ทิ้งตัวบนหิมะหนานุ่มที่ ซัปโปโร ดินแดนสนุกสุดคูล เล่นสโนว์บอร์ด ปั้นสโนว์แมนกัน

ไปทิ้งตัวบนหิมะหนานุ่มที่ ซัปโปโร ดินแดนสนุกสุดคูล เล่นสโนว์บอร์ด ปั้นสโนว์แมนกัน

ไปซัปโปโรกันเถอะ เมืองที่มีฉายาว่า Winter Wonderland จะฟินขนาดไหนนะ… หลังจากเฝ้าเพียรชวนเพื่อนมานานสองนาน ในที่สุดก็ได้ไปแล้ว เย้! เก็บกระเป๋า กดวันลาตั้งแต่ต้นปีเนี่ยแหละ ส่วนเหตุผลที่ควรเล็งไปเที่ยวซัปโปโรในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม ก็เพราะว่าเป็นช่วงฤดูหนาวของที่นู่น ทำให้มีหิมะตกโปรยปรายตลอดจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง ให้ฟีลลิ่งสุดฟินเสมือนเล่นเป็นเจ้าหญิงเอลซ่าในดินแดนหิมะเลย (แม้ว่าในช่วงเดือนมีนาคมจะไม่ใช่ฤดูหนาวแล้ว แต่อุณหภูมิยังอยู่ที่ประมาณ -3 ถึง 5 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งเดือน เพื่อนๆ จึงยังสามารถดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของหิมะและกิจกรรมฤดูหนาวได้อยู่เหมือนเดิม)

และถึงแม้ว่าอาจจะมีหลายคนที่ไม่อินกับหิมะขาวโพลน เพราะคงไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสหิมะ หรือบางคนก็ไม่ชอบอากาศหนาว แต่บอกตรงนี้เลยว่าเส้นทางที่เราจะแนะนำในครั้งนี้ห้ามพลาด ทั้งคุ้มและคูลสุดๆ เริ่มจากคุ้มแรก เราเลือกบินตรงกับสายการบิน NokScoot ที่เปิดเส้นทางบินตรงจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง ไปถึงสนามบินนิวชิโตเสะ (New Chitose Airport) ซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น แบบนอนสต๊อป ซึ่งโดยปกติแล้วการเลือกบินตรงมาที่นี่คอร์สจะแพงมาก แต่นาทีนี้ NokScoot ตอบโจทย์ที่สุดในราคาเริ่มต้น 3,670 บาท ต่อเที่ยวบิน (*รวมภาษีแล้ว) ด้วยเครื่องโบอิ้ง 777 ลำใหญ่ สบายใจได้ อีกทั้งยังมีให้เลือกที่นั่งแบบ ScootPlus เก้าอี้กว้างขวาง นั่งสบาย พร้อมมีบริการอาหารหลากหลายเมนูที่สามารถสั่งล่วงหน้าได้ หรือสั่งบนเครื่องก็ได้ ซึ่งใช้เวลาบินโดยประมาณ 5 – 6 ชั่วโมงเท่านั้น หลับหนึ่งตื่นก็ถึงแล้ว

หลังจากเครื่องโบอิ้ง 777 ของนกสกู๊ต แลนดิ้งลงสู่สนามบินนิวชิโตเสะเป็นที่เรียบร้อย สัมผัสแรกที่เดินออกจากเครื่องแม้จะอยู่ในงวงช้างทางเดินเข้าสู่อาคารก็ตาม แต่อากาศที่หนาวเย็นก็เล็ดรอดเข้ามาปะทะร่างเบาๆ เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ตัวว่า ถึงซัปโปโรแล้วจ้า ทำเอาอดตื่นเต้นไม่น้อยเลยเมื่อนึกถึงกิจกรรมที่วางแพลนไว้ในครั้งนี้

และสิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงสนามบินนิวชิโตเสะ ก็คือ เช็คอินกับรูปปั้นโดเรมอนจ้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทำตามคนอื่นเขามาอีกที เดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึง หลังจากนั้นก็หาของกินรองท้อง ก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปขึ้นชัทเทิลบัส โดยเป้าหมายไปทิ้งตัวคูลๆ ของเราในครั้งนี้อยู่ที่ Rusutsu Resort Hotel (รุซุตสึ รีสอร์ท โฮเทล) ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจากสนามบิน

โดยเลือกใช้บริการชัทเทิลบัสของโรงแรมที่มีบริการรับส่งจากสนามบินนิวชิโตเสะขับตรงสู่รีสอร์ท ในราคาเที่ยวเดียว 3,100 เยน (ประมาณ 850 บาท) หรือเลือกราคาไปกลับ 6,200 เยน (ประมาณ 1,700 บาท *รวมภาษีแล้ว) แต่ฟรีก็มีนะ หากใครสนใจมาเที่ยวลานสกี หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่รีสอร์ท ก็มีบริการชัทเทิลบัสรับส่งฟรีจากซัปโปโร โดยสามารถไปขึ้นรถที่ Rusutsu Resort Sapporo Sales Office ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานี JR Sapporo ได้ แต่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น

เอาล่ะ หลังจากจับจองที่นั่งบนชัทเทิลบัสเสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทางสู่ Rusutsu Resort Hotel ตอนแรกที่คิดไว้คือจะแอบงีบระหว่างทาง แต่ในความเป็นจริงนั้น หลับไม่ลง!! เพราะเรามัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับหิมะที่โปรยปรายมาต้อนรับตลอดทาง เลยลองเช็คอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ -12 องศาเซลเซียส คูลสุดๆ ไปเลย (คุณลุงคนขับก็ใจดี มีจอดแวะระหว่างทางให้เข้าห้องน้ำด้วยนะ)

2 ชั่วโมงผ่านไป ชัทเทิลบัสคันใหญ่ก็เลี้ยวเข้าสู่จุดหมายปลายทางในทริปนี้ Rusutsu Resort Hotel (รุซุตสึ รีสอร์ท โฮเทล) รีสอร์ทขนาดใหญ่ที่สามารถพักได้ตลอดทั้งปี โดยเป็นรีสอร์ทสกีในช่วงฤดูหนาวและเป็นสวนสนุกในช่วงฤดูร้อน แน่นอนว่าช่วงนี้ที่ไปในฤดูหนาว ทุกพื้นที่ในรีสอร์ทได้แปลงร่างเป็นลานสกีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาเรียบร้อย แถมวิวดีเห็นทะเลหมอกของภูเขาโยเทอิ (Mount Yotei) อยู่ไม่ไกลสายตามาก

อย่างที่บอกว่าที่รีสอร์ทแห่งนี้ใหญ่มาก แบ่งเป็นตึกโรงแรมสองฝั่ง ฝั่งเหนือ Rusutsu Resort Hotel มีจำนวนห้องพัก 500 ห้อง และฝั่งใต้ The Westin Rusutsu Resort รีสอร์ทสุดหรูเน้นวิวมุมสูงมีห้องพัก 200 ห้อง โดยระหว่างฝั่งเหนือและฝั่งใต้ สามารถเดินเล่น หรือเลือกนั่งรถไฟรางเดียว (Monorail) ไปมาหาสู่กันได้ตลอด

และด้วยพื้นที่ตั้งขนาดใหญ่ ทำให้ภายในรีสอร์ทมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันประหนึ่งคอมมูนิตี้ย่อมๆ เลยก็ว่าได้ มีทั้งออนเซนให้เลือกแช่พักผ่อนได้หลายห้อง ร้านจำหน่ายเสื้อผ้าและอุปกรณ์เครื่องเล่น ร้านขายของฝาก รวมไปถึงร้านอาหาร 12 แห่งมีให้เลือกไม่ซ้ำร้าน กันเบื่อเมนูเดิมๆ แถมยังมีพื้นที่เล่นสกีแบบจุใจขนาดใหญ่ครอบคลุมภูเขาถึง 3 ลูกเต็มๆ เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลาที่เข้าพักที่นี่ 4 วัน 3 คืน ไม่มีช่วงเวลาเบื่อเลยสักนิด

ซึ่งในคืนแรกก่อนแยกย้ายเข้าห้องพักผ่อน ถ้าใครยังไม่ง่วงจะแวะไปแช่ออนเซนเพิ่มพลังก็เข้าท่า หรือจะเลือกไปชม Project Mapping ที่ฉายทุกวันเวลา 20.30 น. ก็ดูน่าสนไม่น้อย (ขอแอบกระซิบว่าชมจากทางด้านนอกและด้านในก็ให้ความรู้สึกคนละแบบนะ ฉะนั้น ถ้าคุณพักที่นี่ วันแรกชมข้างนอกไปแล้ว อีกวันอย่าลืมแวะมาชมแบบข้างในอาคารกันบ้าง)

Rusutsu Resort Hotel (รุซุตสึ รีสอร์ท โฮเทล)

นอกจากนี้ไฮไลท์ของที่นี่อีกอย่างคือ เล่นสกีได้เลยตั้งแต่ประตูรีสอร์ท เก๋ๆ เพราะทุกพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะทั้งนั้น แถมวันที่เราไปก็โชคดีสุดๆ แดดออกมาต้อนรับทำให้กิจกรรมที่วาดหวังไว้ยังดำเนินต่อไปได้ไม่มีสะดุด โดยกิจกรรมสุดคูลแรกที่หวังไว้คือ เล่นสโนว์บอร์ดจ้า แต่ไม่ต้องห่วงนะ สำหรับมือใหม่ที่เล่นไม่เป็นและไม่มีอุปกรณ์นั้น ที่รีสอร์ทมีให้เช่าอุปกรณ์ได้ครบครัน อาทิ แว่นตากันลม, ถุงมือ, หมวกไหมพรม, รองเท้าสโนว์บอร์ด, เสื้อ-กางเกง และกระดานสโนว์บอร์ด เอาเป็นว่าถ้าขาดเหลืออะไรในการทำกิจกรรมสามารถเช่าได้ทั้งหมด ราคาโอเคเลย อาทิ สกี 4,900 เยน (ประมาณ 1,350 บาท) , สโนว์บอร์ด 4,900 เยน (ประมาณ 1,350 บาท) และเสื้อผ้า 3,400 เยน (ประมาณ 930 บาท) และที่สำคัญสำหรับมือใหม่ก็คือ มีครูฝึกสำหรับสอนเล่นกิจกรรมที่สนใจด้วยจ้า ทั้งสโนว์บอร์ดและสกี สามารถเลือกเรียนเดี่ยว หรือกลุ่มก็ได้ เหมาะสำหรับทั้งคู่รัก แก๊งเพื่อน และครอบครัว

หลังจากเช่าชุดและอุปกรณ์ใส่จัดเต็มมาแล้ว ก็ถึงเวลาลุย!! เริ่มจากนั่งกระเช้าขึ้นไปที่ลานสกีบนยอดเขาอิโซะระ (Mt.Isola) ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 994 เมตร เป็นจุดที่นักเล่นสกีนิยมนั่งขึ้นเพื่อแลนดิ้งลงสู่พื้นด้านล่าง โดยใช้เวลาคร่าวๆ ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น และบนภูเขาลูกนี้ยังเป็นจุดชมวิวที่งดงามราวกับภาพวาด หิมะกระทบกับแสงแดดระยิบระยับตาเป็นที่สุด ทั้งยังสามารถมองเห็นภูเขาโยเทอิ (Mt.Yotei) ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,898 เมตร และถูกขนานนามว่าเป็นฟูจิแห่งฮอกไกโดอีกด้วย (แน่นอนว่าไม่ต้องลุ้นว่าจะอายหรือไม่อาย เพราะภูเขาโยเทอิไม่เคยหลบสายตานักท่องเที่ยวนะจ๊ะ)

First Time Snowboarding

ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ด้านบนยอดเขาอิโซะระจนหนำใจแล้ว คราวนี้ถึงเวลาลุยจริงๆ ซะที เรากลับลงมาด้านล่างแถวลานสกีด้านหลังรีสอร์ท ครูฝึกยืนรอเตรียมสอนเล่นสโนว์บอร์ดแล้ว มาถึงจุดนี้นอกจากกายจะต้องพร้อมแล้ว ใจก็ต้องพร้อมด้วย เพราะสโนว์บอร์ดถือเป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ต้องอาศัยความกล้าเล็กน้อยที่จะลองเล่น และต้องมีสติ!! ถ้าทำได้ก็ถือว่าเอาชนะใจตัวเองไปได้อีกขั้น แล้วจะพบกับความสนุกได้ไม่อั้นอีกเยอะ ซึ่งสโนว์บอร์ดเป็นการไถลลงทางลาดที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แน่นอนว่าเบื้องต้นครูฝึกสอนตั้งแต่การถือสโนว์บอร์ดที่ถูกต้อง การใส่รองเท้าที่ถูกต้อง การทรงตัวบนบอร์ด และการเดินไปทั้งๆ ที่ขาข้างหนึ่งใส่สโนว์บอร์ดอยู่ ก่อนจะแอดวานซ์ขึ้น เริ่มไถลในตอนแรกๆ ไม่ต้องกลัว ครูฝึกยังจับมืออยู่ตลอด จนเราชินเริ่มเองไถลได้ จะค่อยๆ ปล่อยมือ ซึ่งเทคนิคสั้นๆ ที่ครูฝึกบอกไว้คือ ย่อเข่าลงเล็กน้อย บังคับทิศทางไปตามแนวที่ตัวเองต้องการได้เลย หากต้องการเบรคก็กดส้นเท้าลงให้ปลายเท้าเชิ่ดขึ้น แล้วทิ้งตัวด้วยการหย่อนสะโพกลงบนหิมะ

Snow Shoe Trekking

กิจกรรมนี้เหมาะกับสายวิวที่ชอบชมวิวทิวทัศน์ ไม่มีอะไรท้าทายมาก แค่ไปดื่มด่ำธรรมชาติก็พอ เริ่มจากใส่รองเท้าสำหรับลุยหิมะหนาๆ ที่ออกแบบมาพิเศษใต้รองเท้าจะมีซี่ที่คล้ายใบมีดเอาไว้เกาะน้ำแข็งไม่ให้ลื่นล้ม ไม่ติดหล่ม โดยจะมีเจ้าหน้าที่พาเดินย่ำลงปุยหิมะหนานุ่มชมวิวไปเรื่อยๆ แต่อย่าคิดว่าจะเดินชิลขนาดนั้นจ้า เพราะเจ้ารองเท้าคู่นี้จะแอบหนักนิดหนึ่ง เวลาเดินก็ต้องระวังเสียการทรงตัวเล็กน้อย แต่โดยรวมถือว่าดี ถ้าแลกกับการได้ลุยบนปุยหิมะหนาๆ วิวที่โอบล้อมก็สวยเกินบรรยาย สำหรับกิจกรรมนี้หากใครสนใจราคาอยู่ที่ 5,500 เยน (ประมาณ 1,520 บาท) ซึ่งใช้เวลาเดิน 30 นาที – 1 ชั่วโมง จำได้คร่าวๆ ประมาณนี้

Snow Rafting

มาต่อกันที่ล่องแก่งบนหิมะ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราชอบมาก สนุกมาก มันมาก ขอแนะนำให้ลอง เป็นกิจกรรมที่เราไม่ต้องออกแรงอะไรเลยแต่สนุกจนอยากต่อรอบไปเรื่อยๆ เพียงแค่เรานั่งบนเรือยางแล้วจะมีเจ้าหน้าที่มาขับสโนว์โมบิลลากเรือยางที่เรานั่งไหลไปตามทางบนหิมะหนานุ่ม อาจจะมีจังหวะขับเลี้ยวฉวัดเฉวียนให้หวาดเสียวเล็กน้อยพอเป็นพิธี ซึ่งนั่นแหละไคลแม็กซ์ของความมัน บอกเลยว่าต้องมาเล่นราคาก็น่ารัก ผู้ใหญ่อยู่ที่ 2,200 เยน (ประมาณ 600 บาท) ส่วนเด็ก 1,650 เยน (ประมาณ 450 บาท)

Snow Mobile

อยากลองขี่สโนว์โมบิลมานานแล้ว ได้ลองสักทีดีต่อใจ ตอนแรกก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยกลัวขี่ไม่ได้ แต่ดีที่เจ้าหน้าที่มาอธิบายวิธีการสตาร์ท การบังคับรถ การเบรค เร่งเครื่อง การเว้นระยะห่างจากคันหน้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เมื่อเข้าใจวิธีทั้งหมดแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำหมวกกันน็อคมาให้ใส่ พร้อมขึ้นนั่งสตาร์ทรอเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณ จึงค่อยๆ ขี่ตามเจ้าหน้าที่ไป ทางก็จะมีจังหวะทางราบ และลาดชันเล็กน้อย เพื่อความท้าทาย แต่ไม่ต้องกังวลจะมีเจ้าหน้าที่นำทางและดูแลปิดท้าย หายห่วง และสนุกมากๆ กิจกรรมนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

Snow Bike

สำหรับกิจกรรมนี้ทำใจสักพัก คิดแล้วคิดอีกจะเล่นหรือไม่เล่นดี เพราะดูผาดโผนหวาดเสียวพอสมควร แต่ไหนๆ มาแล้วต้องลองสักตั้ง ถ้าใครกลัวความเร็วมาก สามารถบอกคุณพี่คนขับให้ลดสปีดได้นิดหนึ่ง แต่จะไม่สะใจนะ ถ้าอยากได้สะใจต้องเต็มสปีด หลังจากทำใจได้ก็กระโดดซ้อนท้าย พร้อมกอดแน่นๆ ให้คุณพี่คนขับซิ่งทะลุหิมะไปเลยจ้า ปรากฎว่ามันมาก กิจกรรมนี้ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที แต่ที่นานคงเป็นระยะทำใจก่อนขึ้น (555+) เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์แว๊นครั้งแรกที่ถูกใจสุดๆ ไปเลย

Dog Sledding

สำหรับกิจกรรมนี้ให้ฟีลลิ่ง Santa Claus is Coming To Town มากๆ ไม่เคยคิดว่าจะลอง แต่อย่างที่บอก ไหนๆ ก็มาแล้วขอสักรอบ เป็นการใช้สุนัขวิ่งลากรางเลื่อน โดยเรายืนอยู่บนเลื่อนด้านหลัง ต้องมีสตินิดหนึ่ง เพราะเราไปกับสุนัขเท่านั้น ฉะนั้นเวลาทางโค้งตัวเราต้องคอยช่วยบังคับทิศทางเลื่อนด้วย เมื่อใกล้จบ ต้องรอฟังสัญญาณจากเจ้าหน้าที่จะยกมือขึ้น เพื่อให้เราเหยียบเบรคตอนจบ ซึ่งต้องเผื่อระยะเบรคเล็กน้อย

นอกจากนี้ ภายในรีสอร์ทยังมีกิจกรรมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเล่นกับเจ้าเรนเดียร์ มีชินจังโชว์ มีม้าหมุน และอื่นๆ ที่เล่นแค่วันสองวันก็ยังไม่หมด ถ้าใครได้ลองมาพักหรือเล่นสกีที่นี่ห้ามพลาดกิจกรรมที่แนะนำนะคะ เริ่ดมากจริงๆ และในเช้าวันที่ 4 หลังจากเช็คเอ้าท์เรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทางเข้าตัวเมืองซัปโปโรแล้ว เราเดินทางโดยเลือกจอง Social Bus ในราคาเหมาคันเริ่มต้นอยู่ที่ 50,000 เยน (13,700 บาท) ต่อวัน มีที่นั่งประมาณ 14 – 16 ที่ นั่งสบายไปได้ทั้งครอบครัว

Lake Toya

ระหว่างทางเข้าตัวเมือง เราจะผ่านทะเลสาบโทยะ (Lake Toya) เป็นอีกที่ที่วิวดี น้ำใส เงียบสงบ ฟังเสียงนกร้องได้เพลินเลย แถมมีวิวภูเขาพาดผ่านเป็นเงากลางแม่น้ำ โดยที่นี่มีความพิเศษตรงที่น้ำจะไม่แข็งตัวในช่วงฤดูหนาว และกลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆ อยู่ตรงกลาง คือ เกาะนากาจิมะ (Nakajima Island) ด้วย

Soup Curry Cocoro

หลังจากเดินทางเข้าเมืองมาได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ท้องเริ่มร้อง ความหิวก็เริ่มถามหา พวกเราจึงแวะกันที่ร้าน Soup Curry Cocoro ซึ่งร้านนี้มีดีกรีได้มิชลิน Le Guide Hokkaido 2017 ด้วยนะ หลังจากได้ลองทานต้องขออธิบายก่อนว่าร้านนี้เป็น ซุปแกงกะหรี่น้ำเยอะที่สามารถซดน้ำได้ จึงไม่เข้มข้น และน้ำน้อยๆ เหมือนที่หลายคนคุ้นเคย ฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดคิดว่าสั่งผิดนะจ๊ะ ที่ร้านแห่งนี้เป็นซุปจ้า ส่วนใครจะชอบความเผ็ดมากเผ็ดน้อยก็สามารถเลือกเลเวลความเผ็ดได้ 1-100 เลยจ้า อยากเพิ่มท็อปปิ้งอะไรก็เลือกได้ เราเลือกชีสมาโรยเพิ่มความนัว โดยคนที่นี่บอกว่าถ้ากินแบบคนฮอกไกโดแท้ๆ จะตักข้าวแล้วค่อยมาตักซุปในถ้วยซดตามเท่านั้น จะไม่ใช้วิธีตักน้ำซุปมาราดกับข้าวเหมือนที่เราคุ้นเคยนะจ๊ะ

สำหรับมื้อเย็นต้องจัดหนักๆ ใครเป็นสายบุฟเฟต์ สายชาบู สายกินปู สายเนื้อ และที่ขาดไม่ได้บุฟเฟต์เบียร์และเครื่องดื่ม อาทิ เหล้าบ๊วย ซอท์ฟดริ้ง ก็ดื่มไม่อั้นที่ร้าน Japanese buffet dining DEN ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จัด เพราะคุณภาพของเนื้อวัว เนื้อหมู อาหารทะเล รวมถึงซูชิต่างๆ สดใหม่ ได้ใจสายกินจุแต่เน้นของดีไปเต็มๆ

Shiroi Koibito Park

โรงงานช็อคโกแลตชิโรอิโคอิบิโตะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ขึ้นชื่อของนักท่องเที่ยวที่ต้องมาแวะซื้อขนมคุกกี้ รสหวานกลมกล่อม โดยจะแบ่งเป็นโซนขายของฝาก โซนเป็นพิพิธภัณฑ์ และโซนโรงงานทำช็อกโกแลต ระหว่างทางเดินชมโรงงานนั้น ดูจะเหมาะเป็นสถานที่ที่ถ้ามากันเป็นครอบครัว เด็กๆ น่าจะชอบมาก เพราะทุกอย่างด้านในตกแต่งได้น่ารักมาก

TV Tower

ที่นี่ถือเป็นแลนด์มาร์กที่ใครมาซัปโปโรครั้งแรก ก็จะต้องมาเช็คอินถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันทั้งนั้น โดยบริเวณด้านหน้าซึ่งเป็นสวนสาธารณะโอโดริ ช่วงเทศกาลจะมีการประดับไฟสวยงาม เมื่อขึ้นลิฟท์ไปด้านบน TV Tower ด้วยความสูงถึง 90.38 เมตร (ความสูงของชั้นจุดชมวิว) ก็จะเห็นวิวซัปโปโรในมุมสูงและกว้างสวยมากเลย ด้านในมีขายของที่ระลึกด้วย อาทิ Terebi-to (TV Tower) หรือ Tosan (daddy) ถือเป็นจุดไฮไลท์กลางเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าดึงดูด ค่าเข้าชมอยู่ที่ 720 เยน (ประมาณ 200 บาท) หากมาเป็นกลุ่ม 15 คนขึ้นไปราคาจะอยู่ที่ 550 เยนต่อคน (หรือประมาณ 150 บาท) เท่านั้น โดยที่นี่จะเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 09.00-22.00 น.

New Otani Inn Sapporo

ปิดท้ายค่ำคืนสุดท้ายในตัวเมืองซัปโปโรที่ New Otani Inn Sapporo เป็นโรงแรมสไตล์โมเดิร์น อยู่ในย่านใจกลางเมือง ทำเลดีติดกับแหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้ง เช่น Hibito, หอนาฬิกา ซัปโปโร, ห้างโตคิว ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์ แถมภายในห้องพักยังใส่ใจในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นหมอน หมอนข้าง ใครเดินช้อปเมื่อยๆ มาทิ้งตัวหลับสบายเลยค่ะ และที่นี่ยังมีให้บริการมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น เป็นแบบบุฟเฟ่ต์อีกด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน แถมใช้เวลาเดินทางไปสนามบินแค่เพียง 60 นาทีเท่านั้น