 2019 โดยชุดนี้ถูกประดับด้วยเพชรน้ำงามและอัญมณีตลอดทั้งชุด แสงเพชรวิบวับกระแทกตาแฟชั่นนิสต้าทั่วโลก จนได้มาโชว์ความหรูหราอีกครั้งบนรันเวย์ ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา (สังเกตที่พื้นรันเวย์นะคะ แสงเพชรสะท้อนประกายเลอค่าจริงๆ)

ว่าที่เจ้าสาวคนไหนถูกใจแล้วอยากได้มาใส่บ้าง ถ้ากำลังทรัพย์มากพอก็ลองดูได้นะคะ ส่วนแพรวเวดดิ้งขอโกยแนบตั้งแต่เห็นราคาอันดับ 10 แล้วจ้ะ บายยย!!!

ภาพ : www.alux.com, www.babble.com, www.claytonladuerotary.org, www.everythinglists.com, www.financesonline.com, www.formyfem.com, www.pinterest.com, www.stayathonmemum.com, standard.co.uk

รู้จักเพชรทรงกลมกันดีกว่า

account_circle

เพชรทรงกลม ยอดฮิตซึ่งเป็นเพชรที่เจ้าสาวหลายคนฝันถึงนั้นจัดว่าเป็นเพชรที่มีราคาสูงที่สุด โดยจะมีการเจียรไน 58 เหลี่ยมเป็นมาตรฐาน แต่ปัจจุบันมีผู้ค้าอัญมณีบางรายได้ทำการเจียรไนเหลี่ยมเพิ่มขึ้นให้กับเพชรทรงกลมนี้เพื่อเพิ่มการสะท้อนแสงของเพชรให้มีประกายเล่นไฟระยิบระยับมากยิ่งขึ้น

เพชรทรงกลมจะเจียรไนให้ด้านบนป้านใหญ่เกือบจะเป็นครึ่งวงกลมและด้านล่างแหลมเป็นกรวย ซึ่งรูปทรงแบบนี้จะทำให้ประกายของเพชรสะท้อนออกมาได้มากที่สุด สาเหตุหนึ่งทำให้เพชรกลมเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากเป็นเพชรแบบมาตรฐาน ซื้อง่ายขายคล่อง ราคาซื้อกับราคาขายจะมีช่วงห่างกันน้อยที่สุดในบรรดาเพชรรูปทรงอื่น รวมทั้งยังใช้ได้หลายโอกาสและจัดเข้าชุดกับเครื่องประดับต่างๆ ได้ง่ายกว่ารูปทรงอื่นๆ ร้านค้าเพชรส่วนใหญ่จะมีเพชรกลมเหลี่ยมเกสรเป็นสินค้ามาตรฐาน

เรื่องราวของเพชรทรงกลม

ในครั้งแรกเพชรกลมถูกเรียกว่า “มาซาริน คัท” (Mazarin Cut) ตามชื่อของทูตจูเลียน คาร์ดินัล มาซาริน ผู้ซึ่งได้เจียรไนเพชรให้มี 17 เหลี่ยม ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ต่อมา วินเซนต์ เพอรุซซี่ ได้เพิ่มเหลี่ยมเพชรกลมขึ้นเป็น 33 เหลี่ยม แต่บุคคลที่เป็นที่จดจำเกี่ยวกับเพชรทรงกลมนี้มากที่สุด คือ มาร์เซล โทลโควสกี้ (Marcel Tolkowsky) นักคณิตศาสตร์ซึ่งได้พัฒนาการเจียรไนให้เกิดมาตรฐาน 58 เหลี่ยมในปัจจุบัน

รู้เอาไว้เกี่ยวกับเพชรทรงกลม

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพชรทรงกลมขายได้มากถึง 75% ของเพชรที่ขายทั้งหมด โดยเพชรที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในเรื่องความสวยงามและมีเรื่องราวติดเม็ดเพชรมาได้แก่ เพชร เดอ ยัง เรด (De Young Red) ซึ่งเป็นเพชรสีแดงขนาด 5 กะรัต ถูกเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สมิตโซเนียน ในกรุงวอชิงตัน ดีซี มีลักษณะพิเศษที่บริเวณเหลี่ยมด้านบนของเพชร ซึ่งถูกแบ่งตามแนวนอนออกเป็น 2 ส่วน เพื่อเพิ่มจำนวนเหลี่ยมเข้าไปสร้างประกายแสงให้มากขึ้นกว่าการเจียรไนแบบมาตรฐาน 58 เหลี่ยม

เพชรอีกเม็ดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ เพชรโฮป (Hope Diamond) ซึ่งเป็นเพชรขนาดใหญ่ น้ำหนัก 45.52 กะรัต (9.10 กรัม) สีน้ำเงินเข้ม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสมิธโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดีซี เพชรโฮปมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นสีน้ำเงินเพราะมีธาตุโบรอนปริมาณเล็กน้อยอยู่ในโครงสร้างผลึก แต่จะเรืองแสงสีแดงเมื่ออาบแสงอัลตราไวโอเล็ตเพชรดังกล่าวจัดเป็นเพชรประเภท 2 บี และดังกระฉ่อนเพราะเล่าว่าเป็นเพชรต้องคำสาป มันมีประวัติศาสตร์บันทึกยาวนานโดยมีช่องว่างอยู่บ้างเมื่อมันได้เปลี่ยนมือหลายครั้งระหว่างทางจากอินเดียไปฝรั่งเศส ไปอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพชรโฮปได้รับการอธิบายว่าเป็น “เพชรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก”

ธ สถิตในดวงใจ คนบันเทิงถวายดอกไม้จันทน์เสด็จสู่สวรรคาลัย

คนบันเทิงน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ ๙ ถวายดอกไม้จันทน์พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย

นอกจากในวันนี้เราจะได้เห็นภาพประวัติศาสตร์ของประชาชนชาวไทยทั้งแผ่นดินออกจากบ้านมาร่วมใจกันถวายดอกไม้จันทน์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยหัวใจแสนเศร้าแล้ว เรายังได้เห็นคนบันเทิงออกมาความแสดงจงรักภักดี น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย โดยต่างตั้งใจเดินทางมาร่วมถวายดอกไม้จันทน์ ในวาระนี้ด้วย


แอน ทองประสม

ภาพจาก @annethong

แอน ทองประสม เดินทางมาถวายดอกไม้จันทน์ที่พระเมรุมาศจำลอง บริเวณด้านหน้าศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยเธอให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่า “ช่วงที่เพลงสรรเสริญพระบารมีขึ้น แอนร้องไห้ไป 1 รอบ เราฟังแล้วรู้สึกอยากร้องไห้ เหมือนเราร้องให้ท่านเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับวันนี้ที่มาไม่ได้คิดอะไรเลย ตั้งใจแค่จะมาวางดอกไม้เท่านั้น ระหว่าง 1 ปีที่ผ่านมา แอนได้พูดกับพระองค์ท่านตลอดอยู่แล้ว พอมาวันนี้กลับไม่มีเรื่องพูด ความรู้สึกของเราคืออยากมองพระองค์ท่านให้นานที่สุด ถึงจะเป็นเพียงพระบรมฉายาลักษณ์ที่อยู่ตรงพระเมรุมาศจำลอง บวกกับความรู้สึกที่เราอยู่ท่ามกลางคนไทยทุกคนที่ตั้งใจจะมา เมื่อคืนแอนไปได้แค่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ได้อยู่แค่นั้นก็ชื่นใจแล้ว เพราะแอนรู้สึกว่าเราอยู่ใกล้ท่านมาตลอด แอนว่าหากเราศรัทธา แรงใจเราจะอยู่ที่พระองค์ท่าน ถึงตัวเราจะอยู่ไกล หรืออยู่ตรงไหน แต่จิตที่รักและภักดีจะอยู่กับพระองค์ท่านตลอดไป”


เบิร์ด – ธงไชย แมคอินไตย์

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Bird Thongchai Fans Page

นักร้องซูเปอร์สตาร์ชื่อดังของเมืองไทย เบิร์ด – ธงไชย แมคอินไตย์ ศิลปินผู้ขับร้องบทเพลงเทิดพระเกียรติ ในหลวง ร.๙ ที่อยู่ในความทรงจำของคนไทยหลายเพลง อาทิ ต้นไม้ของพ่อ, ของขวัญจากก้อนดิน, รูปที่มีทุกบ้าน, ในหลวงในดวงใจ, พระราชาผู้ทรงธรรม ฯลฯ ได้ร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง


 จุ๋ย – วรัทยา นิลคูหา และ พุฒ- พุฒิชัย เกษตรสิน 

ภาพจาก : warattaya_club
ภาพจาก : สำนักข่าวไทย

จุ๋ย – วรัทยา นิลคูหา และ พุฒ- พุฒิชัย เกษตรสิน เดินทางไปถวายดอกไม้จันทน์ที่พระเมรุมาศจำลอง บริเวณด้านหน้าศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ภายหลังจากการถวายดอกไม้จันทน์ จุ๋ยได้ให้สัมภาษณ์แบบน้ำตาไหลพรากว่า เมื่อพูดถึงความประทับใจต่อในหลวงรัชกาลที่ ๙ เธอจะนึกถึงคำสอนที่อยู่ในใจเสมอ นั่นก็คือเรื่องของการให้ การเอื้อเฟื้อเกื้อกูล และมีไมตรีต่อกัน ซึ่งจะทำให้สังคมเราน่าอยู่ โดนเธอจะนำคำสอนนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตทุกย่างก้าวแม้ว่าวันนี้พระองค์ท่านจะอยู่บนสวรรค์แล้วก็ตาม


 เบลล่า-ราณี แคมเปน

ภาพจาก : bee_emily

เบลล่า-ราณี แคมเปน เดินทางไปถวายดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศจำลอง บริเวณ ลานพระราชวังดุสิต เผยว่า

“วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่อยากให้มาถึง แต่ที่สุดก็ต้องมาถึง ถามว่าทำใจได้ไหม เบลก็ดีขึ้น แต่ว่าพอมาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้เราก็รู้สึกว่ามันเร็วจริงๆ ยิ่งเบลมารอวางดอกไม้จันทน์โดยไม่รู้ว่าจะได้เข้าไปข้างในหรือเปล่า เพราะคนมากันเยอะมากๆ แต่เบลแค่รู้สึกว่าเบลต้องมา หัวใจเบลอยู่ตรงนี้ก็เลยมาจนได้ ถึงฝนจะตกหนักก็ไม่เป็นไร เพราะเบลว่าดีกว่าตกตอนมีพระราชพิธีกำลังดำเนิน

เบลว่าทุกคนที่มาก็สู้เต็มที่ ไม่ท้อเลย เบลคิดถึงตอนที่พระองค์ท่านทำเพื่อเรามาเยอะมาก แค่นี้เบลทนได้ อีกอย่างตอนฝนตก คนข้างๆ เบล ใครมีถุงพลาสติกก็เอามาให้เพราะเห็นว่าเบลมีโทรศัพท์อยู่ ร่มก็แชร์กันใช้ เรียกว่าเราได้เห็นน้ำใจของคนไทยที่มีต่อกันจริงๆ และวันนี้เบลว่าไม่ใช่วันสุดท้าย เพราะถึงแม้พระองค์ท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่ในใจเราเสมอ และเรายังสามารถทำสิ่งดีๆ ต่อไปได้

“ยิ่งถ้าเรายังอยากเรียกตัวเองว่าเป็นลูกพ่อ ก็ต้องเป็นคนดีเพื่อพ่อต่อไป”


ท็อป – ดารณีนุช โพธิปิติ

ภาพจาก : @topdaraneenute

ท็อป – ดารณีนุช โพธิปิติ ยอมนอนริมถนนถึง 2 คืนเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย ในการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยเจ้าตัวได้เผยความรู้สึกผ่านทางอินสตาแกรมว่า

“อยากบอกทุกท่านว่า จะอยู่ตรงไหนก็น้อมใจกราบพ่อได้ การที่มาอยู่ตรงนี้ได้เพราะใจที่ปรารถนาล้วนๆ ใจสั่งให้เราเตรียมการ ใจสั่งให้เราลงมือปฏิบัติ ทำจากใจที่ตั้งมั่น หลายคนอยากมาอยู่ตรงนี้แต่มาไม่ได้ ด้วยเหตุปัจจัยต่างกันไป ก็ไม่เป็นไรเลย เพราะเราก็ล้วนใจดวงเดียวกัน ทุกเสียงฝากกราบส่งพ่อที่ฝากมา เราจะทำให้ดีที่สุดนะคะ ส่วนการมาอยู่ที่ตรงนี้ และเผยแพร่สภาพชีวิตความเป็นอยู่ในนี้ ก็เพื่อแบ่งปันความรู้สึกร่วมกัน ทุกกำลังใจ หรือคำค่อนขอด บอกเลยว่าสำหรับดิฉันแล้วราคาเท่ากันค่ะ เพราะปิติที่เกิดขึ้นในใจไม่ใช่มาจากเสียงชมหรือเสียงต่อว่าของใคร

“แต่มันเกิดขึ้นในใจหลายๆ ดวงของพวกเราตรงนี้ที่ยากจะอธิบายค่ะ”


 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 

สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 นำโดย คุณพลากร สมสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ พร้อมคณะผู้บริหาร, ผู้ผลิตรายการ-ละคร และนักแสดง อาทิ ศุกลวัฒน์ คณารศ, ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์,       อรรคพันธ์ นะมาตร์, วงศกร ปรมัตถากร, กันตพงศ์ บำรุงรักษ์, เคลลี่ ธนะพัฒน์, ชนะพล สัตยา, เอก รังสิโรจน์, กฤตฤทธิ์ บุตรพรม, ธันน์ ธนากร, จีรนันท์ มะโนแจ่ม, พีชญา วัฒนามนตรี, ทิสานาฎ ศรศึก, กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า, แซมมี่ เคาวเวลล์, อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล, ปุณยาพร พูลพิพัฒน์, เซฟฟานี อาวะนิค, มุกดา นรินทร์รักษ์, ปภาดา กลิ่นสุมาลย์ ฯลฯ อีกทั้งผู้ประกาศข่าว และเหล่าพนักงาน รวมทั้งสิ้นกว่า 100 คน ขอรวมใจเป็นหนึ่งเดียว เข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ โดยมีเหล่าพนักงานร่วมเป็นจิตอาสาแจกดอกไม้จันทน์แก้วนพเก้า จำนวน 700 ดอก และบริการน้ำดื่มให้แก่ประชาชนที่มาร่วมพิธี ณ ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ บริเวณสวนจตุจักร


ภาพที่ไม่มีใครอยากเห็น พราหมณ์สยายผม ธรรมเนียมไว้ทุกข์ตามโบราณราชประเพณี

Alternative Textaccount_circle

ในวันนี้ (26 ต.ค.60) ตามที่ได้เห็นภาพถ่ายทอดสด พราหมณ์สยายผม ในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร คงมีหลายท่านสงสัยไม่น้อยว่าทำไมพราหมณ์ถึงต้องสยายผม นั่นก็เพราะว่า…

ตามปกติพราหมณ์จะมวยผมไว้เรียบร้อย และมีความเชื่อว่า การสยายผมเป็นความอัปมงคล หรือเพื่อแสดงความเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด ซึ่งการสยายผมเป็นธรรมเนียมของอินเดียโบราณ แต่เดิมคนโบราณทั้งในสุวรรณภูมิและชมพูทวีปต่างรวบผมเป็นมวย เมื่อผู้ที่รักสิ้นชีวิตไป จะปลดมวยสยายผมลงมาดูกระเซอะกระเซิงแสดงความเศร้าโศกเสียใจ และบอกกับผู้คนว่าอยู่ในเวลาไว้ทุกข์ ดังในคัมภีร์ภควัทคีตากล่าวว่า “วีรบุรุษไม่ทำร้ายผู้สยายผม” หมายความว่า ห้ามทำร้ายผู้คนในช่วงไว้ทุกข์ เพราะกำลังอยู่ในช่วงกำสรดสุดแสน

ด้วยเหตุนี้ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ จึงมีพราหมณ์เดินก้มหน้าสยายผม ให้ความรู้สึกประหนึ่งเทพยดาประกาศจุดจบของโลกเสียเหลือเกิน ซึ่งหลายคนคงได้เห็นกันเป็นครั้งแรกในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ว่าขณะที่พราหมณ์เดินตามขบวนพระบรมโกศ ก็ได้เริ่มต้นสยายผม พร้อมกับเริ่มต้นการเดินริ้วขบวนที่ 1 ซึ่งเป็นธรรมเนียมพระราชพิธีตามแบบโบราณ

ขอบคุณข้อมูลจาก FB : Kornkit Disthan
บทความเรื่อง “นาลิวัน” คือใคร? ของอาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

ประมวลภาพ พระราชอาคันตุกะ แสดงความอาลัยกับในหลวงรัชกาลที่ ๑๐

วันนี้ 26 ตุลาคม 2560 เวลา 20.00 น. หลังจาก พระราชอาคันตุกะ จากทั่วโลก เสด็จฯ ขึ้นบนพระเมรุมาศเพื่อถวายดอกไม้จันทน์ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร เสร็จสิ้นแล้ว

จากนั้นก็ถึงลำดับที่พระราชอาคันตุกะต้องเสด็จฯ กลับ ซึ่งก่อนเสด็จฯ กลับนั้นทรงทักทายและแสดงความอาลัยในการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แด่การจากไปของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกคน

ถือเป็นห้วงเวลาประวัติศาสตร์ทรงค่าที่คนไทยจะจดจำไปอีกนานเท่านาน

ต่อมิตรภาพที่นานาประเทศต่างพร้อมใจกันมาแสดงให้เห็นในครานี้

 

กษัตริย์จิกมีแห่งภูฏาน ทรงติดเข็มกลัดเลข ๙ แสดงถึงความศรัทธาต่อ ในหลวงไทย

วันที่ 26 ตุลาคม 2560 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พระมหากษัตริย์แห่งภูฏาน เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก ทรงเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร  ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ด้วยความสัพนธ์อันดีที่ต่อกันมาโดยตลอด และความศรัทธาต่ออดีตองค์ประมุขของไทย ในหลวงรัชกาลที่๙ ที่กษัตริย์จิกมีทรงยกย่อง พระองค์จึงทรงติดเข็มกลัดรูปเลข ๙ อันเป็นเลขประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ไว้ที่พระอุระด้านซ้ายของพระองค์เอง

เมื่อปี 2549 ในพิธีประสาทปริญญา มหาวิทยาลัยรังสิต กษัตริย์จิกมีแห่งภูฏานมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งถึงในหลวงรัชกาลที่๙ ว่า “ในโอกาสที่ข้าพเจ้าได้เดินทางมาร่วมงานเฉลิมฉลองในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าได้เห็นประชาชนของไทยแสดงความจงรักภักดี และเสียสละ แก่พระมหากษัตริย์และประเทศของตน ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของประชาชนคนไทยในการป้องกันประเทศอีกด้วย”

“ข้าพเจ้ารัก เคารพ และชื่นชมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมาก  พระองค์ท่านทรงเป็นสุดยอดพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้ามีความศรัทธาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างลึกซึ้งในหลายๆ เรื่อง ปีนี้เป็นปีที่สำคัญมากสำหรับข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม ”

ถ้าหากใครได้ตามดูพระราชกรณียกิจของกษัตริย์จิกมีแห่งภูฏานจะเห็นได้ชัดว่า พระองค์ยังทรงตามรอยพระบาทในหลวงรัชกาลที่ ๙ อย่างมุ่งมั่นและเต็มกำลัง ทรงยกให้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นต้นแบบในการปกครองประเทศและประชาชน ทั้งนี้สายสัมพันธ์ระหว่างไทย – ภูฏานยังคงแน่นแฟ้นเช่นเดิม แม้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต แล้วก็ตาม


 

keyboard_arrow_up