สัมภาษณ์พิเศษผู้เข้าประกวดหมายเลข 82 เฌอเอม-ชญาธนุส ศรทัตต์ สาวงามผู้ฉายแสงสู่จักรวาล กับวิธีคิดคำตอบที่ทัชหัวใจผู้คน
ดูเผินๆ การประกวดนางงามอาจเป็นการแข่งกันที่ความสวย แต่ในหลายครั้งของการประกวด ก็ทำให้เราได้รู้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะแก่นแท้ของการประกวดแท้จริงแล้ว เราไม่ได้ต้องการคนสวยเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยากสื่อออกไปให้โลกได้รู้ว่า ผู้หญิงก็มีศักยภาพและขับเคลื่อนสังคมได้เหมือนกัน
สำหรับผู้เข้าประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 (Miss Universe Thailand 2020) ในปีนี้ แต่ละคนนอกจากพกความสวยมาสู้ศึกขาอ่อนแล้ว พวกเธอยังพกความรู้ความสามารถมาฟาดฟันกันแบบไม่มีใครยอมใคร ซึ่งหากพูดถึงสาวงามที่กลายเป็นที่พูดถึงในประเด็นนี้มากที่สุดก็คงเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก ผู้เข้าประกวดหมายเลข 82 เฌอเอม-ชญาธนุส ศรทัตต์ ซึ่งแพรวดอทคอม ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอในระหว่างกิจกรรมเก็บตัว ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า เธอคือสาวงามผู้ฉายแสงสู่จักรวาลจริงๆ
เฌอเอมเป็นลูกหลงของครอบครัว
“เอมเป็นลูกหลงค่ะ มีพี่น้องสามคน เป็นพี่ชาย พี่สาว และเอมเป็นคนสุดท้อง เอมเองเป็นลูกหลง พี่ๆ โตหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยได้เล่นกับใครเท่าไหร่ เลยมักจะอยู่คนเดียวและอ่านหนังสือ ถามว่าสนิทกับพี่ๆ ไหม ก็คือตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้คุยเพราะพี่ๆ เขาโตมากแล้ว แต่เราก็มองเขาเป็นแบบอย่าง แต่ไม่ได้เป็นเพื่อน”
ไม่ได้เป็นคนขี้อาย แต่เป็นพูดไม่เก่ง เลยไม่ชอบพูด
“อาจมีคนเข้าใจผิด แต่จริงๆ แล้วหนูไม่ใช่คนขี้อายนะคะ เอมพูดไม่เก่งเพราะเราขี้เกียจจะพูด เนื่องจากเวลาเราพูดคนมักจะล้อ ฉะนั้นเวลามีอะไรเราเลยไม่พูด แต่เราจะคิดในหัว สำหรับจุดเปลี่ยนคือ เรารู้สึกว่าพอเราไม่พูด พื้นที่เราก็หายไปด้วย ซึ่งมันทำให้ชีวิตเรามีข้อจำกัดและไม่ได้รับสิทธิ์บางอย่างเท่ากับคนอื่น หรือว่าเราไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี เพราะเขาคิดกับเราว่าต่อให้ปฏิบัติกับเราไม่ดี เขาก็จะไม่พูดอะไร แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องการสิ่งดีๆ พอมันถึงจุดหนึ่งเอมรู้สึกไม่โอเค เลยคิดว่าเราต้องออกมาพูดบ้าง”
ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเฌอเอม
“เอมเป็นคนตัวสูงและผอม เลยดูเก้งก้างเลยมักจะโดนล้อ จึงชอบอยู่กับหนังสือและวาดรูปคนเดียวมากกว่า บางทีก็พูดคนเดียว เพราะเราชินกับจินตนาการโลกขึ้นมาจากหนังสือ บวกกับตอนนั้นไม่มีตัวเลือกอื่นเท่าไหร่”
“สำหรับการเรียนของเอม เอมว่าเอมโอเคนะคะ แต่ตอนนั้นในวัยเด็ก พอเราคิดว่าตัวเองไม่เก่ง และถูกเพื่อนล้อเยอะ มันทำให้เราเลยไม่มีความมั่นใจเหมือนอย่างคนอื่น ถึงใครจะบอกว่ารูปร่างหน้าตาเอมว่ามันไม่เกี่ยว แต่ความจริงแล้วมันก็เกี่ยว เพราะพอเด็กมีความมั่นใจ เขาก็จะกล้าที่จะเรียนรู้มากขึ้น แต่กระบวนการเรียนรู้ของเรามันยุ่งเหยิงตั้งแต่เด็ก เราก็จะคิดว่าเราไม่เก่งตลอด เอมเคยตั้งใจกาข้อสอบแบบมั่วๆ เพราะคิดว่าทำไปมันก็ไม่ได้อยู่แล้ว เป็นความรู้สึกที่เราไม่อยากรู้ว่าเราเก่งหรือไม่เก่ง แต่พอโตขึ้นมาก็รู้ว่าเราเก่งแหละ แต่กลายเป็นว่าเราไม่ได้ใช้เวลาตรงนั้นตั้งแต่เด็ก”
เรียนโรงเรียนไทยมาตลอด แต่ภาษาอังกฤษเป๊ะปังหายห่วง
“เอมก็เรียนโรงเรียนไทยปกติค่ะ คนอาจจะมองว่าภาษาเอมดีแต่บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าเรามึนๆ เท้นต์อยู่บ้าง สำหรับสิ่งที่หล่อหลอมให้เรามีภาษาที่ดีแบบนี้เอมคิดว่ามันคือความคล่องตัวของภาษาเมื่อเราใช้บ่อยๆ โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ชอบ อย่างเอมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือและการ์ตูนค่ะ แล้วเรื่องที่หนูอ่านมันไม่มีภาษาไทยก็เลยทำให้ต้องอ่านเป็นภาษาอังกฤษไปโดยปริยาย เพราะความที่อยากจะอ่านมัน ก็เลยทำให้หนูสู้อดทน พยายามอ่านภาษาให้แตก เอมคิดว่าการอ่านมันคือการฝึกภาษาที่ดีค่ะ”
ล้วงลึกวิธีคิดคำตอบในแบบของเฌอเอม
“จริงๆ หนูเองก็ช็อตคำตอบเยอะเหมือนกัน อย่างเวลาที่มีคนเดินเข้ามาถามทันที สำหรับการตอบคำถามของเอมนั้น เอมคิดว่าเราคิดอะไรเราก็แค่พูดอย่างนั้น และตอบคำถามให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้แค่นั้นเอง เอมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้พูดกับคนอื่นเท่าไหร่ หน้าตาจะนิ่งๆ คนอาจไม่อยากเข้าใกล้เรา เลยอยากให้เวลาพูดอะไรออกไป ก็พูดให้ตรงประเด็นที่สุด เพื่อให้เขารู้สึกว่าเขาได้คำตอบ ให้เขารู้สึกว่าเราคุยรู้เรื่อง น่าเข้าใกล้มากขึ้น”
ความกดดันในการตอบคำถามแต่ละครั้งของเฌอเอม
“เอมได้รับรู้กระแสที่คนพูดถึงเรามันรู้สึกเหนือความคาดหมาย เพราะเราก็แอบคิดนิดหนึ่งว่า บางทีทุกครั้งที่เราตอบ มันจะไม่ได้อย่างนั้นตลอดมันต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย แต่เราก็ไม่อยากให้เขาคาดหวังมากเกินไป ซึ่งเอมว่ามันไม่ได้กดดันในแบบที่ว่าเราต้องทำให้ดีขึ้นนะคะ แต่มันกดดันให้เราปล่อยไปบ้าง เพราะทุกครั้งเราอาจจะไม่ได้เป๊ะปังตลอด อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เอมมักคิดอยู่เสมอก็คือ ต้องคำนึงถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองด้วย เอมคิดว่าการที่เราดูแลพื้นที่อยู่รอบตัวดูบริบทของงาน บางทีอะไรที่มันแหลมเด่นแหลมเกินไป มันก็ไม่ดี คือการที่เราอยู่กับคนอื่นได้ มันสำคัญกว่าการหาซีนเข้าตัวเองตลอดเวลา เพราะฉะนั้นบางเรื่อง จุดกึ่งกลางของเอมจะไม่เหมือนกับคนอื่น บางเรื่องอาจจะตรงใจคนบางเรื่องก็อาจจะไม่ตรงใจคน”
“แต่แอตติจูดของเอมเกือบทั้งหมดไม่ได้มาจากทางใดทางหนึ่งเท่านั้น แต่มันเกิดจากการที่เอมคิดย้อนไปย้อนมา การเป็นเด็กที่สังคมไม่ต้องการมาตลอดเอมว่ามันเป็นโชคดีในโชคร้ายนะคะ เพราะเมื่อรู้สึกว่าเราผิดที่ตรงไหน มันเริ่มรื้อกระบวนการคิดและทำให้ได้อะไรใหม่ๆ ที่มันอาจจะเป็นช่องโหว่อย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง เหมือนกับเราอยู่ยอดตึกเราคงมองไม่เห็นช่องโหว่ต่างๆ แต่เมื่อเราเลือกที่จะลงไปแล้วขึ้นตึกมาใหม่อีกครั้ง มันจะทำให้เราเห็นอะไรชัดเจนขึ้น”
ผันชีวิตจากนางแบบรันเวย์สู่เวทีการประกวดจักรวาล
“ตอนที่เอมเป็นนางแบบเอมไม่ได้มีปัญหาเรื่องการพูดไม่ชัด เพราะนางแบบไม่จำเป็นต้องพูดชัดถูกไหมคะ พอคิดจะมาเป็นนางงาม เราต้องเริ่มสำรวจตัวเองว่าเราจะต้องพูดชัดแค่ไหน ต้องใช้อะไรบ้าง ซึ่งเอมใช้เวลา 1 เดือนเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองก่อนที่จะมาออดิชั่น โดยอย่างแรกที่ต้องทำคือการทลายกำแพงความรู้สึกของเรา เพราะก่อนที่เราจะไปพูดกับคนโดยเฉพาะพูดให้คนฟังรู้สึกทัชใจ เราต้องรู้ก่อนว่า เราอยากพูดกับตัวเองอย่างไร ถ้าตัวเราเองเรายังรู้สึกไม่โอเค คนอื่นก็คงไม่ได้รู้สึกโอเคเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องคิดก่อนว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ คนเขาอยากจะฟังอะไรจากเรา แล้วเรากล้าไหมที่จะพูด เพราะบางทีเมื่อมาคิดดูดีๆ เราไม่ได้เก่งหรือเข้าใจชีวิตคนทุกรูปแบบ”
พูดจาฉะฉานแต่จริงๆแล้ว เอมเป็นโรคไม่ชอบสบตากับผู้คนหรือกล้อง
“คือหนูจะเป็นคนที่ไม่ชอบสบตากับผู้คน ตาเอมจะค่อนข้างหลุกหลิกมองโน่นมองนี่ เนื่องจากเราจะกลัวสายตาคน เหมือนตอนนี้หนูมองตาพี่ซึ่งเป็นคนจริงๆ หนูก็ต้องใช้ความพยายามนิดหนึ่ง แต่ถ้ากลัวมากกว่าก็คือกล้อง คือหลังจากวันนี้พี่อาจจะลืมเอมก็ได้ แต่ถ้าเอมมองกล้อง เมื่อไหร่ที่ถูกบันทึกทั้งภาพ เสียง และใบหน้ามันจะอยู่กับเราตลอดไป”
แข็งแรงกว่าร่างกายคือความคิดที่แข็งแกร่ง
” ตอนที่มีฟีดแบ็คคนชื่นชม ยอดfollowขึ้นมาเยอะเลย เอมก็ค่อนข้างตกใจมากเพราะว่าในชีวิตไม่เคยมีใครมีฟีดแบ็คนี้กับเราเลย และเราเองก็ไม่ชินเหมือนกันค่ะ”
“คือเอมพยายามย้อนคิดเหมือนกันนะว่า เวลาเพื่อบอกว่าเอมเก่ง เราก็จะตอบกลับไปว่าเราเก่งตรงไหน ด้วยความที่มันไม่ได้เห็นเป็นภาพเป็นรูปธรรมมันก็เลยวัดยาก เอมมานั่งนึกนะว่าเราเก่งอะไร เราเก่งกับการอดทนต่อชีวิตเหรอ หรือว่าเรามีจุดมุ่งหมายอะไร”
มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เวทีที่เปลี่ยนชีวิตของเฌอเอม
“ก็ส่วนหนึ่งนะคะ เพราะว่าการที่เราจะมาตรงนี้ ตอนนั้นเอมไม่ได้คิดถึงเรื่องสวยหรือว่าเดินดี คือครั้งแรกที่มาไม่ได้คิดถึงตำแหน่งอะไรขนาดนั้น แค่คิดว่าอยากทำให้ดีที่สุด”
“ตอนที่มาประกวดเราคิดมาก่อนว่า เรามีอะไรอยากจะบอกกับโลกนี้ไหม เพราะเราก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าอยากหนีจากสปอร์ตไลท์มาตลอด ซึ่งพอเราอดทนกับหลายอย่างในชีวิต มันทำให้เรารู้ว่าถ้าเรามันแต่อดทนมันคงไม่เกิดกลายเปลี่ยนแปลงดังนั้นเราควรที่จะลงมือทำหรือออกมาพูด ฉะนั้นเราต้องลอง พอเอมเคลียร์ตรงนี้ได้อย่างอื่นมันมาที่หลังเลยค่ะ”
ชีวิตของเฌอเอมทำให้เราได้เรียนรู้หลายอย่าง โดยเฉพาะการเปลี่ยนมุมมองในชีวิต จนกล้าที่จะก้าวออกมาจากโลกใบเดิม โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาพาออกไป เอาเป็นว่าแพรวขอเป็นกำลังใจให้กับเฌอเอม รวมถึงสาวงามท่านอื่นๆ ทุกคนด้วยนะคะ
ภาพจาก : IG @cheraimnations_
สามารถติดตามอ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
นางแบบไทย เฌอเอม-ชญาธนุส เกือบโดนต่อย หลังถูกเหยียดเรื่องไวรัส Covid-19
5 ปี กับตราบาปในชีวิต พรฟ้า-ปุณิกา ยืนยันบริสุทธิ์ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
ชีวิตยิ่งกว่าละคร ซามีน่า MUT2020 อยู่ห้องเช่าเดือนละ 1,500 บาท แต่สู้ชีวิตยิบตา
สวยไม่ได้จำกัดแค่ขาว Samina ขอพิสูจน์ ค่านิยมความงาม เปลี่ยนไปแล้วหรือยัง?
คมกว่าปังตอ! น้ำ-พัชรพร นางงามคนล่าสุดของเวที มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2020