แสงไม่จ้าก็ทำร้ายดวงตาได้

รู้หรือไม่? แสงไม่จ้าก็ทำร้ายดวงตาได้ จึงควรพักสายตาด้วยกฎ 20-20-20

Alternative Textaccount_circle
แสงไม่จ้าก็ทำร้ายดวงตาได้
แสงไม่จ้าก็ทำร้ายดวงตาได้

รู้หรือไม่? แสงไม่จ้าก็ทำร้ายดวงตาได้ จึงควรพักสายตาด้วยกฎ 20-20-20

รายงานการวิจัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2050 ประชากรกว่าครึ่งโลกหรือคิดเป็นจำนวนกว่า 50 ล้านคนจะมีปัญหาภาวะสายตาสั้น! จึงขอแนะเคล็ดลับการเลือกเลนส์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน

เพราะดวงตาถูกออกแบบมาเพื่อรับ “แสง” และสร้างการมองเห็นของมนุษย์ ในแต่ละวันเราต้องพบเจอกับสภาพแสงหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย์ แสงหลอดไฟในอาคาร หรือแม้แต่ช่วงแสงสีน้ำเงินอมม่วงที่เป็นอันตรายต่อจอประสาทตาเมื่อเราจ้องมองอุปกรณ์ดิจิทัล โดยเฉพาะแสงสีน้ำเงินที่ในปัจจุบันมีการตื่นตัวกันอย่างกว้างขวาง เพราะงานศึกษาหลายชิ้นระบุว่าผู้คนกว่า 68% มีอาการอ่อนล้าทางสายตา เพราะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานหลายชั่วโมงต่อวัน และมีความเสี่ยงต่อภาวะจอประสามตาเสื่อมจากแสงสีน้ำเงินอมม่วง อีกทั้งยังทำให้เกิดอาการตาแห้ง ปวดกระบอกตา และบางรายอาจมีอาการมองเห็นภาพเบลอร่วมด้วย

แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงนั้น แสงธรรมชาติ แสงหลอดไฟ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางชนิดก็สามารถทำร้ายดวงตาเราได้มากเช่นกัน โดยแสงธรรมชาติจะมาพร้อมกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตรายกับดวงตาเราและเป็นหนึ่งปัจจัยเสี่ยงในการเร่งการเสื่อมอายุของเลนส์ตาที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก โดยเฉพาะดวงตาของเด็กเล็กยิ่งมีความไวต่อรังสียูวีมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 3 เท่า แม้การออกไปรับแสงธรรมชาติจะส่งผลดีต่อร่างกายในการสังเคราะห์วิตามินดีเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก แต่ดวงตาก็จำเป็นต้องได้รับการปกป้องด้วยเช่นกัน

แสงไม่จ้าก็ทำร้ายดวงตาได้

วิธีการปกป้องดวงตาที่ต้องท้าแสงในกิจกรรมรูปแบบต่างๆ  

  1. กิจกรรมในพื้นที่ร่ม เมื่ออยู่ในอาคาร สิ่งที่พึงระวังคือแสงสีน้ำเงินอมม่วงจากการทำงานหน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน จึงควรเลือกเลนส์แว่นตาที่สามารถปกป้องดวงตาจาก “แสงร้าย” เลือกกรองเฉพาะช่วงแสงสีน้ำเงินอมม่วงจากอุปกรณ์ดิจิทัลและหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่เป็นอันตราย ในขณะที่ให้ “แสงดี” สีน้ำเงินอมเขียวที่ช่วยปรับอารมณ์ และทำให้ร่างกายตื่นตัว แอคทีฟ ผ่านเข้าสู่ดวงตาได้

แสงไม่จ้าก็ทำร้ายดวงตาได้

  1. กิจกรรมแอคทีฟทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง การใช้เลนส์ที่เปลี่ยนสีตามสภาวะแสงโดยอัตโนมัติคือคำตอบของทุกไลฟ์สไตล์ เพราะเมื่อออกสู่กลางแจ้ง สีของเลนส์จะเข้มขึ้น และเมื่ออยู่ในอาคารเลนส์จะใสแต่ยังคงคุณสมบัติการป้องกันรังสียูวีได้ 100% พร้อมตัดแสงสีน้ำเงินเอาไว้ ทำให้มีความสบายตาตลอดทั้งวัน และใช้งานได้อย่างสะดวกสบายครบจบในเลนส์เดียว ปกป้องดวงตาได้ตลอดเวลาทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง ช่วยให้ทำกิจกรรมได้คล่องตัวยิ่งกว่าเพราะไม่ต้องพกแว่นตาหลายอันให้ยุ่งยากและสิ้นเปลือง
  2. กิจกรรมท้าแสงกลางแจ้งหรือแดดจัด ควรสวมแว่นกันแดดหรือใช้เลนส์โพลาไรซ์เพื่อตัดแสงจ้าและแสงสะท้อนจากวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นผิวถนน เงากระจก หรือผิวสะท้อนอื่นๆ เปรียบเสมือนติดเกราะป้องกันดวงตา เสริมการมองเห็นให้คมชัดและสบายตามากยิ่งขึ้น ช่วยให้หมดกังวลกับแสงรอบตัวที่อาจทำร้ายดวงตาขณะทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งในขณะขับรถ เล่นกีฬา เดินทางท่องเที่ยว ฯลฯ

แสงไม่จ้าก็ทำร้ายดวงตาได้

สำหรับผู้ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรพักสายตาด้วยกฎ 20-20-20

โดยหยุดพักสายตาเป็นเวลา 20 วินาที ทุกๆ 20 นาที ด้วยการมองไกลออกไป 20 ฟุต ซึ่งช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลาย และเป็นการกระตุ้นให้เรากระพริบตาเพื่อเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงในดวงตาของเราอีกด้วย


ข้อมูล : เอสซีลอร์ ผู้นำระดับโลกทางด้านการแก้ไขปัญหาสายตา
ภาพ : Pexels

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลองหาทำ 25 ข้อ เปลี่ยนพุงพลุ้ยเป็นหุ่นเพรียว แค่ปรับไลฟ์สไตล์การกินอยู่

หลับยาก! เช็คลิสต์ 5 โรคฮิตต้นเหตุของปัญหาการนอนไม่หลับ

น้ำหนักพุ่งไม่รู้ตัว! 5 วิธีเลิกนิสัยเครียดแล้วกิน ดูแลสุขภาพวิถีใหม่แบบนิวนอร์มัล

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up