ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมกับแคมเปญ Golden Ball พร้อมลุ้นรางวัลใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา

account_circle

ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ แลนด์มาร์กสำหรับคนรักกีฬาและความบันเทิงแบบครบวงจรที่ไม่ซ้ำใคร ชวนทุกคนมาเฉลิมฉลอง พร้อมประทับใจไปกับบรรยากาศแห่งความสุข อาหารรสเลิศ และความบันเทิงแบบจัดเต็ม กับการกลับมาของแคมเปญ Golden Ball สุดยิ่งใหญ่ประจำปี ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 ซึ่งในปีนี้ ท็อปกอล์ฟ จะมาเพิ่มความพิเศษให้แคมเปญพิเศษกว่าที่เคย โดยผู้โชคดีทุกคนจะมีสิทธิเลือกที่จะรับรางวัลทันที  หรือเก็บลูกกอล์ฟทองคำไว้เพื่อลุ้นรับรางวัล‘โบนัส’ใหญ่สุดพิเศษ ซึ่งมีมูลค่ารวมของรางวัลสูงถึง 8 ล้านบาท แจกรางวัลทุกวันมากกว่า 50 รางวัล รวม 3,000 รางวัล!

ตลอดทั้งแคมเปญ สามารถลุ้นเป็นหนึ่งในผู้โชคดี รับรางวัลสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น iPad, Airpod, iPhone 16, ชุดไม้กอล์ฟ Callaway, จักรยานไฟฟ้า Ryde Culture และตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ ไป-กลับกรุงเทพฯ สหรัฐอเมริกาจากสายการบิน STARLUX ติดมือกลับบ้านไปแบบฟินๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ

ยิ่งไปกว่านั้น ในปีนี้ยังมีอีกหนึ่งความตื่นเต้นให้ได้ร่วมสนุก นอกจากการลุ้นรางวัลสุดพิเศษในแต่ละวัน ผู้โชคดียังสามารถเลือกเก็บลูกกอล์ฟสีทองไว้ลุ้นรับรางวัล ‘โบนัส’ สุดยิ่งใหญ่ มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท กับแพ็คเกจทริปสุดหรู ซึ่งประกอบไปด้วย การเข้าพัก 3 คืน สำหรับ 4 ท่าน ที่โรงแรมบูติกชั้นนำการันตีด้วยรางวัลอย่าง HakuVillas ในนิเซโกะ ณ ประเทศญี่ปุ่น

HakuVillas ที่พักสุดหรูภายใต้ HakuLife Collection ถือเป็นที่พักที่หรูหราที่สุดของ H2Life ที่เปิดให้บริการ มีชื่อเสียงในการมอบประสบการณ์สุดหรูที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันให้แก่แขกผู้เข้าพัก นอกจากนี้ HakuVillas ยังได้รับรางวัล World’s Best Ski Boutique Hotel และ Japan’s Best Ski Boutique Hotel จาก World Ski Awards 2023 รวมถึง Japan’s Best Golf Hotel จาก World Golf Awards 2020 และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย

ผู้โชคดียังสามารถเพลิดเพลินกับการออกรอบที่สนามกอล์ฟ Hanazono Golf และ Niseko Village Golf Course รวมสองรอบ นอกจากนี้ยังมีมื้ออาหารสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น มื้อค่ำจากเชฟส่วนตัว อาหารเช้า คานาเป้ช่วงบ่าย  พร้อมการต้อนรับด้วยแชมเปญ Dom Pérignon ระดับพรีเมียมที่เสิร์ฟคู่กับคาเวียร์ อีกด้วย โดยผู้ชนะสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์พิเศษเหล่านี้ได้ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม 2568 พร้อมบริการรับส่งสนามบิน และอาหารค่ำสุดหรูที่ HakuSteak พร้อมเที่ยวบินสำหรับสี่คนจากกรุงเทพฯ โดยรางวัลโบนัสนี้ จะถูกประกาศในวันที่ 5 มกราคม 2568 ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของท็อปกอลฟ์ เมกาซิตี้ ซึ่งรางวัลพิเศษ และรางวัลโบนัสปีนี้ รวมมูลค่าทั้งหมดกว่า 8 ล้านบาท เพิ่มโอกาสในการชนะ และรับรางวัลกลับบ้าน พร้อมแบ่งปันความสุขให้กับทุกคนมากขึ้นกว่าที่เคย!

ก้าวเข้าสู่ช่วงส่งท้ายปี 2567 ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ อยากชวนทุกคนมาร่วมการนับถอยหลังสู่ปี 2568 กับคืนข้ามปีสุดประทับใจ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ให้ทุกคนได้เพลิดเพลินกับความบันเทิงแบบจัดเต็ม ทั้งดนตรีสด และความสนุกสุดมันส์จากดีเจ พร้อมชมการแสดงพลุสุดตระการตา ร่วมก้าวเข้าสู่ปีใหม่ไปด้วยกัน

ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ คือ แหล่งรวมกีฬาและความบันเทิงสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะมองหาสถานที่ฝึกวงสวิง หรือแค่ต้องการใช้เวลาพิเศษไปกับคนสำคัญ ทุกคนสามารถเพลิดเพลินกับความสนุกที่ผสานเข้ากับเกมส์กีฬาได้ที่นี่ ผ่านการตีลูกกอล์ฟฝังไมโครชิพไปยังหลุมขนาดยักษ์ทั้ง 11 จุด ซึ่งเป็นความสนุกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ พร้อมด้วยฮิตติ้งเบย์ถึง 102 เบย์ ที่มาพร้อมโซฟาแสนสบาย และระบบปรับอากาศเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด ทำให้ทุกคนสามารถสนุกสนานไปกับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครได้อย่างเต็มที่ ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ ให้ความสำคัญกับการสร้างช่วงเวลาดีๆ ทำให้ที่นี่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาสร้างความทรงจำสุดประทับใจ กับค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อาหารรสเลิศ และความตื่นเต้นอีกมากมาย

เมื่อพักเบรคจากเกมหวดวงสวิง ทุกคนยังสามารถเพลิดเพลินกับบาร์ และอีก 5 ร้านอาหารที่ไม่เหมือนใครของท็อปกอล์ฟ ซึ่งมีอาหารรสเลิศหลากหลายที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการ ทำให้ ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับทุกช่วงเวลาพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างค่ำคืนที่น่าจดจำร่วมกับคนในครอบครัว หรือค่ำคืนที่สนุกสนานร่วมกับกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่สุดประทับใจนี้ อย่าลืมชวนคนสำคัญมาสร้างความทรงจำดีๆ กับความสนุกสนาน ความบันเทิง และมื้ออาหารสุดพิเศษ เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีไปด้วยกัน

ให้ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ เป็นสถานที่เฉลิมฉลองคืนข้ามปีของคุณในปีนี้! จัดเต็มทั้งความบันเทิง อาหารรสเลิศ และเกมสนุกสุดเหวี่ยง ไม่ว่าจะหาสถานที่เพื่อใช้ช่วงเวลาพิเศษกับครอบครัว หรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ท็อปกอล์ฟจัดมาให้ครบอย่างแน่นอน   

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.topgolfthailand.com หรือโทร 021141289


Biscotti เทคโอเวอร์ ดึงเชฟระดับมิชลินสตาร์ จากโรมสู่กรุงเทพฯ ร่วมสร้างตำนานบทใหม่ของอาหารอิตาเลียน

account_circle

ห้องอาหารบิสก็อตติ (Biscotti) ร้านอาหารอิตาเลียนระดับตำนานกว่า 40 ปี ที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ร่วมกับคริสตินา บาวเวอร์แมน (Cristina Bowerman)เชฟมิชลินสตาร์ระดับหนึ่งดาว จากร้าน Glass Hostaria กรุงโรม ประเทศอิตาลี บินตรงมาเทคโอเวอร์ห้องอาหารบิสก็อตติ เพื่อมอบประสบการณ์ความพิเศษสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียน และต้อนรับช่วงเทศกาล Festive เริ่ม 6 พย.-30 ธค.นี้

คริสตินา บาวเวอร์แมน เป็นเชฟที่มีชื่อเสียง และโดดเด่นด้านการทำอาหารเชิงสร้างสรรค์ โดยเธอได้รับมิชลินสตาร์หนึ่งดาว ในฐานะเชฟผู้หญิงคนเดียวของอิตาลี จากร้าน Glass Hostaria เมื่อปี 2010 นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล 3 Forks อันทรงเกียรติจาก Gambero Rosso ถึง 3 ปีซ้อนตั้งแต่ปี 2020 ที่การันตีความอร่อย คุณภาพอาหารและไวน์ลิสชั้นนำ รวมถึงการบริการชั้นเลิศ อีกทั้งยังคว้ากว่าหลายร้อยรางวัลตลอดระยะเวลา 19 ปีของการเป็นเชฟมาแล้วอีกด้วย

ความโดดเด่น และเอกลักษณ์ของเชฟคริสติน่าคือ ความหลงใหลในการทำอาหาร และไอเดียที่สร้างสรรค์ตลอดเวลา ผสานเทคนิคใหม่ๆเข้ากับความคลาสสิคแบบดั้งเดิมได้อย่างกลมกลืน ดังนั้นทุกเมนูที่เสิร์ฟจะสะท้อนเอกลักษณ์และความพิเศษในตัวตนที่โดดเด่นของเธอออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ โดยการเทคโอเวอร์ครั้งนี้ เชฟคริสติน่าและทีม ได้คัดสรรค์เมนูยอดนิยมจากร้าน Glass Hostaria รวมถึงเมนูที่ครีเอทขึ้นเพื่อนักชิมชาวไทยโดยเฉพาะอีกด้วย เมนูแนะนำเริ่มตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง Almost A Pizza เซอเลอรี่พิซซ่าสไตล์โฮมเมด ราดซอสทับทิม, Sea & Earth Tartare ทาร์ทาร์เนื้อ และทูน่า ท็อปด้วยแองโชวี คาร์เวียและแอปเปิ้ลซอส, Our Italian Sashimi ปลา Amberjack สดเนื้อแน่น แล่บาง บนมิโซะแดง ท็อปด้วยโทบิโกะวาซาบิ เสริมรสชาติเปรี้ยวเผ็ด ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีอิตาเลียนพาสต้า และรีซอตโตหลากหลายเมนูให้เลือก โดยเชฟแนะนำ Liquid Parmigiano Reggiano stuffed Ravioli, Butter and Seasonal Truffle ซึ่งเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน Glass Hostaria มานานกว่า 13 ปี สำหรับอาหารจานหลักมีให้เลือกตามความชอบอาทิ Beef Tenderloin, Chocolate Demi Glace เนื้อสันในราดซอสเดมิกลาสเข้มข้นและฟัวกราส์ หรือใครที่อยากลิ้มรสชาติเนื้อลูกวัวชุ่มฉ่ำ ปรุงรสชาติแบบดั้งเดิมของแคว้นเพียมอนต์ต้องลอง Veal Tonne 2.0 with Paprika and Caper Powder หรือเมนูขึ้นชื่อของร้าน Glass ตั้งแต่ปี 2006 อย่าง Plin All’ama Triciana พาสต้าคลาสสิคของอิตาเลียน โดดเด่นด้วยซอสมะเขือเทศและชีสเพโคริโน่ และแก้มหมูหมักเนื้อนุ่ม ฯลฯ

ห้ามพลาดโอกาสพิเศษที่คุณจะได้สัมผัสกับอาหารอิตาเลียนแบบสร้างสรรค์ โดยเชฟฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งของอิตาลี กับ Biscotti Takeover โดยคริสตินา บาวเวอร์แมน เชฟระดับมิชลินสตาร์ ได้ตั้งแต่วันที่ 6 พย. ถึง 30 ธค.นี้ ณ ห้องอาหารอิตาเลียน บิสก็อตติ (Biscotti) โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ มื้อกลางวัน เวลา 12:00-14:30 น. และมื้อเย็น เวลา 18:00-22:30 น. สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ โทร.0-2431-9497


BDMS Wellness Clinic เปิดตัว Longevity Card มูลค่า 1,000,000 บาท ยกระดับการดูแลสุขภาพสมบูรณ์

account_circle

บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกัน เปิดตัวบัตร Longevity Card มูลค่า 1 ล้านบาท สิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อการดูแลสุขภาพตลอดปี ที่จะพาคุณก้าวข้ามขีดจำกัดของการดูแลสุขภาพแบบเดิมๆ ด้วย Wellness Life Blueprint พิมพ์เขียวสู่สุขภาพดีอย่างยั่งยืน รู้จักและเข้าใจร่างกายของตัวเองในแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านการตรวจวิเคราะห์สุขภาพที่ครอบคลุมในหลายมิติ ตั้งแต่การปรับสมดุลวิตามินและแร่ธาตุภายในร่างกาย คุณภาพการนอนหลับ การควบคุมน้ำหนักต่อสู้โรคอ้วน สุขภาพจิตใจ การวางแผนการออกกำลังกาย ไปจนถึงการวางแผนการดำเนินชีวิตเพื่ออายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Healthspan) ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ด้านเวชศาสตร์ป้องกัน ด้วยหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต และทีมสหวิชาชีพ พร้อมสิทธิพิเศษมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท คัดสรรอย่างพิถีพิถันเพื่อคุณคนพิเศษโดยเฉพาะ พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination of the World

ปัจจุบันเทรนด์การดูแลสุขภาพยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์ที่ทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย รวมถึงโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เช่น เบาหวาน โรคอ้วน และความเครียด ทำให้ภาพรวม ธุรกิจ Wellness เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น เห็นได้จากข้อมูลตลาด Wellness ทั่วโลก ที่คาดว่าจะโตต่อเนื่องทุกปีราว 8.6% และจะแตะถึง 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570 นอกจากนี้ ประเทศไทย ยังถือเป็นหนึ่งใน 20 อันดับจุดหมายปลายทางด้าน Wellness ของโลก สอดคล้องกับนโยบาย Wellness Hub Thailand ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลกอีกด้วย

BDMS Wellness Clinic ในเครือ BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ จึงเล็งเห็นถึงโอกาส เดินหน้ารุกตลาด Ultra Luxury Wellness และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพองค์รวม เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ด้วยการเปิดตัวบัตร Longevity Card บัตรสมาชิกรายปีที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมตลอดปี พร้อมการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมผู้ชำนาญการ และสิทธิพิเศษอีกมากมายให้แก่ผู้ถือบัตร

บัตร Longevity Card สิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อการดูแลสุขภาพ จาก BDMS Wellness Clinic จะพาคุณก้าวข้ามขีดจำกัดของการดูแลสุขภาพแบบเดิมๆ ด้วยการตรวจวิเคราะห์สุขภาพเชิงลึกที่ครอบคลุมในหลายมิติ ตั้งแต่การปรับสมดุลวิตามินและแร่ธาตุภายในร่างกาย คุณภาพการนอนหลับ การควบคุมน้ำหนักต่อสู้โรคอ้วน สุขภาพจิตใจ การวางแผนการออกกำลังกาย ไปจนถึงการวางแผนการดำเนินชีวิตเพื่ออายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Healthspan)

บัตร Longevity Card มอบการวิเคราะห์สุขภาพที่ทันสมัย เช่น การตรวจพันธุกรรม Genetic และ Epigenetics, การตรวจระดับฮอร์โมน, การตรวจระดับภูมิต้านทาน, การตรวจอายุชีวภาพของร่างกายเรา (Biological Age), การวัดระดับไขมันพอกตับ, การวัดความสะอาดของหลอดเลือด การตรวจหาเซลล์มะเร็งระยะเริ่มต้น (Early Detection Cancer) และการวิเคราะห์ระดับวิตามินและแร่ธาตุ สาร antioxidant อย่างละเอียด เป็นต้น ให้คุณได้ล่วงรู้ถึงข้อมูลสุขภาพ เพื่อการออกแบบการใช้ชีวิต และผลิตวิตามินเฉพาะบุคคล (Personalized Supplement) ที่ตรงกับความต้องการของร่างกายคุณ และเสริมให้การป้องกันโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งกลุ่มโรค NCDs, มะเร็ง และอื่น ๆ โดยการดูแลอย่างใกล้ชิดจาก BDMS Wellness Clinic

  • ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ป้องกัน ด้วยหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต พร้อมทีมสหวิชาชีพคอยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด (Health and wellness coaches; HWCs)
  • ทีมนักโภชนาการวางแผนการรับประทานอาหารให้เหมาะกับผลตรวจสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Diet)
  • ทีมดูแลเรื่องการออกกำลังกายให้เหมาะกับช่วงวัย และเพิ่มประสิทธิภาพร่างกาย ระบบเส้นเอ็น และข้อต่อด้วยเครื่องมือทันสมัย

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “BDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นดูแลสุขภาพเชิงป้องกันของคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง Longevity Card เปรียบเสมือนการลงทุนในสุขภาพดีอย่างยั่งยืนตลอดปี ภายใน 1 ปี ทีมแพทย์และทีมสหวิชาชีพจะดูแลสุขภาพท่านอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมของช่วงวัยและวิถีการใช้ชีวิตตลอดทั้งปี ตั้งแต่ การตรวจสุขภาพในระดับ DNA การตรวจระดับสารอาหารและวิตามิน การตรวจ Epigenetics การวางแผนการออกกำลังกาย และบริการด้านสุขภาพอื่น ๆ Longevity Card จึงเป็นเสมือน Wellness Life Blueprint พิมพ์เขียวสู่สุขภาพดีที่ยั่งยืน ที่จะทำให้คุณรู้จักและเข้าใจร่างกายของตัวเองในแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะสมบัติที่สำคัญที่สุด คือ สุขภาพ”

บัตร Longevity Card สิทธิประโชน์พิเศษด้านสุขภาพ จำหน่ายในราคาใบละ 1 ล้านบาท รับสิทธิพิเศษรวมมูลค่าทั้งสิ้น กว่า 1.5 ล้านบาท ประกอบด้วย

  1. โปรแกรมตรวจสุขภาพ ที่ให้การดูแลด้านสุขภาพในหลายมิติ การบริการอย่างพิถีพิถัน และการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จาก บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Predict Prevent Personalize อาทิ โปรแกรม Regenerative Signature บริการตรวจสุขภาพในระดับเซลล์กว่า 80 รายการ เช่น
    • ผลโลหิตวิทยา ระดับน้ำตาล ตรวจค่าการทำงานของตับ และการตรวจการทำงานของไต
    • ระดับการทำงานของหัวใจ
    • สารบ่งชี้ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง
    • การตรวจตับและช่องท้อง ด้วยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า หรือการ MRI ช่องท้องความละเอียดสูงแบบไม่ฉีดสี (MRI Whole Abdomen Non-contrast)
    • การตรวจระดับฮอร์โมนภายในร่างกาย
    • การตรวจเลือดวิเคราะห์ปริมาณสารอาหาร ระดับวิตามิน และแร่ธาตุในร่างกาย 18 ชนิด (Micronutrients)
    • การตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก มวลไขมัน และ มวลกล้ามเนื้อ
    • การตรวจระดับสุขภาพขณะเล่นกีฬา
    • การตรวจสารโลหะหนัก
    • การตรวจวัดระดับเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย (NK Cell Activity)
    • ตรวจเทโลเมียร์ (Biological Age)
    • การตรวจสุขภาพเชิงลึกอื่น ๆ เพื่อให้คุณเข้าใจร่างกายตัวเองได้ดีกว่าเคย อาทิ Epigenetics, Ultrasound Carotid Artery + Ultrasound Thyroid และ Digital Mammogram & Breast Ultrasound
  2. บัตรชีววัฒนะ ระดับ Perfect Diamond อายุการเป็นสมาชิก 3 ปี บัตรสมาชิกในเครือ BDMS ทั้งหมด 35 แห่งทั่วประเทศ ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมายเมื่อเข้ารับบริการ ณ โรงพยาบาลในเครือฯ และยังได้รับบัตรชีววัฒนะเพิ่มอีก 3 ใบ มอบการดูแลสุขภาพอันแสนพิเศษให้กับสมาชิกในครอบครัวและคนสำคัญของคุณ ดังนี้
    • บัตรชีววัฒนะ Prime Platinum – อายุการเป็นสมาชิก 2 ปี
    • บัตรชีววัฒนะ Value Gold – อายุการเป็นสมาชิก 1 ปี
    • บัตรชีววัฒนะ Junior – อายุการเป็นสมาชิก 3 ปี
  3. สิทธิประโยชน์ จากพันธมิตรชั้นนำต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อมอบการดูแลในหลากหลายด้านให้กับสมาชิกคนพิเศษ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ
    • ผู้ให้บริการส่วนตัวดูแลสุขภาพ พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
    • บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยเฮลิคอปเตอร์และทีมแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินหรือแพทย์เฉพาะทาง
    • ส่วนลดค่าห้องพัก อาหาร และบริการต่าง ๆ ณ เมอเวนพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท กรุงเทพ และ อนันตรา รีเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ รีสอร์ท
    • ห้องพักฟรี 1 คืน และส่วนลดพิเศษอื่น ๆ ณ  โรงแรม เซเลส สมุย
    • บริการห้องรับรองพิเศษ สำหรับผู้ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลในเครือ BDMS
    • ส่วนลดตั๋วเครื่องบิน และบริการห้องรับรองชั้นธุรกิจ Blue Ribbon Club Lounge สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส
    • ส่วนลด 10% สำหรับค่าอาหารและเครื่องดื่ม ณ ภัตตาคารอาหารจีน เชฟแมน
    • และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

“ด้วยสิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี สำหรับผู้ถือบัตร Longevity Card บริการนี้จึงเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination of the World หรือ Wellness Hub Thailand Project โดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากทั่วโลก เพื่อมารับบริการด้านสุขภาพจากทีมแพทย์ในเครือ BDMS ซึ่งมุ่งมั่นที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล” นายแพทย์ตนุพล กล่าวปิดท้าย

ร่วมเป็นหนึ่งในประสบการณ์กับ BDMS Wellness Clinic และก้าวสู่อนาคตแห่งสุขภาพดีได้แล้ววันนี้ ที่BDMS Wellness Clinic ถนนวิทยุ, สาขา ศูนย์วิจัย, สาขาโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และสาขา Laguna ภูเก็ต พร้อมศึกษารายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bdmswellness.com/longevity-card


ไขข้อสงสัย ทำไม ‘ท้าวศรีสุดาจันทร์’ ในแม่หยัวจึงใส่ชุดขอมโบราณ

Alternative Textaccount_circle

หลายคนอาจสงสัยทำไม ‘ท้าวศรีสุดาจันทร์’ ในแม่หยัวจึงใส่ชุดขอมโบราณ เราจึงชวนทุกคนมาไขเบื้องหลังคอสตูมจากคำบอกเล่าของ ดร.สุรัตน์ จงดา ไปพร้อมกัน

กระแสยังมาแรงต่อเนื่องกับละครน้ำดีอิงประวัติศาสตร์จากช่อง ONE31 อย่าง ‘แม่หยัว’ ที่ด้นักแสดงมากความสามารถหลายคนมาร่วมสร้างสรรค์ผลงาน หนึ่งในนั้นคือตัวละครเอก ‘ท้าวศรีสุดาจันทร์’ ที่ได้ ใหม่ ดาวิกา มานำแสดง เรียกเสียงฮือฮาไปทั่วบ้านทั่วเมืองจากทั้งฝีมือ และความงามที่เหมือนหลุดมาจากนางวรรณคดี

ถึงแม้ละครกำลังไปได้ดี แต่เมื่ออิงกับประวัติศาสตร์มักมีข้อสงสัยให้เราตามหาข้อเท็จจริงอยู่บ่อยครั้ง เหมือนครั้งนี้ที่ผู้คนสงสัยว่า ทำไม ‘ท้าวศรีสุดาจันทร์’ จึงใส่ชุดขอมโบราณ ทั้งนี้ ดร.สุรัตน์ จงดา ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้แม่หยัวได้ออกมาไขเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กของตนเอง ‘Surat Jongda ‘ ว่า

“ชุดแม่หยัวที่ออกแบบขอมโบราณนั้นได้รับโจทย์จากที่เหว้า (ผู้ควบคุมงานโปรดักชั่น) ว่าอยากให้แม่หยัวแต่งชุดแบบนางอัปสรแบบขอมได้ไหม”

ดร. สุรัตน์จึงตอบว่า “น่าจะได้เพราะการตีความของนักประวัติศาตร์ก็ตีความว่าศรีสุดาจันทร์น่าจะมาจากราชวงศ์ละโว้อู่ทอง ที่มีเชื้อสายขอมละโว้แต่เดิม ฉากนี้ก็เป็นการตีความขอเน้นตีความเอาว่า เอาชุดบรรพบุรุษแบบละโว้มาใส่ให้เห็นชัดๆไปเลย (ต้องบอกว่าเป็นการออกแบบตีความเฉพาะของเรื่องนี้)”

ซึ่ง ดร. สุรัตน์ได้กล่าวถึงขั้นตอนการทำงานต่อว่า “เอาแบบเทริดหรือมงกุฏทรงเตี้ยจากเครื่องทองพิพิธภัณฑ์พิมาย ย้ำว่าพิพิธภัณฑ์พิมาย ที่มากรอบหน้าทับจอนข้างๆ ถ้าของที่อื่นเขาเป็นวงรอบหัวไปเลย แล้วทำดอกและช่อประกอบ ใส่ ใช้ได้ทั้งที่ไม่เสียบช่อก็ได้ เป็นทรงเทริดเตี้ยทำผมมวยก็ได้ และโดยขอความอนุเคราะห์ครูบิกลองทำแพทเทิ้นใส่หัวหุ่นทดลองให้หน่อย(เพราะตัวเองไปต่างประเทศ) แล้วจึงเอาแพทเทิ้นไปให้ช่างดุนโลหะเขียนลายตามแพทเทิ้นกระดาษ ที่เขียนไปแล้วดุนโลหะประกอบพลอยชุบทองลงยาสีแดง ดอกไม้เสียบผมนั้นทีแรกจะทำดอกไม้สดใส่แต่กว่าจะถ่ายเสร็จดอกไม้น่าจะเหี่ยวแล้วต้องทำทุกครั้งไม่น่ารอด อาทเลยสั่งดอกไม้ประดิษฐ์เลียนแบบดอกพุดเป็นช่อมาใช้”

ส่วนผ้านุ่ง “พี่เหว้าผู้ควบคุมงานโปรดักชั่นก็อยากได้สีน้ำเงิน เลยต้องให้ครูบิกที่ปรึกษาลองหาผ้าอินเดียไหมซาตินทอยกสีน้ำเงินในอินเทอร์เน็ตให้หน่อยเพราะเราไม่เก่งอังกฤษ ท่องอินเทอร์เน็ตไม่เป็น เป็นแต่บินไปซื้อเลย จึงได้ผ้ายกน้ำเงิน1ผืน แต่อยากได้อีกผืนทำลากยาวๆให้ดูกรุยกรายสยายปีก หาเท่าไรไม่มี ได้ยกไหมสวยๆสีน้ำเงินเดียวกันมาอีกผืนเลยโชคดีไป ภาพจึงออกมาแบบนี้ ไม่ได้ให้ใครออกแบบให้ สเก็ตเองมีที่ปรึกษาคือครูบิกพีระมณฑ์ และอาทภวัต เป็นคนออกแบบจับผ้าแต่งตัว วิธีการนุ่งผ้าเราก็จับจับผ้าสดๆแบบในภาพจำหลักหรือปฏิมากรรม”

ทั้งหมดนี้จึงเป็นเบื้องหลังกำเนิดคอสตูมสวยๆ ของ ท้าวสุดาจันทร์ ในแม่หยัวนั่นเองค่ะ บอกเลยว่าไม่ได้มีแค่ชุดนี้ แต่ในละครไม่ว่าใหม่จะปรากฏตัวกี่ครั้งเราก็ยังตะลึงกับความสวยคอสตูมจริงๆ ว่าแล้วก็อย่าลืมไปติดตามละครกันต่อด้วยนะคะ


ข้อมูลและภาพ: Facebook Surat Jongda

“เอราวัณ แบงค็อก” ศูนย์กลางแหล่งไลฟ์สไตล์“Eat-Play-Live” ครบวงจรสำหรับคนเมือง

“เอราวัณ แบงค็อก” ศูนย์กลางแหล่งไลฟ์สไตล์“Eat-Play-Live” ครบวงจรสำหรับคนเมือง

Alternative Textaccount_circle
“เอราวัณ แบงค็อก” ศูนย์กลางแหล่งไลฟ์สไตล์“Eat-Play-Live” ครบวงจรสำหรับคนเมือง
“เอราวัณ แบงค็อก” ศูนย์กลางแหล่งไลฟ์สไตล์“Eat-Play-Live” ครบวงจรสำหรับคนเมือง

เอราวัณ แบงค็อก บูทีกมอลล์ลุคใหม่ที่เป็นศูนย์กลางแหล่งไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Destination) ตามฉบับ “Eat-Play-Live” ครบวงจรสำหรับคนเมือง ดื่มด่ำกับหลากหลายร้านอาหารชื่อดัง เพลิดเพลินไปกับโอเอซิสแห่งความสุนทรีย์ ที่มีทั้งศูนย์สุขภาพระดับท็อปเทียร์กับบริการอันเหนือระดับ และใช้ชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์กับแกลเลอรีศิลปะ ที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์เหนือกาลเวลา ตอบโจทย์คนเมืองและนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เอราวัณ แบงค็อก ปรับลุคใหม่เพื่อต้องการที่จะยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ได้สัมผัสกับบูทีกมอลล์ที่ทันสมัยและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนในปัจจุบัน ภายใต้แนวคิด “Reflection of the Extraordinary Soul” เพื่อสะท้อนความเป็นตัวเองของผู้มาเยือน เราอยากให้ทุกคนที่เข้ามาที่นี่ได้สัมผัสประสบการณ์ที่สะท้อนถึงตัวตนของตนเอง โดยเป็นการผสมผสานระหว่างความหรูหราคลาสสิกและความโมเดิร์นอย่างลงตัว และเพื่อเป็นการสร้างความคึกคักแก่ย่านราชประสงค์ เราจึงได้ปรับลุคใหม่ให้ทุกคนได้สัมผัสกับศูนย์กลางแหล่งไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Destination) “Eat-Play-Live” ครบวงจรสำหรับคนเมือง ด้วยดีไซน์เหนือระดับพร้อมกับการนำเสนอประสบการณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการรับประทานอาหาร และการดูแลสุขภาพ ระดับท็อปเทียร์ ซึ่งมั่นใจว่าการปรับลุคใหม่ครั้งนี้จะเป็นการเติมเต็มประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้ทุกคนที่มาเยือน”

Eat-Play-Live สะท้อนเทสและสไตล์ที่เป็นตัวคุณ

Eat: สาวกนักชิมห้ามพลาดกับแหล่งเช็กอินสุดแกลมใจกลางกรุงฯ ดื่มด่ำกับร้านอาหารสุดเอ็กซ์คลูซีฟในโซน Culinary Excellence พบกับร้านอาหารชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็นซิกเนเจอร์ของเอราวัณ แบงค็อก กับห้องอาหาร Erawan Tea Room ที่โดดเด่นในการผสมผสานอาหารไทยแบบดั้งเดิมและเซ็ตน้ำชาสไตล์อังกฤษในบรรยากาศหรูหรา เป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องไปเยือนสำหรับคนรักอาหารสไตล์ฟิวชั่น / Jharokha by Indus เปิดประตูสู่โลกแห่งอาหารอินเดียสุดหรูจากร้านอาหารอินเดียชื่อดัง Indus ที่ชวนทุกคนมาลิ้มลองอาหารอินเดียในเวอร์ชั่นทานง่าย / Chisana Nami ร้านอาหารญี่ปุ่นเทปปันยากิ ส่งมอบประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นแบบเทปปันยากิสุดพรีเมียม / Man Ho Bistro พาคุณร่วมสัมผัสแรงบันดาลใจจากรสชาติอาหารอันจัดจ้านของมณฑลเสฉวนและซานตง โดยเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นและรสชาติอันมีเอกลักษณ์ ออกแบบมาเพื่อการแบ่งปันความสุขในการรับประทานอาหาร Nara Thai Cuisine ร้านอาหารไทยที่ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติไทยแท้และขนมครกสุดเด็ดที่พลาดไม่ได้ / El Gaucho สเต๊กเฮาส์สไตล์อาร์เจนตินาที่มุ่งเน้นการใช้เนื้อคุณภาพสูงในการปรุงอาหารอย่างพิถีพิถัน

พร้อมบูสต์เอเนอร์จี้ระหว่างวันด้วยการจิบกาแฟกับคาเฟ่สุดเทรนดี้อย่าง Shaloba ร้านกาแฟตุรกีที่มีสไตล์
โดดเด่นแบบดั้งเดิม คัดสรรเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมจากแหล่งผลิตชั้นนำ และ illy Café คาเฟ่ดั้งเดิมจากอิตาลีสาขาแรกและสาขาเดียวในประเทศไทย นำเสนอประสบการณ์กาแฟคุณภาพระดับพรีเมียม มอบความเข้มข้นลงตัวในทุกแก้ว / Italasia ร้านไวน์ชั้นนำในประเทศไทย นำเสนอคอลเลคชั่นไวน์หลากหลายเมนู

Play: เพลิดเพลินไปกับโอเอซิสแห่งความสุนทรีย์ กับAesthetic Wellness ศูนย์สุขภาพระดับท็อปเทียร์
ที่โดดเด่นกับแนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม อาทิ PAPILLA By KIM LIM ศูนย์ดูแลหนังศีรษะและ
เส้นผมอันดับหนึ่งจากสิงคโปร์ / Soma Health Clinic ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมชั้นนำจากเดนมาร์ก โดยใช้การรักษาแบบธรรมชาติและแพทย์ทางเลือกเพื่อฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและจิตใจ / Longa Heart Health Medical Center ศูนย์โรคหัวใจที่เน้นนวัตกรรมการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด / Karmakamet ในรูปแบบป๊อปอัปสโตร์ โดดเด่นด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครบครัน รวมถึงคอลเลคชันใหม่ล่าสุด ‘1971 To Deng Karma & Son’ มาในรูปแบบผลิตภัณฑ์ขนาดพกพา เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญ

Live: ใช้ชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยการอิ่มเอมไปกับแกลเลอรีศิลปะ Scene Erawan ซึ่งเป็นพื้นที่ถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านการจัดแสดงงานศิลปะและนิทรรศการต่าง ๆ ซึ่งจะไปสอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ที่เน้นการผสมผสานความเป็นไทยกับความทันสมัย พร้อมกับดีไซน์ใหม่ของศูนย์การค้าฯ ซึ่งตอบโจทย์อินไซต์คนยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน ด้วยการเลือกใช้วัสดุและระบบการจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก เปิดให้มาสัมผัสประสบการณ์ Eat-Play-Live ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00 ถึง
22:00 น.


ร้านโนบุที่อยู่สูงที่สุดในโลกเปิดตัวในกรุงเทพฯ

account_circle

โนบุ กรุงเทพฯ (Nobu Bangkok) เปิดประตูต้อนรับนักชิมแล้วในย่านใจกลางเมืองหลวงที่มีชีวิตชีวาของประเทศไทย โดยได้กลายเป็นร้านโนบุที่อยู่สูงที่สุดในโลก และเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียมในกรุงเทพฯ หนึ่งในเมืองแห่งอาหารที่ยิ่งใหญ่ของโลก

สวรรค์แห่งการลิ้มลองรสชาติอาหารอันตระการตาแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 57 และ 58 รวมถึงดาดฟ้าของ EA Rooftop at The Empire พร้อมจะนำแขกผู้มากรสนิยมไปสัมผัสประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยผสมผสานกับกลิ่นอายเปรูอันโดดเด่นของเชฟโนบุ มัตซึฮิสะ (Nobu Matsuhisa) ร้านแห่งนี้มีพื้นที่ให้บริการทั้งในร่มและกลางแจ้งอันหรูหรา รวมถึงบาร์เลาจน์และบาร์ซูชิ พื้นที่รับประทานอาหารส่วนตัว และรูฟท็อปบาร์บนดาดฟ้าของ ดิ เอ็มไพร์ ร้านอาหารดีไซน์สวยสะกดสายตาแห่งนี้ไม่เพียงเป็นสถานที่รับประทานอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่มีเอกลักษณ์ในตัวเองอีกด้วย

ทันทีที่ผู้มาเยือนก้าวเข้าสู่ร้านโนบุ กรุงเทพฯ พวกเขาจะได้ดื่มด่ำกับโอเอซิสแห่งสไตล์และความหรูหรา ทีมออกแบบที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลจาก Rockwell Group ได้สร้างสรรค์บรรยากาศภายในที่โดดเด่น โดยเน้นรูปแบบหลักของประเทศไทย นั่นคือ เมือง ด้วยหลังคาทรงจั่วแบบดั้งเดิมและเฉดสีทอง ป่า ด้วยหินอ่อนสีเขียวมรกตเข้มและหินที่มีพื้นผิวสวยงาม และ แม่น้ำ ด้วยระเบียงกลางแจ้งที่คดเคี้ยว วัสดุธรรมชาติ และโทนสีสะท้อนบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตก 

แนวคิดด้านอาหารต้นตำรับของเชฟโนบุ มัตสึฮิสะ ถูกถ่ายทอดโดยเอ็คเซคคูทีฟเชฟ แอนดรูว์ โบโซกิ (Andrew Bozoki) ผู้มากความสามารถ ซึ่งเคยสร้างความประทับใจให้กับแขกที่โนบุ โดฮา และเชฟซูชิชื่อดัง มาซามิ โออูจิ (Masami Ouchi) ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ได้แสดงฝีไม้ลายมือร่วมกับโนบุในลิมาและกัวลาลัมเปอร์ เชฟระดับปรมาจารย์ทั้งสองเลือกใช้ผลิตผลท้องถิ่นที่สดใหม่และวัตถุดิบนำเข้าชั้นเลิศในการรังสรรค์อาหารญี่ปุ่นที่ไม่ซ้ำแบบใคร ผนวกกับอิทธิพลอันป็นเอกลักษณ์จากอาหารเปรู โดยเชื่อว่าทุกจานจะกระตุ้นต่อมรับรสและประสาทสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานร้อนและเย็นที่ประณีต เนื้อวากิวญี่ปุ่นเกรด A5 ทาโก้สูตรเฉพาะของเชฟโนบุ หรือเทมปุระกรอบ รวมทั้งซาชิมิ ซูชิ และนิกิริที่เตรียมสดใหม่ แน่นอนว่าทุกมื้ออาหารปิดท้ายด้วยของหวานรสเลิศที่รังสรรค์โดยเชฟขนมหวานมากความสามารถอย่างเชฟ แจ็คกี้ เถา(Jackie Teo)

เมนูอาหารสุดสร้างสรรค์ของโนบุ กรุงเทพฯ สามารถจับคู่ได้กับเครื่องดื่มหลากหลายชนิด รวมถึงสาเกระดับพรีเมี่ยมและสุราชั้นเลิศระดับโลก อาทิ วิสกี้สก็อต คอนญักฝรั่งเศส และไวน์หายากจากทั่วโลก นอกจากนี้ นักท่องราตรียังจะได้สำรวจเมนูค็อกเทลทั้งแบบคลาสสิกและร่วมสมัยในรูฟท็อปบาร์อันตระการตาที่มีวิวพาโนรามาของทิวทัศน์ระยิบระยับจากแสงไฟของเมืองกรุงเทพฯ อีกด้วย 

โซนห้องรับประทานอาหารส่วนตัวสุดพิเศษมีให้เลือกหลายห้อง ทั้งโมริ (Mori), มาชิ (Machi), คาวะ (Kawa) และซันโช (Sancho) ซึ่งพร้อมรับรองแขกในโอกาสพิเศษ เช่นงานเลี้ยงอาหารมื้อค่ำสำหรับคู่ค้าธุรกิจและการสังสรรค์ของสมาชิกในครอบครัวท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นกันเอง ดังนั้น ไม่ว่าแขกจะมองหาสถานที่ที่มีสไตล์สำหรับมื้อกลางวันกับครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน มื้อค่ำสุดพิเศษกับคนที่รัก การเฉลิมฉลองที่น่าจดจำ หรือค่ำคืนอันน่าหลงใหลด้วยค็อกเทลที่เข้ากับบรรยากาศพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและเครื่องดื่มเพื่อการสังสรรค์กับเพื่อนฝูง โนบุ กรุงเทพฯ พร้อมจะยกระดับทุกโอกาสพิเศษให้พิเศษยิ่งขึ้น

เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวโนบุ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการนำเสนอตำนานด้านอาหารระดับโลกมาสู่หนึ่งในเมืองแห่งอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก นับตั้งแต่เชฟโนบุ มัตสึฮิสะ ได้เปิดตัวร้านอาหารของท่านเองในช่วงทศวรรษ 1990 โนบุได้เชิญชวนให้แขกทั่วโลกมาลิ้มลองอาหารสไตล์ญี่ปุ่น-เปรูที่เป็นเอกลักษณ์ เราตั้งตารอที่จะนำเสนอรสชาติสุดสร้างสรรค์เหล่านี้ให้กับนักชิมผู้มากรสนิยม ทั้งในกรุงเทพฯ และผู้มาเยือนจากนานาชาติ ท่ามกลางบรรยากาศบนดาดฟ้าที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง” เลลา ชินา (Leila Shina) ผู้จัดการทั่วไปของร้านโนบุ กรุงเทพฯ กล่าว

การเดินทางไปที่โนบุ กรุงเทพฯสามารถเดินทางได้สะดวกโดยใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสและลงที่สถานีช่องนนทรี เปิดให้บริการมื้อค่ำ (17.30 – 01.00 น.)

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการจอง กรุณาโทร +66 (0) 2 407 1654 หรืออีเมล์

[email protected] หรือติดต่อกับเราผ่านช่องทางเหล่านี้:

เว็บไซต์:         www.noburestaurants.com/bangkok 

Facebook:      https://www.facebook.com/NOBUBangkok/                                            

Instagram:      https://www.instagram.com/nobu.bangkok/


เกาหลีคนแรกที่ได้ขับ! เปิดรถ TESLA Cybertruck ของ G-Dragon

Alternative Textaccount_circle

ฮือฮากันทั้งโซเชียล เมื่อ G-Dragon เป็นคนเกาหลีคนแรกที่ได้ขับรถ TESLA Cybertruck ซึ่งยังไม่มีเปิดตัวในประเทศ

แม้เมืองไทยจะได้ยลโฉม TESLA Cybertruck กันไปแล้ว เนื่องจากตารางโชว์ตัวที่ร่ายยาวมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เซ็นทรัลเวิร์ล, สยามพารากอน, เซ็นทรัลอีสวิลล์ และอีกมากมาย แต่หลายประเทศก็ยังไม่เคยสัมผัสรถคันนี้เลยสักครั้ง หนึ่งในนั้นคือเกาหลีใต้ ยิ่งเมื่อแฟชั่นนิสต้าตัวพ่ออย่าง G-Dragon ปรากฏตัว ณ สนามบินอินชอน ขณะเตรียมตัวเดินไปชมแฟชั่นโชว์ CHANEL Cruise 2024/25 ที่ Hong Kong Design Institute พร้อมรถดีไซน์เก๋คันนี้ก็กลายเป็นไวรัลไปชั่วขณะ

สำหรับ TESLA Cybertruck สร้างขึ้นเพื่อให้ขับขี่ได้ในทุกสภาพแวดล้อม ทั้งแข็งแรงและทนทาน พร้อมรับมือกับทุกสิ่งด้วยระบบกันสะเทือนแบบถุงลมที่ปรับระดับได้อัตโนมัติด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีระยะการยุบตัวได้ถึง 305 มม. มีระยะห่างระหว่างใต้ท้องรถกับพื้นถึง 406 มม. ความสามารถในการลากจูง 4,990 กิโลกรัม และหากชาร์จแบตเตอรี่เต็มหนึ่งครั้งสามารถวิ่งได้ถึง 547 กิโลเมตร

ส่วนดีไซน์ตัวเครื่องสีเงินไม่ใช่เกิดจากการทำสีเหมือนที่เรารู้จักทั่วไป แต่รถคันนี้โครงสร้างภายนอกทำจากเหล็กกล้าไร้สนิมที่แข็งเป็นพิเศษช่วยลดการเกิดรอยบุบ ความเสียหาย และการกัดกร่อนในระยะยาว การซ่อมแซมทำได้ง่ายและรวดเร็ว รับรองว่าสีไม่มีกะเทาะแน่นอน รวมถึงกระจกยังสามารถมนความรุนแรงของลูกเห็บตกระดับ 4 ได้อีกด้วย จึงทำให้ห้องโดยสารภายในเงียบสงบ ปราศจากเสียงรบกวนจากสิ่งแวดล้อมรอบคันรถ

ความสามารถของ TESLA Cybertruck ยังจุสัมภาระได้เยอะกว่าที่เราคิด เพราะแบรนด์ได้เคลมไว้ว่า “สามารถจุน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,134 กก. และพื้นที่เก็บของแบบล็อกได้ 1,897 ลิตร และเบาะนั่งแถวที่สองยังพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของอีก 1,530 ลิตร” ทีเดียว

เรื่องของความเร็วก็ไม่เป็นรองใคร เพราะคันนี้ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้โดยใช้เวลาเพียง 2.7 วินาที2 ในโหมด Beast ในขณะที่ยังรักษาเสถียรภาพไว้ได้ที่ความเร็วสูง ด้วยระบบบังคับเลี้ยวไฟฟ้าและการบังคับเลี้ยวด้านหลัง คุณจะได้สัมผัสกับการควบคุมแบบรถสปอร์ตพร้อมกับรัศมีวงเลี้ยวที่เหนือกว่ารถซีดานส่วนใหญ่

และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เมื่อพูดถึง TESLA นั่นคือเทคโนโลยีทันสมัยทั้งคันรถไม่ว่าจะเป็น หน้าจอสัมผัสแบบอินฟินิตี้ (หน้าจอสัมผัสไร้ขอบ) ขนาดใหญ่ 18.5” ที่ด้านหน้า และขนาด 9.4” ที่ด้านหลัง พร้อมอินเทอร์เฟซผู้ใช้ใหม่ทั้งหมด, ลำโพง 15 ตัว ลำโพงซับวูฟเฟอร์แบบเฉพาะ 2 ตัว และเครื่องขยายเสียงที่ติดตั้งแบบกระจาย, ชาร์จโทรศัพท์ แล็ปท็อป หรือเครื่องมือต่าง ๆ ของคุณได้อย่างรวดเร็วจากที่นั่งด้านหน้า เบาะหลัง หรือเตียงด้วยการชาร์จแบบไร้สาย ด้วย เต้ารับไฟฟ้า USB-C ขนาด 65W และ 120V/240V สุดท้ายแผ่นกรอง HEPA เกรดโรงพยาบาลในตัว ให้การปกป้องจากอนุภาคในอากาศได้ถึง 99.97%

มาถึงจุดนี้หลายคนคงอยากรู้ราคา TESLA Cybertruck แบ่งเป็น 3 รุ่นนั่นคือ

  • Rear-Wheel Drive 60,990 USD (ประมาณ 2,152,000 บาท)
  • Dual Motor AWD 79,990 USD (ประมาณ 2,822,000 บาท)
  • Cyberbeast AWD 99,990 USD (ประมาณ 3,527,000 บาท)

**ข้อมูลราคาจาก https://autolifethailand.tv/**


รูป: Getty Images และ tesla.com

ข้อมูล: autolifethailand.tv และ tesla.com

“ว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล” มุ่งสร้างความปังให้ LINNA Clinic พร้อมตอบโจทย์ความสวย

account_circle

ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 8 อย่างสมศักดิ์ศรีจริงๆ สำหรับ LINNA Clinic (ลินนาคลินิก) พิกัดทำสวยขึ้นชื่อของซีอีโอหญิงเก่ง ‘คุณว่าน – กุศลิน ลัญจกรกุล’ ที่เพิ่งคว้ารางวัลจากเวทีความงามแห่งปี Praew Iconic Beauty 2024 ไปแบบหมาดๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือคว้ารางวัลสำคัญต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว เรียกว่าสะท้อนคุณภาพเน้นๆ กันแบบเห็นๆ เลยทีเดียว Exclusive Talk ครั้งนี้จึงไม่รอช้าที่จะคว้าตัวเธอมาพูดคุยกันค่ะ

ก้าวทันเทรนด์ความงาม

“เทรนด์ความงามในปัจจุบันเปลี่ยนไปสู่การมุ่งเน้นความสมดุลระหว่างความงามภายนอกและสุขภาพภายใน หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองแบบองค์รวม ไม่เพียงการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามภายนอก แต่ยังรวมถึงการสร้างความพึงพอใจและความสุขในชีวิตประจำวัน เพื่อทำให้เกิดความงามที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ

“ดังนั้น LINNA Clinic จึงตอบโจทย์เทรนด์ความงามดังกล่าวด้วยการนำเสนอโปรแกรมการดูแลเฉพาะบุคคล เพราะเราเชื่อใน Individual Beauty ที่แต่ละคนมีความงามในแบบของตัวเอง โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เรายังคำนึงถึงความออร์แกนิกมากขึ้น เช่น สารสกัดจากพืช โดยยังให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจน”

“ตลอดปี 2024 LINNA Clinic ได้นำเสนอหัตถการที่ช่วย Reverse Aging โดยผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยในการช่วยดูแลความงาม โดยออกแบบโปรแกรมการรักษาแบบเฉพาะบุคคล เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคนอย่างแท้จริง”

เดินหน้ามอบความสวยด้วยคุณภาพอีกขั้น

“ในปี 2025 เทรนด์ความงามยังคงเน้นความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการเผยผิวจริง ฉะนั้นการดูแลผิวให้ดีจากภายในสู่ภายนอกจึงเป็นจุดที่หลายคนหันมาใส่ใจมากขึ้น อีกทั้งการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมจะเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนของทางการแพทย์จะมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการช่วยดูแลผิว เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์และวินิจฉัย เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งเทรนด์ความงามและความต้องการที่หลากหลาย

“ดังนั้นในปี 2025 LINNA Clinic จึงวางแผนขยายการให้บริการด้วยการเพิ่มด้าน Wellness และ Anti-Aging เพื่อมุ่งเน้นการฟื้นฟูและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยมุ่งหวังให้ผู้รับบริการไม่เพียงดูดีแค่ภายนอก แต่ยังรู้สึกดีจากภายในอีกด้วย”

รางวัลแห่งกำลังใจ

“การได้รับรางวัลจาก Praew Iconic Beauty 2024 ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งและรู้สึกดีใจมากๆ เพราะนับเป็นปีที่ 3 แล้วสำหรับเวทีนี้ โดยปีนี้เราได้รับรางวัล The Best HIFU Technique for Skin Lifting ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันถึงจุดเด่นของ LINNA Clinic นั่นคือหัตถการยกกระชับที่เจ็บน้อยลง แต่ยังคงผลลัพธ์ที่ดี

“รางวัลนี้ไม่เพียงยืนยันถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจในการให้บริการอย่างเต็มที่ที่สุดของทีมงานทุกคนของ LINNA Clinic แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้เราเดินหน้าต่อไปในการพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ รวมถึงคัดสรรและนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างความประทับใจยิ่งขึ้นให้กับผู้รับบริการ

“นอกจากนี้การได้รับรางวัลใดๆ ก็ตามยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษาคุณภาพและมาตรฐานของ LINNA Clinic ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมทีมแพทย์และพนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทีมงานทุกคนของเรามีความรู้และทักษะที่มีมาตรฐานและทันสมัย รวมถึงเรื่องผลิตภัณฑ์ ซึ่งเราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้และมีมาตรฐานรับรอง โดยให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และความปลอดภัยควบคู่กันไป เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีและผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

“สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกแรงสนับสนุนที่มอบให้เราตลอดระยะเวลา 8 ปี เรารู้สึกซาบซึ้ง ดีใจ และคิดเสมอว่า LINNA Clinic คงจะไม่มีวันนี้ได้เลย หากไม่ได้รับกำลังใจจากทุกคน ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ”


แนะนำ 3 แบรนด์เนมที่มาแรงที่สุดในยุคนี้!

account_circle

แนะนำ 3 แบรนด์เนมมาแรงที่สุดแห่งยุค พร้อมไอเท็มเด็ดที่สายแฟต้องมี!

เหล่าแฟชั่นนิสต้าตัวจริงห้ามพลาด เราจะพาทุกคนไปเปิดโลกแห่งแฟชั่นกับ 3 แบรนด์เนมสุดฮิต ที่กำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้ ซึ่งหากจะพูดถึงสิ่งสำคัญในการแต่งตัวที่ขาดไม่ได้ นอกจากเสื้อผ้าหน้าผมแล้ว รองเท้าและกระเป๋า ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นในการคอมพลีทลุคของคุณให้ดูโดดเด่นได้มากยิ่งขึ้น พร้อมจะอัปเดตไอเท็มใหม่ล่าสุด และเทคนิคการ Mix & Match แบบคนมีสไตล์แล้วหรือยัง? รับรองว่าลุคของคุณจะปังขึ้นกว่าเดิมแน่นอน!

เปิดไอเท็มเด็ดจาก 3 แบรนด์เนมดังแห่งยุค Mix & Match ให้สนุก แบบคนมีสไตล์

Birkenstock

            เริ่มต้นกันที่ Birkenstock แบรนด์รองเท้าที่มีประวัติอันยาวนาน กว่า 250 ปี ที่ได้สร้างสรรค์รองเท้าคุณภาพ ที่ชูจุดเด่นเรื่องสุขภาพฝ่าเท้าเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องของความสบายในการสวมใส่ เอกลักษณ์ของเขาคือการใช้พื้นรองเท้าแบบ Footbed หรือพื้นรองเท้าที่ออกแบบมาให้โค้งรับกับสรีระฝ่าเท้าของผู้ที่สวมใส่ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยเท้าและป้องกันปัญหาสุขภาพของเท้าได้เป็นอย่างดี ถือเป็นรองเท้าสุดเอ็กคลูซีฟ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านแฟชั่นและฟังก์ชั่นในคู่เดียวจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น Cannes Natural Leather รองเท้าที่ผสมผสานความสบายและความหรูหราของหนังเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว แมทช์ลุควันสบายๆ ก็ได้ หรือจะใส่เพิ่มความแฟชั่นก็ตอบโจทย์ค่ะ

            Milano Birko-Flor อีกหนึ่งรุ่นยอดนิยมของ Birkenstock ที่หลายคนยกให้เป็น must have item รองเท้ารุ่นนี้ทำมาจาก Birko-Flor เอกลักษณ์เฉพาะของ Birkenstock ทนทานต่อการฉีกขาด ทำความสะอาดง่าย นุ่มสบายเมื่อสัมผัสกับผิวเท้า มาพร้อมสายรัดสองเส้นที่ปรับได้ และสายรัดด้านหลังที่ช่วยให้รองเท้ากระชับเท้ามากขึ้น และอีกสิ่งที่สำคัญคือตัวดีไซน์ หัวเข็มขัดเพิ่มความหรูหราให้กับ Milano Birko-Flor คู่นี้ได้เป็นอย่างดี หรือถ้าหากใครอยากได้ความแกลมมากยิ่งขึ้น แนะนำเป็น Milano Birko-Flor Big Buckle ที่มาพร้อมหัวเข็มขัดสีทองอันใหญ่ คู่นี้เลยค่ะ คือไอเท็มที่คุณกำลังตามหาอยู่แน่นอน

            เพิ่มความแฟชั่นเข้าไปอีกขั้นกับ Milano Chunky Leather รองเท้าที่ผสมผสานความคลาสสิกของ Birkenstock เข้ากับความทันสมัยของพื้นรองเท้าแบบ chunky ได้อย่างลงตัว ทำให้รองเท้าคู้นี้ทั้งใส่สบายและมีสไตล์ที่โดดเด่น แมทช์กับเสื้อผ้าได้สนุกสุดๆ ถูกใจสายแฟชั่นทั้งหลายแน่นอน ตัวส้นเขาจะมีความหนาประมาณ 30 มิลลิเมตร ทำให้เวลาใส่จะดูเพรียวเป็นพิเศษ หนุ่มๆ หรือสาวๆ ตัวเล็กคือต้องจัดสักคู่แล้ว

KEDS

            มาต่อกันที่แบรนด์สนีกเกอร์ที่กำลังมาแรงสุดๆ อย่าง KEDS กันบ้าง แบรนด์รองเท้าผ้าใบขวัญใจสาวๆ ทั่วโลก ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นและความสบายในการสวมใส่ ทำให้ KEDS ครองใจใครหลายๆ คนได้อย่างง่ายดาย ออกมากี่คอลเลกชั่นก็เป็นที่พูดถึงอยู่ตลอด อย่างรองเท้า Champion Magnolia Bakery Mixed Glitter คู่นี้ ที่ถูกดีไซน์และออกแบบมาได้น่ารักโดนใจ ทำเอาสาวๆ หวานทั้งหลายต้องร้องกรี๊ด ความกลิตเตอร์ ความวิบวับนี้คือถูกต้อง หรือจะเป็น Champion Canvas Kaleidoscope Print อีกหนึ่งสนีกเกอร์สีสันสดใส ที่แมทช์ลุคหวานๆ ก็ดี หรือจะนำไปแมทช์ลุคปาร์ตี้ให้สนุกสุดเหวี่ยงก็บอกเลยว่าปังแน่นอน

            ยังอยู่ในธีมสบายๆ กับผ้าใบคู่ถัดมาอย่าง Chillax Rifle Paper Bramble Field สนีกเกอร์ลายดอกไม้ ที่จะให้ทุกลุคของคุณดูสนุกและสดใสยิ่งขึ้น จับคู่กับเดรสพลิ้วๆ คือที่สุด หรือจะแมทช์กับยีนส์ก็ได้ลุคที่เก๋อย่าบอกใคร แถมคู่นี้น้ำหนักเบา ใส่สบาย เดินหนักแค่ไหนก็เอาอยู่            

            เอาใจสาวตัวเล็กกับ Triple Up Leather Multi Stripe Foxing, Triple Up Magnolia Bakery Piping และ Triple Kick Canvas Gingham Binding 3 รองเท้าส้นตึกที่จะมาเพิ่มความสูงให้สาวๆ พร้อมดีไซน์สุดน่ารักที่เห็นแล้วใจละลาย มีความน่ารักสดใส เข้ากับลุคสบายๆ ได้อย่างลงตัว

            ปิดท้ายสนีกเกอร์สีสันสดใสจากแบรนด์ KEDS ด้วย Pursuit RPC Bramble Fields ผ้าใบสำหรับสาวๆ ที่อยากลองเปลี่ยนลุคแต่ยังกลัวรองเท้าสีสันอยู่ มีความมินิมอลมินิใจ ตกแต่งลายดอกไม้เพิ่มความน่ารัก โดยหลายคนอาจกลัวรองเท้าที่มีสีสัน แต่ความจริงอยากจะบอกว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ โดยเฉพาะผ้าใบคอลใหม่ๆ ของ KEDS ที่เขาออกแบบดีไซน์สีสันต่างๆ มาได้อย่างลงตัวมากๆ รับรองว่าแมทช์กับชุดง่าย ไม่เอะอะไปแน่นอน

Coach

            มาถึงคิวของ Coach แบรนด์กระเป๋าในที่มาแรงที่สุดในชั่วโมงนี้กันบ้าง โดย Coach เขาขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องของเครื่องหนังคุณภาพดี การตัดเย็บที่ประณีต และสไตล์คลาสสิกที่ดูทันสมัย โดนไอเท็มที่ไม่พูดถึงไม่ได้ต้องยกให้ Tabby Chain Clutch In Signature Canvas กระเป๋าสะพายที่มีการตีความรูปแบบใหม่ของดีไซน์ไอคอนิกของ Coach ในยุค 70s กระเป๋าใบนี้ผสมผสานความคลาสสิกของผ้าแคนวาสลายซิกเนเจอร์ เข้ากับหนังวัวคุณภาพสูง ทำให้ได้ดีไซน์ที่ดูหรูหรา ลักชูแบบตัวแม่ แมทช์กับลุคไหน ก็ปังแบบไม่ต้องคิดเยอะ สะพายใบนี้เข้าไปคือเอาอยู่ทุกลุคค่ะ

            ถัดมากันที่ Rogue 26 กระเป๋าถือจาก Coach ที่บ่งบอกถึงสไตล์ของผู้ถือได้เป็นอย่างดี ตัวดีไซน์มีความเรียบง่าย ตัดกับอะไหล่โลโหะสีทองที่เพิ่มความ Old money ให้กับกระเป๋าใบนี้ได้อย่างลงตัว แมทช์กับเสื้อผ้าได้ง่าย ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าสไตล์ไหน กระเป๋าใบนี้ก็ช่วยให้ลุคโดยรวมดูสมบูรณ์แบบได้มากยิ่งขึ้นค่ะ

            ปิดท้ายกันด้วย Rogue Top Handle In Signature Jacquard With Snakeskin Detail กระเป๋าที่ผสมผสานระหว่างหนังและผ้าแจ๊กการ์ดลายซิกเนอเจอร์ของ Coach ได้อย่างแฟชั่นสุดๆ ขนาดกำลังดี สามารถใช้ถือ หรือ crossbody ก็ได้ สายแฟชั่นทั้งหลายบอกเลยว่าห้ามพลาดค่ะ

เรียกได้ว่าเป็นไอเท็มจาก 3 แบรนด์ดังที่สายแฟชั่นต้องจัดจริงๆ มีกระเป๋า หรือรองเท้าคู่ไหนที่ถูกใจเพื่อนๆ บ้างไหมคะ ถ้ามีแล้วก็อย่ารอช้า รีบไปช้อปตามกันเลย!


ถอดคอสตูมสีดำคลาสสิก Lily Collins ขณะโปรโมทละครเวที Barcelona

Alternative Textaccount_circle

ขณะโปรโมทละครเวทีเรื่อง Barcelona นักแสดงสาวอย่าง Lily Colins ปรากฏตัวในเดรสสีดำคอเต่า จาก Versace คอลเล็คชั่น Fall/Winter 2024

เป็นนักแสดงที่กำลังขาขึ้นสุดๆ หลังจากประกาศซีรีส์ Emily in Paris ซีซั่นต่อไปแล้ว Lily Collins ยังได้รับเลือกให้เล่นละครเวทีเรื่องสำคัญ ซึ่งขณะเดินสายโปรโมท ละครเวทีเรื่องใหม่ที่เธอนำแสดงอย่าง Barcelona ที่โรงละคร The Duke of York’s ณ กรุงลอนดอน เธอได้สวมใส่เดรสคอเต่า ผ้าวิสโคสเคดี้ Versace คอลเล็คชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2024 ที่มาพร้อมดีเทลผ่าข้าง ราคา $3,995 หรือประมาณ 135,000 บาท

แอบแถมทริคไปให้ สำหรับการแมตช์เครื่องประดับในชุดซิลลูเอทแบบนี้ หากไม่ต้องการให้ดีเทลเยอะจนโฟกัสไม่ถูก ให้เลือกใส่เครื่องประดับแค่ต่างหู กำไล และแหวน เว้นสร้อยคอ หรือหากต้องการใส่ให้เลือกเป็นเส้นเล็กๆ แทนค่ะ


ภาพและข้อมูล: Versace

5 ผักและผลไม้ที่หลายคนอาจไม่ชอบ แต่กลับเป็น อาหารบำรุงผิว จากธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

5 ผักและผลไม้ที่หลายคนอาจไม่ชอบ แต่กลับเป็น อาหารบำรุงผิว จากธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

Alternative Textaccount_circle
5 ผักและผลไม้ที่หลายคนอาจไม่ชอบ แต่กลับเป็น อาหารบำรุงผิว จากธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม
5 ผักและผลไม้ที่หลายคนอาจไม่ชอบ แต่กลับเป็น อาหารบำรุงผิว จากธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

ท่ามกลางผักและผลไม้ต่างๆ มีผักบางชนิดที่หลายคนไม่ชอบเพราะว่าบางชนิดมีรสขม หรือรสไม่ถูกปาก จึงมักโดนเมินและไม่อยู่ในลิสต์ตัวเลือกที่อยากกินนัก อาทิเช่น มะระ, เซเลอรี่ ฯลฯ แต่ที่จริงแล้ว ผักเหล่านี้อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ หากกินมากขึ้นจะช่วยให้ผิวสวยขึ้น เติมพลังงาน และทำให้ผิวแลดูมีเลือดฝาดจากภายในสู่ภายนอกอีกด้วย และนี่คือ 5 ผักและผลไม้ที่ถือว่าเป็น อาหารบำรุงผิว จากธรรมชาติที่ไม่ควรถูกมองข้าม

5 อาหารบำรุงผิว จากธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

1. กะหล่ำปลีสีม่วง อุดมไปด้วยแอนโทไซยานิน วิตามินซี โพแทสเซียม และทองแดง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีและมีประโยชน์ต่อผิวและดวงตาอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเส้นใยสูงซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพของลำไส้

2. ลำไย แกะเปลือกและเมล็ดลำไยออกแล้วตากแดดให้แห้งเพื่อเก็บไว้ปรุงซุป ลำไยมีลักษณะอบอุ่นและมีรสหวาน สามารถเติมพลังงานให้กับร่างกาย และปรับปรุงภาวะขาดหัวใจและม้าม และการขาดชี่และเลือด หากคุณมีปัญหาในการนอนหลับ ขาดพลังงาน หรือเป็นโรคโลหิตจาง ขอแนะนำอย่างยิ่งให้ปรุงซุปลำไยสักชามเพื่อเติมพลังงานและพลังงาน แล้วคุณจะเปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติ

3. เมล็ดฟักทอง อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม โพแทสเซียม เหล็ก ซีลีเนียม สังกะสี และแร่ธาตุอื่นๆ แร่ธาตุเป็นหนึ่งในสารอาหารหลักห้าชนิดและสามารถรักษาการทำงานของร่างกาย ทั้งยังช่วยปรับปรุงความเหนื่อยล้าได้ ไม่เพียงเท่านั้น เมล็ดฟักทองทุกๆ 100 กรัมยังมีโปรตีนคุณภาพสูงมากกว่า 30 กรัม เนื่องจากมีกรดอะมิโนที่จำเป็นจำนวนมาก กรดอะมิโนเหล่านี้จึงสามารถช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติและทำให้ผิวมีเลือดฝาดมากขึ้นจากภายในสู่ภายนอก

4. คื่นฉ่าย อุดมไปด้วยวิตามินซี แคโรทีน วิตามินอี และฟลาโวนอยด์ สามารถลดอาการอักเสบในร่างกายได้ นอกจากนี้ “พิจีนิน” อันเป็นเอกลักษณ์ในคื่นฉ่ายยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและทำให้ผิวสวยอีกด้วย

5. มะระ มีฤทธิ์เย็นและมีรสขม ช่วยลดความร้อนที่หัวใจ บำรุงม้าม บรรเทาอาการเหนื่อยล้า ทำให้ดวงตากระจ่างใส และบำรุงผิวพรรณ นอกจากนี้มะระขาวทุกๆ 100 กรัมมีแคลอรี่เพียง 19 แคลอรี่เท่านั้น มีแคลอรี่ต่ำและอุดมไปด้วยใยอาหารจึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการรักษาหุ่นเพรียวอีกด้วย

Photo: Pexels


“จองแฮอิน”

แฟนมีตติ้งแสนอบอุ่นที่ทำให้ตกหลุมรัก “จองแฮอิน” ทุกวินาที

Alternative Textaccount_circle
“จองแฮอิน”
“จองแฮอิน”

มาเมืองไทยกี่ครั้ง ก็หอบเอาความน่ารักมาโปรยเสน่ห์ จนแฟนคลับชาวไทยตกหลุมไม่ไหวแล้ว สำหรับ Jung Hae In เล่นขโมยหัวใจสาวไทยกันตั้งแต่งานแถลงข่าวก่อนที่แฟนคลับจะได้ฟินแบบจัดเต็ม จองแฮอิน ก็ขอมาทักทายสื่อมวลชน พร้อมเสิร์ฟความน่ารักในมุมที่ไม่เคยเห็นในงานแถลงข่าว โดยจองแฮอินปรากฏตัวในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้า พร้อมกับโบกมือ ยิ้มแย้ม ทักทายทัพสื่อมวลชนด้วยการแนะนำตัวเป็นภาษาไทยว่า “สวัสดีครับ ผมจองแฮอินครับ” พร้อมหยอดคำหวานเปิดความในใจ “ทุกครั้งที่มาที่ไทยผมจะรู้สึกเสมอว่าคนไทยจะมีความใสในตัวมีมารยาทดี ซึ่งทำให้ผมได้รับพลังงานบวกทุกครั้งที่มาพบกับคนไทย ผมรักคุณ (จองแฮอินทำท่าซารางเฮโย)” ทำเอาสื่อมวลชนเคลิ้มเป็นแถบๆ

“จองแฮอิน”

จากนั้นไปใจละลายกันต่อใน “Viu Scream Dates” Presents 2024 JUNG HAE IN FAN MEETING ‘OUR TIME’ IN BANGKOK แฟนมีตติ้งที่จัดที่ประเทศไทยเป็นที่แรก สำหรับการทัวร์ ‘OUR TIME’ ของ Jung Hae In(Jung Hae In)” ซูเปอร์สตาร์หนุ่มเจ้าบทบาทที่บินมาเสิร์ฟโมเมนต์ดีต่อใจ เซอร์วิสแฮอินเนสชาวไทย (HAEINESS ชื่อแฟนคลับ) แบบจัดเต็มไปด้วยความประทับใจให้ตกหลุมรัก “จองแฮอิน” ในทุกวินาที โดยบรรยากาศภายในงานแฟนมีตอัดแน่นอบอวลไปด้วยรอยยิ้มครั้งนี้ได้บันทึกความทรงจำดีๆให้แฟนคลับชาวไทยได้มีความสุขยิ้มแก้มปริกันอย่างเต็มอิ่มในวัน เสาร์ ที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ณ BHIRAJ Hall, BITEC บางนา

 โดยความทรงจำดีๆ ครั้งนี้เริ่มบันทึกขึ้นทันทีตั้งแต่ Jung Hae In ปรากฏตัวต่อหน้าแฮอินเนสชาวไทย ซึ่งถึงกับต้องร้องว้าว!! ตื่นเต้นกับโชว์เปิดตัวจองแฮอินในเพลง The truth ด้วยเสียงละมุนทำเอาแฟนยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายพร้อมกันทั้งฮอลล์ จากนั้นได้กล่าวทักทาย “สวัสดีครับผมชื่อจองแฮอินครับ คิดถึงมากเลยครับ ดีใจที่ได้เจอกันครับ” ต่อด้วยการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง โดยมี “ดีเจโบ ธนากร” มารับหน้าที่พิธีกรเพิ่มสีสันและเสียงหัวเราะ ซึ่งจองแฮอินได้เผยถึงความหมายของ OUR TIME

“คือเวลาที่ทำแฟนมีตแบบนี้มันก็คือเวลาของทุกคน ร่วมกับเวลาของผม ซึ่งเป็นเวลาของพวกเรานั่นเองครับก็เลยตั้งชื่อว่า OUR TIME ครับ”

“จองแฮอิน”

จากนั้นจองแฮอินและพิธีกรดีเจโบ ก็พาทุกคนร่วมกันบันทึกความทรงจำดีๆ ใน OUR TIME โมเมนต์ต่างๆ เริ่มจาก Q&A Time การตอบคำถามที่แฟนๆ เขียนมาถามอย่างสุดคิ้วท์ จองแฮอินก็ตอบอย่างตั้งใจทำเอาเหล่าแฮอินเนสฟินละลายกันไปเลยสิค่ะ ต่อด้วยการพาแฟนๆ เข้าสู่โหมดโซนตู้เสื้อผ้าชุดนักเรียนที่ จองแฮอิน ได้ใส่ตอนที่ถ่ายซีรีส์ ก่อนที่จะพาเข้าโหมดการ์ด OUR TIME ซึ่งจองแฮอินต้องพลิกการ์ดแต่ละใบโดยมีตัวอักษรทั้งหมด 7 ตัว คือ O/U/R/ T/I/M/E  โดยภารกิจนี้เป็นการร่วมใจกันระหว่างจองแฮอินและแฟนๆ โดยจองแฮอินเป็นผู้เลือกตัวอักษรหนึ่งตัว ถ้าเปิดมาเป็นรูปภาพตัวเองแฟนๆ ต้องกรี๊ดจนกว่าจองแฮอินจะบอกให้หยุด และจองแฮอินก็จะอธิบายถึงที่มาที่ไปของรูปภาพอย่างละเอียด และโหมด OUR ROMANTIC ที่รวบรวมแต่ละฉากของจองแฮอินในซีรีส์  Love Next Door ที่มีกระแสโด่งดังและบทพูดเด็ดๆ ทำเอาแฟนๆ ฟิน อินกันทั้งฮอลล์ ต่อด้วยโชว์พิเศษที่สุดแสนจะอบอุ่นอีกเพลงใน Good Night Good Dream เป็นอีกเพลงที่ จองแฮอิน ซุ่มซ้อมอย่างจริงจังเพื่อแฟนๆ ชาวไทยด้วยเสียงละมุนนุ่มหัวใจเอามากๆ เรียกได้ว่าแต่ละโมเมนต์ใน OUR TIME  ถือเป็นอีกแฟนมีตติ้ง ที่เติมพลังบวก เติมความสุข และรอยยิ้มให้แก่ทุกคนเลยจริงๆ เพราะทุกช่วงเวลาคือสะกดใจแฟนๆ เหมือนหยุดเวลาไว้ที่จองแฮอินคนเดียว

และอีกช่วง OUR TIME ที่สำคัญ โดยจองแฮอินขอลงมือบันทึกสร้าง ไทม์แคปซูลดิจิทัล ด้วยตัวเอง เพื่อต้องการจดจำความรู้สึกในแฟนมีตติ้งครั้งนี้และถ่ายคลิปฉากต่างๆ ด้วยตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งแฮอินเนสก็ให้ความร่วมมือกันสุดๆ ทั้งฮอลล์ เมื่อ จองแฮอินเริ่มกดบันทึกแฟนๆ ก็แสดงแสนยานุภาพความรัก พร้อมใจกันลุกขึ้นทำคลื่นเวฟจากทางขวาไปซ้าย โดยจองแฮอินวิ่งตามเก็บภาพอย่างปลื้มปริ่ม ต่อด้วยท่าท่าซารางเฮที่สวยงามและส่งเสียงซารังแฮโยอย่างพร้อมเพียงเพื่อให้จองแฮอินได้บันทึกภาพความทรงจำ หลังจากนั้นแฮอินก็ได้บันทึกเสียงของตัวเองลงไว้ในคลิป VDO และเก็บใส่ไว้ในไทม์แคปซูลดิจิทัล พร้อมทิ้งท้ายไว้ว่าเราจะมาเปิดฟังพร้อมกันในปีหน้า 

และในช่วงโมเมนต์ที่ทำเอาแฮอินถึงกับตื้นตันใจเป็นที่สุด เมื่อได้เห็นคลิปพลังความรักของเหล่าแฮอินเนสที่ติดตามซัพพอร์ตส่งกำลังใจและคอยให้เป็นพลังใจให้กับตัวเองมาตลอด จากนั้นแฟนๆ ได้ชูป้าย HAEINESS THAILAND ขึ้นมากันอย่างพร้อมเพียงด้วยพลังแห่งรัก ในความทรงจำที่สุดประทับใจเช่นนี้ จองแฮอิน จึงขอทุกคนถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำอันสวยงามนี้ไว้ และเพื่อเป็นคำขอบคุณที่ทุกคนคอยซัพพอร์ตมาตลอด พร้อมได้เปิดใจถึงช่วงเวลาพิเศษที่เขารู้สึกกับแฟนคลับชาวไทยไว้อย่างน่ารักและซาบซึ้งว่า

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบครับ การที่ผมใส่ความรู้สึกออกมาจริงๆ มันเริ่มที่จะไม่ช่ำชองอย่างที่เคยเป็น แต่เพราะแฟนๆ ทำให้ผมเกิดความกล้าที่จะสื่อความรู้สึกของตัวเองออกมา ปีหน้าพวกเราจะได้เจอกันอีกใช่ไหมครับ กว่าจะถึงวันนั้นขอให้พวกเรายืนอยู่ในจุดที่ตัวเองยืนอยู่นี้ด้วยการไม่เจ็บป่วยแล้วมาเจอกันในปีหน้านะครับ”

“จองแฮอิน”

ตลอดงานเรียกได้ว่าคุ้มค่าสมการรอคอย Jung Hae In ได้มอบรอยยิ้มและความสนุกสนานไปกับกิจกรรมร่วมกับแฟนๆ ที่แสดงความน่ารักให้ใจทุกคนได้ใจละลายกันเป็นแถบ ก่อนส่งท้ายด้วยเพลง Beginning (Song of Park Ki Young) และส่งทุกคนกลับบ้านสร้างความอบอุ่นหัวใจให้ทุกคนมากมายทีเดียวในช่วง Hi Bye พร้อมกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมคำสัญญาว่าจะได้มาพบกันอีกอย่างแน่นอน

น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์

เคล็ดลับหุ่นสวย น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์

Alternative Textaccount_circle
น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์
น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์

ตั้งแต่ขึ้นเลข 3 ความสวยก็พุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ สำหรับนางเอก น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ล่าสุดปรากฏตัวในคาราวาน เบอร์ดี้สีม่วง 0% ที่ตลาด มศว.พร้อมกับเพื่อนรัก หยาดพิรุณ ปู่หลุ่น โดยงานนี้นักแสดงสาวคนสวยได้เผยว่า

น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์

”วันนี้ได้มาชงกาแฟเป็นเมนูสุดพิเศษ ให้กับทุกๆคนได้ชิมด้วยตัวเองแล้วทุกคนบอกว่าอร่อยก็รู้สึกดีใจ แล้วยิ่งคาราวานเบอร์ดี้ไปชงความอร่อยทั่วไทยด้วยยิ่งอยากให้ทุกคนติดตาม อยากบอกว่า เบอร์ดี้สูตรนี้เหมาะกับน้ำตาลมาก เพราะอย่างน้ำตาลถ่ายละครเรื่องล่าสุด ต้องใส่ชุดออกกำลังกายค่อนข้างเยอะ มีโชว์เอวโชว์รูปร่าง ต้องดูแลตัวเองเรื่องอาหารการกิน แต่ว่าเราเป็นคนติดกาแฟและติดรสชาติ พอมีตัวนี้ อร่อยกลมกล่อม หวานพอดีเลยยิ่งทำให้ง่าย และ สะดวกในการชงเพราะว่าเป็น 3 in 1 สะดวกด้วย“

อย่างไรก็ตามน้ำตาลเคยพูดถึงการดูแลรูปร่างของตัวเองว่า “ตาลมีวิธีดูแลตัวเองคือ พยายามควบคุมอาหาร ลดแป้ง หลังสองทุ่มจะไม่กินอะไร ถ้าช่วงไหนตั้งใจลดหุ่น จะออกกำลังกาย เล่นกีฬา เข้าฟิตเนสควบคู่กันไปด้วย ที่สำคัญดื่มน้ำเยอะๆ ปกติไม่ค่อยชอบกินน้ำ ตอนนี้บังคับตัวเองด้วยการเอาน้ำมาเป็นขวดๆ เลย ต้องดื่มวันละ 2-3 ขวด และกินผัก ผลไม้เยอะๆ กินวิตามินเสริมบ้างค่ะ”

สำหรับ คาราวาน เบอร์ดี้สีม่วง 0% จะมีกิจกรรมที่ ภาคกลาง 5 พ.ย. 67 – 17 พ.ย. 67 ภาคอีสาน 22 พ.ย. 67 – 4 ธ.ค. 67 และ ภาคเหนือ 11 ธ.ค. 67 – 23 ธ.ค. 67 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมทาง แฟนเพจ Birdy World

End the Year on a Flavourful Note with a Host of Culinary Events from InterContinental Chiang Mai The Mae Ping

account_circle

As the cool season graces Chiang Mai, it’s the perfect time to explore the mountainous beauty of northern Thailand, with its stunning national parks and rich cultural heritage. Nestled amid graceful charms of old Chiang Mai, InterContinental Chiang Mai The Mae Ping offers a lush retreat for adventurers, inviting them to experience an array of memorable dining events from through December.

Bringing festive joy to the community, InterContinental Chiang Mai The Mae Ping will host its first Christmas Market. On 14 – 26 December, the hotel’s manicured front lawn will be transformed into a European-style Yuletide market, welcoming hotel guests and locals from 4:00 pm to 9:00 pm to try seasonal treats and beverages, browse stalls selling handicrafts and produce, and dance to live music.

For smart rooftop cocktails, guests can join the crowd at Sky Bar on 21 December for the “Run Rudolph, Run” pre-Christmas party (THB 2,200 per person with a complimentary welcome cocktail) where guest DJs and talented entertainers will keep the party going late into the night.

On Christmas Eve, the choice is between traditional brunch or dinner, both served at The Gad Lanna and priced at THB 2,988++ per person (THB 2,390++ for early bird bookings before 15 November). On the menu is beloved seasonal fare coupled with optional free-flow beverages. Youngsters will enjoy themed games, while adults can soak up the atmosphere created by the Christmas choir and live band.

On 31 December, The Gad Lanna will be at the heart of the festivities once again with a spectacular Masquerade Gala Dinner. For THB 6,888++ per person (THB 5,510++ when paid before 15 November) guests can enjoy a pre-dinner cocktail reception, buffet spread of international favourites, live performances, a glass of Champagne as the clock strikes midnight and entry into a lucky draw for a chance to win hotel stays, spa treatments and dining experiences. For a more intimate celebration, Hong’s Chinese will be sending off 2024 in style with tapas, oysters and caviar for THB 3,488++ per person. The night will culminate with the New Year’s Eve Rooftop Masquerade Party – a glamorous affair with spectacular views, highly danceable DJ sets, live shows and prizes for the best dressed guests (THB 2,800 per person, including one glass of Moët & Chandon on arrival).

Rooms are available from THB7,000+++ onwards.  For restaurant bookings, please visit TableCheck, contact the hotel on LINE Official Account: @interconchiangmai, by calling on +66 (0)52 090 998 or emailing at [email protected]. For more information, please visit https://chiangmai.intercontinental.com/en/festive-celebrations-2024


โซเฟีย-ทิพปภา ภาสิริรัตนกุล

เปิดวาร์ป โซเฟีย-ทิพปภา ภาสิริรัตนกุล หรือ ผีเน้ย จาก นางนาคพระโขนง

Alternative Textaccount_circle
โซเฟีย-ทิพปภา ภาสิริรัตนกุล
โซเฟีย-ทิพปภา ภาสิริรัตนกุล

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงดาวรุ่งแห่งวงการที่ความสามารถไม่ธรรมดาเลยสำหรับสาว “โซเฟีย-ทิพปภา ภาสิริรัตนกุล” กับบทบาทสุดท้าทายอย่าง “ผีเน้ย” จากละคร “นางนาคพระโขนง”

ซึ่งกำลังออกอากาศอยู่ทางหน้าจอช่อง 3 แม้จะเป็นละครเรื่องแรก แต่บอกเลยว่าสาวโซเฟียปล่อยของแบบสุดฝีมือ! ทำเอาคนดูสะดุ้งกับความหลอนทุกครั้งที่ปรากฏตัว งานนี้เลยขอพาทุกคนมาเปิดวาร์ปทำความรู้จักกับสาวมากฝีมือคนนี้ให้มากยิ่งขึ้น

โซเฟีย-ทิพปภา ภาสิริรัตนกุล

“ทิพปภา ภาสิริรัตนกุล” เกิดวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2533 ปัจจุบันอายุ 34 ปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบูรพาสาวโซเฟียเผยถึงสาเหตุที่ตัดสินใจเข้ามาในวงการบันเทิงว่า “มาจากความชอบล้วน ๆ ค่ะ เป็นความฝันของเรา เราสามารถให้ความสุข สนุกกับคนอื่นได้ เราชอบเอนเตอร์เทนคนรอบข้าง ทำให้เขายิ้ม หัวเราะ เลยอยากจะลองทำดูค่ะ” แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้บอกเลยว่าไม่ง่าย โดยโซเฟียได้เปิดใจถึงจุดเริ่มต้นว่า “ไม่ง่ายเลยค่ะ ตั้งแต่เป็นนักแสดง Extra ได้เงิน 700 บาท ไม่ได้เข้ามาเพราะมีแมวมอง แต่เข้ามาตัวคนเดียวจากต่างจังหวัด ค้นหาเองในกลุ่มทำงานค่ะ”

ด้านนิสัยส่วนตัว สาวโซเฟียนิยามตัวเองไว้ว่า “คนไม่รู้จักเห็นก็จะรู้สึกว่าดูไม่ค่อยน่าเข้าใกล้เท่าไหร่ เพราะหน้าไม่ค่อยรับแขก เป็นคนหน้าเฟียส หน้าจิก ดูเหมือนคนอารมณ์เสีย แต่จริง ๆ ถ้าสนิทเฟียจะคุยเยอะมาก ถ้าไม่ค่อยสนิทก็จะนิ่ง ๆ ค่ะ” แต่เห็นนิ่ง ๆ แบบนี้ ในเรื่อง “นางนาคพระโขนง” ต้องบอกเลยว่าขนลุก! ทั้งสีหน้า แววตา ท่าทางสำหรับบทของ “ผีเน้ย” สาวโซเฟียเล่าถึงเบื้องหลังว่า “ตอนแรกกดดันพอสมควรค่ะ แต่พี่ที่กองน่ารักมาก ช่วยผลักดัน แบบไม่เป็นไรนะเฟีย ต้องพยายามอีกนิดนึง รู้สึกโชคดีมากที่มีคนมาสอนเรา คอยเตือน เราเลยได้พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนเราได้เติบโตไปกับละครเหมือนกันค่ะ”

สุดท้าย “โซเฟีย ทิพปภา” ได้ฝากถึงละครเรื่องแรกนี้ว่า “ฝากละครเรื่องนางนาคพระโขนงไว้ด้วยนะคะ ทุกคนตั้งใจเล่นมาก เป็นเรื่องแรกของเฟีย น้อมรับทุกคำติชมเสมอ ขอบคุณพี่ ๆ ที่อวยพรให้ด้วยค่ะ” เรียกได้ว่าเป็นผีที่ทั้งน่ารักและน่ากลัว อย่าลืมตามไปให้กำลังใจโซเฟียได้ทาง TikTok : @yijing_pan และห้ามพลาดกับบทบาทผีเน้ยในละครเรื่อง “นางนาคพระโขนง” ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 19.00 น. ทางช่อง 3 “ดูทีวีกด 33 ดูมือถือกด 3Plus”

CASETiMART ป๊อปอัพสโตร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ

น่ารักเกินต้าน HELLO CASETiMART ป๊อปอัพสโตร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ขนแก๊งค์ซานริโอบุกสยามพารากอน

Alternative Textaccount_circle
CASETiMART ป๊อปอัพสโตร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ
CASETiMART ป๊อปอัพสโตร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ

น่ารักใจละลาย มินิมาร์ทสุดคิวท์ใจกลางกรุงเทพฯ ป๊อปอัพสโตร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “HELLO CASETiMART” (เฮลโล เคสทิมาร์ท) เอาใจสาวกชาวไทยที่หลงใหล “Hello Kitty” (เฮลโลคิตตี้) และน้องๆ แก็งค์ “Sanrio” (ซานริโอ) ให้ได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษและช้อปสินค้าคอลเลกชัน Hello Kitty x CASETiFY พร้อมสมาชิกแก็งค์ซานริโอ ไม่ว่าจะเป็น Pochacco, Pompompurin และ My Melody ในแบบที่ใกล้ชิดมากกว่าที่เคย ภายใต้คอนเซ็ปต์มินิมาร์ทสุดคิวต์

เรียกได้ว่า โดนใจคนรัก Hello Kitty และผองเพื่อน Sanrio อีกครั้ง เมื่อ CASETiFY ได้เนรมิตมินิมาร์ท ‘HELLO CASETiMART’ ป็อปอัพสโตร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อรวมเคสสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไอทีหลากหลายดีไซน์จากคอลเล็คชัน Hello Kitty x CASETiFY ที่โด่งดังและได้รับความนิยมในทั่วโลก รวมถึงคอลเล็คชัน Sanrio x CASETiFY มาให้แฟน ๆ ชาวไทยได้เลือกช้อป ไปพร้อม ๆ กับการร่วมสนุกกับกิจกรรมในรูปแบบที่แตกต่าง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 17 พฤศจิกายน 2567 สยามพารากอน (Siam Paragon) ชั้น 1 โซน Fashion Gallery

ภายในป๊อปอัพสโตร์จะได้พบกับ คอลเล็คชัน Hello Kitty x CASETiFY ในธีม “ขนมแสนอร่อยในร้านสะดวกซื้อ” ที่นำไอเท็มกุ๊กกิ๊กอย่างขนมและของว่างสุดโปรดของน้องคิตตี้ มาสร้างสรรค์เป็นลวดลายของเคสสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไอที ไปจนถึงไอเท็มไลฟ์สไตล์อย่างกระเป๋าสะพาย และอื่น ๆ อีกมากมาย และยังมีเหล่าคาแรกเตอร์ซานริโออื่น ๆ ที่เห็นแล้วใจละลายกับความมุ้งมิ้ง ตามปรัชญาของซานริโอ “Small Gift, Big Smile®” ของขวัญชิ้นเล็ก ๆ สามารถสร้างความสุขและมิตรภาพให้กับผู้คนทุกวัยได้ ไม่ว่าจะเป็น ลายชานม บิสกิตแซนด์วิชครีมนม และกาแฟใส่นม โทนสีแดงขาว แซมน้ำเงิน ของ “Hello Kitty” ลายพุดดิ้งครีมคาราเมลในเฉดสีน้ำตาลและเหลืองสดใส ของ “Pompompurin” น้องสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่อารมณ์เบิกบาน ลายมันฝรั่งทอดและลูกกวาดสีน้ำเงินขาวแต้มด้วยเขียวเหลืองหวาน ๆ ของน้อง “Pochacco” ลูกหมาตัวน้อย และ “My Melody” ที่มากับสีชมพูฟรุ้งฟริ้งกับสตรอว์เบอร์รีเคลือบช็อกโกแลต แซนด์วิชผลไม้ เครื่องดื่มนม

คอลเล็คชัน Hello Kitty x CASETiFY ถูกถ่ายทอดเป็นลวดลายน่ารักละมุนบนเคสและอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ สามารถรองรับ iPhone, Samsung และ Google Pixel และมีให้เลือกหลายรุ่นตามโจทย์ผู้ใช้ ตั้งแต่เคส Impact, Ultra Impact, Impact Ring Stand, Mirror (เคสกระจก), Clear (เคสใส), และ Bounce (เคสกันกระแทก) ที่เป็นเอกลักษณ์ของ CASETiFY รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ อาทิ AirPods, AirPods Pro, สาย Apple Watch, เคส iPad, MacBook และอุปกรณ์เสริม MagSafe ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในคอลเล็คชันนี้จะวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 1,299 บาท

ไม่เพียงแค่การช้อปปิ้งเท่านั้น! HELLO CASETiMART ยังเตรียมกิจกรรมสนุกๆ และมุมถ่ายรูปสุดน่ารัก ให้แฟนๆ ได้ดื่มด่ำกับโลกของ Sanrio อย่างเต็มที่ และเก็บภาพความประทับใจกับเหล่าคาแรคเตอร์สุดโปรดได้ตลอดงาน พิเศษสุด! กับ POP-UP EXCLUSIVE GIFT เฉพาะที่ป๊อปอัพสโตร์เท่านั้น รับของขวัญมากมาย เมื่อช้อปครบ 2,500 บาท จะได้รับสิทธิ์เล่นเครื่องหมุนกาชาปอง 1 ครั้ง พร้อมลุ้นรับของรางวัลสุดเซอร์ไพรส์ ช้อปครบ 3,500 บาท รับสิทธิ์เล่นเครื่องหมุนกาชาปอง 1 ครั้ง และพวงกุญแจ Sanrio น่ารักๆ 1 ชิ้น และช้อปครบ 4,500 บาท รับสิทธิ์เล่นเครื่องหมุนกาชาปอง 1 ครั้ง พร้อมกระเป๋าช้อปปิ้ง Hello Kitty สุดเก๋ 1 ใบ (จำนวนจำกัด) อย่าพลาดมาสัมผัสความน่ารักของเหล่าคาแรกเตอร์ Sanrio และช้อปสินค้าคอลเล็คชันใหม่ก่อนใครได้ที่ HELLO CASETiMART


เท่นิดๆ กลิ่นอายคาวบอย ซูมอินกระเป๋า Valentino Garavani Nellcôte เบลล่า ฮาดิด

Alternative Textaccount_circle

หากใครสายเท่ ลุยๆ ใบนี้ตอบโจทย์! ซูมอิน กระเป๋า Valentino Garavani Nellcôte ที่ เบลล่า ฮาดิด สะพาย

หากอยากอัพเดทแฟชั่นให้ทันโลก หนึ่งในเซเลบริตี้ที่เราควรเกาะติดไว้ต้องมีชื่อ ‘เบลล่า ฮาดิด’ นางแบบระดับโลกที่ไม่ว่าหยิบจับอะไรก็กลายเป็นเทรนด์ และฮ็อตฮิตไปเสียหมด ไม่ต่างอะไรกับลุคล่าสุดที่เธอปรากฏตัว ณ นิวยอร์ก พร้อมกระเป๋าแสนเท่จาก Valentino ในคอลเล็คชั่นล่าสุดที่เธอนำมาสะพาย

โดยกระเป๋าใบดังกล่าวมีชื่อว่า Valentino Garavani Nellcôte มาจากคอลเล็คชั่น “Avant Les Débuts” Spring 2025 ที่โดดเด่นด้วยหนังกลับสีน้ำตาล เพิ่มความเท่ด้วยพู่และหมุดสีเงิน เพิ่มดีเทล VLogo ขนาดเล็กกลางกระเป๋า อีกทั้งมาในฟังก์ชั่นที่สามารถสะพายไหล่ รวมถึง crossbody ได้อีกด้วย สนนราคาอยู่ที่ $2,690 หรือประมาณ 90,800 บาท


ภาพ: Valentino และ Getty Images

สวยสง่าในแดนมังกร! 2 ลุค ‘ใหม่ ดาวิกา’ ร่วมชมโชว์ M essential

Alternative Textaccount_circle

โกอินเตอร์ถึงประเทศจีน! ส่อง 2 ลุค ‘ใหม่ ดาวิกา’ ขณะร่วมชมโชว์ M essential คอลเล็คชั่น Spring/Summer 2024 ที่เซี่ยงไฮ้

นักแสดงอีกหนึ่งคนที่กลายเป็นที่รู้จักในเมืองจีนอยู่น้อย นั่นคือ ‘ใหม่ ดาวิกา’ ล่าสุดเธอได้เป็นแขกคนสำคัญของแบรนด์ M essential ให้ร่วมชมแฟชั่นโชว์คอลเล็คชั่น Spring/Summer 2025 ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ โดยใหม่ปรากฏตัวในชุดกี่เพ้าที่ผสมผสานความโมเดิร์น โดดเด่นด้วยลวดลายของต้นไม้และใบไม้สีเหลืองนวล ตัดกับสีเขียวสีสันสดใสที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับลุค

อีกทั้งยังมีเดรสเกาะอกสีดำ กระโปรงทรงดินสอ ที่ตระการตาด้วยลายปักคริสตัลสุดอลังการที่เมื่อดีเทลของชุดดูเยอะแล้ว ใหม่จึงเลือกเมคอัพสีเรียบๆ น้ำตาล-ส้ม และทรงผมยาวตรงเพื่อเสริมให้คอสตูมดังกล่าวเด่นขึ้น


Cr. Instagram @davikah

keyboard_arrow_up