วังหิ่งห้อย

วังหิ่งห้อย ดินเนอร์สุดโรแมนติก ร้านอาหารไทยรสชาติต้นตำรับ โดยเชฟนิค- ณัฐพล

account_circle
วังหิ่งห้อย
วังหิ่งห้อย

วังหิ่งห้อย’ ร้านอาหารไทยรสชาติต้นตำรับ Fine Dining โดยเชฟนิค- ณัฐพล ภวไพบูลย์ ที่ถักทอเรื่องราวของอาหารเชื่อมโยงกับหิ่งห้อย สัญลักษณ์ของความอุดสมบูรณ์ในธรรมชาติ ตามคอนเซ็ปต์ของร้าน ‘ป่ากลางเมือง’ ที่อยากยกธรรมชาติมาไว้ในเมืองกรุง สร้างบรรยากาศดินเนอร์สุดโรแมนติกในแสงสลัว ที่คุณจะเห็นแสงของเหล่าหิ่งห้อยส่องประกายในความมืด

วังหิ่งห้อย… ดินเนอร์สุดโรแมนติก ร้านอาหารไทยรสชาติต้นตำรับ โดยเชฟนิค- ณัฐพล

วังหิ่งห้อยเปิดมาตั้งแต่ปี 2017 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากหิ่งห้อยที่เป็นตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม โดยเชฟตั้งใจว่าจะเปิดร้านเพียง 18 เดือนซึ่งเป็นช่วงอายุขัยของหิ่งห้อย เมื่อเขาพิสูจน์ว่า สามารถทำร้านอาหารในสภาพแวดล้อมที่มีหิ่งห้อยเติบโตได้และด้วยรสชาติอาหารที่ดี จนได้รับการตอบรับอย่างมากจากนักชิม ก็ตัดสินใจปิดตัวไป หลังจากนั้นเชฟก็ได้ไปบริหารธุรกิจส่วนตัว อาทิ ร้านเบเกอร์รี่สุดพรีเมียม Eric Kayser ที่มีอยู่หลายสาขา

ผ่านไปพักใหญ่ หลายเสียงเรียกร้องให้กลับมาเปิดร้านอีกครั้ง คราวนี้เขามาพร้อมกับธีม Awake สื่อถึงการปลุกตื่นฟื้นคืน ไม่ว่าจะเป็นการปลุกให้เชฟลุกขึ้นมาเข้าครัวอีกครั้ง หรือ ปลุกกระแสให้ชุมชน จากการช่วยซื้อวัตถุดิบ เช่น ซื้อเครื่องเทศจากชุมชนทางภาคเหนือ อย่าง น่าน ลำพูน ลำปาง ซื้อเป็ดจากราชบุรี กบจากฟาร์มออร์แกนิกจังหวัดอ่างทาง ปูจากชุมพร กุ้งจากกาญจนบุรี โดยมีแผนก QC คอยตรวจตราความสด สะอาดของวัตถุดิบทุกเช้า

“สำหรับเมนู Awake มีทั้งหมด 10 คอร์ส ซึ่งเชฟใช้เวลาในการคิดสูตร นานถึง 8 เดือน ร่วมกับพนักงานในทีม ทุกคนช่วยกันตกผลึกความคิดเพื่อให้เมนูนี้ออกมาอร่อยที่สุด ในรสชาติไทยดั้งเดิม แต่พลิกโฉมหน้าตาอาหารให้โมเดิร์นขึ้น ตามคอนเซ็ปต์ Modern culture with inspiration โดยคอร์สนี้จะให้ทานจนถึงประมาณเดือนสิงหาคม (โทรจองที่นั่ง สามารถสอบถามรายละเอียดคอร์สกับทางร้านก่อน)  หลังจากนั้นจะเปลี่ยนธีมใหม่ โดยผมขอเก็บเป็นความลับ บอกได้เพียงว่า ใช้เวลาคิดและพัฒนาอาหารนานถึง 9 เดือน”

เริ่มที่เมนู สาคู ที่เชฟได้แรงบันดาลใจจากหิ่งห้อยตัวเมียที่ไปวางไข่ในน้ำ เวลาเขาวางไข่จะเป็นก้อนเหมือนสาคู ข้างในสาคูเป็นหมูออร์แกนิก ผสมกับไส้ถั่ว โรยด้วยกระเทียมโทนทอด ประดับด้วยทอง 18K

จานต่อมาคือตับบด เชฟตั้งชื่อว่า  Circle of life หรือวัฏจักรชีวิต เล่าถึงช่วงชีวิต 3 เดือนของหิ่งห้อย ผ่านหน้าตาอาหาร ประกอบไปด้วยแยม 3 ชนิด ที่ทำจากมัลเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, ส้มยูซุ และขนมปังกับตับไก่ออร์แกนิก เมื่อกินตับบดกินคู่กับแยมรสชาติจะกลมกล่อม ตัดเลี่ยนได้ดี

จานที่สามคือ คั่วขนุน เมนูโบราณทางเหนือที่นำแกงไปคั่วจนหอม เมนูนี้เปรียบเสมือนหิ่งห้อยที่โตเต็มวัยและกำลังจะบินผ่านพ้นน้ำขึ้นมา ตอนที่เขากำลังจะพ้นน้ำ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือ ยอดน้ำค้างจากต้นไม้ คั่วขนุนที่ร้านใช้มาจากจังหวัดลำปาง เสิร์ฟพร้อมกะปิ พริกแห้ง แผ่นแป้งเวียดนาม จัดวางอย่างสวยงามบนลูกเดือยป็อปคอร์น จานนี้ให้รสชาติเผ็ดกำลังดี แต่ไม่มีกลิ่นและความคาวของกะปิ

จานที่สี่คือ ลาบเหนือ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ที่หิ่งห้อยต้องการ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ เราใช้เนื้อประเภท Angus Beef อย่างดี คลุกเคล้ากับพริกจากภาคเหนือ กระเทียม มะกรูด กินแล้วเผ็ดร้อนขึ้นมาระดับหนึ่ง ส่วนเนื้อก็นุ่มกำลังดี ใครเป็นสายลาบต้องชอบ เพราะได้รสดั้งเดิม

ต่อไปก็คือ ยำขากบ สาเหตุที่ใช้กบ เพราะเป็นศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของหิ่งห้อย ใครที่ไม่เคยกินกบอยากขอให้ลองจานนี้ เพราะเนื้อกบนุ่มมากจนนึกว่า ไก่ ทางร้านใช้ขากบออร์แกนิค ส่งตรงจากอ่างทอง เลี้ยงโดยระบบฟาร์มปิด สะอาด อร่อยจนได้ส่งออกไปไกลถึงฝรั่งเศส  โดยกบที่เลี้ยงไม่เคยเดินบนพื้นดิน แต่จะอยู่แค่บนใบบัว ทำให้ขานุ่ม เนื้อไม่แข็ง

จานต่อมาคือ ต้มยำกุ้ง จานโปรดของใครหลายๆ คน ขี้กุ้งเป็นอาหารของหิ่งห้อยในช่วงที่ยังไม่โตเต็มวัย เชฟใช้กุ้งเสื้อชิ้นใหญ่จากฟาร์มที่จันทบุรีเนื้อหวานนุ่ม กินคู่กับมะเขือเทศ พร้อมซุปต้มยำกุ้ง อร่อยจนอยากขอสั่งเพิ่ม  

ต่อมาคือ ปูผัดผงกะหรี่ ที่สื่อว่า ปกติหิ่งห้อยจะมีทั้งชนิดที่เติบโตในน้ำจืดและน้ำกร่อย ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีปูเยอะ เชฟได้ใช้กรรเชียงปูเนื้อใหญ่เต็มคำจากจังหวัดชุมพร เสิร์ฟพร้อมกับซอสผงกะหรี่ที่หอมเครื่องเทศ บอกเลยว่า เนื้อปูใหญ่สะใจมาก

จากนั้นเข้าสู่เมนคอร์ส ที่เราเลือกได้ว่า จะกินแกงเผ็ดเป็ดย่าง, แกงขี้เหล็กเนื้อ หรือ ปลาสามรส ต่อมาคือของหวาน ลอดช่องน้ำกะทิ ที่ทางร้านเคยได้รับรางวัล The world best organic desert 2019 ซึ่งเชฟนิคเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รางวัลนี้และคว้ามาถึง 3 ดาว เชฟได้เปลี่ยนหน้าตาของลอดช่องให้ออกมาสวยและโมเดิร์นจนคิดไม่ถึง ปิดท้ายด้วยขนมเปียกปูน ที่มีไวท์ช็อกโกแลตก้อนกลมสอดไส้สาคู แสดงให้เห็นถึงวังหิ่งห้อยที่ได้กลับไปสู่ผืนดินนั้นเอง สำหรับมูลค่าอาหารอยู่ที่ 2,890++ (ไม่รวม vat และ service charge) ถือว่าคุ้มสุด

สำหรับบรรยากาศของร้าน ต้องบอกว่าโรแมนติกมาก เพราะคุณนั่งท่ามกลางแสงสลัว เมื่อเปิดม่าน จะเห็นแสงสีเขียว ทองจากหิ่งห้อย ผ่านทางกระจกใส ซึ่งสามารถถ่ายรูปได้ (แต่ห้ามใช้แฟลช เพราะจะทำร้ายดวงตาของหิ่งห้อย) ถ้ามาช่วงปลายปีที่อากาศเย็นหน่อย หิ่งห้อยจะออกมานับพัน แต่สำหรับช่วงกลางปีอย่างนี้ จะออกมาวันละ 300-500 ตัวตามสภาพอากาศ
          ประสบการณ์ฟินทั้งสายตา ท้อง และใจแบบนี้ไม่ควรพลาด Location Urban Yard ถนนกำแพงเพชร 7
โทร. 091-979-6226
ร้านเปิด 18.00-21.00 Fb: Wanghinghoi


Praew Recommend

keyboard_arrow_up