จ๊อบ ธัชพล

กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่าย “จ๊อบ ธัชพล” พระเอกที่พิสูจน์ฝีมืออย่างหนักจนพิชิตฝันสำเร็จ

Alternative Textaccount_circle
จ๊อบ ธัชพล
จ๊อบ ธัชพล

คุณหมีปาฏิหาริย์ เป็นละครเรื่องที่ 3 ของหนุ่มหน้าหวาน จ๊อบ – ธัชพล กู้วงศ์บัณฑิต และถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือการแสดงของเขาไปอีกขั้น รวมถึงทำให้แฟนๆ ตกหลุมรักเขาแบบไม่ต้องพึ่งปาฏิหาริย์ ด้วยความฮ็อตเบอร์แรง วันนี้ แพรว จึงขอพาไปรู้จักตัวตนของพระเอกหนุ่มคนนี้กันค่ะ

กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่าย “จ๊อบ ธัชพล” พระเอกที่พิสูจน์ฝีมืออย่างหนักจนพิชิตฝันสำเร็จ

ละครเรื่องนี้สำหรับจ๊อบเป็นอย่างไรคะ

“ในช่วงแรกๆ ผมคิดว่าคงต้องใช้เวลาหน่อยที่จะให้แฟนๆ ละครเปิดใจมาดูละครแนวนี้ ปรากฏว่าผลตอบรับที่ออกมาแฮ็ปปี้มากเลยครับ (ยิ้ม) ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ 3 ของผม ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้แสดงเรื่องนี้ต้องเล่นกับผู้ชายนะ ยอมรับว่ากังวลเหมือนกันว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ต้องทำการบ้านขนาดไหน จะเข้าใจตัวละครได้ไหม จะเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาหรือเปล่า

“แต่พอได้เริ่มแสดงจริงๆ ผมว่าในแง่ของการแสดงไม่ต่างกัน เพราะสิ่งสำคัญคือเราต้องทำความเข้าใจกับตัวละครนั้นให้ละเอียดว่าทำไมคิดอย่างนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเล่นคู่ผู้หญิงหรือผู้ชาย เราก็ต้องทำการบ้านเพื่อให้เข้าใจว่าทำไมเราถึงรักเขา ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนกันครับ”

จ๊อบเคยบอกว่าสมัยเด็กค่อนข้างใจร้อน โมโหง่าย

“ใช่ครับ อารมณ์ร้อนมาก สมัยเด็กยิ่งหนัก อารมณ์ร้อนใส่ทุกคน โวยวาย ทะเลาะกับแม่ และเคยหงุดหงิดจนปาโทรศัพท์ลงพื้น จอแตก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงอารมณ์ร้อนขนาดนั้น และที่ทำให้ผมอารมณ์ร้อนง่ายสุดเลย ก็คือเวลาที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่มีคนมาว่า แล้วเราต้องอธิบายว่าไม่ได้ทำ เรื่องนี้จะปรี๊ดปรอทแตกเลย รู้สึกเสียเวลาที่ต้องมาอธิบายในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ

“ความอารมณ์ร้อนเร็วมาก แบบขึ้นเร็ว ลงเร็ว พออารมณ์เย็นลงแล้ว นึกย้อนที่ตัวเองทำลงไป มันแย่มากเลยนะ พอโตขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น ก็เริ่ม ใจเย็นลงครับ ส่วนหนึ่งคือสมัยเด็กเวลาเราโมโหแรงๆ แบบนั้น สมมติผมปามือถือลงพื้นแล้วเห็นแม่เสียใจ ภาพนั้นจะติดตาเรา เหมือนตราบาปที่จะนึกถึงเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ ผมจึงพยายามกดอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด ไม่ให้ไปถึงจุดนั้นอีก แต่ถามว่าทุกวันนี้ยังมีอารมณ์เสียไหม ก็มีโมโหบ้างตามปกติครับ แต่จะไม่พุ่งขึ้นไปสุดแบบนั้นอีกแล้ว อาจเป็นเพราะช่วงหลังผมทำกิจกรรมเยอะ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ซึ่งก็ทำให้เราเย็นลงเยอะครับ”

ย้อนกลับไปก่อนจะเป็นนักแสดง “เด็กชายจ๊อบ” ชอบทำอะไรคะ

“ที่จำได้คือชอบดูหนังมาก เมื่อก่อนเวลาไปออฟฟิศรอพ่อแม่ทำงาน ก็นั่งดูหนังกับน้อง หรือไม่ก็เล่นเกมกับเพื่อน เป็นสองสิ่งที่ผมชอบ พอโตหน่อยก็เริ่มเล่นดนตรี เล่นกีตาร์ตอน ม.3 แล้วก็ฝึกเล่นเปียโนเองตามยูทูบ”

จ๊อบ ธัชพล

เพราะชอบดูหนังจึงเลือกเรียนด้านภาพยนตร์หรือเปล่าคะ

“ต้องเล่าก่อนว่าตอนแรกผมยังไม่เจอตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร จึงเลือกเรียนบริหาร เพราะคิดว่าเรียนจบมาก็คงช่วยงานที่บ้าน แต่พอเรียนไปได้หนึ่งเทอมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ชอบด้านนั้น ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมเจอตัวเอง ก็คือตอนนั้นไปดูหนังเรื่อง The Pursuit of Happyness ที่วิลล์ สมิธ เล่นกับเจเดนลูกชาย

“ตอนที่ดูจบผมอินมาก รู้สึกว่าการเป็นโบรกเกอร์แบบวิลล์ สมิธ ในเรื่องโคตรเท่เลย เราน่าจะมาถูกทางแล้วแหละที่เรียนบริหาร (หัวเราะ) แต่พอนั่งคิดทบทวนกับตัวเองอีกรอบ เราไม่ได้อินกับการทำธุรกิจนะ แต่ที่เราอินคือภาพยนตร์ เราอินกับการดูหนังและรายละเอียดต่างๆ ในนั้นมากกว่า จึงตัดสินใจขอแม่ย้ายคณะ ทั้งที่เรียนไป 1 เทอมแล้วนะครับ

“ยอมรับว่าตอนนั้นคิดหนักมากครับ ผมคิดว่าหลายๆ คนก็ชอบดูหนัง แต่ถ้าเลือกเรียนด้านนี้ จบแล้วจะทำอาชีพอะไร จะยังไงต่อ แต่ตอนนั้นก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองชอบด้านนี้จริงๆ และที่เลือกเรียนภาพยนตร์ (วิทยาลัยนานาชาติ สาขาวิชาการผลิตภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) เพราะอยากทำงานเบื้องหลัง แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนักแสดง

“ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่านักแสดงต้องเริ่มอย่างไร แต่ที่เรียนด้านนี้ เพราะผมชอบถ่าย ชอบเขียน ชอบตัดต่อ ตอนนั้นคิดว่าอยากทำทีมโปรดักชั่นกับเพื่อน สำหรับรับงานนู่นนี่นั่น แต่พอเรียนจบผมก็ว่างอยู่เป็นปีเหมือนกัน เพื่อนบางคนไปทำงานสายอื่นแล้ว บางคนก็ยอมแพ้กลับไปช่วยงานที่บ้าน

“แต่ส่วนตัวผมอยากทำงานด้านนี้จริงๆ จึงใช้เวลาว่างตอนนั้นไปเรียนการแสดง เพื่อให้ตัวเองรู้ดีเทลในส่วนอื่นๆ แล้วนำมาใช้กับงานโปรดักชั่นและงานกำกับต่างๆ ได้ด้วย แต่ปรากฏว่าพอเรียนแล้วสนุกมากครับ เหมือนได้เปิดโลกให้ตัวเอง เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่น่าสนใจมาก

“ตอนนั้นคุณครูเริ่มพาไปแคสต์งาน ทำให้ผมยิ่งชอบในศาสตร์การแสดงมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็ได้มีโอกาสเจอกับพี่ปิ๊ก (ฌาณฉลาด ทวีทรัพย์) และพอได้ทำงานชิ้นแรกก็ยิ่งรู้สึกสนุก ซึ่งผมไม่ได้เจาะจงว่าตัวเองจะต้องทำอะไรในสายงานนี้ เพราะผมรู้ว่าใจเราชอบงานหลายอย่างในกองถ่าย ไม่ว่าจะเป็นตัดต่อ ช่างภาพ หรือผู้กำกับ แต่พอสุดท้ายมีโอกาสเป็นนักแสดง ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่เราอยากทำเหมือนกัน” (ยิ้ม)

ตอนนั้นเป็นหนุ่มฮ็อตไหมคะ

“ไม่ขนาดนั้นครับ (หัวเราะ) สมัยเด็กเคยได้รับการติดต่อให้ไปแคสต์งานบ้าง แต่ยอมรับเลยว่าคำว่าละครวายเป็นสิ่งที่ผมกลัวนะ จำได้ว่าตอนนั้นเดินเล่นอยู่ในห้าง แล้วมีคนเข้ามาชวนว่าสนใจเล่นซีรี่ส์วายไหม ใจผมกลัวทันที เพราะเราไม่รู้ว่าต้องแสดงยังไง ทำอะไรบ้าง

“แต่พอมาตอนนี้เราเข้าใจการแสดงมากขึ้น กลายเป็นว่า คุณหมีปาฏิหาริย์ เป็นงานที่ผมรักมาก (ยิ้ม) ดีใจที่ตัวเองได้มาเล่นในช่วงอายุที่โตขึ้น จึงเข้าใจมุมมองต่างๆ ได้ดีและชัดเจนขึ้น ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่างผมเริ่มเข้าวงการช้า จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 4 – 5 ปี ซึ่งเหมือนเพิ่งเริ่มต้นเองนะ แต่ปลายปีนี้ผมจะอายุ 30 แล้ว

“ฉะนั้นเวลาทำงานในวงการอาจเหลือน้อยกว่าเด็กๆ รุ่นใหม่ แต่ข้อดีคือเรามีประสบการณ์ชีวิต ซึ่งเป็นเหมือนวัตถุดิบสำหรับการแสดง อย่างบทที่ต้องทะเลาะกับแม่ เพราะเราผ่านเรื่องราวตรงนั้นมาแล้ว เราก็จะเข้าใจมากกว่าเด็กๆ”

จ๊อบ ธัชพล

4 – 5 ปีในวงการบันเทิง โตขึ้นในมุมไหนบ้าง

“เยอะเลยครับ ย้อนกลับไปตอนแสดงเรื่องแรก ผมมีความเห่อตัวเอง แบบได้เล่นเรื่องแรกแล้วเว้ย! (หัวเราะ) มัวแต่ตื่นเต้นที่ได้ทำงานที่ชอบ แต่ยังไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียกับงานเท่าไร คือทำเท่าที่ได้รับคำสั่ง

“และเราก็โดนผู้กำกับตำหนิว่ายังเล่นไม่ดี ไม่ได้ จนมาช่วงหนึ่งที่ท้อ คิดว่าคงไม่เหมาะกับการเป็นนักแสดง เพราะถ้าเราทำไม่ได้สักที มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะนี่คืออาชีพ ถ้าเราทำได้ไม่ดีก็ไม่ควรทำ ตอนนั้นคิดขนาดนั้นเลยครับ

“แต่พอมาเรื่องนี้ เป็นการเปิดโลกให้ผม เป็นเรื่องแรกที่ผมรู้สึกว่าเรามีส่วนร่วมกับงานจริงๆ เหมือนได้ใส่ตัวตนเข้าไป ความคิดสร้างสรรค์ ไอเดียต่างๆ และบอกตรงๆ ว่าตอนแรกผมกลัวป้าแจ๋วมาก เพราะเรื่องที่ผ่านมาผมโดนว่ามาตลอด ก็กลัวว่าเรื่องนี้จะโดนเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าพอได้ทำงานกับป้าแจ๋ว กลับคุยด้วยง่ายที่สุด เวลาป้าแจ๋วคอมเมนต์อะไร ผมสามารถนำไปใช้ได้ทันที ไม่ต้องไปถอดรหัสหรือถอดความต่อ

“อย่างก่อนหน้านี้ผมเคยโดยถามว่าเมื่อกี้เล่นอะไร ทำไมเล่นแบบนั้น แต่เขาไม่ได้บอกว่าผมควรทำอะไร และพอพูดอะไรไปก็ผิดหมดทุกอย่าง ความมั่นใจก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ และพอไม่มั่นใจก็ยิ่งเล่นไม่ได้ แต่ป้าแจ๋วพูดน้อยแต่ตรง อย่างบอกว่า ‘จ๊อบโมโหได้แค่นี้เหรอ…ฉันยังไม่เชื่อเลย’ ผมก็รู้แล้วว่าเราต้องเพิ่มเลเวลขึ้นนะ ใส่อารมณ์อีก ซึ่งทำให้ผมพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้นด้วย”

มองภาพตัวเองในอาชีพนักแสดงไว้อย่างไรคะ

“นักแสดงเป็นอาชีพที่ผมรัก ผมมีความสุขกับการทำงานมาก จึงอยากเป็นนักแสดงต่อไปเรื่อยๆ และถ้ามีโอกาสก็อยากเล่นทุกบท อยากลองทุกอย่างที่เข้ามาครับ”

แล้วมีภาพตัวเองในฐานะคนเบื้องหลังบ้างไหม

“แน่นอนครับ เพราะอาชีพนักแสดงมีเวลาของมัน ต่อให้เราเก่งแค่ไหน สุดท้ายก็จะค่อยๆ เฟดไป ซึ่งอีกหนึ่งความฝันของผมคืออยากเป็นผู้กำกับ อยากเขียน อยากเล่าเรื่องในมุมของตัวเอง อยากให้คนได้เห็นงานของเรา (ยิ้ม)

“นอกจากวงการนี้ ผมก็ไม่มีอาชีพอื่นที่อยากทำเลยนะ ไม่ใช่แค่เรื่องงานนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรืออะไรต่างๆ ถ้าเจอสิ่งที่ชอบ ผมก็จะมีแค่ชิ้นเดียวเลย อย่างผมชอบเล่นกีตาร์ ก็มีตัวโปรดแค่ตัวเดียว กีตาร์โปร่ง 1 ตัว กีตาร์ไฟฟ้า 1 ตัว หรือกระเป๋าก็จะมีใบเดียวที่ใช้ประจำ เหมือนพอเราเจอสิ่งที่ชอบแล้วก็จะใช้แต่แบบนั้นเลย”

จ๊อบ ธัชพลแล้วตอนนี้อินกับกิจกรรมอะไรที่สุด

“โอ้…เลือกยากครับ เพราะผมกิจกรรมเยอะ ให้เลือกอย่างเดียวคงไม่ได้ ถ้าก่อนหน้านี้ผมออกจากบ้านทุกวัน ชอบไปทำกิจกรรมกับเพื่อน ไปเล่นสเกตบอร์ดไฟฟ้า เพราะไปได้ระยะทางไกลๆ ช่วงกลางคืนก็ไปรอบๆ วัดพระแก้ว วนเข้าถนนข้าวสาร หรือบางวันไปเล่น Laser Gun เตะฟุตบอล ตีแบด เล่นเวคบอร์ด เล่นบอร์ดเกม คือกิจกรรมเยอะมากครับ (หัวเราะ)

“อ้อ ที่ชอบอีกอย่างคือดูหนังในโรงภาพยนตร์ ซึ่งถ้าไม่ได้ติดสถานการณ์โควิด ผมดูทุกเรื่องจริงๆ สำหรับคนอื่นถ้ามีเวลาว่างถึงจะไปดูหนังใช่ไหมครับ แต่สำหรับผมต้องหาเวลาว่างเพื่อจะไปดูให้ได้ ผมชอบดูทุกเรื่อง ทุกแนว ซึ่งตอนเรียนต้องไปดูหนังเพื่อมาเขียนวิเคราะห์ จนเปิดใจดูหนังได้เยอะขึ้น

“ชอบที่สุดคือคริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับอันดับ 1 ในดวงใจ ผมทึ่งตรงที่เขาหยิบเรื่องที่ยากมาทำให้เข้าใจง่าย อย่าง Interstellar หนังอวกาศแบบไกลตัว แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่สื่อออกมาคือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก เจ๋งมากๆ ครับ”

 

อีกไม่กี่เดือนจะเข้าสู่เลข 3 แล้ว (8 ก.ย.) คิดว่าช่วงไหนของชีวิตที่เป็นจุดเปลี่ยน

“เมื่อก่อนคิดว่าช่วงอายุ 19 จะ 20 ปี ชีวิตต้องเปลี่ยนมากแน่เลย ซึ่งผมคิดว่าจุดเปลี่ยนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเปลี่ยนตอนอายุ 25 จากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือบางคนอาจเป็นแค่ตัวเลขเฉยๆ

“สำหรับผมรู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนตอนอายุ 26 – 27 คือเรียนจบ ว่างงาน จนได้มาเล่นละครเรื่องแรก ซึ่งรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงจริงๆ เพราะพอได้ทำงานเต็มตัว โลกมันเปลี่ยนไปเลย มีความรับผิดชอบมากขึ้น โตขึ้นทุกอย่างเลยครับ”

มีเป้าหมายไหมคะว่าอายุเท่านี้ต้องมีหรือต้องทำอะไร

“ผมไม่มีเป้าเจาะจงขนาดนั้น เพราะบางทีการตั้งไว้มันกลายเป็นบีบตัวเอง และทำให้เราไม่ Flexible สมมติเราล็อกตัวเองว่าปีหน้าต้องได้เล่นหนังหรือต้องมีเงินเท่านี้นะ ผมรู้สึกว่าเรามองระยะยาวได้ แต่อย่าไปล็อก 1 2 3 4 มันจะทำให้เครียด แต่ถ้ามีโอกาสเข้ามาก็จะทำให้เต็มที่ที่สุด”

เรื่องอะไรที่ภูมิใจที่สุด

“น่าจะเป็น…เรื่องที่ผมได้ทำงานที่ชอบจริงๆ ทำให้แม่เห็นว่าเราทำได้นะ ซึ่งในอนาคตไม่รู้ว่าเราจะไปได้ไกลกว่านี้หรือจะประสบความสำเร็จถึงจุดไหน แต่ผมรู้สึกว่าแค่นี้ก็ดีมากแล้วกับการที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ทำให้ผมภูมิใจและรู้สึกดีใจมากครับ”

จ๊อบ ธัชพล

แล้วตอนนี้สถานะหัวใจเป็นอย่างไรบ้างคะ

“ตอนนี้โสดครับ (ยิ้ม) ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคุยกัน แต่พอโตขึ้น ผมว่าเรื่องไลฟ์สไตล์ การเป็นตัวเอง เรื่องการใช้ชีวิตสำคัญ และยากมากเลยนะที่จะหาคนคนหนึ่งที่เหมือนหรือเข้ากับเราได้ สมมติว่าเรามีกิจกรรมที่ชอบทำ แต่เขาไม่ได้ชอบ แล้วเราต้องเลือกเหรอว่าระหว่างอยากไปทำสิ่งที่เราชอบหรือจะอยู่กับเขา มันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่สำคัญมาก

“เพราะผมค่อนข้างซีเรียสเรื่องการเป็นตัวเอง เวลาคบกับใครก็จะเป็นตัวเองมากที่สุด แล้วก็อยากให้เขาเป็นตัวเองด้วย ฉะนั้นมีอะไรอยากให้คุยกัน แต่ที่ผ่านมาเจอคนที่ไม่ค่อยพูด มีอะไรก็เก็บไว้ ซึ่งเราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันโอเคไหม แล้วพอเวลาผ่านไปมันก็พอกไปเรื่อยๆ ซึ่งผมว่าการเปิดใจคุยกันน่าจะดีกว่า และการให้เวลาก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้ามีแฟน ผมจะให้เวลากับแฟนเยอะ อยากใช้เวลากับเขา แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าเยอะเกินไปไหม (หัวเราะ) อยากให้เราเป็นเหมือนเซฟโซนให้กัน”

มีสเป็คไหมคะ

“เมื่อก่อนมีครับ ช่วงวัยรุ่นคิดว่าทุกคนก็น่าจะมี เช่น ชอบคนตัวเล็ก อะไรอย่างนี้ แต่ตอนนี้ขอคนที่คุยกับเรารู้เรื่องก็พอ ซึ่งคำว่าคุยรู้เรื่องนี่ยากมากนะ (หัวเราะ) อย่างบางคนคุยกัน พออีกฝ่ายตอบกลับมาแค่คำเดียว ก็รู้แล้วว่าความคิดไม่ตรงกัน ซึ่งคนที่คุยแบบคอเดียวกันและไหลลื่นได้หายากนะ แล้วกว่าเราจะเรียนรู้ไปถึงจุดที่รู้ว่าเข้ากันได้หรือไม่ก็ต้องใช้เวลา ก็เลยรู้สึกว่าทำไมมันยากจัง” (หัวเราะ)

สุดท้ายค่ะ จากหนุ่มอารมณ์ร้อน ทุกวันนี้อะไรที่ทำให้มีความสุขและยิ้มได้ง่ายที่สุดคะ

“เวลาอยู่กับเพื่อนครับ (ยิ้ม) ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ทำกิจกรรมด้วยกัน ซึ่งเวลาอยู่กับเพื่อนสนิท ผมจะเป็นอีกคนเลยนะ พูดเยอะ เฮฮา เป็นตัวโจ๊กในกลุ่ม ผมรู้สึกว่าเวลาเราทำให้เพื่อนขำหรือหัวเราะได้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและสนุกมาก และในทางกลับกัน ก็เป็นการเติมพลังให้ตัวเองด้วย” (ยิ้ม)


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 982

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ซูมชีวิตทุกมุมของ “อิน สาริน” การเดินทาง 4 ปี บนเส้นทางสายบันเทิง

สตอรี่ชีวิตก่อนสวมชุดกาวน์ “ฟรัง นรีกุล” จากเด็กซน สู่ว่าที่คุณหมอสาวสวย

เปิดเรื่องจริง! ยิ่งกว่านิยาย “ณัฐณิชา ประมูลชัย” โดนแฟนทำร้ายจนสูญเสียดวงตา

Praew Recommend

keyboard_arrow_up