หนึ่งในคำถามที่ถูกถามมาบ่อยที่สุดทั้งใน Facebook และ Instagram ของเปิ้ลคือ ใช้น้ำมันอะไรทำอาหารดี วันนี้เปิ้ลจะมาลองอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังแบบง่ายๆ กันนะคะ

หนึ่งในคำถามที่ถูกถามมาบ่อยที่สุดทั้งใน Facebook และ Instagram ของเปิ้ลคือ ใช้น้ำมันอะไรทำอาหารดี วันนี้เปิ้ลจะมาลองอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังแบบง่ายๆ กันนะคะ

น้ำมัน (หรืออาหารกลุ่มไขมัน) อาจจะเป็นสิ่งที่ฟังดูน่ากลัว เป็นตัวอ้วนและควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด ซึ่งก่อนที่จะด่วนสรุปแบบนั้นเรามาทำความใจให้ตรงกันก่อนว่าไขมันนี้มีทั้งแบบที่ดีและแบบที่ไม่ดี และการบริโภคไขมันดีนี้เป็นสิ่งที่สำคัญต่อร่างกายเราค่ะ

ไขมันดี คือ ไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (unsaturated fats) โดยถูกแบ่งเป็นสองประเภทคือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fats) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ไขมันดีเหล่านี้มีคุณสมบัติในการลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกาย (LDL) เพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) และสามารถช่วยลดการอักเสบเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายได้อีกด้วยค่ะ

โดยน้ำมันที่มีไขมันดีสูงจะเป็นน้ำมันพืชค่ะ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง

กลับมาถึงเรื่องทำอาหาร โดยเฉพาะอาหารไทยที่ใช้ไฟแรง เพื่อนๆ เคยเห็น “ควัน” ในกระทะกันบ้างไหมคะ? ปัญหามันอยู่ตรงนี้เองค่ะ ควันจากการทำอาหารนี้มีสารก่อมะเร็งในกลุ่มของ Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs) หรือพูดแบบง่ายๆ เลยก็คือควันตัวนี้ไม่ดีต่อร่างกายมาก และน้ำมันแต่ละประเภทจะมีจุดเกิดควัน (smoke point) สูงต่ำไม่เท่ากันค่ะ

หมายความว่าน้ำมันที่มีไขมันดีและทนความร้อนสูงจะเหมาะกับการทำอาหารที่สุดเพราะมีจุดเกิดควันสูง ส่วนตัวน้ำมันที่ถึงแม้จะมีไขมันดีแต่มีจุดเกิดควันต่ำแนะนำให้ใช้เป็นน้ำสลัดดีกว่าค่ะ

ตัวอย่างของน้ำมันที่มีทั้งไขมันดีและมีจุดเกิดควันสูงเหมาะกับการทำอาหารคือ น้ำมันคาโนลา น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง

ส่วนน้ำมันมะกอกโดยเฉพาะแบบ extra virgin ถึงแม้จะเป็นแหล่งของไขมันดี แต่ก็มีจุดเกิดควันต่ำค่ะ เหมาะจะใช้เป็นน้ำสลัดที่สุด
แต่ถึงแม้จะเลือกน้ำมันที่มีทั้งไขมันดีแถมเป็นแบบที่มีจุดเกิดควันสูงมาทำอาหารแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือเราก็ควรจะไม่ใช้ไฟทำอาหารที่สูงมาก (โดยเฉพาะการทอด) เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงควันอันตรายนี้ด้วยค่ะ

ถามคำถามเรื่องสุขภาพอะไรเพิ่มเติมได้ที่:
Facebook.com/healthylivingbyaraya
IG @Healthylivingbyaraya

อ้างอิง
กลุ่มวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข. จุดเกิดวัน. http://nutrition.anamai.moph.go.th/temp/files/morning_talk/melting%20point.doc
แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล. 188 เคล็ดลับชะลอวัย. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์สุขภาพ, 2554.
Harvard School of Public Health. Fats and Cholesterol http://www.hsph.harvard.edu/nutritionsource/what-should-you-eat/fats-and-cholesterol/

รูปจาก Pinterest

blog โดย Araya.

ช่วงที่เปิ้ลเริ่มใส่ใจสุขภาพและพยายามลดน้ำหนักใหม่ๆ เปิ้ลได้ลองดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นไอโฟนมาเป็นตัวช่วยเต็มโทรศัพท์ไปหมดเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชั่นนับแคลอรี่ หรือแอพพลิเคชั่นช่วยออกกำลังกายหลากหลายชนิด แต่เพราะมีตัวเลือกเยอะแยะมากมาย

ช่วงที่เปิ้ลเริ่มใส่ใจสุขภาพและพยายามลดน้ำหนักใหม่ๆ เปิ้ลได้ลองดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นไอโฟนมาเป็นตัวช่วยเต็มโทรศัพท์ไปหมดเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชั่นนับแคลอรี่ หรือแอพพลิเคชั่นช่วยออกกำลังกายหลากหลายชนิด แต่เพราะมีตัวเลือกเยอะแยะมากมาย เปิ้ลก็เลยเลือกไม่ถูก ลองไปหมดทุกอย่าง เสียเวลากว่าจะหาแอพพลิเคชั่นที่ใช้ง่ายๆเหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นลดน้ำหนักก็นานเป็นเดือนเลยค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้เปิ้ลอยากจะเอาประสบการณ์ของตัวเองมาช่วยประหยัดเวลาเพื่อนๆที่อยากจะเริ่มต้นลดน้ำหนัก แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี โดยการเอา 3 แอพพลิเคชั่นที่เปิ้ลใช้แล้วเห็นว่าใช้ง่ายและมีประโยชน์มาฝากเพื่อนๆกันค่ะ

1. MyFitnessPal

หนึ่งในแอพพลิเคชั่นช่วยนับแคลอรี่ที่คนทั่วโลกใช้เยอะที่สุด โดยมีวิธ๊ใช้ง่ายๆคือเราใส่ข้อมูลน้ำหนัก ส่วนสูง และตั้งเป้าหมายว่าในแต่ละวันเราต้องการรับประทานกี่แคลลอรี่ ตลอดวันเราก็ใส่รายการอาหารที่เรารับประทาน รวมทั้งใส่ตารางออกกำลังกายของเรา แล้วแอพพลิเคชั่นก็จะช่วยคำนวนปริมาณแคลอรี่ที่เรารับประทาน(รวมทั้งจำนวนสารอาหารที่ได้รับ) และนำไปลบกับแคลอรี่ที่เราเผาผลาญจากการออกกำลังกายค่ะ นอกจากนี้เรายังสามารถดูกราฟการพัฒนาการของเราเทียบกับเมื่อวาน สัปดาห์ที่แล้ว หรือเดือนที่แล้วได้อีกด้วยค่ะ

ข้อดีของแอพพลิเคชั่นนี้คือความหลากหลายของรายการอาหารและกิจกรรมออกกำลังกาย เนื่องจากมีผู้ใช้เยอะมาก ฐานข้อมูลของแอพพลิเคชั่นนี้จึงใหญ่มากเป็นอันดับต้นๆเทียบกับแอพพลิเคชั่นนับแคลลอรี่อื่นๆ แถมยังมีปริมาณสารอาหารติดมาด้วย ทำให้คอยเตือนเราให้รับประทานอาหารอย่างครบหมู่ แถมระหว่างวันเวลาที่เราคิดอยากจะรับประทานอาหารสักอย่าง เราก็สามารถเปิดแอพพลิเคชั่นดูว่าวันนี้เราเหลือโควต้าในการทานเท่าไหร แถมยังสามารถลดน้ำหนักร่วมกับเพื่อน คอยช่วยกันเตือนกันและกันด้วยค่ะ แต่แน่นอนว่าข้อเสียหลักของแอพพลิเคชั่นนี้คือเป็นภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นข้อมูลแคลลอรี่และสารอาหารของอาหารไทยอาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ค่ะ

เปิ้ลชอบแนะนำแอพพลิเคชั่นนี้ให้หับคนที่เริ่มลดน้ำหนักใหม่ๆ โดยที่ใช้แอพพลิเคชั่นเป็นตัวช่วยให้เราคิดถึงปริมาณอาหารและสารอาหารที่เรารับประทานไปแต่ละวัน ไม่ต้องเครียดมากกับการที่จะต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายเป๊ะๆ บางวันอาจจะทำได้ตามเป้าแต่บางวันก็อาจจะไม่ อย่าไปเครียดอย่าไปท้อนะคะ สิ่งหลักที่อยากให้ได้จากแอพพลิเคชั่นนี้คือการเปลี่ยนนิสัยการรับประทานที่ไม่ดีเป็นการรู้จักเลือกรู้จักคิดถึงอาหารที่เรารับประทานไปในแต่ละมื้อ โดยการใช้แอพพลิเคชั่นไปสักระยะหนึ่งจะช่วยให้เราคำนึงถึงอาหารที่มีประโยชน์เป็นนิสัยไปเองค่ะ

2. Equalculator

แอพพลิเคชั่นนี้มีลักษณะคล้ายกับ MyFisnessPal ที่เป็นภาษาไทยและมีอาหารไทยให้เลือกมากมาย โดยที่เหมือนกับ MyFisnessPal ตรงที่ต้องใส่สัดส่วนของเรา ตั้งเป้าหมายแคลอรี่ในแต่ละวัน แล้วเราก็จดรายการอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อของวัน และสามารถหักลบการออกกำลังกายได้ค่ะ

ข้อดีของแอพพลิเคชั่นนี้คือเป็นภาษาไทย มีตัวเลือกอาหารไทยให้เยอะ และมีกราฟฟิคที่สวยกว่า MyFisnessPal ทำให้ใช้ง่ายกว่า ส่วนข้อเสียอาจจะอยู่ตรงที่ไม่มีฟังค์ชั่นตรงสารอาหารเหมือนกับ MyFisnessPal แต่ถ้าใครไม่เคร่งมากก็อาจจะไม่เป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะ และอีกข้อคือเมนูอาจจะยังไม่เยอะถูกใจบางคน แต่ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยการเพิ่มเมนูของตัวเองและใส่ปริมาณแคลลอรี่โดยประมาณเองได้ค่ะ

ใครที่เริ่มหัดนับแคลอรี่ใหม่ๆ และอยากได้แอพพลิเคชั่นภาษาไทย เมนูไทย โดยที่ไม่ต้องการฟังค์ชั่นอะไรมากมาย แนะนำตัวนี้เลยค่ะ

3. 5K Runner: 0 to 5K run training

ตอนเปิ้ลหัดวิ่งใหม่ๆ เปิ้ลท้อมากเลยค่ะ เพราะไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ไม่สนุกกับการวิ่ง วิ่งไม่กี่นาทีก็เบื่อและไม่อยากวิ่งแล้ว คิดว่าวิ่งไกลๆคงทำไม่ไหวแน่ๆ ถ้ามีใครรู้สึกแบบนี้เปิ้ลอยากให้ลองแอพพลิเคชั่นนี้ค่ะ โดยที่แอพพลิเคชั่นนี้จะช่วยเป็นเทรนเนอร์ให้เรา สอนจากที่ไม่เคยวิ่งเลยจนวิ่งได้ 5 กิโลเมตรภายใน 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ฟังดูน่าสนใจไหมคะ ในแต่ละครั้งที่วิ่ง แอพพลิเคชั่นจะบอกเราว่า ในนาทีที่เท่าไรถึงเท่าไร เราควรจะเดินหรือวิ่ง โดยที่ความยากจะค่อยๆปรับขึ้นตามลำดับค่ะ

ข้อดีของแอพพลิเคชั่นนี้คือทำให้คนที่วิ่งไม่เป็นรู้ว่าจะต้องวิ่งหรือเดินเมื่อไหร่ เพราะคนที่ไม่เคยวิ่งเลยแล้วอยู่ดีๆมาวิ่งเร็วๆเลยอาจจะปรับตัวไม่ทันค่ะ และอาจจะรู้สึกเหมือนที่เปิ้ลเคยเป็นคือไม่ชอบวิ่งเลย และถ้ารู้สึกว่าโปรแกรมของวันนี้ยากเกินไปสามารถเลือกวิ่งแบบครั้งที่แล้วได้ค่ะ ส่วนข้อดีอีกข้อคือสามารถฟังเพลงไปวิ่งไปได้ด้วย ข้อเสียอาจจะอยู่ตรงที่ต้องใจแข็งและไม่โกงแอพพลิเคชั่น คือเวลาที่ควรจะวิ่งต้องวิ่งจริงๆไม่เดิน เพราะไม่มีเทรนเนอร์จริงๆมาคอยจี้ค่ะ

เปิ้ลอยากให้เพื่อนๆ ที่เพิ่งหัดวิ่งหรืออยากจะเริ่มวิ่งลองดูค่ะ เปิ้ลลองแล้วประสบความสำเร็จมากกับแอพพลิเคชั่นนี้ เพราะรู้สึกว่า แค่ 8 สัปดาห์เอง วิ่งไม่กี่ครั้งก็เก่งแล้ว ส่วนคนที่ครบโปรแกรมของแอพพลิเคชั่นนี้แล้วก็สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่น 10 กิโลเมตรได้ค่ะ

ถามคำถามเรื่องสุขภาพอะไรเพิ่มเติมได้ที่:
เฟซบุ๊ก Facebook.com/healthylivingbyaraya
อินสตาแกรม @Healthylivingbyaraya

ภาพจาก iTunes

blog โดย Araya.

เพื่อนๆที่ชอบติดตามเทรนความงามคงเคยได้ยินชื่อ “กลูตาไธโอน” กันแน่ๆ ซึ่งกลูตาไธโอนที่เพื่อนๆรู้จักได้ถูกนำมาใช้เพื่อเสริมความงามทำให้ผิวขาวขึ้นเนื่องจากมีคุณสมบัติทางอ้อมในการช่วยยับยั้งการทำงานของเมล็ดสี

เพื่อนๆ ที่ชอบติดตามเทรนความงามคงเคยได้ยินชื่อ “กลูตาไธโอน” กันแน่ๆ ซึ่งกลูตาไธโอนที่เพื่อนๆรู้จักได้ถูกนำมาใช้เพื่อเสริมความงามทำให้ผิวขาวขึ้นเนื่องจากมีคุณสมบัติทางอ้อมในการช่วยยับยั้งการทำงานของเมล็ดสี คุ้นๆ กันไหมคะ

ในความเป็นจริงแล้วกลูตาไธโอนเป็นโปรตีนที่พบได้ในทุกๆเซลล์ของร่างกายเรา และมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกาย คือ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ ขับสารพิษออกจากร่างกาย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายค่ะ

ซึ่งเจ้ากลูตาไธโอนนี้ ร่างกายของเราสามารถสร้างขึ้นมาเองได้จากอาหารที่เรารับประทานค่ะ โดยที่หน่อไม้ฝรั่งเป็นหนึ่งในผักที่มีสารกลูตาไธโอนสูงมาก เพราะฉะนั้นเพื่อนๆสามารถเสริมกลูตาไธโอนให้แก่ร่างกายแบบธรรมชาติได้ง่ายๆด้วยการรับประทานหน่อไม้ฝรั่ง ไม่ต้องพึ่งสารเคมีเช่นพวกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเลยค่ะ

ช่วงนี้เวลาเพื่อนๆ ซื้อของตามซุปเปอร์มาร์เก็ตอาจจะคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์อาหารแบบออร์แกนิคโดยเฉพาะพวกผักและผลไม้ สรุปได้ง่ายๆ ก็คือเป็นผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ ปราศจากปุ๋ยและยาฆ่าแมลงแบบเคมี (แต่อาจมีการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงแบบชีวภาพนะคะ) ไร้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตเพื่อเร่งผลผลิต และไม่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรมค่ะ

ช่วงนี้เวลาเพื่อนๆ ซื้อของตามซุปเปอร์มาร์เก็ตอาจจะคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์อาหารแบบออร์แกนิคโดยเฉพาะพวกผักและผลไม้ สรุปได้ง่ายๆ ก็คือเป็นผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ ปราศจากปุ๋ยและยาฆ่าแมลงแบบเคมี (แต่อาจมีการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงแบบชีวภาพนะคะ) ไร้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตเพื่อเร่งผลผลิต และไม่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรมค่ะ

ซึ่งผักและผลไม้ออร์แกนิคนี้ฟังดูแล้วน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีต่อเพื่อนๆ ที่รักสุขภาพ แต่ปัญหาหลักของสินค้าออร์แกนิคคือราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้หลายคนตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเลือกซื้อสินค้าออร์แกนิคดีหรือไม่

วันนี้เปิ้ลมีหลักง่ายๆ ในการเลือกผักและผลไม้ออร์แกนิคมาฝากค่ะ โดยเรามาลองดูกันว่าผักและผลไม้ที่เราต้องการมีสารเคมีตกค้างมากหรือน้อย ถ้ามีมากเราก็ควรจะเลือกซื้อชนิดที่เป็นออร์แกนิค แต่ถ้ามีสารเคมีตกค้างน้อยหรือแทบจะไม่มี เราก็ไม่จำเป็นจะต้องเสียเงินเพิ่มไปซื้อแบบออร์แกนิคค่ะ

โดยทางกลุ่ม Environmental Working Group ได้จัดทำรายการ 2 รายการมาช่วยดูจำนวนสารเคมีตกค้างนี้ค่ะ รายการแรกรวมผักและผลไม้ 14 ชนิดที่มีสารเคมีตกค้างมากที่สุด (Dirty Dozen Plus) และรายการที่สองรวมผักและผลไม้ 15 ชนิดที่มีสารเคมีตกค้างน้อยที่สุด (Clean Fifteen) ซึ่งจะมีผักและผลไม้อะไรบ้างมาลองดูกันเลยค่ะ

Dirty Dozen Plus: แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่ายฝรั่ง มะเขือเทศเชอร์รี่ แตงกวา องุ่น พริก ผลไม้ประเภทลูกท้อ (ที่ปลูกนอกอเมริกา) ลูกพีช มันฝรั่ง ผักโขม สตอเบอร์รี่ พริกหยวก คะน้า และผักประเภท summer squash (ซัมเมอร์ สคว็อช)

Clean Fifteen: หน่อไม้ฝรั่ง อโวคาโด กะหล่ำปลี แคนตาลูป ข้าวโพด มะเขือม่วง เกรปฟรุต กีวี่ มะม่วง เห็ด หอมใหญ่ มะละกอ สับปะรด ถั่วลันเตา (ชนิดแช่แข็ง) มันเทศ

ครั้งหน้าที่เพื่อนๆ ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่าลืมเอารายการ 2 รายการนี้ติดตัวไปด้วยนะคะ จะได้จ่ายตลาดแบบสบายกระเป๋ากัน

ถามคำถามเรื่องสุขภาพอะไรเพิ่มเติมได้ที่:
– เฟซบุ๊ก Facebook.com/healthylivingbyaraya
– อินสตาแกรม @Healthylivingbyaraya

อ้างอิง: http://www.ewg.org/foodnews/summary.php

blog โดย Araya.

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ แพรวออนไลน์ทุกคน เปิ้ลขอสารภาพเลยว่าเปิ้ลเป็นคนหนึ่งที่รักของหวานมากๆ ถึงแม้จะพยายามทานอาหารเพื่อสุขภาพให้ได้ แต่เปิ้ลเองก็มีวันที่อยากจะทานของหวานบ้าง ในวันแบบนี้เปิ้ลจะทำของหวานเองที่บ้านที่ทั้งดีต่อสุขภาพแต่ก็ยังคงความอร่อยอยู่ค่ะ วันนี้เลยนำของหวานมาฝากเพื่อนๆ จำนวน 3 สูตรที่ทำได้ “ง่าย ง่ายมาก และง่ายที่สุด” ให้ไปลองทำกันที่บ้านดูนะคะ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ แพรวออนไลน์ทุกคน เปิ้ลขอสารภาพเลยว่าเปิ้ลเป็นคนหนึ่งที่รักของหวานมากๆ ถึงแม้จะพยายามทานอาหารเพื่อสุขภาพให้ได้ แต่เปิ้ลเองก็มีวันที่อยากจะทานของหวานบ้าง ในวันแบบนี้เปิ้ลจะทำของหวานเองที่บ้านที่ทั้งดีต่อสุขภาพแต่ก็ยังคงความอร่อยอยู่ค่ะ วันนี้เลยนำของหวานมาฝากเพื่อนๆ จำนวน 3 สูตรที่ทำได้ “ง่าย ง่ายมาก และง่ายที่สุด” ให้ไปลองทำกันที่บ้านดูนะคะ

สูตรง่าย – ไอศกรีมกล้วยและเนยถั่ว
เพียงแค่เอากล้วยสุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปแช่แข็ง จากนั้นนำกล้วยที่แข็งตัวแล้วมาปั่นให้เข้ากันกับเนยถั่ว โดยใช้สัดส่วนตามชอบเลยนะคะ แล้วแต่ว่าชอบรสของเนยถั่วมากน้อยแค่ไหน พอปั่นส่วนผสมจนเนียนแล้วก็ทานได้เลยค่ะ

สูตรง่ายมาก – ไอกครีมโยเกิร์ตสามสี
สูตรนี้อาศัยโยเกิร์ตไขมันต่ำ 3 รสที่เราหาได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาเก็ต เอามาใส่ถ้วยกระดาษเป็นชั้นๆ ใส่ไม้ไอศกรีม แล้วนำไปแช่แข็งจนกลายเป็นไอศกรีมค่ะ

สูตรง่ายที่สุด – “เค้ก”ผลไม้
ของหวานจานนี้จริงๆ แล้วคือผลไม้รวมที่หน้าตาเหมือนขนมเค้กค่ะ วิธีทำคือเพียงแค่นำผลไม้รวมมาจัดใส่ถ้วย แล้วมาห่อด้วยกระดาษและเชือก อาจจะโรยด้วยน้ำตาลไอซ์ซิ่งนิดหน่อย ใช้เวลานิดเดียวก็จะได้เค้กผลไม้แบบง่ายๆ แถมไม่รู้สึกผิดด้วยค่ะ

Credit:
http://www.yourcupofcake.com/
http://thebookofsecrets.tumblr.com
http://www.twopeasandtheirpod.com/

blog โดย Araya.

ถ้าเพื่อนๆชอบอ่านคอลัมน์สุขภาพกันก็อาจจะเคยได้ยินคำว่า “Superfood” กันบ้าง โดยทั่วไปคำว่า Superfood หรือ สุดยอดอาหาร ไว้ใช้เรียกอาหารที่อัดแน่นไปด้วยสารอาหารและอาจจะสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากการรับประทานไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการได้ พูดง่ายๆก็คือถ้าเทียบต่อหนึ่งแคลอรี่แล้ว สุดยอดอาหารเหล่านี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายนั่นเอง

ถ้าเพื่อนๆ ชอบอ่านคอลัมน์สุขภาพกันก็อาจจะเคยได้ยินคำว่า “Superfood” กันบ้าง โดยทั่วไปคำว่า Superfood หรือ สุดยอดอาหาร ไว้ใช้เรียกอาหารที่อัดแน่นไปด้วยสารอาหารและอาจจะสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากการรับประทานไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการได้ พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเทียบต่อหนึ่งแคลอรี่แล้ว สุดยอดอาหารเหล่านี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายนั่นเอง

สิ่งที่เรามักจะเข้าใจผิดคือสุดยอดอาหารมักจะเป็นอาหารที่หายาก เราอาจจะเคยได้ยินผ่านหูว่าตัวอย่างสุดยอดอาหารเหล่านี้คือ คินัว (Quinoa) เมล็ดเชีย (Chia seeds) เมล็ดแฟลกซ์ (Flax Seeds) หรือเมล็ดปอ (Hemp Seeds) ซึ่งแต่ละอย่างก็หายากทั้งนั้นเลย วันนี้เปิ้ลมีข่าวดีจะมาบอกค่ะ จริงๆแล้วเพื่อนๆก็มีสุดยอดอาหารกันอยู่แล้วในห้องครัว เรามาดูเลยกันดีกว่าว่ามีอะไรกันบ้าง

กระเทียม
กระเทียมเป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยขับสารพิษในร่างกาย เพราะในกระเทียมมีสารออร์กาโนซัลเฟอร์ (Organosulfur Compounds) ที่ไปช่วยให้ตับของเราทำหน้าที่ขับสารพิษได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะสารพิษที่มาจากยาฆ่าแมลง แถมกระเทียมยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดและหัวใจได้อีกด้วยค่ะ

พริก
เชื่อหรือไม่คะว่าพริกขี้หนูเป็นหนึ่งในอาหารที่มีวิตามินซีสูงเป็นอันดับต้นๆ โดยพริกสีเขียวจะยิ่งมีวิตามินซีเยอะกว่าสีแดงอีกค่ะ วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญแถมยังไปช่วยสร้างคอลลาเจนบริเวณหลอดเลือดและผิวหนัง ส่วนนอกจากวิตามินซีแล้วพริกขี้หนูก็ยังเต็มไปด้วยวิตามินเอ เส้นใยอาหาร และสารไฟโตเคมิคัล (Phytochemical) ที่ช่วยลดการอักเสบอีกด้วยค่ะ

มะเขือเทศ
มะเขือเทศสดๆเต็มไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และวิตามินเค แถมมีสารต้านอนุมูลอิสระจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน (Lycopene) ที่น่าตกใจคือในระหว่างการปรุงมะเขือเทศนั้น สารไลโคพีนก็จะซึมออกมาตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมะเขือเทศที่ปรุงสุกแล้ว เช่น มะเขือเทศบด (หรือซอสมะเขือเทศที่เราเอาไว้ใช้ทำอาหาร) ก็สามารถให้ผลดีต่อสุขภาพไม่แพ้กันค่ะ

ปลา
ปลา เช่น ทูน่า แซลมอน และปลาทู ถือว่าเป็นโปรตีนชั้นดีที่เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids) ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เพราะกรดไขมันนี้ไปช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ดี (LDL Cholesterol) และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL Cholesterol) โดยทาง American Heart Association แนะนำให้รับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งค่ะ

ถั่วลิสง
ถั่วลิสงเป็นอีกสิ่งที่ดีต่อหัวใจเพราะเต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว นอกจากนั้นก็ยังมีทั้งโปรตีนและแร่ธาตุมากมาย และเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุดจากการรับประทานถั่วควรเลือกถั่วลิสงที่สดใหม่ที่เก็บรักษาไว้ในภาชนะกันความชื้นค่ะ

อ้างอิง
USDA Agricultural Research Service
American Heart Association
แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล. 188 เคล็ดลับชะลอวัย. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์สุขภาพ, 2554.

blog โดย Araya.

ช่วงต้นปีมักจะเป็นช่วงเวลาที่หลายๆคนคงจะตั้งปณิธานปีใหม่ โดยสัญญากับตัวเองว่าปีใหม่ปีนี้จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น สำหรับใครที่ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะใส่ใจสุขภาพของตัวเองและครอบครัวให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก วันนี้เปิ้ลมีข้อปฎิบัติดีๆเพื่อปีแห่งสุขภาพมาฝากนะคะ

ช่วงต้นปีมักจะเป็นช่วงเวลาที่หลายๆคนคงจะตั้งปณิธานปีใหม่ โดยสัญญากับตัวเองว่าปีใหม่ปีนี้จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น สำหรับใครที่ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะใส่ใจสุขภาพของตัวเองและครอบครัวให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก วันนี้เปิ้ลมีข้อปฎิบัติดีๆเพื่อปีแห่งสุขภาพมาฝากนะคะ

เลิกโปรแกรมการลดน้ำหนักแบบฉับพลันแต่หันมาทานอาหารเพื่อสุขภาพให้เป็นนิสัย
สำหรับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนัก ทุกวันนี้มีโปรแกรมลดน้ำหนักหลากหลาย ทั้งลดภายใน 7 วัน หรือ 10 วัน หรือ แบบงดแป้ง งดไขมัน มาคอยนำเสนอ แต่ในความคิดของเปิ้ล วิธีที่เปิ้ลลองแล้วคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการลดน้ำหนักอย่างถาวรและดีต่อสุขภาพ คือการทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย โดยทานอาหารที่เราชอบทานแต่เน้นเพิ่มผักให้เยอะขึ้น ลดอาหารขยะ เปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง ลดขนมและเปลี่ยนเป็นผลไม้แทน การค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเราไปเรื่อยๆจนกลายเป็นนิสัยเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด สนุก ไม่เครียด ไม่ทำให้เรารู้สึกอดอาหาร แถมเป็นวิธีที่ถาวรที่สุดด้วยค่ะ

เข้าครัวทำอาหารให้ตัวเองและคนที่เรารัก
การทำอาหารเพื่อสุขภาพเองที่บ้าน นอกจากจะทำให้เราได้รับประทานแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังเป็นการดูแลทุกคนในครอบครัวของเราให้สุขภาพดีอีกด้วย ลองเปลี่ยนจากการไปสังสรรค์กับเพื่อนหรือครอบครัวที่ร้านอาหารมาเป็นการจัดปาร์ตี้ที่บ้าน ช่วยกันทำอาหารอร่อยๆ ดีต่อสุขภาพและดีต่อกระเป๋าสตางค์ด้วยค่ะ

นัดวันตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีตั้งแต่ต้นปี
การตรวจสุขภาพประจำปี รวมถึงการตรวจสุขภาพฟันประจำปี เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกเพศทุกวัย เพราะเราควรที่จะหมั่นตรวจเช็คร่างกายของเราว่ามีสุขภาพดีแค่ไหน หรือมีด้านไหนที่ต้องปรับปรุง การตรวจสุขภาพทุกๆปียังเป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันและยับยั้งโรคภัยที่ดีที่สุดด้วยค่ะ

ถึงแม้ว่าในช่วงต้นปี อาจจะยังไม่มีเวลาไปหาคุณหมอ แต่ถ้าหากเราเสียเวลาสัก 5 นาทีในวันนี้ นัดวันเวลากับคุณหมอไว้สำหรับสองถึงสามเดือนข้างหน้า ก็จะไม่ลืมไปหาคุณหมอแน่ๆคะ

ออกกำลังกายในแบบที่ชอบ
เปิ้ลเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยมีปัญหาไม่ยอมออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่อไหร่ที่ตั้งใจว่าจะออกกำลังกายให้ได้ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ทำได้ไม่กี่สัปดาห์แล้วก็หยุดไป สำหรับเปิ้ลเคล็ดลับที่ทำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่การบังคับตัวเอง แต่เป็นการหาวิธีออกกำลังกายที่ตัวเองชอบ เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง หรือเล่นโยคะ จากนั้นเปิ้ลก็จะอยากออกกำลังกายเองโดยอัตโนมัติไม่ต้องบังคับตัวเองเลยค่ะ

blog โดย Araya.