มิว ศุภศิษฏ์

กว่าจะสำเร็จไม่ง่าย ‘มิว ศุภศิษฏ์’ เคยแคสติ้งงานจนท้อ สู่ว่าที่ ดร. เจ้าของค่ายเพลง

Alternative Textaccount_circle
มิว ศุภศิษฏ์
มิว ศุภศิษฏ์

ภายในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มิว ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ คือนักแสดงที่มีแฟนคลับล้นหลามทั้งในและต่างประเทศ ซีรี่ส์ TharnType The Series ได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยตระเวนแคสติ้งจนเหนื่อยกว่าจะได้งานสักชิ้น วันนี้เขามีงาน 9 ชิ้นใน 1 วัน! รวมไปถึงการเปิดบริษัทของตัวเอง นอกจากนี้มิวยังเป็นว่าที่ดอกเตอร์อนาคตไกล ต้องการเป็น Better Version ของตัวเองในทุกๆ วัน คำถามคือ เขาทำอย่างไรให้ทุกอย่างดีที่สุดไปพร้อมๆ กันแบบนี้

กว่าจะสำเร็จไม่ง่าย ‘มิว ศุภศิษฏ์’ เคยแคสติ้งงานจนท้อ สู่ว่าที่ ดร. เจ้าของค่ายเพลง

อัพเดตงานให้ฟังหน่อยค่ะ

“นอกจากซีรี่ส์เรื่อง TharnType ที่กำลังออนแอร์ซีซั่น 2 และผลงานเพลง ‘นั้นนา’ ที่ได้ปล่อยซิงเกิ้ลไปแล้ว ผมกำลังเริ่มทำงานเบื้องหลังในชื่อ Mew Suppasit Studio เป็นบริษัทโปรดักชั่นที่ทำทั้งงานละครและงานเพลง จากที่ตอนโควิดระบาดแล้วต้องหยุดพักไป ผมถามตัวเองว่ามีความฝันอยากทำอะไรอีก คำตอบคืองานเพลง ซึ่งไหนๆ จะทำแล้วก็อยากทำจริงจัง การมีค่ายของตัวเองจึงง่ายต่อการควบคุมคุณภาพ มีทั้งทีมโปรดักชั่น ฝ่ายขาย การตลาด พีอาร์ ซึ่งตอนนี้ผมวางแผนไว้ว่าผลงานของค่ายจะออกมาช่วงปีหน้า มีประมาณ 4 โปรเจ็กต์ใหญ่ ซึ่งขออุบไว้ก่อนว่าจะมีอะไรบ้าง”

มิว ศุภศิษฏ์

ทุ่มให้กับงานขนาดนี้ แล้วเรื่องเรียนปริญญาเอกล่ะคะ

“ต้องเบรกไว้ก่อนครับ เพราะตอนนี้คิวงานแน่นมาก ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ อย่างวันก่อนช่วงเช้าผมไปโปรโมตซีรี่ส์ 5 ที่ ถ่ายงานอีก 3 อย่าง ปิดท้ายด้วย Live สด คือในหนึ่งวันมีงานประมาณ 9 อย่าง แล้วเป็นแบบนี้ทุกวัน อย่างวันนี้ก่อนมาถ่ายแฟชั่นกับ แพรว ผมมีประชุมซีรี่ส์ ระหว่างประชุมต้องถ่ายแบบเสื้อไปด้วย ตอนค่ำต้องไปอัดเสียงที่สตูดิโอต่อ (ยิ้ม) ฉะนั้นตอนนี้ถ้ามีเวลาว่างคือนอนก่อนเลยครับ

“ส่วนเรื่องเรียน ผมเลือกเรียนปริญญาเอกด้านอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ที่จุฬาฯ ข้อดีของสาขาวิชานี้คือเป็นเป็ด หมายถึงมีความรู้ในทุกสาขาของวิศวะ เน้นเรียนด้านตัวเลข สถิติ ความน่าจะเป็นต่างๆ ซึ่งนำมาใช้ในการวางแผนและการบริหารได้ อย่างหัวข้องานวิจัยของผมคือเรื่อง ‘ความน่าจะเป็น’ เจาะเรื่องความไม่แน่นอนในการทำธุรกิจ เหตุผลที่เลือกหัวข้อนี้ เพราะผมรู้สึกว่าความแน่นอนอย่างเดียวในโลกนี้คือความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกธุรกิจต้องเจอ สาขานี้จะช่วยได้มากสำหรับการวางแผนความน่าจะเป็นในงานต่างๆ ยกตัวอย่างนะ ถ้าคุณจะสร้างโรงงานนิวเคลียร์ อย่างแรกคือเซอร์เวย์ความคิดเห็นของคนในพื้นที่ก่อนว่าเขายอมรับไหม สร้างแล้วจะได้กำไรเท่าไร ต้องกู้ธนาคารแบบไหนให้ได้กำไรมากที่สุด หรือถ้าโรงงานหมดอายุแล้วต้องขายพื้นที่คืน จะขายได้เงินเท่าไร ซึ่งเราสามารถประยุกต์ใช้กับงานวงการบันเทิงได้ อย่างการทำสตูดิโอผมก็ใช้สิ่งที่เรียนมาวางแผนงาน ทั้งการลงทุน หาสปอนเซอร์ มองประเด็นความเสี่ยงต่างๆ ไปจนถึงการวางแผนงานครับ”

มิวอยู่ในวงการมา 11 ปี แต่เพิ่งมีชื่อเสียงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้เคยคิดเปลี่ยนใจเปลี่ยนเส้นทางบ้างไหมคะ

“เคยครับ งานช่วงแรกที่ไปแคสติ้งเป็นงานถ่ายโฆษณา เอ็มวี หนังสั้น แต่ผมแคสติ้งอะไรก็ไม่ผ่าน เช่น ไปแคสติ้งกว่า 50 งาน แต่ได้จริงๆ 3-4 งาน ช่วงนั้นคือผมโคตรอดทนเลย บอกตัวเองว่าทำเต็มที่แล้ว แต่ในใจก็คิดว่าเกิดจากอะไร จะเป็นเพราะผู้จัดการเลือกงานที่ไม่เหมาะกับเรา หรือมีเด็กเส้น ทำไมเขาไม่เลือกเรา ทั้งที่เราก็เล่นดีเหมือนกัน ฯลฯ ตอนนั้นไม่เคยย้อนมองตัวเองว่าแย่ตรงไหน จนผ่านไปเป็นปีเริ่มทำใจยอมรับว่าเราอยากจะเป็นนักแสดง แต่ไม่เคยเติมความรู้เรื่องงานแสดง แล้วจะเป็นนักแสดงที่ดีได้ยังไง ถึงได้คำตอบว่าเรานี่แหละที่ห่วยเอง ไม่ใช่คนอื่นหรอก” (หัวเราะ)

มิว ศุภศิษฏ์

เดี๋ยวนี้ความเป็นคนดังมักจะมาพร้อมข่าวดราม่า รับมือยังไงคะ

“สำหรับผมยากมาก เพราะไม่มีทางที่ผมจะไม่นอยด์ ต้องมีสักเศษเสี้ยวที่รู้สึก แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตในช่วงนั้นด้วยนะ ถ้าจิตแข็งก็ไม่เป็นอะไร ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าข่าวที่เกิดขึ้นจริงไหม ถ้าจริงยอมรับก็จบ แต่ถ้าไม่จริง ดูก่อนว่าอธิบายไปแล้วได้อะไร คนที่พร้อมจะรักเราเขาเข้าใจอยู่แล้ว ส่วนคนที่พร้อมจะเกลียดเรา เขาไม่คิดว่านั่นคือคำอธิบาย เขาจะคิดว่าเราแก้ตัว ใช้วิธีเงียบๆ ให้ข่าวซาไปดีที่สุด โชคดีที่ผมไม่ติดโซเชียล ไม่อ่านไดเร็กต์เมสเสจ ไม่อ่านฟีดแบ็ก จึงกระทบไม่มาก”

พอมีชื่อเสียง การใช้ชีวิตยากขึ้นมากไหม

“ไม่นะครับ คือแฟนคลับทุกคนรู้ว่าผมจะมีพื้นที่ส่วนตัว เขาเข้าใจว่าเราเป็นแค่คนทั่วไปที่ควรจะมีเวลาส่วนตัวเหมือนคนอื่น แฟนคลับจึงพยายามทำเหมือนผมเป็นคนธรรมดาคนนึง ผมเคยเห็นแฟนคลับของศิลปินบางคนล้ำเส้น เช่น เดินเข้ามาประชิดแล้วลูบตัว หรือจู่ๆ เอามือถือมาจ่อหน้า ก็ไม่ใช่นะ คิดง่าย ๆ คือเราต่างเป็นคนแปลกหน้า ถ้ามีคนที่คุณไม่รู้จักเดินมาลูบตัวจะรู้สึกยังไง ซึ่งจุดนี้แฟนคลับผมเข้าใจ ผมจึงเป็นตัวเองได้ อย่างเวลาไปกินข้าวที่ร้านอาหาร เขาจะไม่มาถ่ายรูป เพราะเคารพเวลาของเรา แต่จะทวีตมาหาว่าเจอเราที่ร้านนะ คือเคารพผมในฐานะที่เป็นคนธรรมดา แต่ถ้าอยากถ่ายรูปก็ขออนุญาต แบบนี้น่ารักเลย”

มิว ศุภศิษฏ์

พูดถึงความชอบบ้าง ทุกคนรู้ว่ามิวเป็นสายมู มูขั้นสุดคืออะไรคะ

“ผมเป็นประเภทถือเรื่องโชคลางของขลังด้วย เรื่องมูของผมก็จะแปลกมากๆ เช่น วันสอบผมจะชอบทำของใกล้ตัวตกเพื่อเรียกโชค ซึ่งเป็นวิธีที่ผมคิดขึ้นเอง โดยของชิ้นนั้นจะต้องมีตัวอักษร A แล้วเชื่อว่าเราจะได้เกรด A ติงต๊องไหมล่ะ (หัวเราะ) เช่น ทำเก้าอี้ (Chair) ล้ม หรือบางทีไม่ได้อยู่ใกล้กับสิ่งของที่มีตัว A ก็พยายามหาจนได้ เช่น ทำเสื้อยืดตก คำว่า T-Shirt ไม่มี A เราก็เติมเข้าไปว่า Favorite T-Shirt (หัวเราะ) แต่งเองเพื่อความสบายใจ แต่ถ้าถามว่าได้เกรด A ไหม จริงๆ ก็ได้นะ”

ของมูชิ้นไหนที่ชอบพกติดตัวคะ

“เครื่องรางของขลัง ผ้ายันต์ต่างๆ จะรวมอยู่ในกระเป๋าสตางค์นี่แหละครับ นอกจากนี้ผมยังใส่เสื้อผ้าตามสีวัน มันเลยทำให้ผมชอบแต่งตัว มีของแต่งตัวเยอะ และต้องเอาของมาแมตช์สีให้เข้ากัน อย่างแฟนๆ ที่รู้ก็จะซื้อเสื้อผ้ามาให้ ซึ่งผมไม่ใช่คนจำกัดสไตล์ ไม่ติดแบรนด์ แค่ชอบอะไรที่ดูเท่ แมตช์แล้วดี เช่น บางวันใส่โอเวอร์ไซส์ก็จะดูฮิป บางวันใส่เสื้อรัดรูปกับกางเกงยีนก็จะดูวินเทจ”

มิว ศุภศิษฏ์

เป้าหมายในชีวิตตอนนี้คืออะไรคะ

“ถ้าเป็นเรื่องงานแสดง ผมอยากได้รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม ถ้าได้รางวัลต่างประเทศก็จะดีมาก เพราะตอนนี้เริ่มมีงานร่วมกับต่างประเทศแล้ว ส่วนงานเพลงผมอยากจัดคอนเสิร์ตใหญ่ที่อิมแพ็ค เห็นแฟนๆ มาเยอะๆ ซึ่งก่อนที่จะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ได้ ต้องปล่อยเพลงก่อนครับ ผมวางไว้ที่ 8-10 เพลง ซึ่งตอนนี้เรามีแค่ 2 เพลง ก็ต้องทยอยทำ

“ผมใช้วิธีวางเยียร์แพลนชีวิตตัวเองล่วงหน้า ตอนนี้วางไว้ได้ 3 ปีแล้ว เช่น ถ้าปีหน้าเราอยากจัดคอนเสิร์ตใหญ่จะต้องทำอะไรบ้าง เช่น ต้องทำอัลบั้มเต็มก่อนนะ หรือถ้าจะมีซีรี่ส์ ก็จะย้อนกลับมาดูว่าเริ่มแคสติ้งตอนไหน ทำบทไปถึงไหน เรื่องโปรดักชั่นและตัดต่อจะวางไว้ยังไง เหมือนเรามีหัวข้อใหญ่ไว้ในหัวแล้วลิสต์เรื่องย่อยๆ ลงมา สิ่งไหนที่ไม่รู้ผมจะให้ครีเอทีฟช่วยสอน เพราะผมเชื่อว่ายิ่งเราลงดีเทลมากเท่าไหร่ งานจะยิ่งละเอียดมากเท่านั้น ทั้งการปล่อยซิงเกิ้ล ต้องวางแผนพีอาร์อย่างไร โปสเตอร์ควรเป็นแบบไหน ลงรายละเอียดไปจนถึงฟ้อนต์ตัวอักษรและสี”

สิ่งที่มิวคาดหวังที่สุดคืออะไรคะ

“คาดหวังว่าตัวเองจะพอใจ ผมคิดว่าความพอใจของเราคือสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าทำเต็มที่ แต่มีคนไม่ชอบ ก็ต้องย้อนมองว่าถ้าเราเต็มที่เท่ากับเวลาที่เรามีแล้ว ถ้ามันได้เท่านี้ก็คือเท่านี้แหละ ผมรู้ว่าคำว่าเพอร์เฟ็กต์ไม่มีจริง สำหรับผมเพอร์เฟ็กต์หมายถึงทางตัน เพราะมันไปสุดได้แค่นั้น แต่ถ้าเราไม่หยุดพัฒนา ก็สามารถเติมตัวเองได้เรื่อยๆ ผมแค่อยากเป็น Better Version of Myself ในทุกๆ วัน”


อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับ 965

ภาพ : mewsuppasit

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ชีวิตสะใภ้จิราธิวัฒน์ ‘มาร์กี้ ราศรี’ บทบาทเปลี่ยน ความคิดโต ขยันเก็บเงินมากกว่าใช้

เลี้ยงลูกสไตล์ขุ่นแม่! ‘ชมพู่ อารยา’ ว่าด้วยวีรกรรมของแฝด และเรื่องที่แม่ห่วงใย

เปิดใจครั้งแรก! ชีวิตหลังแต่งไม่เป็นอย่างที่คิด เขื่อน K-OTIC ยอมรับเลิก “เดเมียน”

Praew Recommend

keyboard_arrow_up