Matthew Ifield

Matthew Ifield เจ้าพ่อเพลงรักรุ่นใหม่ขวัญใจ Gen Z

Alternative Textaccount_circle
Matthew Ifield
Matthew Ifield

เจ้าพ่อเพลงรัก Gen Z “Matthew Ifield” กลับมาพร้อมเพลงใหม่ “When I Loved You” ที่จะพาคุณหวนคิดถึงความสัมพันธ์ที่จบไป พร้อมยอดวิวทะลุ 12,000 ล้าน!

หลังจากส่งเพลงสุดโรแมนติกอย่าง “Ready For Love” มาเอาใจแฟนๆ ชาวไทยก่อนหน้านี้ ล่าสุดหนุ่ม แมทธิว ไอฟิลด์ ศิลปินหนุ่มวัย 20 ปีขวัญใจวัยรุ่นคนล่าสุดจากซิดนีย์ ออสเตรเลีย กลับมาสานต่อตำแหน่งเจ้าพ่อเพลงรักอีกครั้งด้วยเพลง “When I Loved You” ที่เขาบอกว่าเป็นเพลงโปรดของเขาตั้งแต่เขาแต่งมาเลยทีเดียว

Matthew Ifield

“When I Loved You” เป็นอีกเพลงที่ แมทธิว ไอฟิลด์ ถ่ายทอดน้ำเสียงสไตล์โซลของเขาออกมาได้อย่างน่าฟัง เนื้อเพลงเล่าถึงเรื่องราวและความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากความสัมพันธ์อันลึกซึ้งได้จบไป ให้คนฟังได้คิดตามว่าตอนที่เรามีความรักความสัมพันธ์กับใครสักคน เรารู้จักตัวเองดีว่าเราเป็นอย่างไร หรือเราแค่ตกหลุมรักกันและกันในช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเท่านั้น

แมทธิว ไอฟิลด์ เล่าถึงแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ว่า “ผมเคยอยู่ในความสัมพันธ์ที่ตอนที่รักก็รักกันอย่างเต็มที่มากๆ แต่ตอนจบกลับเลิกรากันค่อนข้างเร็ว ผมเลยกลับมานั่งคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ในครั้งนี้มันจบลงแบบนี้ รวมถึงค่อยๆ ตกตะกอนความคิดว่าเราเป็นใครระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน ผมคิดว่าหลายคนน่าจะเคยตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ที่จบไปของพวกเขาเช่นกัน ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกัน เพลงนี้คือเพลงของพวกคุณ”

Matthew Ifield

ทางด้านมิวสิควิดีโอเพลง “When I Loved You” เขาได้ร่วมงานกับ Thom Davies ผู้กำกับที่ทำงานอยู่ที่ซิดนีย์ โดย แมทธิว ไอฟิลด์ พูดถึงมิวสิควิดีโอเพลงนี้ว่า “ผมมีความสุขมากกับมิวสิควิดีโอเพลงนี้ สามารถถ่ายทอดเนื้อเพลงออกมาเป็นภาพได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว” 

แมทธิว ไอฟิลด์ ได้รับความนิยมและเสียงตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ทั่วโลกตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ด้วยยอดวิวรวมกันกว่า 12,000 ล้านครั้ง และยอดผู้ติดตามกว่า 3 ล้านคนในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม มีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และอเมริกา เขาเคยร่วมทัวร์คอนเสิร์ตกับ grentperez และเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทัวร์คอนเสิร์ตในออสเตรเลียร่วมกับศิลปินชื่อดังอย่าง Alec Benjamin รวมถึงการแสดงสดที่อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ รวมถึงการมาเยือนเมืองไทยครั้งแรกในงาน Exclusive Listening Session และร่วมแสดงในเทศกาลดนตรี Pelupo 2025 ก็ได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆ ที่เข้าร่วมชม ความสามารถในการเป็นศิลปินและนักแต่งเพลงของเขา ทำให้เขาเป็นศิลปินที่น่าจับตามองอย่างมากในปี 2025 นี้

Gracie Abrams

Gracie Abrams สวยออร่า! เผยเสน่ห์สดใสระหว่างเยือนประเทศไทย

Alternative Textaccount_circle
Gracie Abrams
Gracie Abrams

Gracie Abrams ศิลปินสาวสวยอารมณ์ดี เจ้าของเพลงดังอย่าง  “That’s So True”,  “I Love You, I’m Sorry” และ “Close To You” เผยเสน่ห์สดใสในการเยือนไทยครั้งแรก แฟนคลับปลื้มปริ่มกับการพูดคุยสุดใกล้ชิดและกิจกรรมอบอุ่นหลังคอนเสิร์ต

ไม่ว่าใครได้เห็นได้ฟังได้เห็นรอยยิ้มของ เกรซี แอบรัมส์ ศิลปินสาวสวยอารมณ์ดี เจ้าของเพลงดังอย่าง  “That’s So True”,  “I Love You, I’m Sorry” และ “Close To You” ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในขณะนี้ มานั่งพูดคุยอยู่ตรงหน้าใกล้ ๆ ก็ต้องตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบแน่นอน นี่คือประสบการณ์สุด Exclusive ที่จัดให้กับเหล่าสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยที่ได้ร่วมงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทย กับ Universal Music Thailand – Gracie Abrams: Press Conference in Thailand ณ SIWILAIi  City Club  ชั้น 5 เซ็นทรัล เอ็มบาสซี

Gracie Abrams

เกรซี แอบรัมส์  กล่าวทักทายกับผู้ร่วมงานอย่างเป็นกันเอง ก่อนเผยว่าเธอดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้มาเมืองไทยครั้งแรก ซึ่งเป็นประเทศที่เธออยากจะมามาก ๆ มานานแล้ว เพราะเธอได้เห็นข้อความจากแฟน ๆ ชาวไทยเรียกร้องให้เธอมาแสดงคอนเสิร์ตที่ไทยผ่านโซเชียลมีเดียมาโดยตลอด และในที่สุดความฝันของเธอก็เป็นจริง แถมเธอยังดีใจมากที่บัตรคอนเสิร์ตที่ ยูโอบี ไลฟ์ เอ็มสเฟียร์ ขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว

ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า เกรซี แอบรัมส์ เป็นที่รักของแฟนคลับชาวไทยจำนวนมากจริง ๆ เธอตกหลุมรักเมืองไทยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสบรรยากาศในประเทศไทย คนไทยให้การต้อนรับเธออย่างอบอุ่น รวมถึงอาหารไทยก็อร่อยถูกปากเธอมาก ๆ เธอจึงกล่าวขอบคุณคนไทยทุกคนที่ทำให้เธอได้มีโอกาสดี ๆ ในการได้มาเยือนเมืองไทยในครั้งนี้

 จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงตอบคำถามที่ทางสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยได้ฝากเอาไว้ให้ ทั้งเรื่องของประสบการณ์กับแฟน ๆ ที่เธอประทับใจที่สุด ที่เธอบอกว่าการได้ร้องเพลงที่เธอเคยแต่งคนเดียวในห้องนอนของตัวเองให้ทุกคนได้ฟัง แล้วทุกคนได้แบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน เป็นสิ่งที่เธอประทับใจที่สุด

หากเลือกความทรงจำที่สามารถเก็บใส่ในไทม์แคปซูลได้ เธอจะเลือกหยิบความทรงจำที่เกี่ยวกับมิตรภาพของเธอเก็บเอาไว้ เพราะเธอได้เจอได้คบแต่กับคนดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือกับคนทั่วไปก็ตาม เธอเผยว่าเพลงเพราะติดหูอย่าง “That’s So True” เธอแต่งกับเพื่อนตอนที่กำลังเมา! และเธอเลือกเพลง “Feels Like” และ “Close To You” ให้กับประเทศไทย เพราะเธอเพิ่งมาไทยครั้่งแรก แต่ก็ได้รับบรรยากาศอันอบอุ่น และได้พูดคุยกับทุกคนในงานนี้อย่างใกล้ชิดทันทีที่เธอมาถึงเมืองไทย

หากให้เปรียบอัลบั้ม The Secret of Us ของเธอเป็นภาพยนตร์ เธอเลือกให้เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอเมดี้ รวมถึงคำถามที่ว่า แฟนเพลงชาวไทยร้องเพลงในคอนเสิร์ตกันเสียงดังมาก ๆ เธออยากเลือกเพลงอะไรให้แฟน ๆ ร้องตามกันดัง ๆ ในคอนเสิร์ตของเธอในคืนนี้ เธอตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าร้องเสียงดังกันทุกเพลงได้เลย เพราะเธอมาที่นี่เพื่อมาฟังเสียงแฟน ๆ ร้องเพลงกันเสียงดัง ร้องทุกเพลงทุกคำที่ร้องได้กันให้เต็มที่ได้เลย ซึ่งแฟนเพลงชาวไทยก็ไม่ทำให้เธอผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ศิลปินชมว่าแฟนเพลงชาวไทยเป็นผู้ชมที่ดีที่สุด และสัญญาว่าจะกลับมาหาทุกคนอีกแน่นอน

ยังไม่จบเพียงเท่านี้ Universal Music Thailand รู้ดีว่าแฟน ๆ ยังอยากซึมซับบรรยากาศของคอนเสิร์ต  The Secret of Us Tour ในเมืองไทยกันต่ออีกนิด จึงชวนแฟน ๆ มาสนุกกันต่อกับกิจกรรมน่ารัก ๆ ในงาน The Secret of Us Tour Morning Debriefs Bangkok, Thailand ชวนแฟน ๆ ของ เกรซี แอบรัมส์  มาพูดคุยและแชร์ประสบการณ์ความประทับใจจากคอนเสิร์ต The Secret of Us Tour

พร้อมรับของขวัญน่ารัก ๆ อย่าง The Secret of Us Tour Exclusive Pin เมื่อซื้อเมนู That’s So Matcha หรือ I Love You, I’m Coffee รวมถึงถ่ายรูป PhotoBooth ได้ฟรี! เมื่อคอมเมนต์โพสต์กิจกรรมใน Instagram วันที่ 20 เมษายน 2025 ที่ Roots Sathon บรรยากาศอบอุ่นคราคร่ำไปด้วยรัก เกรซี แอบรัมส์ ได้แบ่งปันมิตรภาพและช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกันในคอนเสิร์ตเมื่อคืนกันอย่างสนุกสนาน สมกับชื่อทัวร์ The Secret of Us จริง ๆ

เปิดแฟชั่นหลักแสน “โออียอง” นางเอก Resident Playbook เจ้าของหนี้ 50 ล้านวอน

Alternative Textaccount_circle

หากใครติดตาม Hospital Playlist คงไม่พลาดภาคแยกอย่าง Resident Playbook ซีรีส์ที่เล่าความปั่นป่วนของแพทย์ประจำบ้านปี 1 แผนกสูตินรีเวช ที่ได้นางเอกสุดฮ็อตอย่าง “โกยุนจอง” มารับบทบาท “โออียอง” หรือ 520 ที่เรารู้จัก นอกจากความสวยที่สะกดใจผู้ชมทางบ้านแล้ว เรื่องราวของเธอยังแฝงไปด้วยปมชวนติดตาม ทั้งการสูญเสียคุณแม่ตั้งแต่เด็ก ตกหลุมรักกูโดวอน (น้องชายพี่เขยและรุ่นพี่แพทย์ประจำบ้านปี 4) จนถึงการเป็นหนี้ 50 ล้านวอน หรือประมาณ 1.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นต้นตอทำให้เธอต้องจำใจมาทำงานในโรงพยาบาลจงโนยุลเจ ปูบทมาขนาดนี้ ซีรีส์ไม่ใช่แนวดราม่าแต่เป็น Coming of Age ที่จะทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมตัวละคร

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่านางเอกของเราติดหนี้อยู่ 50 ล้านวอน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,180,000 บาท เห็นตัวเลขขนาดนี้ก็กุมขมับแทนเหมือนกัน แต่ความตลกอยู่ที่ผู้ชมหลายคนพากันจับผิดแฟชั่นไอเท็มที่เธอสวมใส่ แล้วพบว่าราาแต่ละชิ้นไม่ธรรมดา มีตั้งแต่ครึ่งหมื่นจนถึงแสน สงสัยคงต้องแอบแซวเหมือนกันว่า คุณหนูของเราตกอับจริงหรือเปล่า? ส่วนไอเท็มที่ว่าจะมีอะไรบ้าง แพรวพาไปชมพร้อมกัน

ไอเท็มแรกเสื้อครอป “Twisted Tee” จาก Helmut Lang ที่ดูเผินๆ อาจเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงราคาเสื้อตัวนี้มาในราคา $220 หรือประมาณ 6,600 บาท ถือว่ายังเปิดมาแบบเรียกน้ำย่อย เพื่อเทียบกับกางเกงคาร์โก้ที่กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งไอเท็มนี้มาจากแบรนด์ดังอย่าง Acne Studios ราคา $650 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 21,500 บาท

สุดท้ายเรียกว่าเป็นไอเท็มตั้งถามว่า นางเอกของเราเป็นหนี้จริงเหรอ? คือนาฬิกา Chanel รุ่น BOY·FRIEND มากับขอบหน้าปัดสตีล อีกทั้งยังมีสายหนังลูกวัวสีดำลายควิลท์แบบถอดเปลี่ยนได้และหัวล็อคสตีลแบบหัวเข็มขัด พร้อมสายเส้นที่สอง สนนราคา 168,000 บาท หรูหราขนาดนี้หรือ 520 ของเราจะยืมของพี่สาวมาใส่กันนะ


ข้อมูล: Instagram @k.fashionvibes

กตัญญู สว่างศรี

ชีวิต(ไม่)ตลกของ กตัญญู สว่างศรี ราชาเสียงหัวเราะแห่งยุค

Alternative Textaccount_circle
กตัญญู สว่างศรี
กตัญญู สว่างศรี

ช่วงเวลาที่ม่านเปิด ผู้คนต่างเงียบรอการเริ่มต้นทอล์คโชว์ของ กตัญญู สว่างศรี ผู้ที่ชื่นชอบในการเล่าเรื่องตลก แม้สิ่งที่เขาเคยผ่านมาไม่ค่อยตลกเท่าไร เป็นนักเขียนแล้วไม่รุ่ง เปิดสํานักพิมพ์ก็ไม่รอด ทั้งยังเคยถูกไล่ออกจากงาน ที่สุดเขาตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางมาเป็นผู้มอบเสียงหัวเราะผ่าน Stand-Up Comedy และความบันเทิงในรายการ Katanyu Tonight

เปิดโลกการเขียน


“ประสบการณ์ในวัยเด็กที่มีผลต่อแนวคิดในการใช้ชีวิตของผมทุกวันนี้น่าจะเป็นตอนที่อยู่กับแม่ครับ ผมโตมาในครอบครัวที่มีคุณแม่ ผม และพี่ชาย รวมถึง น้องชายแม่ที่ผมเรียกว่าอากู้ ซึ่งเป็นโรคประสาท คนอื่นจะมองว่าสติไม่ดีเลยก็ว่าได้ แต่คุณแม่ก็ดูแลพวกเรามาเป็นอย่างดี ทั้งทํางานไปด้วย พาอากูไปโรงพยาบาลด้วย ตัวผมเองก็มีส่วนร่วมในการช่วยดูแล ได้เห็นสายตาของคนที่ตัดสินอาว่าบ้า เราก็ ไม่ได้โทษใคร ประสบการณ์เหล่านี้ทําให้เรามีความเห็นอกเห็นใจ ทําความเข้าใจผู้อื่น โดยที่ไม่รีบตัดสินใครไปก่อน รวมถึงได้ความอดทนมาจากคุณแม่ ทําให้พร้อมสู้กับ สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญในชีวิต”

“ความสนใจในวัยเด็กที่เชื่อมโยงมาถึงงานในปัจจุบันก็ค่อนข้างเยอะ ความที ชอบอ่านการ์ตูน นิยายแนวเหนือธรรมชาติ ฟังเพลง ดูหนังซิตคอม ชอบถึงขั้น เสพติดเลยก็ว่าได้ เกรดตอนมัธยมคือ 1.6 ไม่รู้จบมาได้ยังไง ไม่ชอบเข้าเรียน แต่คิดมาตลอดว่าอยากทํางานด้านครีเอทีฟ อย่างดีเจ นักเขียนบทละครซิตคอมหรือท่าภาพยนตร์ จึงตัดสินใจเรียนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต”

“ ชีวิตพลิกผันช่วงนี้ละครับ เพราะยังไม่ชอบเข้าเรียนเหมือนเดิม แต่เอาเวลา ไปทําอย่างอื่น ตอนนั้นนิตยสาร a day มีโครงการ a teem junior รุ่นที่ 3 เป็น โครงการสําหรับให้นักศึกษาเรียนรู้งาน ผมลองสมัครไปแล้วผ่านเข้าไปอยู่ในทีม กองบรรณาธิการ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะมีแต่คนเก่ง ๆ อย่างพี่เต๋อ (นวพล ธํารงรัตนฤทธิ์), พี่เต้ (จิราภรณ์ วิหวา) หรือเคน (นครินทร์ วนกิจไพบูลย์) ทําให้ ตัวเองได้เรียนรู้ไปด้วย”

“แต่เส้นทางนี้ไม่ง่ายเลย เพราะผมไม่มีพื้นฐาน ยากสุดคือการทําต้นฉบับ การเขียนบทความให้น่าอ่าน ขณะที่คนอื่นในทีมมีทักษะกันบ้าง ตอนนั้นพี่ก้อง (ทรงกลด บางยี่ขัน) เป็นบรรณาธิการ เขาแก้งานคนอื่นนิดหน่อย ส่วนของเรา ไม่แก้ แต่พี่ก้องเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด ทําให้ตลอดเวลา 3 เดือนที่ฝึกงานผมทํา ต้นฉบับได้แค่ 2 ชิ้น แถมยังโดนจดหมายคอมเมนต์มาด่าอีกว่าข้อมูลผิดพลาด นั่งร้องไห้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ รู้สึกเฟลมาก ทุกวันนี้ก็ยังจําความรู้สึกนั้นได้”

“ผมถามเพื่อนสนิทในทีมชื่อเอี่ยว (ศิวะภาค เจียรวนาลี) ว่าทํายังไงให้เขียน แล้วน่าอ่าน เขาแนะนําให้เข้าร้านหนังสือ หยิบเล่มที่ชอบมาอ่านเยอะ ๆ หลังจากนั้น ผมก็เข้าร้านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง เลือกหยิบพวกวรรณกรรมคลาสสิกอย่าง The Brothers Karamazor ของฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี นักเขียนรัสเซีย กับของ ฮารูกิ มูราคามิ เล่มที่ชอบคือ Kafka on the Shore อะไรที่เขาว่าดี ผมตามอ่านหมด”


“จากที่เคยอ่านแต่หนังสือการ์ตูน ไม่ค่อยได้ซึมซับทักษะการเขียน แต่การ อ่านครั้งนั้นถือว่าเปิดโลกของการเขียนให้ผม รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะการเขียนหรือการเล่าเรื่อง แต่ภายใน 3 เดือนนั้นไม่ได้ทําให้เขียนหนังสือดีขึ้น มาได้แบบพริบตานะ ต้องอาศัยการทําบ่อย ๆ ไม่หยุดอยู่กับที่ แล้วผลลัพธ์จึงจะ ปรากฏออกมา”

กตัญญู สว่างศรี

เส้นทางนักเขียน

หลังจากฝึกงานและเรียนต่อจนจบ ถึงเวลาก้าวออกมาสู่โลกของการทํางาน จริง “ผมมีโอกาสร่วมงานกับ happening นิตยสารเปิดใหม่แนวศิลปะบันเทิงของ พวิภว์ บูรพาเดชะ ในตําแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการ อย่าเพิ่งตกใจนะ เพราะตอนนั้น มีแค่ผมกับพี่วิภว์สองคนน่ะ (หัวเราะ) ความที่รู้จักกันมาสมัยฝึกงานอยู่ที่ a day”

“ระหว่างทํางานผมมีโอกาสเขียนนิยายสั้นเรื่อง อยู่กับกู่ (2553) ได้ตีพิมพ์ เป็นคอลัมน์ใน happening ถือเป็นผลงานชิ้นแรกที่ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ ในชีวิตที่เล่าไปก่อนหน้านี้ ได้รับความสนใจพอสมควร ทําให้เริ่มเห็นแววว่า ตัวเองอาจจะมาทางเรื่องสั้น จึงเขียนมาเรื่อย ๆ และมีโอกาสตีพิมพ์ ยๆ ลงในนิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมอย่าง ช่อการะเกด ฉบับที่ 55 เรื่อง ความทรงจํา ตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก ภูมิใจ ในตัวเองสุด ๆ ท่าให้ตระหนักด้วยว่าคนเราถนัดการเขียน ไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนเข้าใจว่าการเขียนที่ดีต้องเขียนแบบ วรรณกรรมเจ๋ง ๆ แต่ทุกวันนี้เข้าใจแล้วว่าเขียนคอลัมน์ แบบหาข้อมูลเก่งก็แบบหนึ่ง เขียนเรื่องแต่งเก่งก็แบบหนึ่ง เขียนสัมภาษณ์เก่งก็อีกแบบ ฟีเจอร์ความเก่งไปคนละทางกัน

ครั้งหนึ่ง…โดนไล่ออก

“หลังจากทํางานที happening ไปสักพักผมก็เปลี่ยนงานอีก ความที่ชอบทําอะไรใหม่ ๆ บวกกับเริ่มหลงใหลในงานวรรณกรรมเรื่องสั้น จึงเข้าไปทํางานที่นิตยสาร Writer ไม่กี่เดือน พี่บินหลา สันกาลาคีรี บรรณาธิการ นิตยสาร แจ้งว่า“คุณใช้แต่ปากทํางาน” ซึ่ง ตอนนั้นผมอายุประมาณ 26 – 27 ปี ยังเป็นวัยรุ่น ก็ไม่ค่อยเข้าใจ คิดว่าเราคงเขียนไม่ถูกใจ จึงโดนไล่ออกมา เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่าอาจเป็นเพราะเราใช้ปากในการพูดถึงไอเดียกับสิ่งที่อยากให้เป็น แต่ไม่สามารถ ลงมือทําให้ออกมาดีเหมือนอย่างที่พูดไว้ได้”

“แม้ตอนนั้นจะผิดหวังในตัวเองมาก ๆ แต่การถูกไล่ออกก็เป็นจุดเปลี่ยน สําคัญ เพราะทําให้เราเลิกยึดติดกับความยิ่งใหญ่ของวรรณกรรม แล้วหันไป เห็นคุณค่าอื่น ๆ ในชีวิตที่สามารถหาความสุขได้ เพราะที่ผ่านมาคิดแต่ว่าอยากเขียนหนังสือให้ได้รางวัลซีไรต์ เป็นที่ยอมรับ แต่เราไม่ได้ดูแลคนอื่นเลย ไม่ได้ ท่าตัวดีกับแม่ เพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่อยากหา พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ตั้งหลัก คุยกับตัวเองใหม่ว่าถ้าพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่สําหรับเราก็ไม่เป็นไร และถามตัวเองว่า แล้วชีวิตเราหาอะไรได้อีกบ้าง ที่จะพอหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวให้มี ชีวิตที่ดี จึงทําให้เลิกมองแค่งานเขียนด้วย”

“แต่ตอนนั้นมืดแปดด้านเลยนะ เหมือนอกหัก ชีวิตว่างมาก ไม่รู้จะไป ทางไหน ตัดสินใจบวช เพื่อจะคิดอะไรออก บวกกับตอนนั้นคูณย่าอยากให้บวช โมเมนต์ตอนทีโกนหัวบวชนาคแล้วต้องขี่คอเพื่อนตากแดดกันไปแบบร้อน มาก แต่พอมองเห็นแม่มีความสุข ญาติทุกคนพร้อมใจมาทําหน้าวงมโหรี แฮปปี้กันหมด ทําให้เรารู้สึกดีไปด้วยคนรอบตัว”
“เกิดเป็นความคิดว่าถ้าเราทําอะไรสักอย่าง อาจจะเหนื่อยนิดหน่อย แต่ คนรอบตัวแฮปปี้ จะเป็นจุดที่ทําให้เรามีความสุขไปด้วย จากแต่ก่อนที่ยึดตัวเอง เป็นใหญ่ มองแค่เป้าหมายในการเป็นนักเขียนเท่ ๆ ก็เปลี่ยนมุมมองความคิด ทําให้ตัวหดเล็กลงมา รู้จักแคร์คนรอบข้างมากขึ้น”


ทางนี้ไม่รอด ก็แค่ไปทางอื่น

“หลังจากลีกมาได้ประมาณ 2 – 3 เดือน ผมกลับมาทํางานอีกครั้งด้วยสายตา ที่เปลี่ยนไปที่นิตยสาร GM โดยพี่อ๋อง (วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ) เป็นบรรณาธิการ ในยุคนั้น ผมรับตําแหน่งบรรณาธิการสัมภาษณ์ แต่ละเดือนมีหน้าที่ทําสัมภาษณ์ ประจําฉบับ โดยพี่อ้องคอยช่วยแก้ไขให้อีกที จนบทสัมภาษณ์ออกมาเหมาก (หัวเราะ)”

“พร้อมกับได้ทําสํานักพิมพ์ นกเค้า ของตัวเองไปด้วย จากการเขียน ความรัก และแสงสีขาว ที่เป็นงานรวมเรื่องสั้นแนวความสัมพันธ์ของความรัก ส่งไปตาม สํานักพิมพ์ต่าง ๆ แล้วไม่มีใครตีพิมพ์งานให้ จึงทําเองเลย วิธีการง่าย ๆ คือพิมพ์ 200 เล่มแล้ว รถเข็นไปเดินในงานสัปดาห์หนังสือ แล้วขอฝากขายตามบูธ อย่าง ธของสํานักพิมพ์ระหว่างบรรทัด ปรากฏว่าหมด จึงสั่งพิมพ์อีกกว่าพันเล่ม คราวนี้ เหลือบาน (หัวเราะ) แม้ในแง่ธุรกิจจะไม่ประสบความสําเร็จ แต่มันช่วยเสริมพลัง ให้เราว่าอย่างน้อยก็สามารถทําออกมาได้ และท่าอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าไปต่อไม่รอด ก็แค่เดินไปทางอื่น ชีวิตไม่ได้หยุดแค่นี้”

“ท่านิตยสาร GM ประมาณ 9 เดือน เจอช่วงทีเรียกว่าตะวันตกดินของนิตยสาร ช่วงปี 2016 ที่ Image ปิดตัว ทําให้เราตั้งคําถามกับยุคสมัยและสิ่งที่ หาอยู่ ความที่เราไม่ได้ยึดติดแล้วว่าจะต้องเขียนหนังสือเท่านั้น จึงลองเปลี่ยนไปทํางานด้านเอเจนซีบ้าง”

“ตอนนั้นพี่ปอง (จักรพงษ์ คงมาลัย) และพี่บี (สโรจ เลาหศิริ) ชวนไป ทํางานที่ Moonshot ทําให้ได้เรียนรู้เรื่องการสร้างโปรเจ็กต์โดยใช้ไอเดียและ ใส่ความครีเอทีฟ เพื่อสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราถนัดพอดี บวกกับได้จัดงานทอล์คโชว์ จัดงานอีเวนต์เยอะ ก็เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ มากมาย”

Stand-Up Comedy

สําหรับจุดเปลี่ยนในการมาท่าสแตนด์อัพคอมเมดี้ เริ่มต้น ณ วันที่เขารับเป็น พิธีกรในงาน a book Lecture Show ที่เชียงใหม่แล้วได้ค้นพบบางอย่าง “ตอนนั้น ก่อนงานเริ่มประมาณ 1 ชั่วโมงอยากทําการเรียกแขก คิดว่าลองทอล์คโชว์แล้วกัน ก็ขึ้นเวทีไปเล่าเรื่องตลก คนดูหัวเราะชอบใจใหญ่ นาทีนั้นทําให้ฉุกคิดขึ้นมาว่า เราอยากเล่าเรื่อง อยากทําสแตนด์อัพคอมเมดี้ บวกกับการที่ทํางานด้านเอเจนซี อยู่แล้ว ทําให้เข้าใจในกระบวนการการจัดงานทอล์คโชว์ว่าควรต้องทําอะไรบ้าง”

“ประมาณ 2 – 3 เดือนถัดมา ในปีเดียวกันนั้น (2016) ผมตัดสินใจทํา สแตนด์อัพคอมเมดี้ของตัวเองครั้งแรก โดยเปิดรับสมัครทีมงานผ่านทางเฟชบุ๊ก จนพบกับแฟกซ์ (คณิตกรณ์ ศรีมากรณ์) ที่อาสาเป็นผู้ช่วยเขียนบท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ด้วยนิสัยห้าว ๆ แบบผม ที่สุดเกิดเป็นโชว์ “A-Katanyu 30 ปี ชีวิตห่วยสัส” อาศัยหยิบเรื่องราวในชีวิตมาถ่ายทอดให้เป็นเรื่องตลก สาเหตุที่ได้ ชื่อนี้มา ก็มาจากการที่เราย้อนกลับไปทบทวนชีวิตที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ตกอับ ขนาดนั้น แต่ก็เป็นภาวะของการพยายามดิ้นรนเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง จะเห็น ว่าผมทํางานมาเยอะ ความที่มีไฟ อยากขึ้นเป็นแถวหน้า แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ การถูกมองข้าม แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ อดทนสู้มาตลอด”

“เมื่อคิดคอนเซ็ปต์โชว์ได้ ก็โทร.หาพี่โต้ง (ประวิทย์ พันธุ์สว่าง) รุ่นพี่ที่รู้จัก ขอใช้สถานที่ Zombie Books ย่าน RCA ก่อนโชว์ผมตื่นเต้นมาก งานนี้ได้รับการ พูดถึงพอสมควร ความที่เราอยู่ในแวดวงของสื่อมวลชน พี่ๆ เพื่อน ๆ ในวงการ ที่เอ็นดูก็มาช่วยโปรโมต ทําให้งานวันนั้นเป็นไปได้ด้วยดี มีคนมาดู 20 – 30 คนได้ ราคาบัตร 349 บาท ไม่มากอะไร แต่เราก็ภูมิใจในตัวเอง ทําให้ย้อนไปนึกถึง คําพูดของพี่บินหลาที่บอกว่าเราใช้ปากทํางาน และวันนี้ก็ได้ใช้มันจริง ๆ ผมจึง โทร.ไปขอบคุณที่เป็นแรงผลักดัน ทําให้เรามีวันนี้ หลังจากนั้นมาก็เริ่มทําโชว์ที่ ใหญ่ขึ้น จากคนดูหลักสิบกลายเป็นหลักพัน”

“นิสัยผมห้าวและมั่นใจมาก ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่มันเป็นคุณสมบัติ ของเรา บวกกับความชอบอะไรใหม่ ๆ ผมชอบดูสแตนด์อัพคอมเมดี้ของประเทศ ออสเตรเลีย อเมริกา และอังกฤษ ที่เขาทํากันเยอะ แต่เมืองไทยมีน้อย ที่ดัง ๆ ก็มีแค่พี่โน้ส อุดม แต้พานิช) จึงอยากลองทํา ผมไม่ได้รู้สึกมั่นใจในแง่ที่ว่าจะต้อง ประสบความสําเร็จยิ่งใหญ่ แต่มั่นใจว่าได้ลงมือทําอย่างเต็มที่ ถ้าทําแล้วดีก็โอเค แต่ถ้าเฟลก็ไม่เป็นไร”

“ตอนนี้ผมทํามาแล้วประมาณ 4 โชว์ เวลาทําแต่ละโชว์ผมจะลิสต์ประเด็นก่อน ว่าอยากสื่อสารเรื่องอะไร เพื่อวางคอนเซ็ปต์ เช่น การใช้ชีวิต ความรัก หรือ เรื่องมุมมองความคิดต่าง ๆ ในสังคม อย่างโชว์ล่าสุดที่ชื่อว่า “The Boy” ผมเริ่มจาก การสํารวจภาวะของตัวเองก่อน แล้วนําความคิดนั้นออกมาแชร์ โดยแบ่งวิธีคิดเป็น 2 แบบ อย่างแรกคือคอนเซ็ปต์ของเนื้อหาที่อยากสื่อสาร กับอย่างที่สองคือ เทคนิควิธีการเล่าเรื่อง เปรียบง่าย ๆ คือพาร์ตหนึ่งจะมีเนื้อปลา เนื้อหมู หรือ เนื้อไก่ ส่วนอีกพาร์ตจะเป็นวิธีการทําว่าจะผัด ต้ม หรือทอด “พาร์ตแรกมาจากชีวิตทั่วไปที่ผมดิ้นรนกับการเอาตัวรอดทางธุรกิจ รู้สึกว่า การโตเป็นผู้ใหญ่เหนื่อยมาก อยากกลับไปเป็นเด็ก ตอนนั้นภาวะของเรามีมวลรวม บางอย่างที่คิดถึงแต่คนอื่น ทั้งเรื่องทีม เรื่องภาระต่าง ๆ จึงกลายมาเป็นคอนเซ็ปต์ ที่ว่าปล่อยความเป็นเด็กในตัวเองออกไป แล้วตั้งใจเติบโตเป็นผู้ใหญ่สักที เพราะ มันถึงเวลาที่ต้องต่อสู้กับโลกภายนอกแล้ว แต่เราก็ตั้งเป็นประเด็นค่าถามกลับมา ด้วยว่าแล้วเรายังเป็นเด็กได้อยู่ไหม คือแต่ละโชว์เราจะละเอียดกับเรื่องพวกนี้มาก ๆ เพราะผมชอบให้คนดูโชว์จบแล้วได้อะไรบางอย่างกลับไป”


“สําหรับผม เสน่ห์ของสแตนด์อัพคอมเมดี้คือการมอบเสียงหัวเราะให้กับผู้อื่น เป็นความสุข สามารถทําให้วันที่เขามาดูเรากลายเป็นวันที่ดี หรือช่วยเยียวยา ในวันที่จิตใจของเขาห่อเหี่ยวให้กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เป็น Magic Moment สําหรับคนที่ทําได้ แต่การทํางานแบบนี้เป็นเรื่องยากมากในไทยที่ไม่มีวัฒนธรรม สแตนด์อัพคอมเมดี้อย่างแข็งแรงในแง่ของความถี่ในการดู คุณภาพของผู้เล่น สถานที่ในการฝึกฝน แม้แต่บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถก็มีน้อย อุตสาหกรรมนี้ ไม่ค่อยมั่นคง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเติบโตได้อีกไหม ส่วนตัวผมเองตอนนี้ก็ต้องดิ้นรน ฉีกมาทําเป็นรายการแนว Late Night Show จะมีความตลกในรูปแบบของการ สร้างบทสนทนา โดยมีคนดังเข้ามาร่วมพูดคุย จนเกิดเป็นรายการ Katanyu Tonight (2023) คอนเซ็ปต์ก็จะเป็นการสัมภาษณ์คนดังเพื่อพูดคุยถึงเรื่องราว ชีวิตในประเด็นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์หรือความรัก ลงในช่องยูทูบ ควบคู่กับ การทําสแตนด์อัพคอมเมดี้และธุรกิจเอเจนซี่ไปด้วยครับ”

หาความสุขให้เจอ

“เป้าหมายของผมตอนนี้โฟกัสอยู่ที่การพัฒนาโชว์สแตนด์อัพคอมเมดี้ให้เป็น ที่รู้จักยิ่งขึ้น บวกกับการทํารายการ Katanyu Tonight เพื่อขยายฐานคนดู ความจริงรู้สึกว่าสิ่งนี้ใช้ศักยภาพของตัวเองได้ถูกที่ถูกทางที่สุด ทั้งด้านการใช้ สกิลการสัมภาษณ์ การชอบเล่าเรื่อง การสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้คน สร้างเป็น คอมมูนิตี้ขึ้นมา ผมทําแล้วรู้สึกสบายใจและมีความสุขที่สุดแล้วครับ”

“ในวัย 39 ปีก็เรียกได้ว่าผ่านอะไรหลาย ๆ อย่างมาเยอะ ทั้งตอนที่สุขที่สุด ทุกข์ที่สุด และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากวัยนี้มีมากมาย แต่ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่นึกถึงสิ่งแรกคือ ไม่ได้มีใครสนใจเราขนาดนั้น อยากทําอะไรก็ทําไป ชีวิตเป็นของคุณ พยายามหา ความสุขของตัวเองให้เจอก็เพียงพอแล้ว อย่างการที่ผมเจอคอมเมนต์แย่ๆ คนพวกนั้น อาจนึกถึงเราแค่เพียงเสี้ยววินาทีด้วยซ้ํา แล้วเขาก็ไปโฟกัสอย่างอื่นต่อ ฉะนั้นอย่าไป สนใจค่าพูดของใครมากนัก”

“ส่วนใครที่กําลังหาเส้นทางที่ใช่ของตัวเอง อยากบอกว่าสู้ๆ นะครับ บางคน ถ้าไม่ได้มีภาระอะไรก็ขอให้ลุยให้เต็มที่ เอาให้สุดทาง แต่ถ้าใครที่มีเงื่อนไขในชีวิต อย่างเช่นการมีครอบครัวต้องดูแลหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ขอให้บาลานซ์ให้ได้ระหว่าง สิ่งที่จะออกไปลุยกับสิ่งที่ต้องดูแล ความจริงชีวิตคนเราไม่ต้องลุยขนาดนั้นก็ได้ แค่สามารถดูแลใครสักคนหนึ่ง ดูแลตัวเอง หรือดูแลครอบครัวให้มีความสุข แค่นี้ก็โอเคแล้ว”

“อย่าเพิ่งท้อนะครับ ใช้ชีวิตในปัจจุบันให้เต็มที่ ผมเชื่อว่าชีวิตของทุกคนมี จังหวะและเวลาที่เหมาะสมรออยู่”

เรื่อง Prince

ภาพ วรสันต์ ทวีวรรธนะ

Praew Talk TV

ครั้งแรกของ “แอน ทองประสม” กับบทบาทพิธีกร Praew Talk TV

Alternative Textaccount_circle
Praew Talk TV
Praew Talk TV

เตรียมพบกับอีกหนึ่งบทบาทของ “แอน ทองประสม” กับการเป็นพิธีกรเดี่ยวครั้งแรกในรายการ Praew Talk TV เปิดตัวอีพีแรก วันที่ 15 พ.ค. นี้

Praew Talk TV

ตลอดระยะเวลา 33 ปีที่ “แอน ทองประสม” โลดแล่นในวงการบันเทิง ทั้งในฐานะนักแสดง ผู้จัดละคร ผู้จัดรายการ นี่เป็นครั้งแรกที่นักแสดงมากความสามารถคนนี้จะรับหน้าที่พิธีกร ในรายการ Praew Talk TV รายการทอล์คจากนิตยสารแพรว ที่จะชวนแขกรับเชิญตัวจริงจากทุกวงการ มาพูดคุยเจาะลึกประสบการณ์และความคิดผ่านจุดเปลี่ยนของชีวิต ผ่านบทสนทนาในแบบ Empowering Conversation ที่จะทำให้คุณเติบโตไปด้วยกัน

ครั้งแรกของ “แอน ทองประสม” กับบทบาทพิธีกร Praew Talk TV บทสนทนาชีวิตในแบบ Empowering Conversation

แอน เปิดใจว่า “Praew Talk TV เป็นรายการแรกที่แอนเป็นพิธีกรเต็มตัว จากช่วงวัยรุ่นที่เคยเป็นพิธีกรรายการ ‘แอน นัท ไม่จำกัด’ ซึ่งเป็นรายการบันเทิง ทำได้ราว 2 ปีก็จบ เพราะมีงานแสดงที่ต้องโฟกัส และตอนนั้นยังเด็กจึงยังไม่กระหายในการรู้เรื่องของคนอื่นมากนัก

แอน ทองประสม Praew Talk TV

“แต่ตอนนี้แอนรู้สึกว่าการเป็นพิธีกร ได้พูดคุยกับแขกรับเชิญในรายการ ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวของเขา กลายเป็นความสนุกในอีกมิติหนึ่ง ดังนั้นเหตุผลแรกในการรับงานนี้ เพราะแอนชอบฟังและเรียนรู้เรื่องของคนอื่น เปิดโอกาสตัวเองให้ได้รู้จักโลก รู้จักความคิดของผู้คน และได้คอนเน็คชั่นใหม่ ซึ่งการได้ก้าวมาอยู่ในโลกพิธีกร เป็นอีกหนึ่งความท้าทายและความสนุก ที่ตื่นเต้นมากๆ ค่ะ”

แอน ทองประสม Praew Talk TV

ปักหมุดรอชม Praew Talk TV อีพีแรกพร้อมกัน วันที่ 15 พ.ค. 68 และติดตามรายการ Praew Talk TV ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 23.05 – 23.35 น. ทาง อมรินทร์ทีวี เอชดี 34 และรับชมแบบ Full EP ทาง Youtube : Praew Magazine


Margaux Bag

The Row “Margaux Bag” กระเป๋าใบเรียบ แต่พริบตาเดียว กลายเป็นสัญลักษณ์ของคนมีรสนิยม

account_circle
Margaux Bag
Margaux Bag

ถ้าจะมีไอเท็มไหนที่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส และโซเชียลมีเดียพร้อมใจกันยกย่องในปีนี้ ก็คงหนีไม่พ้น Margaux Bag จากแบรนด์ The Row ผลงานของสองพี่น้อง Mary-Kate และ Ashley Olsen ที่พลิกเกมแฟชั่นจากโลโก้ใหญ่โต สู่ความหรูหราในแบบเงียบงามแต่ทรงพลัง (quiet luxury) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

The Row “Margaux Bag” กระเป๋าใบเรียบ แต่พริบตาเดียว กลายเป็นสัญลักษณ์ของคนมีรสนิยม

(Photo by Gotham/GC Images)

 

จากแรงบันดาลใจ…สู่ปรากฏการณ์

ย้อนกลับไปในยุค 2010s สองพี่น้อง Olsen เคยเป็นแฟนพันธุ์แท้ของกระเป๋า Birkin จาก Hermès ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของความหรูหราในยุคนั้น แต่แทนที่จะเดินตามรอย พวกเธอกลับเลือกสร้างทางของตัวเอง และนั่นคือจุดกำเนิดของ Margaux ใบนี้ กระเป๋าที่ตั้งใจออกแบบให้ เหนือกาลเวลา และไร้เสียง แต่ดังก้องในสายตาคนแฟชั่นทั่วโลก

จากคนดังสู่ แฮชแท็กบนโซเชียล

ชื่อเสียงของ Margaux ไม่ได้หยุดอยู่ในวงแคบ เพราะตั้งแต่ Zoe Kravitz, Jennifer Lawrence ไปจนถึง Kendall Jenner ต่างก็เลือกใช้กระเป๋าใบนี้เป็นคู่ใจ ไม่เว้นแม้แต่บน TikTok ที่แฮชแท็ก #Margauxbag กวาดยอดวิวถล่มทลาย จนถูกขนานนามว่า “Birkin ยุคใหม่” อย่างเต็มภาคภูมิ

ยุคทองของความหรูหราแบบไม่ต้องประกาศตัว

สิ่งที่ทำให้ Margaux โดดเด่นจนยืนหนึ่งในกระแส quiet luxury คือการปฏิเสธความฟุ่มเฟือยแบบโจ่งแจ้ง แล้วหันมานิยามความงามด้วยเส้นสายที่สะอาดตา วัสดุชั้นเยี่ยม และฝีมือช่างระดับปราณีตไร้ที่ติ เป็นแฟชั่นสำหรับคนที่ “รู้” โดยไม่ต้องบอกใคร

Soft Margaux 12 Bag in Leather

ศิลปะแห่งการออกแบบที่ไม่ต้องตะโกน

Margaux โดดเด่นด้วยโครงสร้างทรง trapeze ที่เฉียบคมแต่ไม่แข็งกระด้าง ผสมผสานกับหนังอิตาเลียนชั้นสูงที่นุ่มละมุนจนแทบจะละลายเมื่อสัมผัส ขณะที่ด้านข้างของกระเป๋าถูกออกแบบให้ยืดหยุ่น ปรับโฉมได้ตามสไตล์ผู้ถือ จะจับคู่กับชุดเดย์ลุค หรือจะพกไปร่วมดินเนอร์หรูยามค่ำ ก็เข้ากันได้อย่างไร้ที่ติ

Soft Margaux 17 Bag in Suede

 

Margaux vs. Birkin: ศึกแห่งไอคอน

แม้จะถูกเปรียบเทียบกับ Birkin อยู่เสมอ แต่ Margaux กลับเดินเกมคนละเส้นทาง ถ้า Birkin คือสัญลักษณ์ของความฟุ่มเฟือยอย่างโจ่งแจ้ง Margaux ก็คือการครองความหรูแบบสงบและสุขุม และด้วยราคาที่เริ่มต้นราว $3,490 หรือประมาณ 113,000 บาท เมื่อเทียบกับราคาสูงลิ่วของ Birkin ก็ยิ่งทำให้ Margaux เป็นตัวเลือกที่ทั้งเข้าถึงได้และทรงคุณค่าในโลกของลักซ์ชัวรี่แฟชั่น

จากไอเท็มฮิต สู่มรดกทางวัฒนธรรม

วันนี้ Margaux ไม่ได้เป็นแค่กระเป๋ายอดฮิต แต่กลายเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในโลกแฟชั่น ที่หันหลังให้กับ fast fashion แล้วกลับมายกย่องความงามที่ยืนยาว ผ่านดีไซน์ที่อยู่เหนือเทรนด์และงานฝีมือที่ไร้กาลเวลา

และนี่คือสิ่งที่ Margaux กำลังจะกลายเป็นไอคอนแฟชั่นแห่งยุค ที่ไม่เพียงแค่ครองใจคนปัจจุบัน แต่ยังส่งต่อแรงบันดาลใจให้อนาคตของวงการแฟชั่นเดินหน้าอย่างสง่างาม


ที่มา : iconicsluxury.com

5 ฉลองพระองค์ผ้าไทยของ “สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา” ขณะเสด็จฯ เยือนภูฏาน

Alternative Textaccount_circle

ในช่วงวันที่ 25 – 28 เมษายนที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ (State Visit) ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดี แห่งภูฏาน โดยเป็นเสด็จเยือนเพื่อสานต่อไมตรีอันแน่นแฟ้นของสองราชวงศ์

หนึ่งสิ่งที่เป็นที่ประทับใจต่อเหล่าพสกนิกรและเป็นที่พูดถึงคือ พระสไตล์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ที่ทรงเลือกใช้ผ้าไทยสำหรับตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์ เพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่ผ้าไทยสู่สายตาชาวโลก เหมือนกับการเสด็จเยือนภูฏานครั้งนี้ที่พระองค์ทรงเลือกใช้ผ้าไทยจากมูลนิธส่งเสริมศิลปาชีพฯ ซึ่งจะมีผ้าชนิดไหน และมีเอกลักษณ์อย่างไร แพรวได้รวบรวมมาให้ชม

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินถึงท่าอากาศยานนานาชาติพาโร ราชอาณาจักรภูฏาน

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ และกระเป๋าทรงถือด้วยผ้าไหมแพรวา จากสมาชิกศิลปาชีพผ้าไหมแพรวา บ้านโพน จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยการทอแบบ “จก” และ “ขิด” ผสานเส้นไหมหลากสีอย่างประณีตงดงาม ก่อเกิดลวดลายที่วิจิตร และพื้นผ้าที่เนียนแนบเป็นเนื้อเดียวกัน จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชินีแห่งผ้าไหม” อันเป็นสมบัติล้ำค่าของแผ่นดินไทย การทอผ้าไหมแพรวานี้ได้รับการส่งเสริมภายใต้ โครงการศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อสืบสานและอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน

และในครั้งที่ สองพระองค์เสด็จเยือน คูเซลโพดรัง เพื่อประกอบพิธีสวดมนต์พิเศษ และถวายสักการะพระพุทธรูปโดร์เดนมา (Buddha Dordenma) สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ทรงฉลองพระองค์ และกระเป๋าทรงถือ ด้วยผ้าปักจากชาวไทยภูเขาเผ่ามูเซอ (ลาหู่) ซึ่งมีความโดดเด่นด้วยลวดลายปักที่ละเอียดงดงาม ลายผ้าเกิดจากการบรรจงสร้างสรรค์ด้วยฝีมืออันประณีตของหญิงสาวชนเผ่า นำเสนอความอ่อนช้อยแห่งวัฒนธรรมผ่านเส้นด้ายสีธรรมชาติ ปักทับซ้อนเป็นลวดลายเรขาคณิตที่เปี่ยมความหมาย โดยผ้าผืนผ้าปักนี้ได้รับการส่งเสริมภายใต้โครงการศิลปาชีพ ให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพประเภทผ้าชาวไทยภูเขา

ต่อมาในค่ำวันที่ 26 เมษายน 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา เสด็จฯไปยังพระราชวังลิงคานา เพื่อร่วมงานถวายพระกระยาหารค่ำ โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ชุดผ้าไหมจกลายราชบุรี ฝีมือการทออันประณีตของสมาชิกศูนย์ศิลปาชีพจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมกระเป๋าทรงถือจากผ้าจกลวดลายงดงาม เข้าชุดกับฉลองพระองค์ กระเป๋าผ้าจกใบนี้ทอด้วยเทคนิคดั้งเดิมอย่างละเอียดลออ

และในครั้งที่สองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาทรงฉลองพระองค์และกระเป๋าทรงถือจากผ้าจก ฝีมือสมาชิกศิลปาชีพตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ้าจกดังกล่าวเป็นงานหัตถศิลป์ล้ำค่า รังสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิคการทอแบบดั้งเดิม ผสมผสานลวดลายอันประณีต ซึ่งสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นมาแต่โบราณ เส้นไหมแต่ละเส้นถูกสอดทออย่างประณีตละเอียดอ่อน จนเกิดเป็นลวดลายที่สะท้อนเอกลักษณ์แห่งความงามแบบไทยอย่างสง่างาม และยังแฝงไว้ด้วยความหมายแห่งความเป็นสิริมงคล

และสุดท้ายฉลองพระองค์สีน้ำเงินประดับเครปบริเวณพระอังสาที่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาทรงเลือกใส่ ขณะเสด็จพระราชดำเนินโดยทรงขับเครื่องนั่งด้วยพระองค์ พร้อมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากท่าอากาศยานนานาชาติ พาโร กลับราชอาณาจักรไทย


ข้อมูลและภาพ: มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ

Sabrina Carpenter ปรากฏตัวในแคมเปญใหม่ “La Vacanza 2025” จาก Versace

Alternative Textaccount_circle

ครั้งที่สองบนแคมเปญ Versace! Sabrina Carpenter ปรากฏตัวในภาพถ่ายจาก “La Vacanza 2025” นำเสนอไอเท็มแสนสดใสอย่างกระเป๋ารุ่น Tag bag

Versace เปิดตัวแคมเปญใหม่ “La Vacanza 2025” ที่มีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่าง Sabrina Carpenter ผู้คว้ารางวัล GRAMMY Award ได้ถึงสองครั้ง มาถ่ายทอดจิตวิญญาณที่แท้จริงของแบรนด์ผ่านมุมมองร่วมสมัย โดยเธอได้ปรากฏตัวในชุดภาพถ่ายโดย Carlijn Jacobs ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของคอลเล็กชั่นที่เปลี่ยนผ่านจากบรรยากาศริมสระน้ำสู่โอกาสพิเศษต่าง ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งฮอลลีวูด

ชุดภาพถ่ายนี้เน้นย้ำถึงกระเป๋ารุ่น Tag bag อันเป็นซิกเนเจอร์ของ Versace ซึ่งถ่ายทอดออกมาในรูปแบบแอนิเมชันใหม่ พร้อมฉากหลังหลังอันหรูหราที่สื่อถึงกลิ่นอายของ Versace Home ด้วยองค์ประกอบที่หลากหลาย ภาพถ่ายในแคมเปญนี้เผยให้เห็นถึงแนวคิดแห่งการใช้ชีวิตในแบบฉบับของ Versace ซึ่งได้สร้างสรรค์ไว้อย่างครบทุกมิติ ทั้งในเรื่องแฟชั่น การเดินทาง และไลฟ์สไตล์ภายในบ้าน โดยการกลับมาร่วมงานกันในครั้งนี้ ถือเป็นแคมเปญ Versace ครั้งที่สองของ Sabrina Carpenter อีกด้วย

ทั้งนี้ Sabrina Carpenter เผยความรู้สึกว่า “ฉันรู้สึกมีพลังเสมอเมื่อสวมใส่ Versace นี่คือสิ่งที่ Versace มีความหมายสำหรับฉัน เสื้อผ้าที่สวยงามและทรงพลังเปิดโอกาสให้ผู้คนได้แสดงตัวตนในแบบของตัวเอง คอลเล็กชั่น La Vacanza นี้คือทั้งหมดนั้น และยังให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระและน่าตื่นเต้นเมื่อได้สวมใส่”


ข้อมูลและภาพ: Versace

คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก ร่วมกับ LA MER เปิดตัว LA MER SHOWROOM แห่งแรกในเอเชีย

คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก ร่วมกับ LA MER เปิดตัว LA MER SHOWROOM แห่งแรกในเอเชีย

Alternative Textaccount_circle
คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก ร่วมกับ LA MER เปิดตัว LA MER SHOWROOM แห่งแรกในเอเชีย
คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก ร่วมกับ LA MER เปิดตัว LA MER SHOWROOM แห่งแรกในเอเชีย

คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ จับมือแบรนด์ความงามระดับโลก LA MER เปิดตัว LA MER SHOWROOM แห่งแรกในเอเชีย พร้อมเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ GENAISSANCE DE LA MER ที่รวมที่สุดแห่งสารสกัดเข้มข้นบริสุทธิ์ เพื่อการบำรุงผิวอย่างล้ำลึกสัมผัสประสบการณ์การปรนนิบัติผิวระดับลักซ์ชัวรี พร้อมผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน มีจำหน่ายแบบเอกซ์คลูซีฟ เฉพาะที่คิง เพาเวอร์เท่านั้น คอลเล็คชันนี้ประกอบด้วย GENAISSANCE INFUSED LOTION โลชั่นบำรุงที่ช่วยฟื้นฟูความชุ่มชื้นและแลดูลดเลือนริ้วรอย, GENAISSANCE NEW SERUM ESSENCE เซรั่มเข้มข้นผสาน CRYSTAL MIRACLE BROTH™ และสาหร่าย ICELANDIC ALGAE ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์กระชับขึ้น, GENAISSANCE NIGHT BALM บาล์มเนื้อแน่นพร้อมเทคโนโลยี DOUBLE MELT BALM™ ฟื้นฟูผิวขณะหลับ และ GENAISSANCE EYE & EXPRESSION CRÈME ครีมบำรุงรอบดวงตา

นอกจากนี้ ผู้ที่มาร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซิฟ ยังได้รับการปรนนิบัติผิวจากผู้เชี่ยวชาญงานผิว ที่จะมาแนะนำเคล็ดลับการดูแลผิวหน้าและมือ เพื่อผิวสวยสุขภาพดี พร้อมจิบเครื่องดื่มสูตรพิเศษที่รังสรรค์โดย LA MER เพื่อเติมเต็มประสบการณ์แห่งความงามอย่างแท้จริง

พบกับ LA MER SHOWROOM ได้ที่ คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568 โดยผลิตภัณฑ์กลุ่ม GENAISSANCE DE LA MER วางจำหน่ายเฉพาะที่ คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก และ คิง เพาเวอร์ สนามบินสุวรรณภูมิ เท่านั้น


 

ไอคอนสยามเสริมทัพแบรนด์ระดับโลก เปิดตัว Alo แฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกในย่านฝั่งธนบุรีใหม่ในไทย

account_circle

ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตอกย้ำความเป็น Global Experiential Destination เดินหน้านำเสนอประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาส ด้วยการเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ Alo (อะโล) แบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมจากสหรัฐอเมริกา ณ ชั้น 1 ไอคอนสยาม บนพื้นที่กว่า 555 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยคอลเลกชันแอคทีฟแวร์และไลฟ์สไตล์ที่ผสานแฟชั่น ฟังก์ชัน และสุขภาพไว้ในที่เดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ที่ออกแบบมาให้สามารถสวมใส่ได้อย่างลงตัว ทั้งในสตูดิโอออกกำลังกายและในชีวิตประจำวัน

การเปิดตัว Alo ณ ไอคอนสยาม ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของแบรนด์ในการขยายสาขาในประเทศไทย โดยสาขาใหม่นี้มุ่งเน้นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับไลฟ์สไตล์ผู้คน ผ่านการออกแบบพื้นที่ที่สะท้อนจิตวิญญาณของ Alo ในแนวคิด Mindful Luxury ด้วยการตกแต่งสไตล์มินิมัลร่วมสมัย ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้โอ๊ค ต้นไม้สีเขียว และองค์ประกอบธรรมชาติเพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบ อบอุ่น และเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันอย่างมีความหมาย

คุณสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “Alo  ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ระดับโลกที่ตอบโจทย์ทั้งแฟชั่น สุขภาพ และไลฟ์สไตล์ การมาถึงของแบรนด์นี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของไอคอนสยามในการเป็นจุดหมายปลายทางที่รวมทุกประสบการณ์ระดับโลกไว้ในที่เดียว เพื่อผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก การที่ Alo เลือกเปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ที่ไอคอนสยาม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพไอคอนสยามแลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยาในฐานะจุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์ และตอกย้ำบทบาทของไอคอนสยามในฐานะพื้นที่ที่รวมแบรนด์คุณภาพและประสบการณ์ระดับสากลไว้ในที่เดียว”

สายโยคะ แฟชั่น และคนรักสุขภาพ เตรียมพบกับ Alo แฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ ได้แล้ววันนี้ที่ชั้น 1 ไอคอนสยาม สัมผัสไอเทมสุดพรีเมียมจากแบรนด์ไลฟ์สไตล์ได้แล้ววันนี้ ติดตามข่าวสารและอัปเดตเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: ICONSIAM และเยี่ยมชมคอลเลกชันและดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.aloyoga.com


เจ้าหญิงชาร์ลอตต์

เผยชีวิตในวัง! อดีตพี่เลี้ยงเล่าความต่างของ เจ้าชายจอร์จ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ และเจ้าชายหลุยส์

account_circle
เจ้าหญิงชาร์ลอตต์
เจ้าหญิงชาร์ลอตต์

ถ้าใครเป็นแฟนราชวงศ์อังกฤษ คงพอจะสังเกตได้ว่า เจ้าชายจอร์จ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ และเจ้าชายหลุยส์ ต่างก็มีคาแร็กเตอร์เป็นของตัวเองชัดเจนเวลาออกงาน แต่ล่าสุด แคโรไลน์ เรดเกรฟ อดีตพี่เลี้ยงหลวงคนสนิทที่เคยดูแลทั้งสามพระองค์ ได้ออกมาเผยโมเมนต์น่ารักๆ ในชีวิตประจำวันของเหล่าเจ้าตัวน้อย ว่าที่จริงแล้วพวกเขาเป็นยังไงเวลาอยู่บ้าน

เผยชีวิตในวัง! อดีตพี่เลี้ยงเล่าความต่างของเจ้าชายจอร์จ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ และเจ้าชายหลุยส์

(Photo by Isabel Infantes-WPA Pool/Getty Images)

แคโรไลน์ซึ่งทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับลูกๆ ของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคทนานถึง 5 ปี เล่าว่า “ช่วงเย็นเป็นเวลาที่พวกเขาผ่อนคลายที่สุด และนั่นแหละที่ทำให้ได้เห็นว่าพวกเขาเป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างมีพื้นฐานดี สุภาพ ขี้เล่น และเต็มไปด้วยเสน่ห์”

กิจวัตรประจำวันตอนเย็นของเด็กๆ คือ “เริ่มจากอาบน้ำอุ่น เล่นเงียบๆ อ่านนิทาน แล้วก็นอน” แคโรไลน์แอบกระซิบว่า แม้จะเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิง แต่สกินแคร์รูทีนก็เรียบง่ายสุดๆ “แค่น้ำอุ่น ผ้านุ่มๆ และสบู่จากพืชธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย”

ที่น่าสนใจคือ ทั้งสามพระองค์มีสไตล์การเล่นที่ต่างกันชัด เจ้าชายจอร์จเป็นสายช่าง ชอบต่อบล็อกและของเล่นตัวต่อ ส่วนเจ้าหญิงชาร์ลอตต์เป็นหนอนหนังสือตัวจริง มักจะหยิบหนังสือมาอ่านก่อนนอน ส่วนเจ้าชายหลุยส์น่ารักสุดๆ เพราะโปรดการเล่นกับตุ๊กตาผ้า

“ไม่มีเวลาให้หน้าจอในช่วงเย็นเลย” อดีตพี่เลี้ยงย้ำ “ทุกอย่างเน้นให้ช้าลง สงบลง” และก่อนจะปิดไฟนอน เด็กๆ ก็จะได้จิบนมอุ่นๆ กับของว่างเบาๆ อย่างกล้วยหรือข้าวพอง


 

โทนี่ รากแก่น

เบื้องหลังชีวิต โทนี่ รากแก่น การละทิ้งแสงสี สู่ชีวิตเรียบง่าย @บ้านรากแก้ว

Alternative Textaccount_circle
โทนี่ รากแก่น
โทนี่ รากแก่น

จากนักแสดงหนุ่มฮอต สู่ชีวิต Slow Life ที่ “บ้านรากแก้ว” ของ โทนี่ รากแก่น การละทิ้งแสงสี สู่การใช้ชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมแนวคิดแบบยั่งยืนที่น่าสนใจ

ภาพจําที่ทุกคนเคยรู้จัก โทนี่ รากแก่น คือนักแสดงเจ้าบทบาท หรือ แฟชั่นนิสต้าสุดเท่ แต่วันนี้คงต้องทบทวนกันใหม่ เมื่อเขาลดบทบาทในงานบันเทิง แล้วเลือกเส้นทางสู่ธรรมชาติที่บ้านสวนสไตล์คลาสสิก เรือนหอของเขากับ “แก้ว จริญญา ศิริมงคลสกุล” ภรรยาผู้มีส่วนสําคัญในการเปลี่ยนแปลง วันนี้ แพรว มาเยี่ยม “บ้านรากแก้ว” พูดคุยกับเขาถึงการเลือกลดละจาก วิถีคนเมืองสู่ชีวิตที่รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว พร้อมวิธีการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืน

โทนี่ รากแก่น

มนุษย์ Introvert

“ช่วงชีวิตที่ผมคิดว่าวุ่นวายที่สุดคือตอนอายุประมาณ 27 ปี ที่ได้ลองทํา อะไรหลายอย่าง เหมือนเป็นการค้นหาตัวเอง บวกกับเพิ่งเรียนปริญญาตรีด้าน การโฆษณา (RMIT University) ที่ประเทศออสเตรเลีย พอกลับมาได้ฝึกงาน เป็น Art Director ที่บริษัทลีโอ เบอร์เนทท์ (ประเทศไทย) จํากัด ระหว่างนั้น มีแมวมองชวนให้ประกวด The Cleo Bachelor 2008 เป็นเวทีที่ผลักดัน คนรุ่นใหม่ให้มีโอกาสในวงการบันเทิง ครั้งนั้นผมได้รางวัล Best Hair ทําให้ มีคนรู้จักมากขึ้น มีงานถ่ายแบบเข้ามาเรื่อย ๆ วันหนึ่งพี่ลูกเกด (เมทินี กิ่งโพยม) ชวนไปทํางานที่ร้าน The Lounge Hair Salon ที่สุขุมวิท เพราะรู้ว่าผมเคยเป็น ช่างทําผมอยู่ที่ต่างประเทศ ตอนนั้นฝึกงานจบพอดี”

“ทํางานสักพักมีโอกาสไปแคสต์ภาพยนตร์เรื่อง Big Boy (2010) ของ ค่าย M39 ถือเป็นจุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงอย่างจริงจัง ซึ่งพอได้แสดงก็รู้สึก ชอบนะ คิดว่าตัวเองทําได้ดี จึงเลิกเป็นช่างทําผม ตั้งเป้าไว้เลยว่าจะดําเนินชีวิต ไปในเส้นทางของการเป็นนักแสดง”

“งานนี้ให้อะไรกับผมหลายอย่าง การรับบทบาทเป็นตัวละครต่าง ๆ ทําให้เข้าใจความหลากหลายของอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดของมนุษย์ ได้เรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ไปเรื่อย ๆ อย่างครั้งหนึ่งผมรับบทเป็นนักสเกตบอร์ด ที่มีบุคลิกเอกซ์โทรเวิร์ต กล้าแสดงออกมาก ๆ ตรงข้ามตัวตนที่อินโทรเวิร์ต”

“ต้องเล่าก่อนว่าการที่ผมมีโลกส่วนตัวสูงไม่ได้กระทบต่ออาชีพนักแสดงนะเพราะเมื่อถึงหน้างานผมก็พร้อมทํางานเต็มที่ อย่างเวลาเล่นละครผมใช้วิธีเข้าไป เป็นตัวละครนั้นจริงๆ ตอนเล่นซีรีส์ SOS skate ซึม ซ่าส์ (2017) ที่ต้องรับบทเป็น “ไซม่อน” ตัวละครที่เอกซ์โทรเวิร์ตแบบสุดโต่ง ผมทําการบ้าน ปรับเปลี่ยนวิธีคิด หลายอย่าง เช่น ปกติชอบอยู่บ้าน แต่ตอนนั้นใครชวนไปไหนก็ไป ปาร์ตี้เกือบทุกวัน เพื่อให้ตัวเองได้เข้าไปอยู่ในโลกของไซม่อนให้มากที่สุด กว่าจะแกะคาแร็คเตอร์นี้ ให้หลุดออกไปต้องอาศัยการปฏิบัติธรรม เพื่อให้มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น” (ยิ้ม)

โทนี่ รากแก่น

อยากอยู่อย่างนี้ไปนานๆ

อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของโทนี่มาจากการได้พบคู่ชีวิตที่ทําให้เขาอยากใช้ชีวิต ที่ชอบกับคนที่รักไปนานแสนนาน “ผมมีปมเรื่องความอบอุ่นในครอบครัว แยกทางกัน จึงทําให้ที่ผ่านมาพยายามมองหาความมั่นคงในความรักมาตลอด จนได้พ่อแม่มาเจอแก้วที่สอนให้ผมเข้าใจว่าการจะสร้างความมั่นคงตัวเราเองก็ต้องมั่นคงด้วยการใช้สติ รู้จักยับยั้งชั่งใจบวกกับคุณพ่อแก้วเป็นสุภาพบุรุษ ยกให้ครอบครัวเป็นที่หนึ่ง ไม่เคยว่อกแว่ก ทําให้แก้วมีภาวะของความรักที่เข้มแข็งมาก ถ้าเขาเจอคู่รักที่ไม่โอเคก็พร้อมที่จะเดินออกมาโดยไม่ลังเล ผมก็ได้เรียนรู้ จากตรงนั้น และรู้สึกว่าผมก็ควรจะดี เพื่อสร้าง ความมั่นคงทางความรู้สึกให้กับแก้ว และแก้วเองก็จะพร้อมสร้างความมั่นคงให้ผมด้วยเช่นกัน”

“เราทั้งคู่ค่อย ๆ พัฒนามาด้วยกัน จนมาถึง จุดที่ไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องความสัมพันธ์อีกแล้ว แต่พากันไปเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ และตอนนี้เราทั้งคู่ก็ สนุกกับชีวิตมาก ๆ แก้วชอบชวนผมไปเดินป่าเขา ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้เติมประสบการณ์ร่วมกันทําให้เกิดความสัมพันธ์ที่คิดว่าคงหาไม่ได้อีกแล้วผมอยากรักษาความสัมพันธ์นี้ อยากมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตแบบนี้กับเขาไปอีกนาน ๆ”

สู่วิถีธรรมชาติ

“คุณพ่อผมเสียด้วยมะเร็งถุงน้ําดีเมื่ออายุ 70 กว่า ผมอยู่ในทุกกระบวนการความเจ็บปวดนั้น เห็นทุกอย่างจนรู้สึกไปกับเขาด้วย ผมพยายามศึกษาหาสาเหตุของการเป็นมะเร็ง รวมถึงวิธีการรักษาในแบบธรรมชาติมาปรับใช้กับคุณพ่อ แต่ไม่สําเร็จ”

“ผมพบว่าเพราะเราเริ่มทําที่ปลายเหตุ จึงคุยกับแก้วว่าในเมื่อมีชุดข้อมูลแล้ว หันมาดูแลสุขภาพกันดีกว่า เพราะผมกลัว ไม่อยากเจ็บเหมือนคุณพ่อ เรื่องโรคภัย เป็นสิ่งทีใกล้ตัวมาก เมื่อศึกษาลึกลงไปจะพบว่าอาหารส่วนใหญ่มาจากระบบ อุตสาหกรรม ซึ่งกรรมวิธีการผลิตอาจมีสารเจือปนที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็น โรค โดยเฉพาะ NCDs หรือกลุ่มโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดําเนินชีวิต ที่ค่อยๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน เมื่อคีย์เวิร์ดสําคัญ อยู่ที่การกิน ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยก็ควรต้องปรุงกินเอง”

“จะเห็นว่าเวลาผมสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษจะค่อนข้างเนิร์ด พยายามศึกษา ไปให้ถึงแก่น เพื่อให้รู้จริงและนํามาปรับใช้ ดูจากยูทูบบ้าง รวมถึงเดินทางไปเรียนรู้ ด้วยตัวเองกับอาจารย์ต่าง ๆ อย่างเช่น อาจารย์ปัญญา ปุลิเวคินทร์ ผู้อํานวยการ ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ จังหวัดนครนายก”

“ผมได้ความรู้เรื่อง บันได 9 ขั้น” มาจากอาจารย์ และยึดแนวคิดนี้ในการดําเนินชีวิต ขั้นแรกคือ ให้มีกิน” ปลูกสิ่งที่สามารถกินได้ ขั้นที่สอง ให้มีใช้ โดย ปลูกสิ่งที่นํามาใช้ได้ในอนาคต เช่น พรรณไม้ต่าง ๆ อย่างไม้กระถินหรือไม้ไผ่ ขั้นที่สาม ให้มีที่อยู่อาศัย” ด้วยการเลือกทําเลที่ตั้งอย่างเหมาะสม ขั้นที่สี่ ให้มีความร่มเย็น ซึ่งเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว ความร่มเย็นจะตามมา ขั้นที่ห้า ทําบุญ” เมื่อมีผลผลิต เยอะก็นําไปทําบุญบ้าง ขั้นที่หก ทําทาน”

“แจกจ่ายเพื่อนบ้านหรือคนทั่วไป ขั้นที่เจ็ด “แปรรูป” นําผลผลิตที่ได้มาแปรรูปเป็นอาหาร อย่างผมปลูกต้นกล้วยไว้เยอะ ก็ นําไปทําบานาน่าไซเดอร์วินีการ์หรือน้ําส้มสายชูหมักกล้วย โดยนําน้ําตาลและ กล้วยลงไปหมักในโหล ทิ้งไว้ประมาณ 15 วันก็สามารถนําน้ําที่ได้มาดื่มหรือ ประกอบอาหาร เพราะจากการศึกษาเรื่องกิน ผมพบว่าสิ่งสําคัญที่เราควรกินคือ โพรไบโอติกส์ที่เกิดจากการหมัก เช่น กล้วย มะละกอ หมักเป็นวินการ์ คอมบุฉะ (ชาหมัก) หรือทํากิมจิ ส่วนขั้นที่แปด “การขาย” คือนําผลผลิตไป จําหน่ายให้เกิดรายได้ และเก้า สร้างเครือข่าย” หากลุ่มที่ปลูกพืชคล้าย ๆ เรามาดําเนินกิจกรรมร่วมกัน อย่างการสร้างตลาดหรือแบรนด์สินค้าเฉพาะกลุ่ม”

“ตอนนี้ผมอยู่ในขั้นที่เจ็ด คือการแปรรูป ส่วนจะไปถึงขั้นที่แปดหรือเก้าไหม ยังนึกภาพนั้นไม่ออก ด้วยความที่ยังมีรายได้จากการทํางานในวงการบันเทิงอยู่บ้าง อย่างงานพรีเซ็นเตอร์ ผมแพลนไว้ว่าจะแบ่งเวลาจากพาร์ตในวงการบันเทิงมาทํางานเกษตรเพื่อการเรียนรู้ก่อน ถ้าวันไหนพร้อมมีความรู้มากพอ ค่อยก้าวสู่ขั้นถัดไป เพราะผมอยากให้ผลผลิตที่ออกไปมีคุณภาพมากที่สุด”

Slow Life

ไลฟ์สไตล์ตอนอยู่ในวงการบันเทิงกับชีวิตตอนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นคนละคนเลย โทนี่ รากแก่น ในตอนนี้ ทั้งความคิดการดําเนินชีวิต และเป้าหมาย “ยอมรับว่าผมเปลี่ยนไปเยอะครับ อย่างตอนอยู่ในวงการบันเทิงความที่ธรรมชาติของผมไม่ค่อยชอบเป็นที่สนใจทําให้ต้องผลักดันตัวเองตลอดเวลา เพื่อให้มี เอเนอร์จี้พอสําหรับการทํางานและพบเจอผู้คนพอทําจนเคยชินจึงกลายเป็นนิสัยที่สองของผม “วันที่คุยกับแก้วว่าผมอยากโฟกัสการเพาะเมล็ด หมักดินให้สําเร็จ ถ้าให้ผมทําทั้งงานนักแสดง และงานเกษตรไปด้วยพร้อมกันอาจโดนตําหนิ เพราะการปรากฏตัวแบบตัวค่า หน้าดํา เล็บก็ดํา ผิดกฎข้อแรกในการทํางานวงการบันเทิงของผม คือความซื่อสัตย์ กับงาน เรียกว่าตอนนั้นผมมีแพสชั่นในการสร้างระบบนิเวศให้สําเร็จมากกว่า งานแสดง จึงขอเบรกไว้ก่อน แล้วพอได้ลองปลูกผักปลูกต้นไม้ก็รู้สึกว่าตัวเอง เหมาะกับตรงนี้มากกว่า เพราะเหมือนได้อยู่กับตัวเอง ไม่ต้องรับมือกับคนอื่น ๆ ซึ่งตรงกับตัวตนของผมที่สุด”

“ผมว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่วันนี้ผมพูดได้เต็มปากว่ามีความสุข กับการได้อยู่กับธรรมชาติ ที่สุดจึงบอกแก้วว่าคงไม่ทํางานแสดงแล้ว เพราะต้อง ใช้กระบวนการของความรู้สึกเยอะ ไม่สอดคล้องกับการดูแลสุขภาพตามเป้าหมาย ของผม แต่งานพรีเซ็นเตอร์หรือถ่ายแบบที่ทํางานระยะสั้น ๆ ยังรับอยู่นะครับ” หลายคนที่เคยเห็นคลิปวิดีโอที่คุณแก้วนําวัตถุดิบที่ปลูกในบ้านมาปรุงอาหารอาจมีคําถามว่าชีวิตจริงเป็นแบบนั้นหรือเปล่า “เราทําแบบนั้นประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์ก็มีกินข้าวนอกบ้านบ้าง สั่งอาหารบ้างในวันที่ไม่ว่าง แต่ส่วนใหญ่ จะทําเอง เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าปลูกเพื่อนํามากิน ถ้าปลูกแล้วไม่ใช้ทําอะไร ก็เหมือนปลูกทิ้งขว้าง ไม่เกิดประโยชน์ แต่ในอนาคตตั้งเป้าว่าจะทําให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ คือไม่ซื้ออาหารข้างนอก ทําให้ทุกอย่างเกิดขึ้นในบ้านได้ แต่อาจจะยากหน่อย เพราะผมเคยคิดอยากเลี้ยงปลาทับทิมไว้กิน แต่สุดท้ายไม่กล้าฆ่า มากสุดตอนนี้ จึงทําได้แค่การกินผักผลไม้ที่ปลูกหรือแปรรูปไว้”

“ส่วนใหญ่เรื่องการทําอาหาร แก้วทําครับ ผมทําไม่ค่อยเป็น (หัวเราะ) แก้ว มีพรสวรรค์มาก ผมชอบทุกเมนูเลย โดยเฉพาะแกงอ่อมที่มีผักชีลาว ใบมะรุม มะเขือต่าง ๆ แล้วยิ่งประเทศเรามีพืชผักที่สามารถนํามากินได้มากมาย หลายคน อาจไม่รู้ อย่างมะม่วงนอกจากผลของมัน ใบยังนํามาปรุงอาหารอร่อยมากครับ แก้วจะคอยดูว่าวันนี้มีต้นอะไรออกดอกออกผลบ้าง แล้วคิดเมนูต่าง ๆ”

“การได้ใช้ชีวิตแบบนี้ทําให้ผมเข้าใจเรื่องระบบนิเวศที่เป็นกลไกในธรรมชาติอย่างเช่น การที่ต้นไม้รากเน่าเพราะไม่แข็งแรง จึงมีเชื้อรามากิน เพื่อทําการ ย่อยสลายกลายเป็นสารอาหารให้กับสิ่งอื่น มองย้อนกลับมาที่ตัวเรา กระบวนการ ก็คล้ายกัน ถ้าให้จําแนกร่างกายจะประกอบด้วยเซลล์ต่าง ๆ ถ้าอยากมีสุขภาพดี ก็ต้องทําให้เซลล์ในร่างกายแข็งแรง จึงจะสามารถฮีลตัวเอง ผลิตผิวหนังหรืออวัยวะขึ้นมาใหม่ได้ในยามเจ็บป่วย เมื่อเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้ ทําให้ผมรู้สึกมั่นคงในการดําารงชีวิตมากขึ้น”

บ้านรากแก้ว

จากแพสชั่นในการดูแลสุขภาพ นํามาสู่การสร้างบ้านสวนหรือ “บ้านรากแก้ว” ที่กั้นตัวเองจากโลกวุ่นวายภายนอกด้วยกําแพงสูงสีขาว เมื่อผ่านกําแพงเข้าไปแล้ว จะพบกับบรรยากาศร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง “เริ่มจากการที่พวกเราอยากหาพื้นที่ปลูกผัก จึงตัดสินใจทําบ้านสวน โชคดีว่า คุณพ่อแก้วซื้อที่ดินตรงนี้ไว้นานแล้ว ช่วงแรกบ้านมีพื้นที่แค่นิดเดียว ความที่ผม อยากใช้ชีวิตเหมือนการอยู่ในป่า ทําบ้านหลังเล็กๆ มีเฉพาะพื้นที่ที่ใช้งานจริง ห้องน้ํา ครัว ห้องนอน ส่วนพื้นที่ข้างบ้านขุดเป็นบ่อน้ํา ปลูกต้นไม้ ทําแปลงผัก แต่ตอนหลัง ผมเริ่มสนุก อยากมีห้องเพิ่มอีก ทั้งห้องทํางาน ห้องเก็บของ และห้องนอนที่ใหญ่ขึ้น”

“แต่ไม่สามารถขยายพื้นที่แนวกว้างได้แล้ว เพราะติดบ่อน้ํา จึงต้องไปขยาย ทางแนวยาวแทน จนที่สุดบ้านมีความยาวถึง 72 เมตร เวลาเดินที่ต้องผ่านทุกห้อง (หัวเราะ) คอนเซ็ปต์ของบ้านหลังนี้คือมีความเป็นเรือนไทย ไม่ใช่ด้วยวัสดุ แต่ปลูกทิ้งขว้าง ไม่เกิดประโยชน์ แต่ในอนาคตตั้งเป้าว่าจะทําให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ คือไม่ซื้ออาหารข้างนอก ทําให้ทุกอย่างเกิดขึ้นในบ้านได้ แต่อาจจะยากหน่อย เพราะผมเคยคิดอยากเลี้ยงปลาทับทิมไว้กิน แต่สุดท้ายไม่กล้าฆ่า มากสุดตอนนี้ จึงทําได้แค่การกินผักผลไม้ที่ปลูกหรือแปรรูปไว้ เป็นการยกพื้นสูง เพื่อให้มีความโปร่งและคำนึงถึงทิศทางลม ความที่ผมอยากใช้ชีวิตแบบเอ๊าต์ดอร์ เพรระก่อนหน้านี้อยู่แต่ในเมือง จึงตกแต่งข้างให้เป็นพื้นที่นั่นส่น ลมพัดตลอด ไม่ทำให้รู้สึกอึดอึดอัด เพิ่มบ้านต้นไว้นั่งทำสมาธิ ใช้เวลาประมาณ 2 – 3 ปีกว่าที่บ้านจะเสร็จสมบูรณ์”

“ผมว่าบ้านนี้สะท้อนตัวตมได้เยอะเหมือนกัน คือการเป็นคนเมือง แต่ต้องการพื้นที่ปลึกวิเวกออกมาอยู่กับธรรมกติ แต่ไม่ถึงขั้นเข้าไนป่า ยังคงติดอยู่กับความสวยงามบ้าง แต่ขมเดียวกันก็พร้อมที่จะปรอะเปื้อน ผมรัสึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้เรียบง่าย เพราะมีดีเทลเยอะกว่าตอนทำงานเป็นนักแสดงอีกอย่างการจะปลูกผักซนิดหนึ่ง ต้องเพาะเมล็ด พอครบ 4 วันก็ย้ายต้นกล้าลงกระถางพบครบ 6 วันย้ายไปลงแปลง ต้องประทบประหงม ดูแลรดน้ำ ต้องมีตาราหาว่าวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะทำอะไร ฉะนั้นการทำเกษตรไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ บวกกับความเป็นคนเมืองของผมที่ไม่เคยปอะไรสำเร็จมกก่อน พอมาทำสิ่งนี้จึงค่อนข้างยาก เพราะต้องเรียนรู้ใหม่เองทั้งหมด”

Wabi-Sabi ความงามที่ไม่สมบูรณ์แบบ

คติประจําใจของโทนี่ที่ยึดไว้เป็นหลักในการดําเนินชีวิตคือ Wabi-Sabi ปรัชญาของญี่ปุ่นที่ว่าถึงการหัดยอมรับในสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบและความไม่แน่นอน ตามกาลเวลา “ผมชอบแนวคิดนี้ เพราะรู้สึกว่ามีความเป็นจริงสูง ทุกอย่างไม่ถาวร แม้กระทั่งความรู้สึกของคน สิ่งที่จะทําให้ยั่งยืนมากขึ้นคือการรักษา แต่เมื่อถึงเวลา ที่ต้องเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องพร้อมรับมือ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเดินไปในทิศทางไหน บางทีทางเลือกของเราอาจจะผิด ไปในแนวดาร์กโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่พาตัวเอง ออกมาจากตรงนั้น และเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าที่ตรงนั้นคือที่สําหรับเรา จริง ๆ แต่ถ้าถามว่าจะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตแบบนี้ไปทําอย่างอื่นอีกไหม คําตอบ ก็คือคงยากแล้ว เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ผมสบายใจและมีความสุขที่สุดครับ (ยิ้ม) “

“สําหรับใครที่กําลังจะเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในชีวิต จงซื่อสัตย์กับความรู้สึก ตัวเอง การเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงการนําพาตัวเองไปสู่พื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ฉะนั้นต้องอาศัยความกล้าในการออกไปเผชิญ ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามละความกลัวที่เป็น ปัจจัยสําคัญที่ทําให้คนเราไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าทดลองทําสิ่งใหม่ ๆ ใครจะรู้ว่าถ้าได้ก้าวออกไปอาจจะพบกับพาร์ตที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ได้”

เรื่อง Prince

ภาพ วรสันต์ ทวีวรรธนะ

ทบทวน 5 สิ่งควรรู้ นับถอยหลังสู่พรมแดง Met Gala 2025

Alternative Textaccount_circle

ใกล้เข้ามาทุกที! สำหรับงานใหญ่ประจำปีอย่าง “Met Gala 2025″ ที่เหล่าแฟชั่นนิสต้าต้องติดตาม ซึ่งปีนี้จัดขึ้น ในวันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม 2568 ณ The Metropolitan Museum of Art เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และก่อนถึงวันจริง แพรวขอพาไปทบทวน 5 สิ่งควรรู้เพื่อไม่ให้ตกขบวนการรับชมอย่างมีอรรถรสในพรมแดงอันใกล้นี้

ทำความรู้จัก Met Gala

เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งว่างานนี้คืออะไร สำหรับ Met Gala หรือที่เรารู้จักกันในอีกสองชื่อ ได้แก่ Costume Institute Befit หรือ Met Ball เป็นงานระดมทุนประจำปีให้สถาบันเครื่องแต่งกายของ The Metropolitan Museum of Art อีกทั้งยังเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดนิทรรศการที่จัดแสดงเสื้อผ้า และงานศิลปะต่างๆ ซึ่งไฮไลท์ของงานคงหนีไม่พ้นการปรากฏตัวของเหล่าคนดังที่จะประชันกันด้วยคอสตูม เมคอัพ และทรงผม ตามธีมที่กำหนดขึ้น นอกจากความสนุกที่ว่านี้แล้ว งานดังกล่าวยังช่วยระดมทุนครั้งใหญ่ให้กับพิพิธภัณฑ์ โดยปี 2024 ที่ผ่านมา สามารถระดมเงินบริจาคได้ประมาณ 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 867,620,000 บาท

Theme of The Met Gala 2025

Met Gala ปีนี้จัดขึ้นในธีม Superfine: Tailoring Black Style ที่สะท้อนตัวตนของคนผิวดำ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนจากหนังสือ Slaves to Fashion: Black Dandyism and the Styling of Black Diasporic Identity ของ Monica L. Miller ที่ตีพิมพ์ในปี 2009 และ Miller ทำหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์รับเชิญร่วมกับ Andrew Bolton ภัณฑารักษ์ของ Costume Institute

Dress Code

เมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กฎการแต่งกายหรือที่เราเรียกว่า Dress Code ได้เปิดเผยออกมาเป็นทางการ นั่นคือ Tailored for you อธิบายง่ายๆ ว่า เป็นคอสตูมที่ตัดเย็บในสไตล์ของผู้เข้าร่วมงานแต่ละคน ซึ่งบางสื่อในต่างประเทศอย่าง Vanity Fair ก็มีการคาดเดาไว้ว่า “เมื่อนำเดรสโค้ดมารวมกับธีมในปีนี้แล้ว อาจได้เห็นคนดังในชุดสูท และลุคที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผู้ชายจำนวนมาก” อย่างไรก็ตามขอให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าเกาะจอรอชมว่า ลุคของใครจะเข้าตาเรามากที่สุด!

4 คนดัง ในตำแหน่ง Host Committee

Lewis Hamilton (ซ้าย) Pharrell Williams (ขวา)

หนึ่งสิ่งที่หลายคนรอคอยไม่แพ้การประกาศธีมและเดรสโค้ดของงาน นั่นคือรายชื่อ Co-Chairs ที่จะมานั่งข้างเจ้าบ้านอย่าง Wintour โดยปีนี้หน้าที่ดังกล่าวตกเป็นของ Colman Domingo, Lewis Hamilton, A$AP Rocky และ Pharrell Williams ที่สำคัญยังมี LeBron James มาเป็นประธานกิตติมาศักดิ์อีกด้วย ฉะนั้นในวันจันทร์ที่จะถึง จับตามองพวกเขาเหล่านี้ไว้ให้ดี

ใครบ้างที่จะได้รับเชิญเข้าร่วม Met Gala 2025

สำหรับรายชื่อคนดังหรือผู้มีอิทธิพลที่จะได้รับเชิญเข้าร่วมงาน Met Gala ถือเป็นความลับสุดยอดที่สุดของงาน เพราะเราจะไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยจนกว่าจะถึงวันที่คนดังจะเหยียบลงบนพรมแดง แน่นอนว่าในอดีตบัตรเข้าร่วมงานจะมีราคาสูงถึง 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท แต่ปัจจุบันผู้ที่เข้าร่วมงานได้ต้องเป็น “แขกที่ได้รับเชิญ” เท่านั้น เรียกว่ามีเงินเท่าไหร่ ก็ซื้อไม่ได้


ภาพ: Getty Images

ข้อมูล:
https://time.com/7279685/met-gala-2025-what-to-know/
https://www.vanityfair.com/style/story/everything-to-know-about-the-met-gala-2025?srsltid=AfmBOorxkcID9acP78G2wBdC0rAsX4SLOrwkRXaEiKU-rXwP9FUwQn0a

“SIAM PARAGON TROPICAL FRUIT PARADE 2025” ส่งตรงผลไม้คุณภาพดีจากผู้ผลิตถึงมือคุณ

account_circle

คนรักผลไม้ต้องปักหมุดงานนี้ “SIAM PARAGON TROPICAL FRUIT PARADE 2025” งานดีๆ ที่ สยามพารากอน ตอกย้ำความเป็นที่หนึ่งในใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก ผนึกกำลัง กูร์เมต์ มาร์เก็ต พรีเมียมซูเปอร์มาร์เก็ตระดับเวิลด์คลาส และ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ร่วมส่งเสริมเกษตรกรและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษในช่วงฤดูผลไม้เมืองร้อน กับเทศกาลที่รวบรวม “ที่สุดของผลไม้ไทย” จากทั่วประเทศ พร้อมเอาใจสายทุเรียนด้วย “บุฟเฟต์ทุเรียน” 11 วัน 77 รอบ และจำหน่ายทุเรียนพันธุ์หายากหลากหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีผลไม้สด ผลไม้แปรรูป ส่งตรงจากผู้ผลิตและเกษตรกรกว่า 78  แหล่งทั่วประเทศ รวมถึงเมนูสร้างสรรค์ต่างๆ ที่จะสร้างสีสันและความสุขให้กับนักชิมและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 พฤษภาคม 2568 ณ พาร์ค พารากอน ชั้น M สยามพารากอน

ไฮไลต์สุดพิเศษ “บุฟเฟ่ต์ทุเรียน” 

1 ปีมีเพียง 1 ครั้งเท่านั้น กับไฮไลต์ที่ทุกคนรอคอย! บุฟเฟ่ต์ทุเรียนสุดอลังการที่คัดสรรทุเรียนหลากหลายสายพันธุ์ชั้นดี ทั้งพันธุ์ยอดนิยมอย่าง หมอนทอง, พวงมณี, นวลทองจันทร์, ชะนีไข่, ก้านยาว และมีการเสิร์ฟสุดพิเศษกับทุเรียนที่มีการหมุนเวียนในแต่ละรอบทุกวัน อาทิ มูซานคิง, โอฉี, ชะนีเกาะช้าง, ทองลินจง, หลงลับแล, กบชายน้ำ, กบพิกุล และเฟรนช์ฟรายส์ทุเรียน ที่เปิดโอกาสให้ได้ลิ้มลองแบบ “1 คนต่อหนึ่ง 1 ชิ้น”

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเมนูทุเรียนสร้างสรรค์มากมาย เช่น ลาซานญ่าทุเรียน, คัสตาร์ดทุเรียน, ข้าวเหนียวทุเรียน และไอศกรีมทุเรียนแบบโฮมเมด ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสรสชาติทุเรียนในรูปแบบใหม่อย่างไม่เคยมีมาก่อน บุฟเฟ่ต์เปิดให้บริการวันละ 7 รอบ (รอบละ 60 นาที) ราคาบัตรเพียง 899 บาท (จากราคาปกติ 990 บาท) พิเศษสำหรับสมาชิก M Card และ ONESIAM SUPER APP ซื้อบัตรได้ในราคา 899 บาท พร้อมกันนี้สมาชิก M Card สามารถใช้คะแนน 500 คะแนน รับส่วนลด 150 บาท พิเศษ 4,000 คะแนน รับประทานฟรี!

นอกจากบุฟเฟต์ทุเรียนแล้ว ในงานยังรวบรวมทุเรียนมากที่สุดกว่า 40 สายพันธุ์จากแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศให้ได้ลิ้มลองรสชาติและเลือกซื้อกลับบ้าน อาทิ ทุเรียนชะนีดำ ทุเรียนสไบทอง ทุเรียนก้านยาวโบราณ ทุเรียนทองบางสะพาน ทุเรียนหมอนทองเมืองนนท์ เป็นต้น

และภายในงานยังแบ่งพื้นที่โซนจำหน่ายผลไม้สดและผลไม้แปรรูปจากเกษตรกรและผู้ผลิตโดยตรง ภายใต้แนวคิด “จากสวนถึงมือคุณ” พบกับผลไม้พรีเมียม อาทิ มังคุด 100 ปี จากสวนเก่ากว่า 100 ปีในอำเภอคลองนารายณ์ จ.จันทบุรี ลูกเล็ก ผิวลาย ไร้สารเคมี, เงาะน้ำกร่อย ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยและหายาก จากจันทบุรี, ลำไยคริสตัล เนื้อสีสดใส คล้ายคริสตัล รสชาติหวานหอม, เมล่อนสายพันธุ์ไดโนล่อน รสชาติหวาน เนื้อนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และ เมล่อนสายพันธุ์ไข่ทองคำ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นเมล่อนพันธุ์ไทยที่มีรสชาติหวานโดดเด่น, ส้มโอทับทิมสยาม จ.นครศรีธรรมราช เนื้อส้มโอเต็มสมบูรณ์ สีชมพูอ่อนๆ รสชาติหวานอร่อย, ขนุนหายากจาก จ.ปราจีนบุรี ได้แก่ ขนุนทองมาเลย์ เนื้อแห้งกรอบวงใหญ่ ไม่หวานมาก, ขนุนอีถ่อ ซึ่งเป็นขนุนสายพันธุ์โบราณ ผลทรงรียาวคล้ายถ่อเรือ และผลไม้ GI อีกหลากหลายชนิด เช่น สับปะรดภูแล จ.เชียงราย ลูกเล็ก กลิ่นหอม หวานกรอบ, สับปะรดสยามโกลด์ เนื้อสีเหลืองทอง เนื้อแน่นกรอบ ไม่กัดลิ้น, ส้มสายน้ำผึ้ง จ.เชียงใหม่, น้ำมะพร้าวน้ำหอมสีทองอินทรีย์ และมะพร้าวพวงร้อย จ.ราชบุรี, อะโวคาโดบัคคาเนีย และ อะโวคาโดแฮส จ.ตาก กระท้อนปุยฝ้าย จ.นครนายก แตงโมเกาะสุกร จ.ตรัง ,ชมพูเพชรสายรุ้ง จ. เพชรบุรี นอกจากนี้ยังมีผลไม้ฤดูกาลอื่นๆ อีกมากมาย

เพื่อเน้นย้ำความยั่งยืนและการสนับสนุนเกษตรกรไทย ภายในงานยังเปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าพื้นบ้าน เช่นของดีเมืองเพชรบุรี อาทิ น้ำตาลโตนดแท้ GI, ขนมหม้อแกงสูตรดั้งเดิม, มะนาวแป้นรำไพ, ผลิตภัณฑ์จากอ่าวน้อย เมืองสามอ่าว ได้แก่ ปลาอินทรีแดดเดียว, ชิฟฟอนมะพร้าวลาวา, ไอติมหลอดมะพร้าว รวมถึง สินค้าแปรรูปจากชุมชนทั่วไทย เช่น มะม่วงกวน 3 รส, ทุเรียนฟรีซดราย, ข้าวโพดคลุกเนย เป็นต้น

นอกเหนือจากผลไม้สดและแปรรูปแล้ว สายกินต้องไม่พลาด เมนูชวนลิ้มลอง อาทิ Slushy Tamarind สูตรเด็ดจากบ้าน
มะขาม เติม Topping ได้ตามใจ, “ยำทีละคน” รวมผลไม้ดองคลุกน้ำยำรสจัดแบบไทยแท้, ขนมหวานไทยแท้ เช่น ข้าว
เหนียวลำไย ขนมต้มมะพร้าว ขนมถ้วย เมนูของหวานยอดฮิต อย่างไอศกรีมไทยสไตล์โบราณ รสกะทิ รสชาไทย พร้อม
ท็อปปิ้งจัดเต็ม เช่น ข้าวเหนียวทุเรียนฟรีซดราย, เยลลี่มะม่วง, มุกป๊อบ และเกล็ดทองม้วน, สมูทตี้ผลไม้, ไอศกรีมอะโว
คาโด, และเมนูสุขภาพอีกมากมาย

พิเศษสุดกับนาทีทอง 3 ช่วงเวลา ได้แก่ เวลา 12.00 น., 14.00 น. และ 18.00 น. ตลอดทุกวันของการจัดงานสามารถ
ซื้อผลไม้แบบ 1 แถม 1 รวมถึงผลไม้ราคาพิเศษที่คัดเฉพาะสวนโดยตรงมาเพื่อเอาใจเหล่าผู้ชื่นชอบผลไม้ไทยให้ได้
ช้อปผลไม้คุณภาพเยี่ยมด้วยราคาสบายกระเป๋าที่มีเพียงงานนี้เท่านั้น 

ร่วมอุดหนุนผลไม้คุณภาพดีและสนับสนุนเกษตรกรไทยทั่วประเทศ พร้อมลิ้มรสชาติความอร่อยของสุดยอดผลไม้ไทย
คัดสรรโดย กูร์เมต์ มาร์เก็ต ได้ในงาน “SIAM PARAGON TROPICAL FRUIT PARADE 2025” ตั้งแต่วันนี้ถึง 5
พฤษภาคม 2568 ณ พาร์ค พารากอน พร้อมอิ่มอร่อยกับเมนูอาหารทั้งคาวหวานที่ใช้ผลไม้มาเป็นวัตถุดิบในการรังสรรค์
เมนูรสเลิศจากร้านอาหารต่างๆ ภายในศูนย์การค้าสยามพารากอน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-610-8000
และโซเชียลมีเดียทุกช่องทางของกูร์เมต์ มาร์เก็ต และสยามพารากอน


มูลนิธิรามาธิบดีฯ เปิดหนังโฆษณาใหม่ ‘พื้นที่แห่งความพร้อม’ สานต่อภารกิจเพิ่มพื้นที่รักษาผู้ป่วย ภายใต้โครงการ รามา+1 เพิ่มพื้นที่ เพิ่มความหวังเพื่อทุกคน ปีที่ 2

account_circle

มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สานต่อภารกิจแห่ง “การให้” เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลรามาธิบดี จัดงานแถลงข่าวพร้อมขนทัพดาราจิตอาสาเปิดตัวภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่ ภายใต้โครงการ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ เพิ่มความหวังเพื่อทุกคน” ปีที่ 2 เพราะทุกความมุ่งมั่นในการช่วยชีวิต…ต้องการพื้นที่ที่พร้อม มุ่งสร้างความตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายพื้นที่การรักษาผู้ป่วยเพื่อระดมทุนให้กับโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี สำหรับสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่และอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อขยายพื้นที่รองรับผู้ป่วย รวมถึงเตรียมพร้อมรับมือความท้าทายด้านสุขภาพในอนาคต

อ.นพ.ไพโรจน์ บุญคงชื่น รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มูลนิธิรามาธิบดีฯ เดินหน้าขยายพื้นที่การแพทย์ พร้อมเปิดตัวโครงการ “อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี” โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ยืนหยัดในบทบาทศูนย์กลางทางการแพทย์ของประเทศมากว่า 60 ปี ทั้งในฐานะโรงเรียนแพทย์ที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถเข้าสู่ระบบสุขภาพไทย และในฐานะโรงพยาบาลหลักที่ให้บริการผู้ป่วยจากทั่วประเทศมากกว่า 3 ล้านคนต่อปี จากการใช้งานอาคารหลักที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่วันแรกของโรงพยาบาล ทำให้ปัจจุบันต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านพื้นที่ ความแออัด และความยากลำบากในการติดตั้งเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย ส่งผลกระทบต่อการให้บริการผู้ป่วยและการทำงานของบุคลากร แม้ทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท แต่ข้อจำกัดเหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงสานต่อภารกิจครั้งสำคัญ ผ่านโครงการ “อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี” โดยมีเป้าหมายในการขยายพื้นที่บริการทางการแพทย์ เพิ่มศักยภาพการรักษาและการดูแลผู้ป่วยในทุกมิติ ตอบรับการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ และสนับสนุนการเรียนการสอนของบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่อย่างยั่งยืน โครงการนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของรามาธิบดี ในการเดินหน้าเพื่อประชาชน และสร้างระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทยต่อไป

ศ.ดร.พญ.อติพร อิงค์สาธิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า โครงการ “อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี” ก้าวสำคัญของระบบสาธารณสุขไทย โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของประเทศในการยกระดับระบบสาธารณสุข เพื่อขยายโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ครอบคลุมทั้งการดูแลรักษาในปัจจุบัน และการเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคซับซ้อนและโรคอุบัติใหม่ในอนาคต ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โลกเผชิญกับการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่หลายชนิด อาทิ ไข้หวัดนก ซาร์ส อีโบลา ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H5N1 โควิด-19 และฝีดาษลิง ซึ่งล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบสาธารณสุข และความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในฐานะโรงพยาบาลหลักของประเทศ ยังมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มโรคหายาก รวมถึงการผลักดันงานวิจัยด้านสุขภาพ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชน ด้วยเหตุนี้ อาคารโรงพยาบาลแห่งใหม่จึงถูกออกแบบให้เป็นศูนย์กลางการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ที่พร้อมรองรับทั้งการรักษา การวิจัย และการเตรียมความพร้อมรับมือกับอนาคตของวงการแพทย์ไทย

คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า มูลนิธิรามาธิบดีฯ สานต่อภารกิจ “รามา+1” เปิดตัวภาพยนตร์ “พื้นที่แห่งความหวัง” เพื่อร่วมสร้างอาคารโรงพยาบาลแห่งใหม่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นสะพานบุญ เชื่อมโยงพลังแห่งการให้จากประชาชน เพื่อสนับสนุนภารกิจของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีในทุกมิติ ทั้งด้านการรักษาผู้ป่วย การวิจัย การผลิตบุคลากรทางการแพทย์ และการส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้องและยั่งยืน พร้อมกันนี้ มูลนิธิยังเดินหน้าขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางการแพทย์ควบคู่กับการสร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากลอย่างเท่าเทียม

ในปีนี้ โครงการ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ เพิ่มความหวังเพื่อทุกคน” ดำเนินเข้าสู่ปีที่ 2 โดยมีเป้าหมายเพื่อระดมทุนสนับสนุนการก่อสร้าง อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี อาคารแห่งใหม่ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยและเตรียมความพร้อมด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายพื้นที่รักษา มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงจัดทำภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่ในชื่อ “พื้นที่แห่งความหวัง” ถ่ายทอดเรื่องราวของบุคลากรทางการแพทย์ที่ทุ่มเทดูแลผู้ป่วย แม้ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านพื้นที่ ซึ่งส่งผลต่อการปฏิบัติงานและการดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มศักยภาพ โครงการนี้จึงไม่ใช่เพียงการก่อสร้างอาคารใหม่ แต่คือการร่วมกันสร้าง “พื้นที่แห่งความหวัง” ให้กับคนไทยทุกคน

โดยในงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่นี้ ได้รับเกียรติจากสองดารานักแสดงจิตอาสาชื่อดัง มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวการส่งต่อ “ความหวัง” และเชิญชวนแฟนคลับร่วมสนับสนุนโครงการฯ ด้วยกันคือ มิกค์ ทองระย้า ที่มาพร้อมคู่ขวัญกานต์-ณัฐชา รัตน์ชยางคานนท์ สำหรับโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี คาดว่าจะแล้วเสร็จ ในปี 2573 เมื่อเปิดให้บริการแล้วจะกลายเป็นศูนย์การแพทย์ขนาดใหญ่กว่า 15 ไร่ และจะมีการสร้างอาคารเพิ่มเติมเพื่อรองรับกับจำนวนผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 278,000 ตารางเมตร โดยอาคารแห่งนี้จะครอบคลุมการเป็นโรงเรียนแพทย์สำหรับผลิตบุคลากรทางการแพทย์ออกสู่สังคม การเป็นโรงพยาบาลหลักของประเทศเพื่อให้การรักษาประชาชน และการเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพ ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้าง รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ ประมาณ 15,000 ล้านบาท มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นพลังบวกหนึ่งกับโครงการ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ เพิ่มความหวังเพื่อทุกคน” ด้วยการบริจาคเงินสมทบทุนก่อสร้างโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธีแห่งนี้ได้ที่มูลนิธิรามาธิบดีฯ รวมถึงสามารถรับชมและแชร์บอกต่อภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่นี้ได้ที่ YouTube ของมูลนิธิรามาธิบดีฯ

#คำว่าให้ไม่สิ้นสุด

#ความสุขจากการให้ไม่สิ้นสุด


TEN ERA เตนล์ เปล่งประกายในคอนเสิร์ตเดี่ยวเต็มรูปแบบครั้งแรก ณ บ้านเกิด

Alternative Textaccount_circle

เตนล์ แสดงศักยภาพเต็มสิบ ! ผสานเรื่องราวและการแสดงสุดตื่นตะลึงในคอนเสิร์ตเดี่ยวเต็มรูปแบบครั้งแรก
2025 TEN CONCERT 1001 MOVEMENT ‘STUNNER’ IN BANGKOK
เตนล์ วง NCT แสดงศักยภาพเต็มสิบในฐานะศิลปินเดี่ยว ผสานเรื่องราวและการแสดงสุดตื่นตะลึงในคอนเสิร์ตเดี่ยวเต็มรูปแบบครั้งแรก 2025 TEN CONCERT 1001 MOVEMENT ‘STUNNER’ IN BANGKOK สะกดสายตาผู้ชมตลอดทั้งสองรอบการแสดงในวันเสาร์ที่ 19 เมษายน 2025 เวลา 18:00 น. และวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2025 เวลา 16:00 น. ณ อิมแพ็ค อารีน่า


โดยวันที่ 18 เมษายน 2025 ‘1001 MOVEMENT’ เปรียบเสมือนแบรนด์ทัวร์เฉพาะตัวที่สะท้อนตัวตนพร้อมสื่อถึง เตนล์กับแฟนคลับคนสำคัญอันดับหนึ่งอย่าง NCTzen และ WayZenNi อีกทั้งยังถ่ายทอดความหมายลึกซึ้งผ่านนิยามที่ว่า “ทุกการเคลื่อนไหว อธิบายและเติมเต็มตัวตนของฉัน” การแสดงในครั้งนี้จึงเผยให้เห็นอัตลักษณ์ทางศิลปะของ เตนล์ผ่านการแสดงที่หลากหลาย ผสานด้วยโปรดักชันแบบ 3 มิติ อาทิ โครงสร้างเวที LED ทั้งแบบยกและเลื่อน, ลิฟต์ที่ยื่นออกมาเป็นขั้นบันได, สายพานลำเลียง รวมถึงสเปเชียลเอฟเฟกต์แสง สี เสียง และเลเซอร์สุดล้ำ ที่ช่วยเสริมมิติทางอารมณ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


การเคลื่อนไหวอันน่าหลงใหลและเป็นเอกลักษณ์ของ เตนล์ถูกถ่ายทอดผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ ของคอนเสิร์ต ตั้งแต่วีซีอาร์ที่นำเสนอตัวเขาในคอนเซปต์การถือกำเนิดใหม่เป็น “ไซเรน” (Siren) สิ่งมีชีวิตลึกลับผู้เปี่ยมเสน่ห์ตามเทพปกรณัมกรีก-โรมัน พร้อมระเบิดความร้อนแรงด้วยเพลงสุดทรงพลังอย่าง ‘Nightwalker’ ตามด้วยความหนักแน่นในเพลง ‘ON TEN’ ตลอดจนการเผยมาดวายร้ายสุดอันตรายในเพลง ‘Dangerous’, การเล่นกับแสงและเงาสะท้อนเพิ่มความเซ็กซี่ในเพลง ‘Shadow’, การปรากฏตัวกลางอ่างน้ำบนเวทีพร้อมลีลาอันพลิ้วไหวในเพลง ‘Water’ และเทคนิคการเต้นอันน่าทึ่งในเพลง ‘Birthday’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เตนล์ได้สร้างสรรค์ความแปลกใหม่ให้กับแต่ละโชว์ด้วยการปรับรายละเอียดอย่างมีลูกเล่น ทั้งรูปแบบการแสดง, ดนตรี, ท่าเต้น และการจัดวางตำแหน่งที่สอดคล้องกัน ล้วนแสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันและศักยภาพที่เหนือชั้นของเขาในฐานะ ‘Artistic Performer’ หรือศิลปินที่ผสานศิลปะเข้ากับการแสดงได้อย่างลงตัว


ไม่เพียงเท่านี้ เตนล์ยังนำเพลงจากมินิอัลบั้มชุดที่ 2 มาแสดงเป็นครั้งแรก ทั้งเพลงเปิดตัวสุดตื่นตะลึงอย่าง ‘STUNNER’ และเพลงแดนซ์จังหวะสนุก ๆ ชวนเต้น ‘BAMBOLA’ รวมถึงเพลงอื่น ๆ อย่าง ‘Sweet As Sin’ ที่มีการสวมผ้าปิดตา เพิ่มอารมณ์ดาร์กให้ยิ่งเข้มข้น แล้วก้าวไปสู่ความเท่อีกระดับด้วยการใช้บันไดประกอบการแสดงเพลง ‘Enough For Me’ ไปจนถึงบรรยากาศแสนละมุนของเพลงช้า ‘Butterfly’ ที่มาพร้อมเอฟเฟกต์เหล่าผีเสื้อโบยบินบนผ้าม่านโปร่งแสงยาว 16 เมตรที่ทิ้งตัวลงมาโอบล้อม เตนล์และเพลง ‘Waves’ ที่อบอวลไปด้วยความร่าเริงและพลังบวก
ไฮไลต์ที่เรียกเสียงตอบรับอย่างถล่มทลาย คือ เมดเลย์เพลงฮิตของ NCT อย่าง ‘Baby Don’t Stop’, ‘Steady’, ‘Smoothie’, ‘영웅 (英雄; Kick It)’ และ ‘Baggy Jeans’ ตลอดจนเพลง ‘Call Me’ ของ WayV ที่เปลี่ยนสไตล์การแรปใหม่ให้เข้ากับตัวเอง และเวทีพิเศษกับการคัฟเวอร์เพลงโปรด ‘Die With A Smile’ ของ Lady Gaga กับ Bruno Mars ซึ่งเนื้อหาเปี่ยมไปด้วยสิ่งที่ เตนล์อยากบอกกับแฟนคลับที่คอยรัก สนับสนุน และยังสร้างความประทับใจให้กับเขาในคอนเสิร์ตครั้งนี้จากการเตรียมแฟนโปรเจกต์มากมาย ได้แก่ การแปรกล่องไฟ TEN ERA (ยุคของเตนล์), ONLY TEN (มีเพียงเตนล์คนเดียว) รวมถึงแบนเนอร์และป้ายข้อความ “Millions of stars here will always shine for TEN.” (ดาวหลายล้านดวงตรงนี้จะส่องสว่างเพื่อเตนล์เสมอ), “We always shine for each other.” (เป็นดาวส่องสว่างซึ่งกันและกัน), “Through seasons change, our hearts remain. A love that blooms against the rain.” (ฤดูกาลเปลี่ยนไปแต่หัวใจยังคงมั่น ความรักเบ่งบานท่ามกลางสายฝน), “Every bloom says ‘I love you’ just for you.” (เปรียบเสมือนดอกไม้เบ่งบานเพื่อเตนล์)


ตลอดระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมง คอนเสิร์ตนี้ได้ตอกย้ำสถานะ ‘Artistic Performer’ อันยืนหนึ่งของ เตนล์ที่เปล่งประกายในทุกการเคลื่อนไหวอันสง่างาม ยิ่งไปกว่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อคู่ตัวเลขอย่าง ‘10’ และ ‘01’ เคลื่อนที่มารวมกันจะก่อให้เกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่พร้อมเติบโตไปด้วยกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหนือสิ่งอื่นใด เตนล์กับแฟนคลับได้กลายมาเป็น ‘STUNNER’ ที่ต่างมอบความตะลึง และความทรงจำอันงดงามให้แก่กันได้สมบูรณ์แบบเต็มสิบอย่างแท้จริง

Loro Piana

Loro Piana เผยโฉม “Royal Lightness” ที่สุดแห่งความเบาบาง หรูหรา และหายาก

account_circle
Loro Piana
Loro Piana

Loro Piana สานต่อจิตวิญญาณแห่งการค้นหาความเป็นเลิศในโลกสิ่งทอ ด้วยการเปิดตัว “Royal Lightness” ผลงานใหม่ล่าสุดที่ถ่ายทอดความเบาสบาย ความเปล่งประกาย และความพิเศษเหนือระดับอย่างแท้จริง

Loro Piana เผยโฉม “Royal Lightness” ที่สุดแห่งความเบาบาง หรูหรา และหายาก

“Royal Lightness” คือผลลัพธ์ของความทุ่มเทนานถึงสองปี โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญในโรงงานอันทันสมัยที่เมือง Roccapietra และ Quarona ประเทศอิตาลี ถูกสร้างขึ้นจากเส้นใยพิเศษ 2 ประเภท ได้แก่ การผสมผสานระหว่างไหมมัลเบอร์รี่ (Royal Silk) และขนแกะเมอริโนคุณภาพเยี่ยม ซึ่งมีความละเอียดเพียง 13.5 ไมครอน  นับเป็นเพียง 0.05% ของขนแกะเมอริโนที่ผลิตได้ทั่วโลก ผสานกับกระบวนการเคลือบเส้นใยเพื่อเพิ่มความเปล่งประกายและความนุ่มลื่นในทุกการสัมผัส

นอกจากนี้ Loro Piana ยังพัฒนาเนื้อผ้าแบบพิเศษด้วยการนำไหมมัลเบอร์รี่พันรอบแคชเมียร์เส้นใยยาวขนาด 15 ไมครอน ทอเป็นวัสดุสองด้านที่มีน้ำหนักเบาเพียง 350 กรัมต่อตารางเมตร ผ่านขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน ตั้งแต่การหวี ปั่น บิดเส้นด้าย ไปจนถึงการฟอก ปัด และโกนผิวผ้า เพื่อสร้างผิวสัมผัสฟูละเอียดและเพิ่มมิติการสะท้อนแสงอย่างมีเอกลักษณ์

กระบวนการสุดท้ายคือการเย็บตกแต่งด้วยเทคนิคหัตถศิลป์โบราณ “Fell Stitching” โดยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งทำด้วยมือทุกฝีเข็ม เพื่อมอบเสื้อผ้าที่งดงาม สมบูรณ์แบบทั้งภายในและภายนอก

“Royal Lightness” คือบทพิสูจน์ใหม่ของ Loro Piana ที่หลอมรวมความเชี่ยวชาญด้านสิ่งทอเข้ากับศิลปะการสร้างสรรค์อย่างไร้ที่ติ เพื่อมอบประสบการณ์แห่งความหรูหราเหนือจินตนาการ


‘เช็กลิสต์เสื้อผ้า หน้า ผม ก่อนเนื้อแท้ข้างใน’ ใครกันนะ?? เช็กเลย!!! ดวงรายสัปดาห์ 28 เมษายน-4 พฤษภาคม 2568

Alternative Textaccount_circle

‘เช็กความพร้อมของแบรนด์ ก่อนเนื้อแท้ข้างใน’

ดวงรายสัปดาห์ 28 เมษายน-4 พฤษภาคม 2568

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์          

การงาน  :   ก็หายใจได้สะดวกขึ้นนะคะสำหรับชาวอาทิตย์ จะบอกว่าสัปดาห์ขึ้นเดือนใหม่นี้นับเป็นช่วงเวลาที่คุณจะได้ชื่นชมกับความสำเร็จที่คุณเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลายาวนานก็ได้นะ ขณะเดียวกันก็มีโอกาสได้บุกเบิกเริ่มต้นงานหรือธุรกิจใหม่ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานหรือธุรกิจที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ เช่น นักเขียน นักประพันธ์ นักวิทยาศาสตร์ สื่อสารมวลชน เป็นไปได้ว่าคุณจะมีเทคนิคและวิธีการที่ฉลาดแยบยลในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าเป็นอย่างดี ได้รับการยอมรับจากคนใกล้ชิด ซึ่งคุณก็คาดหวังกับความสำเร็จสูงมาก ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับงานจนไม่สนใจเรื่องส่วนตัวเลย

การเงิน  :  มีโชคลาภเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่จะมาจากงานที่มีผลตอบแทนสูง โอกาสเป็นเศรษฐีอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะหมดกับการเลี้ยงดูเพื่อนฝูง และบริวาร  จึงควรหาเพื่อนที่ไว้ใจได้มาดูแลการเงินของคุณโดยด่วน

ความรัก  :  คู่ครองของชาวอาทิตย์ในสัปดาห์นี้ นอกจากเขาจะเป็นกำลังใจให้คุณแล้ว ยังส่งเสริมและสนับสนุนในเรื่องของงานด้วย แต่จะเป็นในลักษณะที่ต่างคนต่างทำงาน ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดๆ คนโสด  ชาวอาทิตย์สัปดาห์นี้หัวใจไปอยู่ที่เด็กนะคะ ซึ่งคุณก็ยังไม่เซย์เยสในทันที แม้จะเป็นเด็กดีแค่ไหนก็ตาม เพราะยังหวงความโสดอยู่

สุขภาพ  :   จริงๆ คุณดูแลรักษาสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี แต่ก็อย่าประมาท ทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา จนเป็นโรคกระเพาะและลำไส้ มีความเสี่ยงที่จะเป็นแบบเรื้อรังด้วยสิ

ผู้ที่เกิดวันจันทร์

การงาน  :  จะบอกว่าเป็นสัปดาห์ของชาวจันทร์ที่เต็มไปด้วยความคิดและสร้างสรรค์ก็ได้นะ เพราะฉะนั้นหากทำงานหรือดำเนินธุรกิจทางด้านศิลปะ ศิลปิน นักร้อง นักแสดง ดีไซเนอร์ สถาปนิก เสริมสวย ฯลฯ รวมถึงผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสายนี้ก็จะมีผู้ใหญ่สนับสนุนช่วยเหลือให้ได้เข้ามาสัมผัสกับวงการนี้ จึงเป็นไปได้ที่คุณจะคาดหวังสูงในเรื่องของผลตอบแทน ก็ต้องระวัง เพราะอาจแลกกับการตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องทำงานที่นอกเหนือจากที่รับปากไว้ หรือเป็นแพะรับบาป ต้องรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้กระทำ

การเงิน  :  ก็ยังคงใช้เงินเก่งๆ พอๆ กับหาเงิน ยิ่งสัปดาห์นี้คุณจะหายใจเข้าออกเป็นเงินเป็นทอง เรียกว่า No money No Talk เลยทีเดียว

ความรัก  :   ก็ยังคงมีความสุขกับการออกไปพักผ่อนนอกบ้านกันอยู่นะคะ แต่อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้นอกจากสนุกกับการใช้เงินแล้ว ออกไปก็ต้องได้เงินกลับมาด้วย   คนโสด  เนื้อหอม มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม แล้วหากคุณจะคบใคร เป็นไปได้ว่าจะดูที่เสื้อผ้า หน้า ผมก่อนจะศึกษาเนื้อแท้ข้างใน

สุขภาพ  :   เอ็นจอยไลฟ์ ทั้งดื่มและรับประทาน จนโอกาสที่จะเป็นได้ทั้งการขาดสารอาหาร และโรคอ้วนมีสูง นอกจากนั้นยังต้องระวังระบบหมุนเวียนน้ำในร่างกาย และต่อมไร้ท่อต่างๆ จะมีปัญหา ซึ่งจะส่งผลต่อภูมิต้านทานโรคบกพร่อง เลือดและต่อมน้ำเหลืองไม่ดี

ผู้ที่เกิดวันอังคาร

การงาน   ชาวอังคารส่งท้ายเดือนเก่าต้อนรับเดือนใหม่ด้วยการนำความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญในการทำงานหรือดำเนินธุรกิจมาใช้กับงานบุญ งานการกุศล เช่น มูลนิธิ จิตอาสา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการบริหารจัดการ การติดต่อประสานงานระหว่างต่างประเทศ รวมถึงการให้บริการที่ปรึกษาและคำแนะนำในด้านต่างๆ  ก็ต้องระวัง อย่าใจร้อน เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป จนตัดสินใจทุกอย่างด้วยความวู่วาม เพราะจะทำให้งานหรือธุรกิจเกิดความผิดพลาดเสียหายอย่างคาดไม่ถึง

การเงิน  :  มีโชคในการลงทุนและทรัพย์สิน เพราะฉะนั้นสัปดาห์นี้คุณจึงสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอที่จะแบ่งเงินสำหรับการทำบุญ บริจาคการกุศล ได้ด้วย

ความรัก  :   สัปดาห์นี้เป็นไปได้ว่า หัวใจคุณเต็มไปด้วยความรัก ความโรแมนติก รวมถึงความเป็นเจ้าของ จนคุณพยายามจัดการสิ่งที่ค้างคาอยู่ให้เข้าตามตรอกออกทางประตูได้ถูกต้องเสียที คนโสด สัปดาห์นี้มีโอกาสได้พบรักกับชาวต่างชาตินะคะ แล้วคุณก็พยายามที่จะแสดงตัวให้ทุกคนรู้ว่า คนนี้ฉันจองแล้วจ้า

สุขภาพ  :  เป็นไปได้ว่าจากความเครียดและเอาจริงเอาจัง จนนำไปสู่การระบายออกกับการรับประทานอาหารที่มากกว่าปกติ หรือรับประทานแต่ของหวาน น้ำอัดลม จนน้ำหนักขึ้นไม่รู้ตัว ก็ต้องระวังพวกไขมันที่จะอุดตัน รวมถึงโรคหัวใจด้วย

ผู้ที่เกิดวันพุธ

การงาน  :  สัปดาห์ส่งท้ายเดือนเก่าขึ้นเดือนใหม่สำหรับชาวพุธสามารถหายใจได้สะดวกขึ้นมากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานหรือดำเนินธุรกิจที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ความรู้ หลักวิชาการ และเทคนิคอย่างลึกซึ้ง เช่น อาจารย์ นักค้นคว้า วิจัย แพทย์ ทั้งแผนไทยและแผนปัจจุบัน นักปรัชญา เป็นโอกาสของคุณที่จะได้บุกเบิกเริ่มต้นงานหรือธุรกิจใหม่ๆ แต่ก็อย่าประมาท เพราะขณะที่คุณคาดหวังความสำเร็จไว้สูงมากจนใครก็ขวางความคิดเห็นของคุณไม่ได้ จึงเป็นไปได้ที่จะมีอุปสรรคเข้ามาตลอดๆ เช่น เอกสารทางราชการจะผิดพลาด สามารถเป็นคดีความได้ทั้งทางแพ่งและอาญา ทางที่ดีควรหาทีมงานที่ไว้ใจได้ หรือปรึกษาผู้ที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ อยากบอกว่า คุณจะได้ระดับปรมาจารย์ เชื่อมือได้

การเงิน  :  มีโอกาสได้เงินและทรัพย์สินจากทีมงานและเจ้านาย กับทั้งอำนาจ บารมีที่อยู่ในตัว แต่ก็เป็นไปได้ที่คุณจะใช้จ่ายไม่อั้น หมดกับการเลี้ยงเพื่อนและบริวาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากให้ใครค้ำประกัน หรือเป็นนายหน้าให้กู้ยืมเงิน มีความเสี่ยงที่คุณจะต้องรับผิดชอบหนี้สินแทน จนต้องหมุนเงินอย่างเหนื่อยเลย

ความรัก  :  เป็นไปได้ว่าสัปดาห์นี้คุณอาจต้องแยกกันอยู่กับคู่ครองและครอบครัว โดยมีสาเหตุมาจากผู้ใหญ่ ไม่ท่านต้องไปหาหมอก็เป็นคุณเอง บ่อยจนคุณอึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่    คนโสด  สัปดาห์นี้มีโอกาสที่คุณจะต้องให้ความสำคัญกับผู้ใหญ่มากกว่าความรักเสียแล้ว ไม่เจอหน้ากันสักพัก

สุขภาพ   :  ต้องระวังโรคหัวใจ ไม่ว่าจะหัวใจโต ลิ้นหัวใจรั่ว ไขมันอุดตัน นอกจากนั้นก็จะเป็นสายตา ตระกูลต้อมากำลังจะมาเยือน

ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

การงาน  :   จะบอกว่าดวงยังคงรุ่งพุ่งแรงอยู่ก็ได้นะคะ แม้บางช่วงแสงจะริบหรี่ลงไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานหรือดำเนินธุรกิจในแวดวงศิลปะ ศิลปิน วงการบันเทิง นักร้อง นักแสดง ความสวยความงาม เป็นไปได้ว่าคุณจะขึ้นเดือนใหม่ด้วยการเป็นหัวหน้าโครงการ เป็นหัวหน้าทีม บุกเบิกงานใหม่ๆ ซึ่งหนทางข้างหน้าบางช่วงก็โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางช่วงก็ขึ้นเขาลงห้วย โดยที่คุณต้องปรับตัวให้เข้ากับเส้นทาง เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย หากเป็นไปได้ควรให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่น อย่ายึดติดที่ความคิดของตัวเอง จะทำให้งานสะดุดหยุดลงกลางคันจนไปไม่ถึงดวงดาว

การเงิน  :  เฮงๆ ปังๆ ได้เงินจากผลงานที่สร้างชื่อเสียง และผู้ใหญ่สนับสนุนช่วยเหลือ แต่คาดว่าจะเก็บเงินไม่อยู่ เพราะหามาเท่าไหร่ก็ช่วยเหลือคนอื่นหมด

ความรัก  :  มีเสน่ห์นะคะ ก็ต้องระวังจะนำภัยมาสู่ตัวได้ง่ายๆ เพราะเป็นไปได้ว่าคุณเองก็มีความสุขกับการอยู่ท่ามกลางความสนใจ จนลืมไปว่าตัวเองมีคู่แล้ว  คนโสด  สัปดาห์นี้เสน่ห์ของคุณไปไกลเกินกว่าคนใกล้ชิดแล้ว มีโอกาสฟาดใส่คนที่ได้เข้ามาพูดคุยกับคุณ ก็ควรสับขาหลอก จัดคิวให้ดี  

สุขภาพ   :  มีโอกาสที่คุณจะเพลิดเพลินกับการไปเดทรัวๆ จนน้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้หัวเข่ารับน้ำหนักมากขึ้นเกิดอาการปวดเมื่อย เส้นเอ็นอักเสบ จนเดินผิดปกติ นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บจากการปฏิบัติงาน

ผู้ที่เกิดวันศุกร์

การงาน  :   สำหรับชาวศุกร์สัปดาห์ส่งท้ายเดือนเก่าขึ้นเดือนใหม่นี้ มีโอกาสที่คุณจะอยู่กับการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในองค์กรหรือในธุรกิจ ซึ่งจะมาให้ลุ้นตลอดๆ และเป็นไปได้ว่าคุณก็จะแปลงกายเป็นนางสิงห์ที่ดุดัน ห้าวหาญ ไม่เกรงกลัวกับใครหน้าไหนทั้งนั้น และนับเป็นโอกาสดีที่ผู้ใหญ่ก็เห็นถึงความสามารถในการรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้า จนแต่งตั้งหรือโปรโมทให้คุณขึ้นตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ก็ต้องระวังความคิดและการตัดสินใจที่รวดเร็วเกินไป จะนำมาซึ่งความผิดพลาดเสียหายในภายหลังได้  

การเงิน  :   จากที่เงินเข้าๆ ออกๆ จนต้องเข้าสู่โหมดประหยัด สัปดาห์นี้จะหายใจได้สะดวกหน่อย เพราะมีโอกาสได้เงินจากการทำงาน ทั้งงานหลัก งานเสริม อย่างไรก็ตามคุณก็ยังอดนำเงินไปลงทุนไม่ได้ ก็อย่าลืมว่าการลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง   

ความรัก :   หากคุณคือผู้หญิงแกร่งและเก่ง เป็นเสาหลักของบ้าน สัปดาห์นี้เป็นไปได้ว่าคุณจะไม่แคร์ความรู้สึกของสมาชิกในบ้าน หากชอบใครคุณก็จัดไป  คนโสด สัปดาห์นี้ชาวศุกร์หัวสมัยใหม่มาก รักใครหลงใครก็ไม่แคร์แม้จะไม่ถูกต้อง หรือรักมากอย่างไร ก็ขอไม่ผูกมัด  

สุขภาพ  :  ระวังกรวยไตและกระเพาะปัสสาวะจะติดเชื้อ หากเป็นไปได้อย่ากลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน เพราะมีความเสี่ยงที่เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดได้

ผู้ที่เกิดวันเสาร์

การงาน  :  ชาวเสาร์ส่งท้ายเดือนเก่าเข้าสู่เดือนใหม่ด้วยการเดินทางนะคะเนี่ย เป็นไปได้ทั้งนั้นว่าจะเดินทางไปประชุม สัมมนา ดูงาน หรือขยายกิจการสาขาก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรในแวดวงศิลปะ ศิลปิน วงการบันเทิง นักร้อง นักแสดง นักดนตรี ความสวยความงาม ฯลฯ จริงๆ แล้วความสำเร็จมายืนรอคุณอยู่ตรงหน้า ทั้งชื่อเสียง และการสนับสนุนต่างๆ  แต่ก็ต้องระวังจากความเป๊ะของคุณ ซึ่งอาจไม่ทันกับการก้าวกระโดดของโลก จนเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหาต่างๆ ที่รุมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ก็ค่อยๆ คิดแก้ไขปัญหา อย่าใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด เพราะสุดท้ายแล้วคุณนั่นล่ะที่จะเป็นทุกข์ หมดกำลังใจ จนถึงขั้นท้อแท้เลยทีเดียว

การเงิน  :  มีการเดินทางไปเจรจาผลประโยชน์ หรือเซ็นสัญญาใดๆ ก็ตาม จะปัง ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง มีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน

ความรัก  :  มีโอกาสได้เดินทางไปฉลองฮันนีมูนกันเป็นรอบที่ร้อย แต่ด้วยเสน่ห์ของคุณ หากไม่ระวังอาจจบที่รอบนี้ก็ได้นะ  คนโสด  ก็ยังเป็นไปได้ที่จะเป็นต่างชาติ หรือไปพบกันที่ต่างประเทศ ซึ่งคุณก็จะหลงและทุ่มเทมากจนอาจมีข่าวดีเลยก็ได้

สุขภาพ   :  เอ็นจอยไลฟ์ ทั้งการท่องเที่ยว และการรับประทานอาหาร จึงเป็นธรรมดาที่น้ำหนักจะขึ้น ก็ระวังพวกไขมัน เบาหวาน ความดันจะตามมา แต่อย่างไรก็ตามยังมีกลิ่นความเครียดปะปนมาด้วย จึงต้องระวังปวดศีรษะ ไมเกรนด้วยนะ  

keyboard_arrow_up