งานนี้สาวกบิวตี้ต้องมุงค่ะ เพราะ แพรว จะพาไปทัวร์งานเลี้ยงขอบคุณสุดงดงามแห่งปีที่ถือเป็นงานใหญ่ของแวดวงความงาม กับงาน Impressive Cocktail Dinner ซึ่งจัดขึ้นโดย แอลจี เคม ไลฟ์ ไซเอนเชส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย “สารเติมเต็มบนใบหน้า” จาก LG Chem Life Sciences ประเทศเกาหลีใต้ 

โดยงาน Impressive Cocktail Dinner จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ The Rivera Rendezvous at Praya Palazzo for Top Spender เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ณ โรงแรมพระยา พาลาซโซ เพื่อขอบคุณลูกค้าคนสำคัญ  ซึ่งล้วนเป็นแพทย์ผู้ชำนาญด้านผิวพรรณและผู้บริหารเจ้าของธุรกิจความงามชั้นนำ 

โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความประทับใจจากความงดงามของธีมย้อนยุค ซึ่งเป็นการย้อนบรรยากาศกลับสู่ยุคสมัยความงามอย่างไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 พร้อมดื่มด่ำกับงานเลี้ยงอาหารค่ำแบบไทย   ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และปิดท้ายความฟินด้วยบทเพลงจากศิลปินดังอย่าง บอย – Peacemaker อย่างสนุกสนาน 

นอกจากงานนี้จะเป็นการฉลองความสำเร็จของสารเติมเต็มบนใบหน้ากลุ่มกรดไฮยาลูรอนิก ลิขสิทธิ์เฉพาะของ LG Chem Life Sciences ประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 25 ปี ด้วยเทคโนโลยี HICE Cross-link ซึ่งเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ด้วยการสร้างส่วนแบ่งของกรดไฮยาลูรอนิกกว่า 30% ของยอดบริษัทฯ และมีการใช้อย่างแพร่หลายกว่า 44 ประเทศทั่วโลก งานนี้ยังเป็นการรวบรวมโมเม้นต์ความประทับใจจากบรรดาลูกค้าผู้เป็นคนสำคัญ ซึ่ง แพรว ได้เก็บมาฝากสาวกบิวตี้กันตรงนี้เลยค่ะ

รศ.นพ.มาศ ไม้ประเสริฐ

ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต, รองคณบดีฝ่ายการแพทย์วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต, ผู้บริหารและเจ้าของ S-Mart Anti-Aging Wellness Center

“แม้สารเติมเต็มบนใบหน้าจะเป็นผลิตภัณฑ์จากแบรนด์เกาหลีใต้ แต่คุณภาพเทียบเท่ากับแบรนด์ยุโรปได้เลย ด้วยชื่อเสียงของบริษัทผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่มีงานวิจัยรองรับชัดเจน    ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เทรนด์ความงามยุคนี้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ตระหนักเรื่องความปลอดภัยกันมากขึ้น”

พญ.นันทิยา ทองตัน

CEO : The Villa Aura Clinic

“จากประสบการณ์การใช้สารเติมเต็มบนใบหน้าแบรนด์นี้มาประมาณ 2 ปีอย่างต่อเนื่อง ยังไม่พบปัญหาสำคัญ ทำให้รู้สึกประทับใจ ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่มีความสะอาด ดูเป็นธรรมชาติ และในส่วนของผลลัพธ์   ที่มีความละมุน ไม่ดูโป๊ะ รวมถึงยังประทับใจในบริษัทผู้ผลิตที่จัดการอบรมเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ให้แก่แพทย์อย่างสม่ำเสมอ”

นพ.เกรียงไกร อ่าวอุดมพันธุ์

ผู้บริหารและเจ้าของ Dio Medical (Dio Clinic)

“ขอแบ่งความประทับใจในสารเติมเต็มบนใบหน้าเป็น 3 ข้อหลัก ๆ หนึ่งคือมาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่มีการวิจัยค้นคว้าอย่างยาวนาน สองคือการซัพพอร์ตอย่างดีจากบริษัทผู้ผลิต และสามคือประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ รวมถึงผลข้างเคียงต่าง ๆ ก็ค่อนข้างน้อย”  

ผศ.พญ.ธัญญา เตชะพิเชฐวนิช

อาจารย์แผนกผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

“ประทับใจในสารเติมเต็มบนใบหน้าตรงที่ทางแบรนด์ไม่ได้มุ่งขายของอย่างเดียว แต่มีการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้บริโภคด้วย เช่น การทำวิจัยร่วมกับแพทย์ การจัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ เพื่อให้แพทย์สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งการสนับสนุนเหล่านี้จากทางแบรนด์ ทำให้แพทย์รู้สึกมั่นใจในการใช้ผลิตภัณฑ์” 

นพ.วีรวัช เอนกจำนงค์พร

อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น, ผู้บริหารและเจ้าของ Nadlada Clinic

“สารเติมเต็มบนใบหน้าถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักที่นาถลดาคลินิกเลือกใช้ในปัจจุบัน เพราะประทับใจในศักยภาพของบริษัทผู้ผลิตที่ลงมือเองทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และมีการควบคุมการผลิตอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งจากประสบการณ์ยังไม่พบปัญหาผู้ใช้บริการแพ้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายอันดับหนึ่งในเกาหลีใต้”

พญ.ชัญญา บุญพาล้ำเลิศ

ทีมแพทย์ Doctor Mek Clinic

“สารเติมเต็มบนใบหน้าถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ Doctor Mek Clinic เลือกใช้อย่างต่อเนื่อง เพราะเรามีคอนเซ็ปต์หลักคือเน้นความเป็นธรรมชาติและความเป็นตัวเอง ผลิตภัณฑ์นี้จึงตอบโจทย์ ผู้ใช้บริการรู้สึกพึงพอใจในผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ส่วนในมุมมองของแพทย์ ผลิตภัณฑ์นี้ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น”   

พญ.ธัญญาณัฏฐา มหัทธนโชติโภคิน

CEO & Founder : Celebrity Prestige Clinic

“หนึ่งในแนวคิดของ Celebrity Prestige Clinic ที่ยึดมั่นมาตลอดเกือบ 20 ปี คือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างพิถีพิถันสุด ๆ เพื่อให้ดีต่อแพทย์และผู้ใช้บริการ คือแพทย์สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ และผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจในผลลัพธ์ ซึ่งสารเติมเต็มบนใบหน้าถือว่าตอบโจทย์แนวคิดนี้ได้เป็นอย่างดี”

พญ.อัญชลี อมรรุ่งมีธรรม

ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Anjali Clinic

“จากประสบการณ์การใช้ สารเติมเต็มมาหลายยี่ห้อ หลายรุ่น และหลายปี หมอชอบสารเติมเต็มที่มาจากฝั่งเกาหลีมากที่สุด เพราะออกแบบมาให้เหมาะกับผิวและรูปหน้าของคนเอเชีย ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น ผิวพวกเราชาวเอเชียจะบางกว่าฝั่งยุโรปมากๆ เมื่อใช้สารเติมเต็มของเกาหลี ผู้ใช้บริการรู้สึกได้ว่าผิวเปล่งปลั่งขึ้น ดูอ่อนกว่าวัยขึ้น และที่สำคัญไม่เป็นก้อนเมื่อเวลาผ่านไป เรียกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาสำหรับคนเอเชีย ทั้งนี้ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล” 

พญ.เกตน์นิภา สรรพเลิศ

Founder และ ผู้บริหาร Dr.Kate Clinic

“สิ่งที่ทำให้ประทับใจในสารเติมเต็มบนใบหน้าคือการตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย จากประสบการณ์การใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ยังไม่พบเคสที่มีปัญหาเลย โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่รู้สึกพึงพอใจในผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และเรื่องผลข้างเคียงหลังทำที่แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็น ดังนั้น Dr.Kate Clinic จึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์นี้เป็นหลัก” 

นอกจากนี้ นายสายัณห์ นวกิจรังสรรค์ Deputy Director บริษัท แอลจี เคม ไลฟ์ ไซเอนเชส (ประเทศไทย) จำกัด  ยังได้เผยถึงความสำเร็จของสารเติมเต็มบนใบหน้าเอาไว้ด้วยว่า 

“สารเติมเต็มบนใบหน้ามีกระแสตอบรับดีทีเดียวในตลาดความงามของไทย โดยเฉพาะปีนี้มีการเติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ สำหรับปีหน้าเราตั้งเป้าว่าจะเติบโตขึ้นอีกเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงมีการวางแผนการตลาดอย่างดี พร้อมสร้างจุดแข็งด้วยการสนับสนุนด้านความรู้ให้แก่แพทย์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมงานประชุมระดับโลก หรือการจัดเวิร์คช็อปเพื่อส่งเสริมเทคนิคการใช้ผลิตภัณฑ์ให้แก่แพทย์ นอกจากนี้ที่สำคัญไม่แพ้กันคือในส่วนของผู้บริโภค ซึ่งเราจะมีการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น”  

ทั้งหมดนี้คือหลากหลายความประทับใจ ซึ่งเหล่าแพทย์ผู้ชำนาญการด้านความงามระดับชั้นนำสัมผัสได้จาก “สารเติมเต็มบนใบหน้า” จาก LG Chem Life Sciences ประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงยังถือเป็นความรู้ดี ๆ ที่จะช่วยต่อยอดความสวยให้กับสาวกบิวตี้ด้วยค่ะ

เชื่อว่าสาวกบิวตี้ส่วนใหญ่รู้จักชื่อเสียงของแบรนด์ระดับตำนานอย่าง KA กันอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นแบรนด์ความงามที่อยู่คู่ผิวคนไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 นับจนถึงตอนนี้ก็ยาวนานกว่า 38 ปีแล้ว

ถ้าถามว่าทำไม KA ถึงครองใจคนรักผิวได้แบบมาราธอน คำตอบก็ต้องยกให้กับความตั้งใจและความใส่ใจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งมุ่งเน้น “การให้ความสำคัญกับสูตรเพื่อผิวคนไทย” คือต้องดีจริงและตอบโจทย์ผิวของคนไทยจริงๆ โดยยึดคอนเซ็ปต์หลัก 3 ข้อ คือ

1. ต้องเห็นผลจริงการันตีด้วยผลวิจัย ผลทดสอบ และรางวัลนวัตกรรมระดับโลก 

2. สินค้าต้องปลอดภัยจริงไม่ทำร้ายผิวระยะยาวคัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน เพื่อความปลอดภัย 

3. สินค้าคุ้มค่าจริงไม่เอาเปรียบลูกค้าสร้างสรรค์สินค้าคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ 

บวกกับจุดแข็งของแบรนด์อย่างการมีทีมวิจัยพัฒนาของตัวเอง จึงเข้าใจ Pain Point ของคนไทยอย่างลึกซึ้ง ทำให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ออกมาได้แบบตรงจุดตรงใจ โดยเฉพาะสินค้า 2 กลุ่มหลักคือ กลุ่มกันแดดและกลุ่มบำรุง  

นอกจากนี้ “คุณออน – กรกมล ชัยวัฒนเมธิน” ผู้อำนวยการแผนกพัฒนาธุรกิจ บริษัท ปวีณ์มล จำกัด ยังเล่าให้ แพรว ฟังอีกว่า 

“หลักการดำเนินธุรกิจที่ทำให้แบรนด์ KA อยู่ในวงการนี้มาได้นานเกือบ 40 ปีคือการเน้นคุณภาพนำเพื่อตอบโจทย์การดูแลผิวให้มีสุขภาพดีแบบยั่งยืนคือใช้แล้วต้องเห็นผลจริงปลอดภัยจริงไม่ทำร้ายผิวระยะยาวและคุ้มค่าจริงไม่เอาเปรียบลูกค้าดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญมากๆกับการวิจัยและพัฒนาสินค้าโดยกว่าสินค้าแต่ละตัวจะออกมานั้นต้องเทสแล้วเทสอีกเป็นพันครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพของสินค้าตรงกับ Pain Point ของคนไทยจริงๆและด้วยความที่เราจับตลาด Mass จึงอยากให้คนไทยได้ใช้ของดีในราคาไม่แพงซึ่งเรามุ่งมั่นในจุดยืนนี้มาตลอดแม้กำไรน้อยก็ไม่เป็นไรยังไงเราก็ต้องไม่เอาเปรียบผู้บริโภคถือเป็นแนวคิดที่จริงใจและสร้างความภูมิใจให้กับเรามากๆค่ะ”

จากแนวคิดเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของไอเทมใหม่สุดปังอย่าง KA Aging Pro ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนาและสร้างสรรค์นานถึง 7 ปี เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถช่วยจัดการปัญหาริ้วรอยแห่งวัยได้แบบมือโปร 

โดย KA Aging Pro มาพร้อมกับ 2 สูตร คือ สูตรกลางวัน ที่เน้นการปกป้องและเติมสารบำรุงตลอดวัน และสูตรกลางคืน ที่เน้นการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวถึงโครงสร้าง โดดเด่นด้วยการมีนวัตกรรมย้อนอายุผิว Reverse Activator^TM ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ พร้อมนำพาแอคทีฟเข้าฟื้นบำรุงทุกจุดบกพร่อง ซึ่งเป็นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวระดับนิวเคลียส ช่วยให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น แลดูอ่อนเยาว์ การันตีด้วยผลทดสอบจากผู้ใช้จริง และ MossNuTec^TMแอคทีฟนวัตกรรมที่ได้รับ 4 รางวัลระดับโลก

ด้วยคุณภาพที่สุดปัง ทำให้ KA Aging Pro ได้รับกระแสตอบรับแบบปังสุดๆ เช่นเดียวกัน จากเริ่มแรกที่มีวางจำหน่ายแค่ขนาดซอง แต่ด้วยฟีดแบ็กที่พึงพอใจแบบ 100% จนเกิดการซื้อซ้ำต่อเนื่อง ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องหนาหู ทางแบรนด์จึงต้องตัดสินใจเพิ่มขนาดในการจัดจำหน่าย และเป็นที่มาของแคมเปญ “KA Aging Pro มือโปรเรื่องริ้วรอย” ซึ่งได้นักแสดงสาวมือโปรสุดฮ็อตที่มีผลงานทั้งในเมืองไทยและฮอลลีวู้ดอย่าง “ปู – ไปรยาสวนดอกไม้ลุนด์เบิร์ก” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวความมือโปรของ KA Aging Pro ในฐานะผู้ใช้จริงที่ประทับใจจริงๆ โดยเธอเผยความรู้สึกเอาไว้ด้วยว่า “ปูเลือก KA เพราะปูใช้ KA ปูเป็นผู้ใช้จริงที่ประทับใจใน KA Aging Pro เช่นกัน” 

นอกจากการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ KA ออกมาตอบโจทย์ผิวคนไทย รวมถึงส่งออกไปยังหลายประเทศในเอเชียแล้ว ปัจจุบัน บริษัท ปวีณ์มล จำกัด ยังมีบริการรับผลิตเครื่องสำอางครบวงจร OEM (Original Equipment Manufacturer) โดยมีบริการตั้งแต่ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาสูตร ออกแบบบรรจุภัณฑ์ โลโก้ ฉลากสินค้า บริการบรรจุสินค้า ไปจนถึงบริการด้านการตลาด ใครที่อยากสร้างแบรนด์แบบมือโปร ที่นี่จัดให้แบบครบจบเลยทีเดียว

เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาความหย่อนคล้อยเริ่มปรากฏ ทั้งหญิงและชายต่างต้องการมีใบหน้าอ่อนเยาว์ ดูย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แต่จะทำอย่างไร ถึงแก้ไขปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้อย่างทันใจและตรงจุด

นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด กล่าวว่าการทำศัลยกรรมดึงหน้า มีมานานหลายสิบปี แต่ในอดีตการผ่าตัดดึงหน้าประสบปัญหาอยู่หลายประการ เช่น การผ่าตัดใช้เวลานาน บวมช้ำนานหลายเดือน และดูไม่เป็นธรรมชาติ ต่อมาจึงมีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดตามยุคสมัย จนปัจจุบันด้วยประสบการณ์ของแพทย์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาไปมาก ทำให้ศัลยกรรมดึงหน้าและดึงคอ ไม่ใช่การผ่าตัดที่ใช้เวลานานหรือน่ากลัวอีกต่อไป ซึ่งข้อดีของการทำศัลยกรรมดึงหน้าในยุคนี้ ไม่จำเป็นต้องทำทุกส่วน สามารถเลือกทำเฉพาะส่วนได้ ผู้ที่มารับบริการที่อายุ 50 ปีขึ้นไปซึ่งมักจะมี ปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้าค่อนข้างมาก สามารถผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าในผิวหนังชั้นลึกขึ้น หรือที่เรียกว่าชั้นสแมช (SMAS) ซึ่งศูนย์ศัลยกรรมความงามรพ.บางมดจะมีเทคนิคที่เรียกว่า Triple SMAS Lock เป็นการเย็บล็อกที่ชั้นกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงในชั้น SMAS ได้ถึง 3 เท่าของเทคนิคการผ่าตัดทั่วไป และสามารถแก้ไขความหย่อนคล้อย ของใบหน้าและลำคอได้ทั้งหมด ให้ผลลัพธ์อยู่ได้คงทนมากขึ้น สามารถปรับตามโครงสร้างร่างกายและปรับตามความหย่อนคล้อยของแต่ละบุคคลได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับสภาพผิวหน้า เติมเต็มผิวด้วยไขมันคนไข้ (Fat Grafting) ร่วมกับการปรับสภาพผิวหน้าด้วยสารสกัดพลาสม่า (PRP) เพื่อซ่อมเเซมเนื้อเยื่อเเละกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ใบหน้าดูอ่อนวัยลง แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย พร้อมพัฒนาคุณภาพผิวหน้าไปด้วย

นพ.ธนัญชัย กล่าวอีกว่า อีกกลุ่มที่กำลังนิยมทำศัลยกรรมดึงหน้ากันมากขึ้น คือคนอายุน้อยตั้งแต่ 30-40 ปีขึ้นไป จะเน้นการทำศัลยกรรมดึงหน้าเฉพาะส่วนที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย เช่น บางคนหย่อนคล้อยที่ลำคอ ก็ดึงเฉพาะลำคอ โดยก่อนการผ่าตัดแพทย์จะทำการวิเคราะห์ประเมินความหย่อนคล้อยในแต่ละส่วนของใบหน้าอย่างละเอียด เพื่อแก้ปัญหาคนไข้ได้อย่างตรงจุด รวมทั้งเมื่อผิวหน้าคนเราบอกอายุได้แล้ว มือก็เป็นอีกอวัยวะสำคัญ ที่สามารถบอกอายุได้เช่นกัน จึงเกิดการต่อยอดนวัตกรรมการฉีดไขมันที่บริเวณหลังมือผสมผสาน กับ PRP ก็จะช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิวหนังทำให้กลับมาอ่อนเยาว์ และดูกลมกลืนไปกับใบหน้า

แต่ไม่ว่าจะศัลยกรรมประเภทใด นพ.ธนัญชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญที่สุดก่อนจะตัดสินใจทำศัลยกรรม ต้องพิจารณาทั้ง 3 ข้อนี้ให้ดีที่สุด คือ 1.เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ 2.เลือกศัลยแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูง และ 3.เลือกความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก และเมื่อทำศัลยกรรมดึงหน้าไปแล้ว ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองด้วย เพื่อคงสภาพความอ่อนเยาว์และตึงกระชับไว้ให้นาน รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำร้ายผิว ก็จะช่วยยืดระยะเวลาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้าให้ยาวนานยิ่งขึ้น