2015 คือปีที่หนังฮอลลีวู้ดจัดหนัก จัดเต็มอีกแล้วเช่นเคย เพราะมาหลากหลายสไตล์ในระดับท็อปฟอร์ม ทั้งหนังทุนสร้างอลังการ หนังภาคต่อ หนังรีเมค หนังฟอร์มเล็กแต่นักแสดงเล่นใหญ่ หนังที่เกิดมาเพื่อล่ารางวัล หนังที่สร้างจากนิยายดังๆ
แต่ถ้าเจาะจงเฉพาะทาง หนังที่ตอบโจทย์คนดูได้มากที่สุด ก็ยังคงอยู่ที่แนวแอ็กชั่น บู๊ระห่ำ เทคนิคซีจีตระการตา ตามมาด้วยแนวคอมเมดี้ ส่วนที่ตามหลังอยู่สำหรับปีนี้ ก็พวกหนังสยองขวัญและหนังที่เน้นดราม่าจัดๆ ขณะที่หนังแนวสายลับ ก็ต้องยอมใจให้เลย เพราะมาแรงมากในปีนี้ สนุกอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน ถึงเวลาแล้วล่ะที่เราจะมากระตุ้นย้อนความทรงจำกลับไปช่วงต้นปี 2015 กันว่ามีหนังเรื่องไหนที่ปังสำหรับคนดูส่วนใหญ่กันบ้าง แน่นอนว่าการเลือกหนังมาจัดอันดับนี้เราวัดจากความสนุกเป็นหลักนะเออ
อันดับ 10
Sicario (อ่านว่าซิการิโอ หมายถึงนักฆ่า) เป็นหนังดราม่าแอ็กชั่นแนวอาชญากรรมยาเสพติด หลักๆ จัดหนัก จัดเต็ม ทั้งประเด็นดราม่า ฉากรุนแรงเพียบ ดูแล้วกดดันไม่ใช่เล่น ที่สำคัญคือทำให้หัวใจเต้นตุบตับตามได้ตลอดทั้งเรื่องจริงๆ แน่นอนว่าหนังมาพร้อมซีนลุ้นระทึก ที่ค่อยๆ ไต่ระดับความสนุกขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปถึงซีนท้ายๆ ที่ทำเอาแทบลืมหายใจเลยทีเดียว นอกจากนี้หนังยังท็อปฟอร์มตรงที่พล็อตเด่น ดนตรีประกอบเยี่ยม และนักแสดงหลักทั้งสามเล่นดีมาก อยากจะกระโดดปรบมือให้เลย สำหรับเนื้อเรื่องคร่าวๆ จะเล่าถึงเอฟบีไอสาวรายหนึ่งที่ถูกกลุ่มทหารติดต่อให้ไปร่วมภารกิจตามล่านักค้ายาเสพติดตัวพ่อของเม็กซิโก ซึ่งเรียกได้ว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เนื่องจากสถานการณ์บางอย่างชวนให้เธอสงสัยว่า คนที่อยู่ในทีมเดียวกับเธออาจจะกำลังมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ นี่แหละคือบททดสอบทางจิตใจและศีลธรรมของเธอที่ต้องผ่านมันไปให้ได้ นี่คือหนังแนวอาชญากรรมที่ดีที่สุดของปีนี้จริงๆ
อันดับ 9
The Martian หนังฟอร์มยักษ์ที่สร้างจากนิยายดราม่าไซไฟเรื่องนี้จะจุดประกายให้เรารู้สึกว่าเรื่องเกินจริง มันสามารถเกิดขึ้นได้แค่เพียงเราลงมือทำอย่างตั้งใจ ไม่ยอมหมดหวังกับอะไรง่ายๆ อย่างเช่นตัวละครหลักอย่าง ‘มาร์ค วัทนีย์’ นักบินอวกาศที่ต้องไปติดอยู่บนดาวอังคารเพียงลำพัง และเขาจะต้องหาทางทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองมีชีวิตรอดเพื่อรอให้คนมารับเขากลับ แม้ว่ามันจะดูเลือนรางก็ตาม สำหรับช่วงน้เรื่องไม่ได้มีอะไรหวือหวา ชีวิตของตัวพระเอกที่อยู่บนดาวอังคารก็ให้อารมณ์เหงาๆ ดี เราจะได้เห็นสภาพอารมณ์ที่หลากหลายของเขา รวมทั้งมุกตลกร้ายต่างๆ ที่คอยยิงมาเป็นระยะๆ ซึ่งก็เป็นส่วนที่ทำให้หนังไม่เครียดอย่างที่คิด ถ้าปล่อยมุกถี่กว่านี้อีกนิดคงจะกลายเป็นหนังคอมเมดี้แน่ๆ ณ จุดนี้ต้องบอกว่าแมตต์ เดมอนคือเล่นเก่งมาก เขาสามารถสวมบทนักบินอวกาศที่ต้องมาเผชิญชะตากรรมติดบนดาวอังคารคนเดียวได้แบบเข้าถึงอารมณ์ โดยภาพรวมทั้งหมด จึงถือเป็นหนังตะลุยอวกาศอีกเรื่องที่ต้องบอกว่าสนุกใช้ได้ ตัวบทถือว่าดีงามตามท้องเรื่อง ขนาดมีความยาวตั้งสองชั่วโมงครึ่ง แต่กลับดูเพลิน ไม่น่าเบื่อเลย
อันดับ 8
Spy นับเป็นหนังแนวสายลับอีกเรื่องของปีนี้ที่ทำออกมาได้ดีเกินคาด ทั้งทีมนักแสดง พล็อตเรื่อง และมุกฮาๆ จัดว่าพรีเมี่ยมมาก โดยเฉพาะบทบาทนางเอกที่นักแสดงสาวร่างท้วมอย่างมาลิสซ่า แมคคาร์ตทีย์ โชว์ฝีมือเอาไว้ ก็เล่นได้ฮาทุกฉาก เป็นคนที่ตลกหน้าตายมาก โดยหนังจะเล่าถึงผู้ช่วยสายลับหุ่นเผละที่วันหนึ่งได้จับผลัดจับผลูไปลุยงานสายลับเอง แต่ต้องปลอมตัวไปในลุคมนุษย์ป้า! ก่อนจะได้เจอกับเหตุการณ์เสี่ยงตายสารพัด ในส่วนของการเดินเรื่องถือว่ากระชับ ฉับไว มีซีนให้ตื่นเต้นลุ้นระทึกตามสไตล์หนังสายลับ ไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อน จึงไม่ยากหากจะคาดเดาเนื้อเรื่องได้ แต่ที่เซอร์ไพรส์เห็นจะเป็นซีนฮาๆ ทั้งหลายที่ขนมาแบบไม่ยั้ง และชวนให้ขำตามได้จริง ขนาดได้ดูฉากฮาๆ ในตัวอย่างหนังไปแล้ว พอได้มาดูในหนังเต็มๆ ก็ยังสามารถฮาได้อีก เรียกได้ว่า นี่คือหนังที่บันเทิงครบรส สนุกครบครัน แม้จะเดาเรื่องง่ายไปหน่อย แต่ถ้าเปรียบเป็นอาหารสักจาน ก็ต้องบอกได้เต็มคำเลยว่า อร่อยหนักมากกก
อันดับ 7
Kingsman : The Secret Service จัดเป็นหนังนอกสายตาของใครหลายคน แต่ทำออกมาได้น่าติดตามสุดๆ ไม่มีช่วงน่าเบื่อเลยตลอดสองชั่วโมง ถือเป็นหนังแนวสายลับยุคใหม่ที่นำเสนอออกมาได้สนุกมากเกินคาด ไม่คิดว่าจะทำออกมาได้โหด มันส์ เป๊ะขนาดนี้ โดยหนังจะเล่าถึงเอ็กซี่ เด็กหนุ่มใจแตกที่มีโอกาสได้เข้าไปร่วมคัดเลือกตัวเป็นสายลับคนใหม่ให้กับทางคิงส์แมน กลุ่มสายลับอังกฤษฐานะดีที่มีฉากหน้าเป็นร้านตัดชุดสูทเนี้ยบๆ เราจะได้เห็นซีนต่อสู้เท่ๆ ของสายลับ ช่วงคัดเลือกการเป็นสายลับที่แปลกใหม่ดี นอกจากนี้ลูกสมุนของตัวร้ายยังเล่นได้แซบเว่อร์ โดยหนังเลือกที่จะนำเสนอแบบลูกผสมระหว่างความคลาสสิกกับความทันสมัยของเทคโนโลยีสุดเฟี้ยวฟ้าว แถมยังไม่ทิ้งกลิ่นอายของหนังสไตล์สายลับผู้ดีอังกฤษที่มองเผินๆ แล้วเหมือนจะแอบแซวหนังดังๆ อย่างเจมส์ บอนด์เลยล่ะ งานนี้มีภาคต่อแน่นอน
อันดับ 6
Mission Impossible : Rogue Nation ‘ปฏิบัติการรัฐอำพราง’ ถือเป็นอีกหนึ่งหนังสายลับของปีนี้ที่ดีงามตามท้องเรื่องมากๆ เนื่องด้วยภาคนี้จะไม่เน้นที่ภารกิจเป็นไปไม่ได้และบู๊สะบั้นหั่นแหลกเท่านั้น แต่จะแทรกซึมเสน่ห์ของหนังสายลับที่มีการเชือดเฉือนอารมณ์แบบหักมุมเข้ามาให้เราลุ้นระทึกยิ่งกว่าเดิม โดยหนังจะเล่าเรื่องราวต่อจากภาคก่อน หลังจากที่อีธาน (ทอม ครูซ) หลุดพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องหาวางระเบิด แต่กลับถึงคราวที่องค์กรลับของเขาอย่างไอเอ็มเอฟถูกยุบ ระหว่างนี้อีธานจำเป็นต้องหายตัวไปเพื่อหลบหนีการตามล่าขององค์กรลับที่ใช้ชื่อว่าซินดิเคต การเดินเรื่องจัดว่าเด็ด เอาอยู่ หนังค่อยๆ ไต่ระดับความมันส์ขึ้นเรื่อยๆ ซาวนด์ประกอบชวนตื่นเต้น การกระจายบทตัวละครในเรื่องค่อนข้างโอเค เพราะเน้นความสำคัญตามเรื่องราว แต่ที่แจ้งเกิดและเด่นเกินหน้าพระเอก เห็นจะเป็นบทนางเอกนี่แหละแซบมาก เป็นคาแร็กเตอร์ของสายลับหญิงในแบบที่ใครเห็นเป็นต้องชอบ ถ้าถามว่าชอบอะไรในภาคนี้สุด น่าจะเป็นเซอร์วิสในฉากแอ็กชั่นทั้งหลายที่อาจจะซ้ำๆ ไปบ้าง แต่กลับออกมาเท่ และสะใจโคตร
อันดับ 5
Jurassic World สวนไดโนเสาร์แห่งใหม่ถูกสร้างขึ้น ณ เกาะแห่งเดิม แต่อลังการกว่าเดิมมากกก ใครจะรู้ว่าเรื่องวุ่นวายกำลังจะบังเกิดขึ้นเมื่อไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่ครบเครื่องเรื่องความโหดซึ่งพวกนักวิจัยเพาะพันธุ์มันขึ้นมาหลุดออกมาจากกรง! ความมันส์ ลุ้นระทึกจึงบังเกิด นี่คือพล็อตคร่าวๆ ใน Jurassic World ภาค 4 ของ Jurassic Park หนังฟอร์มยักษ์ระดับตำนาน หลายฉากในภาคใหม่ล้ำสมัยมากๆ หากแต่การเดินเรื่องชวนให้นึกถึงภาคแรกสุดๆ ไม่ได้ว่าเชยนะ แต่มันให้ความรู้สึกคลาสสิกตามแบบฉบับภาคแรก ถือว่าดีงามเลยล่ะ ขณะที่ในส่วนการแสดงของตัวละครฃ จัดเป็นคาแร็กเตอร์ที่คุ้นชินของหนังแนวนี้จริงๆ พระเอกเท่ นางเอกดื้อ (รองเท้าส้นสูงของนางคือพีคสุด!) ตัวประกอบอวดเก่ง สองพี่น้องที่มีปมดราม่าให้เล่น เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดก็ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและทำให้หนังขับเคลื่อนไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น สิ่งหนึ่งที่ได้รับเต็มๆ คือมันทำให้เราหวนนึกถึงความทรงจำวัยเด็กตอนที่เราตื่นตาตื่นใจกับการได้เห็นไดโนเสาร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในหนังภาคแรก
อันดับ 4
Avengers : Age of Ultron งานมันส์ต้องมา งานดราม่าต้องมี แถมงานคอมเมดี้ยังไม่สร่างซา สำหรับภาคสองของหนังแนวฮีโร่ปกป้องโลกเรื่องนี้ยังคงมีธีมคล้ายภาคแรกพอสมควร แต่เพิ่มเนื้อหากระแทกใจด้วยการจัดซีนดราม่าของตัวละครหลักๆ เข้ามา ซึ่งจุดนี้ดีงามตรงที่เราจะได้รู้ปูมหลังเล็กๆ ของบางตัวละคร ผสมผสานไปกับความมันส์สะใจในหลายๆ ฉาก เหมารวมไปถึงงานซีจีและเอฟเฟ็กต์ที่เนียนดี โดยในภาคนี้ เหล่าอะเวนเจอร์จะต้องต่อกรกับอัลตรอน จักรกลประดิษฐ์จากผลงานของไอรอนแมนและฮัลค์ล่ะ! หนังเดินเรื่องกระชับ ฉับไว ไม่เนือย ดูแล้วอยากดูอีก ถ้าใครเคยดูภาคก่อน และพอจะจำเนื้อหาได้ ภาคนี้จะเข้าใจเรื่องราวได้ไวขึ้น แต่หากได้ดูภาคนี้เป็นครั้งแรกเลย หรือลืมเนื้อหาภาคก่อนไปบ้างแล้ว ก็จะได้ความบันเทิงเหมือนกันเป๊ะ จะต่างตรงที่เราอาจจะงงๆ กับเนื้อหาบางประเด็น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนังลดทอนความสนุกลง เพราะมันสนุกจริงๆ นี่นา ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงครึ่งคือได้ใจคนดูเต็มๆ
อันดับ 3
Fast & Furious 7 จัดว่าแรงจริง อะไรจริง ถือเป็นการปลุกตำนานหนังรถซิ่งยิ่งกว่าติดเทอร์โบอีกครั้ง โดยภาคนี้จะเล่าเรื่องต่อจากภาค 6 หลังจากคู่ซี้ดอมกับไบรอัน และเพื่อนๆ ของพวกเขาได้ไปถล่มพวกมาเฟียอังกฤษกลุ่มหนึ่งจนทำให้หัวหน้าใหญ่เจ็บหนัก พอเรื่องนี้รู้ถึงหูพี่ชายของมัน เขาจึงมาตามล้างแค้น การเผชิญหน้าสุดมันส์ชนิดจัดเต็มกับศัตรูรายใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น ก่อนอื่นต้องคารวะเจมส์ วานที่มารับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้ได้ออกมาดีเกินคาด สนุกในระดับมาสเตอร์พีซ คือมันส์สะใจดีแท้ ตลอดสองชั่วโมงครึ่งคือความดีงามตามแบบฉบับหนังแนวแอ็กชั่นรถแรง แน่นอนว่าหลายฉากมาพร้อมกับความเว่อร์วังพังพินาศมาก ในส่วนของตัวละครหลักๆ ดูมีเสน่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ เราเห็นถึงมิตรภาพความเป็นเพื่อนในเรื่องแบบชัดเจน อย่างที่รู้กันดีว่าตัวละครไบรอันนั้นรับบทโดยพอล วอร์คเกอร์ นักแสดงหนุ่มผู้ล่วงลับไปแล้ว ต้องยอมรับว่าหนังนำเสนอทางออกให้กับบทบาทของเขาได้อย่างสวยงามและประทับใจจริงๆ
อันดับ 2
Mad Max : Fury Road แม้จะเป็นหนังกึ่งๆ ภาคต่อ แต่ก็ออกแนวเล่าใหม่ รับประกันว่าดูแล้วรู้เรื่อง บอกเลยว่าสนุกโคตร ความมันส์สะใจเอาไปเลยสิบกะโหลก เล่าเรื่องได้แบบอึกทึกครึกโครมไปถึงหัวใจ ซึ่งหนังจะค่อยๆ ไต่ระดับจุดพีคทีละสเต็ป ปล่อยหมัดเด็ดแบบไม่ยั้ง โดยหนังจะเล่าถึงโลกในยุคที่ล่มสลาย กลายเป็นเมืองทะเลทราย ผู้คนใช้ชีวิตเหมือนผีดิบตายซาก ภายใต้การปกครองของอิมมอร์ทันโจที่ครอบครองน้ำจำนวนมหาศาลเอาไว้เพียงผู้เดียว แล้วงานบรรลัยก็ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อแม็กซ์ (พระเอก) ต้องมาหนีตายไปกับเหล่ากบฏเพื่อตามหากรีนเพลซ ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ใครชอบแนวโรดมูฟวี่แบบแอ็กชั่นบ้าระห่ำต้องห้ามพลาด ขอคารวะผู้กำกับรุ่นดึกอย่างจอร์จ มิลเลอร์เลยที่หยิบผลงานในอดีตของตัวเองมาสร้างใหม่ได้เด็ดดวงขนาดนี้ งานบู๊เด่น งานดราม่าดี องค์ประกอบฉากเจ๋ง ที่ขาดไม่ได้คือดนตรีประกอบซึ่งเข้ากับเรื่องสุดๆ ที่สำคัญหนังยังแฝงแง่คิดเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เอาไว้ได้อย่างเจ็บแสบจริงๆ
อันดับ 1
Star Wars Episode VII : The Force Awakens ‘อุบัติการณ์แห่งพลัง’ ถือเป็นภาค 7 ของหนังสงครามอวกาศระดับตำนานอย่าง Star Wars ที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยมและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างแท้จริง โดยในภาคนี้จะเล่าเรื่องราวต่อจาก Episode VI : Return of the Jedi (ออกฉายในปี 1983) ซึ่งเป็น 30 ปีต่อมา เมื่อเหล่าวายร้ายอย่างพวก ‘ปฐมภาคี’ ได้ถือกำเนิดอีกครั้ง เป้าหมายของพวกมันคือการกำจัดลุค สกายวอร์คเกอร์ อัศวินเจไดคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ ภารกิจปกป้องเจไดของฝ่ายต่อต้านจึงเริ่มต้นขึ้น ต้องยอมรับว่าส่วนที่ขับเคลื่อนให้หนังภาคนี้ออกมาดีเด่น ก็เห็นจะเป็นทีมนักแสดงหน้าใหม่และหน้าเก่าที่มาร่วมแจมด้วยนี่ล่ะ การกลับมาอีกครั้งของ Star Wars ถือว่าไม่ได้มาเล่นๆ เลยนะ ทั้งการเดินเรื่อง การออกแบบฉาก เครื่องแต่งกาย โลเกชั่นถ่ายทำ เทคนิคซีจี และซาวนด์ประกอบ ทั้งหมดทั้งมวลคือเวอร์วังอลังการดาวล้านดวงจริงๆ และส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้แหละที่ทำให้หนังออกมาปังมากกว่าที่คิด ทั้งยังน่าจดจำพอสมควร ชวนให้อยากกลับไปดูภาคเก่าๆ เลยล่ะ
เรื่อง : คิมคานา
ภาพ : วิกิพีเดีย