เที่ยวเมืองสวยที่ Tbilisi (ตอนที่ 1)

1

แม้จอร์เจียเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่ความจริงแล้วประเทศนี้มีประวัติศาสตร์ของตัวเองมายาวนานและน่าสนใจยิ่ง ทำให้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวรัสเซียและยุโรปมาก นอกจากนี้ จอร์เจียยังสมบูรณ์พร้อมด้วยความงดงามทางธรรมชาติทั้งภูเขาและทะเลปิด คือ ทะเลดำ และความโดดเด่นทางศิลปวัฒนธรรมมายาวนานนับพันปี เทือกเขาคอเคซัสที่ทอดตัวผ่านเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร เป็นสถานที่ยอดนิยมของนักปีนเขาจากทั่วโลก

คนไทยสามารถไปท่องเที่ยวประเทศนี้ได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า และพำนักได้นานถึง 90 วันนอกจากนี้ถ้าใครมีเวลาค่อนข้างมากก็สามารถเดินทางด้วยรถตู้ข้ามไปยังประเทศอาร์เมเนียได้ด้วย

ทบิลิซี เมืองสวยจนต้องบอกต่อ

 

 ทบิลิซีในมุมสูง
ทบิลิซีในมุมสูง

ทันทีที่ฉันขึ้นรถไฟจากสนามบินก็พบกับภาพที่ประทับใจยิ่ง เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งซากุระสีขาวและชมพูกว้างไกลสุดสายตา รายรอบด้วยบ้านในแบบชนบท เมื่อก้าวพ้นจากรถไฟใต้ดินก็ได้พบกับบ้านเมืองที่สวยงามเหมือนดังเมืองในเทพนิยาย ด้วยตึกเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมอันวิจิตร

จอร์เจียในเดือนเมษายนเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ทำให้สองข้างทางเริ่มมีดอกทิวลิปผลิบานหลากสี สวยจนคิดว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในยุโรปนอกจากนี้ยังมีดอกซากุระเล็กจิ๋วบานโผล่แซมโบสถ์ออร์ทอดอกซ์ สวยจนเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้

ฉันเริ่มออกท่องเมืองด้วยสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดคือ การชมย่านเมืองเก่า (Old Tbilisi) ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่มาก ยังคงมีประชาชนอาศัยอยู่และรักษาไว้อย่างดียิ่ง ความโดดเด่นคือ ระเบียงบ้านสร้างด้วยไม้เก่า ๆ ยื่นออกมาจากตัวบ้านในรูปแบบคล้ายกันกับศิลปะจากโปรตุเกส

ย่างก้าวในเมืองเก่า
ย่างก้าวในเมืองเก่า

จากเมืองเก่ามีทางเดินเป็นขั้นบันไดเล็ก ๆ ทอดขึ้นสู่เนินสูงชันของเนินเขาโซโลลากี (Sololaki Hill) ด้านบนเป็นที่ตั้งของ Mother of Georgia หรือเรียกอีกชื่อว่า Kartvlis Deda เป็นรูปปั้นผู้หญิงสีขาวหล่อด้วยอะลูมิเนียม ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองทบิลิซี สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชนชาติครบ 1,500 ปี สูงถึง 20 เมตร เมื่อมองจากทางใดก็เห็นอนุสาวรีย์นี้เสมอ ตลอดทางขั้นบันไดที่สูงชันและไต่ไปตามลาดไหล่เขาจะเห็นดอกซากุระสีขาวและสีชมพูที่กำลังบาน โดยมีฉากหลังคือ โบสถ์เบเทลมี (Betelmi Church)

บรรยากาศแบบนี้แปลกตามาก เพราะส่วนใหญ่คนไทยคุ้นเคยกับซากุระที่ญี่ปุ่น แต่ไม่น่าเชื่อว่าจอร์เจียจะมีซากุระจำนวนมาก โบสถ์คาทอลิกเหล่านี้ล้วนเปิดให้เข้าชมฟรี ส่วนด้านบนเนินสูงจะสามารถมองเห็นเมืองทบิลิซีกว้างไกลสุดสายตา มีโดมของโบสถ์คาทอลิกโผล่ขึ้นมาอวดความงดงาม

นอกจากนี้ยังมองเห็นสายน้ำอันคดเคี้ยวของแม่น้ำมิตควารี (Mtkvari River) แต่ชาวทบิลิซีนิยมเรียกว่าแม่น้ำคูรา (Kura River) ที่ทอดผ่าน โดยสายน้ำแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นจากการละลายของหิมะจากเทือกเขาคอเคซัส ส่วนด้านหลังคือ สวนพฤกษศาสตร์แห่งเมืองทบิลิซี (Tbilisi Botanical Garden) มีพันธุ์พืชมากถึง 4,500 สายพันธุ์ และมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ครอบคลุม พื้นที่ภูเขาโซโลลากีเกือบหมด น่าเสียดายที่เป็นช่วงต้นฤดูกาล จึงยังไม่มีดอกไม้ชนิดใดโผล่มาอวดความงามนอกจากดอกป๊อปปี้สีแดงที่ตัดกับผืนหญ้าเขียวขจี สวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยมวลดอกไม้ในเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของที่นี่

ป้อมนาริกาลา
ป้อมนาริกาลา

ส่วนการเดินลงจากเนินเขา มีทางเดินไต่ลงมาอีกด้านหนึ่ง ใครที่รักความสบายก็เลือกใช้บริการเคเบิลคาร์ได้ ชื่อสถานีแอร์เรียล เคเบิลคาร์ (Areal Cable Car) ตั้งอยู่ติดกับป้อมนาริกาลา (Nariqala Fortress)โดยเชื่อมกับสวนสาธารณะไรค์ (Rike Park) ในราคาค่าบริการที่ถือว่าถูกมากคือ 1 GEL ถือเป็นการชมเมืองทบิลิซีในมุมสูงและกว้างไกลสุดตา

ส่วนฉันเลือกเดินลงโดยแวะที่โบสถ์เบเทลมี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เช่นกัน ด้านหน้าโบสถ์ที่นี่มักมีขอทานและแม่ชีคอยมาเชื้อเชิญให้เข้าไปชมด้านใน การเข้าชมไม่เสียเงิน แต่โดยมารยาทควรมอบเศษเหรียญให้ขอทานที่นั่งรออยู่ ทางเดินลงอีกด้านจะเลียบกับกำแพงนาริกาลา เป็นกำแพงเมืองเก่าแก่ โดยแนวกำแพงเริ่มจากโรงอาบน้ำอะบาโนตูบานี (Abanotubani) ทอดตัวยาวพาดผ่านสวนพฤกษศาสตร์แห่งเมืองทบิลิซี ไปสิ้นสุดที่โบสถ์เซนต์นิโคลัส (St. Nicholas Church) ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และมีการปรับปรุงเมื่อปี 1996

แวบเข้าโรงอาบน้ำโบราณ

เมื่อสิ้นสุดทางลงจะพบกับมัสยิดนิกายสุหนี่ สร้างแบบเปอร์เซียเพียงแห่งเดียวของเมืองนี้ เพราะประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจอร์เจียนับถือศาสนาคริสต์ มัสยิดแห่งนี้สร้างในสมัยที่มีการค้าขายผ่านเส้นทางสายไหมในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน และเมืองทบิลิซีถือเป็นจุดแวะพักที่สำคัญของกองคาราวาน ไม่ไกลกันคือโรงอาบน้ำอะบาโนตูบานี แต่บางครั้งชาวทบิลิซีก็เรียกว่า โรงอาบน้ำซัลเฟอร์ (Sulfur Bath) ฝังตัวอยู่ในพื้นดินและโผล่ออกมาเป็นลักษณะโดมพ้นขึ้นมาจากพื้น และมีหลายห้อง

ด้านนอกของโรงอาบน้ำซัลเฟอร์
ด้านนอกของโรงอาบน้ำซัลเฟอร์

โรงอาบน้ำแห่งนี้มีอายุเก่าแก่มาก ประกอบด้วยโรงอาบน้ำหมายเลข 5 (Bathhouse #5) ถือว่าเป็นโรงอาบน้ำเก่าแก่ที่สุด ติดกันคือโรงอาบน้ำของราชวงศ์ (Royal Bath : Bathhouse #4) ที่เคยใช้เป็นโรงอาบน้ำของกษัตริย์ในอดีต

โรงอาบน้ำอะบาโนตูบานีถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแม้แต่บุคคลสำคัญระดับโลกยังเดินทางมาเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศการอาบน้ำแบบเมื่อหลายร้อยปีก่อน รวมทั้งศิลปินระดับโลกชาวรัสเซียอย่างพุชกิน (Pushkin) ยังจารึกชื่อท่านไว้ที่นี่ มีบริการนำชมภายใน หรือใครจะลองอาบน้ำแบบในอดีตใช้บริการได้ในราคา Public Pool: 2 GEL, Private Pool: 10 – 80 GEL ต่อชั่วโมง, Massage:5 – 20 GEL โดยต้องเตรียมผ้าเช็ดตัวมาเอง

ด้านหน้าของโรงอาบน้ำตกแต่งเป็นสวนสาธารณะเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี และดอกแมกโนเลียสีชมพูสดใส มีทางเดินเล็ก ๆ เชื่อมกับประตูทางเข้าของสวนพฤกษศาสตร์แห่งเมืองทบิลิซี (ค่าเข้าชม 3 GEL)ด้านหน้ามีน้ำตกขนาดกลางสร้างความแปลกใจแก่ฉันมาก เพราะไม่เคยเจอเมืองหลวงของประเทศใดมีน้ำตกอยู่กลางใจเมือง แต่มีสิ่งที่น่ารำคาญคือ มีกลุ่มยิปซีคอยขอเงินตลอดเวลา โดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัย 5 – 10 ขวบกลุ่มนี้จะคุกคามนักท่องเที่ยว ถ้าไม่ให้จะเข้ามากอดรัด บางคนอาจจะทุบตีนักท่องเที่ยว โดยใช้ความเป็นเด็กหญิง ซึ่งนักท่องเที่ยวบางคนไม่กล้าไล่หรือทำอะไรที่รุนแรง

บรรยากาศโดยรอบเป็นหลืบหินก้อนโต สายน้ำตกนี้ไหลลงมาจากภูเขาด้านบน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนพฤกษศาสตร์ฉันออกจากน้ำตก เดินข้ามสะพานเมเตกิ (Metekhi Bridge) สะพานนี้เก่าแก่ที่สุดของเมืองนี้ สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1821โดยเชื่อมเมืองทบิลิซีทั้งสองฝั่ง

โบสถ์เมเตกิ
โบสถ์เมเตกิ

อีกด้านของเมืองคือที่ตั้งของโบสถ์เมเตกิ (Metekhi Church) โบสถ์นี้ปรากฏเป็นภาพในโปสต์การ์ดมากที่สุดเพราะมีจุดเด่นคือ ตั้งอยู่ตรงส่วนของหน้าผาเหนือแม่น้ำคูราและไม่ว่ามองจากทางใดจะเห็นโบสถ์แห่งนี้เสมอ ในบริเวณเดียวกันยังเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์กษัตริย์วัคตังจอร์กาซาลี (Statue of King Vakhtang Gorgasali) อดีตกษัตริย์ของจอร์เจีย

เรื่องและภาพ : Black Beauty

ที่มา : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับที่ 862 ปักษ์วันที่ 25 กรกฎาคม 2558

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิ้งค์นี้เท่านั้น

Praew Recommend

keyboard_arrow_up