ออสเตรีย

พาท่อง “ออสเตรีย” เส้นทางแสนโรแมนติก ดินแดนแห่งสายน้ำและขุนเขา

Alternative Textaccount_circle
ออสเตรีย
ออสเตรีย

ออสเตรียเป็นประเทศที่มีธรรมชาติสวยงาม พื้นที่กว่าครึ่งของประเทศตั้งอยู่ในเขตของเทือกเขาสูงที่สำคัญของยุโรป “เทือกเขาแอลป์” จนได้รับฉายาว่าเป็นดินแดนแห่งขุนเขา ยอดเขาสูงที่สุดความสูง 3,801เมตร มีชื่อว่าโกรสกล็อกเนอร์ (Großglockner) และยังมียอดเขาสูงในระดับที่มีหิมะปกคลุมอยู่อีกนับร้อยยอด ซึ่งหิมะนั้นจะละลายในฤดูร้อน ก่อให้เกิดเป็นทะเลสาบและลำธารอีกมากมายเช่นกัน

ออสเตรีย

ในทริปนี้ผมจะพาทุกคนไปสัมผัสกับยอดเขาสูง ทะเลสาบ และลำธารกันอย่างใกล้ชิดจุใจเลยทีเดียวครับ เราเดินทางกลางเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดปรากฏการณ์คลื่นความร้อนแผ่เข้าปกคลุมทวีปยุโรป จนบางเมืองอุณหภูมิสูงเเตะ 40 องศาเลยทีเดียว แต่โชคดีที่ในเขตภูเขาที่จะไปนั้นตอนกลางคืนยังเย็นจนเกือบหนาว (อุณหภูมิเลขตัวเดียว) ส่วนกลางวันถ้าเข้าในร่มก็เย็นยะเยือกอยู่ ผมและคณะอีก 7 คนพักกันคืนแรกริมทะเลสาบฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) ทะเลสาบแสนสวยซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างหลงใหลในความโรแมนติก ผมเลือกพักที่โรงแรม Haus Am See ซึ่งผมเคยมาพักหลายครั้งแล้ว ชอบมากตรงที่โรงแรมตั้งอยู่ชิดติดทะเลสาบ สามารถจอดรถขนกระเป๋าเดินทางได้ถึงหน้าโรงแรมเลย กับที่ชอบมากอีกอย่างนอกเหนือจากระเบียงห้องวิวทะเลสาบแล้วคือ โต๊ะอาหารเช้าบนระเบียงริมทะเลสาบ ซึ่งทำให้อาหารเช้าธรรมดาๆ พิเศษขึ้นจากวิวทะเลสาบและภูเขาสูงขึ้นมาในทันที (โรงแรมนี้ไม่มีลิฟต์นะครับ) หลังอาหารเช้าและเช็กเอ๊าต์เก็บกระเป๋าขึ้นรถแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่เมือง Zell am See ซึ่งเป้าหมายของช่วงเช้านี้อยู่ที่ทะเลสาบบนภูเขาสูง ซึ่งเป็นด้านหลังของยอดเขาโกรสกล็อกเนอร์ (Großglockner) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จัก จึงมีแต่คนท้องถิ่นมาเที่ยวกันเต็มไปหมด ถึงเมือง Zell am See ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ตกลงกันว่าทานกลางวันกันก่อนน่าจะดีกว่า เมืองนี้มีร้านอาหารไทยซึ่งมีแม่ครัวและพนักงานเป็นคนชัยภูมิ ฝีมือทำอาหารดีใช้ได้ทีเดียว เราสั่งอาหารกันจนเต็มโต๊ะ ราคาไม่แพงครับ รสชาติของกะเพราเนื้อ ต้มยำกุ้ง และไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นอร่อยถูกปากมาก ส่วนจานอื่นๆ ที่สั่งมาก็อยู่ในเกณฑ์อร่อยเช่นกัน อ้อ ร้านปิดวันอังคารนะครับ

ออสเตรีย

ออสเตรีย
โรงแรม Haus Am See ตั้งอยู่ติดทะเลสาบ

จากร้านอาหารเราไปต่ออีกไม่ไกลนัก แต่เป็นการขับไปบนถนนเล็กขึ้นเขาที่ค่อนข้างคดเคี้ยว ต้องใช้ความระมัดระวังมากสักหน่อย ถนนจะพาเราเข้าไปสุดตรงสถานีกระเช้าขึ้นเขา “Weißsee Gletscherwelt” สามารถจอดรถตรงหน้าสถานีได้เลย ผมเข้าไปจัดการซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปยังสถานีสูงสุด ราคาผู้ใหญ่คนละ 24 ยูโร จากนั้นก็เดินขึ้นชั้นบนไปยังกระเช้าที่เป็นแบบเล็ก นั่งได้คราวละ 6 คน แบ่งการเดินทางออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกจะพาขึ้นไปยังความสูง 1,742 เมตร สำหรับคนที่ซื้อตั๋วขึ้นไปสถานีสูงสุดอย่างคณะเรายังไม่ต้องลงสถานีนี้ กระเช้าจะเคลื่อนที่ต่อไปอย่างช้าๆ พร้อมเปิดประตูออกให้คนขึ้นและลงได้ในราวๆ 3 นาที ก่อนจะปิดและเคลื่อนต่อขึ้นสู่ช่วงที่สอง จนถึงสถานีสุดท้ายความสูง 2,315 เมตร จากจุดนี้ถ้าเดินต่อไปอีกหน่อยจะมี Chairlift กระเช้าแบบนั่งห้อยขา พาขึ้นต่อไปจนถึงความสูง 2,600 เมตรเลย กระเช้าแบบนั่งห้อยขาที่จุดนี้ยังมีไว้ให้บริการอยู่อีกหลายตัว เพียงแต่จะเปิดให้บริการแก่นักสกีแค่เฉพาะในฤดูหนาวเท่านั้น

ออสเตรีย
สถานีเคเบิ้ลคาร์บนยอดเขา

วันที่คณะเราไปถึงอากาศแจ่มใส แดดแรงดี จึงมีคนมานั่งๆ นอนๆ อาบแดดบ้าง ดื่มกินหรือปิกนิกกันบ้างอยู่ค่อนข้างหนาตา ด้านหน้าเราคือ ทะเลสาบ “ไวส์เซ” (Weißsee) ภาษาเยอรมันแปลว่า ทะเลสีขาว ในฤดูหนาวจะเป็นสีขาวโพลนจากหิมะ เป็นทะเลสาบบนภูเขาที่รายล้อมด้วยยอดเขาสูงมากมาย และหนึ่งในนั้นคือยอดเขาโกรสกล็อกเนอร์ซึ่งสูงที่สุดในออสเตรียด้วย บนเขาแห่งนี้ยังมีโรงแรมเปิดให้บริการแก่เหล่าผู้รักการผจญภัยทั้งหลาย เช่น สกี ปีนเขา เดินป่า สำหรับช่วงเวลาที่จะมีคนมาเที่ยวไวส์เซมากที่สุดคือ ในฤดูหนาวนั่นเอง โรงแรมบนเขานี้ชื่อ Berghotel Rudolfshûtte ครับ

ออสเตรีย
ทะเลสาบไวส์เซ
ออสเตรีย
โรงแรมบนเขา Berghotel Rudolfshutte

เราต่างชื่นชมกับความสวยงามของภาพทะเลสาบบนภูเขาที่มีน้ำสีเขียวสดใสราวสีของมรกต รายรอบอยู่ทางด้านหลังคือภูเขาสูงที่มีหิมะสีขาวระบาย
อยู่บนยอดในแบบพานอรามา ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานจนสมควรแก่เวลาจึงนั่งกระเช้าที่สถานีเดิมกลับลงสู่ลานจอดรถเบื้องล่างอีกครั้ง

ออสเตรีย
ยอดเขาโกรสกล็อกเนอร์มองจากด้านหลัง

ทะเลสาบบนภูเขาแห่งนี้มีอยู่ 3 แห่ง ซึ่งมีการต่อท่อน้ำขนาดใหญ่ เพื่อปล่อยน้ำจากทะเลสาบลงมาปั่นเครื่องกังหันให้โรงผลิตไฟฟ้าด้านล่างด้วย เมื่อทุกคนขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันหัวรถขับย้อนทางออกมาตามทางเดิม แต่คราวนี้มุ่งหน้าผ่านเมือง Zell am See แล้วจึงไปเลี้ยวแยกขวาที่เมือง Bruck an der Großglocknerstraße เข้าสู่ทางขึ้นอุทยานแห่งชาติ Hohe Tauern ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศออสเตรีย (ก่อตั้ง ค.ศ. 1981) ด้วยขนาดของพื้นที่มากกว่า 1,800 ตารางกิโลเมตร จึงนับเป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติใหญ่ที่สุดในยุโรป

ออสเตรีย
ในต้นฤดูใบไม้ผลิจะยังมีหิมะปกคลุมถนน

เราขับรถไปตามถนนอัลไพน์โกรสกล็อกเนอร์ (Großglockner Alpenstraße) โดยถนนเส้นนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1935 และได้รับการยกย่องในแง่ของวิศวกรรมที่สร้างมาได้เป็นอย่างดี เกิดเป็นผลงานการก่อสร้างที่น่าประทับใจจนถูกจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในถนนบนภูเขาที่สวยงามที่สุด ถนนแห่งนี้ยาว 50 กิโลเมตร มีผิวจราจรที่เรียบและกว้าง 7.50 เมตร โดยมีความลาดชันสูงสุดไม่เกิน 12 เปอร์เซ็นต์ จึงง่ายต่อการควบคุมรถ เปิดให้ใช้ผ่านได้จากกลางเดือนพฤษภาคมไปจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม (ตั้งแต่หกโมงเช้าถึงสองทุ่ม) แต่กระนั้นในช่วงฤดูร้อนที่อากาศแปรปรวน ถนนก็อาจจะถูกปิดได้ เนื่องจากมีพายุหิมะหรือลูกเห็บตกหนักปิดทับเส้นทางด้านบนของภูเขา จุดสูงสุดบนเส้นทางสายนี้มีความสูง 2,600 เมตร ความสำคัญอีกอย่างของเส้นทางสายนี้คือ สามารถใช้เป็นเส้นทางลัดผ่านไปยังประเทศสโลวีเนียและประเทศอิตาลีได้อีกด้วย ภาพทิวทัศน์สวยงามจะเริ่มปรากฏแก่สายตาเราเมื่อผ่านด่านเก็บเงินค่าผ่านทางไปแล้ว โดยจัดให้มีจุดจอดรถชมวิวพร้อมป้ายอธิบายความสำคัญหรือความเป็นมาของสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไว้โดยละเอียด นอกจากนี้ยังมีอาคารจัดแสดงนิทรรศการประวัติของเส้นทางพันธุ์พืชและสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานไว้อย่างดี ดูเข้าใจง่าย

ออสเตรีย
โบสถ์ริมทางเมื่อพ้นด่านเก็บเงินแล้ว

ผมขับแยกต่อเข้าไปเพื่อเยี่ยมชมธารน้ำแข็งใหญ่ “ไกเซอร์ฟรานซ์โจเซฟ” เมื่อนำรถเข้าไปจอดภายในอาคารเรียบร้อยแล้ว คณะเราก็พากันเดินออกมายังด้านหน้า เพื่อชื่นชมกับภาพของธารน้ำแข็งใหญ่ ซึ่งมียอดเขาโกรสกล็อกเนอร์เป็นฉากหลัง ไม่อยากเชื่อว่าเมื่อ 3 ชั่วโมงที่แล้วนี่เอง พวกเราต่างก็ได้เห็นยอดเขาที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้มาแล้ว แต่เป็นการเห็นจากอีกฝั่ง ชื่อธารน้ำแข็งนี้ตั้งขึ้นมาตามพระนามของจักรพรรดิฟรานซ์โจเซฟ ซึ่งทรงใช้เวลาหลายชั่วโมงในการปีนเขาขึ้นไปจนถึงจุดที่เป็นธารน้ำแข็งแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1856 กว่าจะได้อำลาธารน้ำแข็งไกเซอร์ฟรานซ์โจเซฟและยอดเขาโกรสกล็อกเนอร์ก็เย็นมากแล้ว พระอาทิตย์ในหน้าร้อนเช่นนี้ขยันมากเป็นพิเศษ กว่าจะมืดก็เกือบสี่ทุ่มนั่นแหละครับ ผมขับกลับมาตามทางเดิมจนถึงทางแยก แล้วมุ่งหน้าตามป้ายบอกทางไปอิตาลี ผ่านด่านเก็บเงินปลายทางซึ่งขับไปไม่ไกล ขับต่ออีกหน่อยก็ถึงโรงแรม Hotel Kãrntnerhof บรรยากาศดีมาก มองเห็นยอดเขาใหญ่ที่เราเพิ่งจากมาอยู่ไม่ไกลนัก ห้องใหญ่ สะอาด มีระเบียงส่วนตัว และที่ผมชอบมากๆ คือสนามหญ้าด้านหลังโรงแรมมีต้นเชอร์รี่สีแดงเข้มออกลูกเต็มต้น ติดๆ กันเป็นลำธารใหญ่ที่มีน้ำใสสะอาดไหลเชี่ยวส่งเสียงดัง แต่ในตอนกลางคืนกลับกลายเป็นเสียงกล่อมนอนฟังเพลินดีทีเดียว

ออสเตรีย
โรงแรม Karntnerhof
ออสเตรีย
ต้นเชอร์รี่ในสวนหลังโรงแรม Karntnerhof

วันต่อมาหลังจากเช็กเอ๊าต์แล้ว เรามุ่งหน้าสู่ประเทศอิตาลี ถนนเส้นนี้จะนำไปสู่ทางภาคเหนือของประเทศอิตาลี ซึ่งในบริเวณนี้มีเทือกเขาหินปูนใหญ่มากและมีชื่อเสียงโด่งดังในความงดงามของทิวทัศน์ (มองเห็นได้อยู่ไม่ไกล) และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวส่วนมาก ชื่อ “เทือกเขาโดโลไมต์” แต่ต้องขออภัยที่ในครั้งนี้ผมจะยังไม่ได้พาทุกคนไปนะครับ ผมหันหัวรถขึ้นสู่ทางด่วนสาย Brenner Pass ซึ่งเชื่อมเมืองอินส์บรุคของประเทศออสเตรียกับเมืองโบลซาโนของประเทศอิตาลีเข้าด้วยกัน โดยผมและคณะจะไปแวะที่ Outlet Center Brenner ซึ่งตั้งอยู่ติดกับชายแดนของทั้งสองประเทศนี้ ขอตัวไปช็อปปิ้งก่อนครับ


 

ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 941

Praew Recommend

keyboard_arrow_up