อัพเดตชีวิต “บิวกิ้น - พุฒิพงศ์” การเดินทางที่สวยงามบน 3 เส้นทาง นักร้อง นักแสดง นักธุรกิจ
บิวกิ้น พุฒิพงศ์

อัพเดตชีวิต “บิวกิ้น – พุฒิพงศ์” การเดินทางที่สวยงามบน 3 เส้นทาง นักร้อง นักแสดง นักธุรกิจ 

Alternative Textaccount_circle
บิวกิ้น พุฒิพงศ์
บิวกิ้น พุฒิพงศ์

การเดินทางที่สวยงาม คือชื่อซิงเกิ้ลล่าสุด และคำที่ “บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” ใช้แทนตัวตนและความรู้สึกของเขาบนเส้นทางการทำงานกว่า 6 ปี จากวันแรกในบทบาทนักแสดง จนถึงวันนี้ที่ส่วนผสมชีวิตแบ่งออกเป็น 3 พาร์ตใหญ่ “ร้องเพลง งานแสดง และธุรกิจ” แสดงให้เห็นถึงการเติบโต พัฒนาการ และความคิดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง รวมถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนถนนเส้นนี้

อัพเดตชีวิต “บิวกิ้น – พุฒิพงศ์” การเดินทางที่สวยงามบน 3 เส้นทาง นักร้อง นักแสดง นักธุรกิจ 

อัพเดตชีวิตกันหน่อยค่ะ บิวกิ้นมองภาพตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร

“เปลี่ยนไปเยอะนะครับ ในหลายมุมเลย ทั้งการทำงาน ชีวิตส่วนตัว รวมถึงโอกาสหลายๆ อย่างที่เข้ามาก็มีความหลากหลายมากขึ้น ส่วนสิ่งที่ทำอยู่แล้วก็ได้ทำในสเกลที่ใหญ่ขึ้น และได้ทำงานในหลายหน้าที่ขึ้นด้วย”

มีอะไรที่อยากลองทำอีกไหมคะในปีนี้

“หลักๆ งานผมน่าจะอยู่ประมาณสามอย่าง คือร้องเพลง งานแสดง ธุรกิจ เพียงแต่จะลงลึกขึ้น ได้จัดการมุมอื่นมากขึ้น อย่างในพาร์ตเพลง ตอนนี้ผมเป็นกึ่งๆ Co-Executive Producer หมายถึงได้เข้ามา Lead Direction เพิ่มขึ้น เริ่มพัฒนาตัวเอง ทำเพลงเป็นอัลบั้ม หรือแม้กระทั่งในพาร์ตการร้องก็มีแฟนมีตมาแล้ว ต่อไปอยากทำคอนเสิร์ต อยากทำ EP อัลบั้มเต็มและทำเพลงในแบบอื่นๆ ที่ไม่เคยทำ

“ส่วนในพาร์ตการแสดงก็ยังมีอีกหลายอย่างที่อยาก Explore อยู่ หรือแม้กระทั่งธุรกิจก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ แต่ถ้าถามว่ามีอะไรใหม่ๆ ที่อยากทำอีกไหม มีหลายอย่างเลย บางอย่างก็เริ่มทำไปแล้ว อยู่ในขั้นตอนดำเนินการ คิดว่าเร็วๆ นี้จะค่อยๆ ปล่อยออกมา แต่ยังไม่อยากบอก…เดี๋ยวไม่เซอร์ไพร้ส์ (หัวเราะ) แต่มีสิ่งใหม่ๆ ในแต่ละพาร์ตแน่นอน ทั้งพาร์ตแสดง เพลง ธุรกิจ เพราะผมแพลนที่จะเดินไปข้างหน้าอยู่ตลอดครับ”

แบ่งสัดส่วนแต่ละพาร์ตอย่างไรคะ

“แล้วแต่ช่วงเวลาครับ ผมมองว่าในระหว่างทางจะไม่มีช่วงไหนที่เราทิ้งอะไรไปเลย แค่ว่าช่วงนั้นเราโฟกัสอะไรเป็นหลัก อย่างกลางปีนี้จะมีภาพยนตร์ ช่วงนั้นผมก็จะพักเบรกทำเพลง แต่ก็ยังมีงานโชว์บ้างเล็กน้อย เพราะโฟกัสไปที่การแสดงมากกว่า”

บิวกิ้น พุฒิพงศ์

คิดว่าจัดการหรือวางแผนชีวิตตัวเองได้ดีไหมคะ

“ผมว่า…ก็ทำได้ดีนะครับ (ยิ้ม) เพราะมีทีมผู้จัดการคอยช่วย รวมถึงงานแต่ละขาที่ทำ ผมมีเพื่อนคู่คิด ทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีครับ”

แต่ละปีบิวกิ้นตั้งเป้าให้ตัวเองไว้อย่างไรบ้าง

“ผมมีวาง Goal หรือเป้าหมายไว้นะครับ ก็ต้องวางไทม์ไลน์แล้วกำหนดเป้าวัด KPI กันแหละ แต่ไม่ได้หมายถึงวัด KPI กับชีวิตตัวเองนะ หมายถึงวัดในแต่ละสิ่งที่ทำ ผมตั้ง KPI ว่าเราอยากทำสิ่งนี้ให้เติบโตไปถึงจุดไหน ภายในระยะเวลาเท่าไร เป็นการสร้าง Pressure และสร้าง Inspiration ให้กับตัวเอง เพื่อที่จะมีแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้า

“อย่างในพาร์ตการเป็นศิลปินมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นเสมอ ซึ่งอาจจะไม่ได้ใหม่สำหรับการเป็นศิลปิน แต่ใหม่สำหรับผม ที่รู้สึกว่าเป็น Next Step ที่เราอยากจะทำให้ได้ อย่างปีนี้ที่ผมจะได้เล่นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความฝันและเป็นสิ่งที่ผมอยากทำ หรือในพาร์ตธุรกิจ เราก็อยากจะไปถึงจุดที่อยากไปให้ได้ เรียกว่าตั้งเป้าการเติบโตไว้หลายอย่างครับ รับรองว่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ทุกปีแน่นอน” (ยิ้ม)

ในฐานะศิลปิน อยากให้แฟนๆ จดจำภาพ “บิวกิ้น” อย่างไร

“ไม่มีเลยครับ (ส่ายหน้า) แค่รู้สึกว่าเราจริงใจกับทุกงานที่ทำ กับตัวตนของเรา ไม่ใช่การสร้างคาแร็คเตอร์ให้คนมองว่าเราเป็นยังไง แต่เป็นตัวตนจากข้างในของเราจริงๆ อยากให้คนเข้าใจว่าเราเป็นแบบเรานี่แหละ ผมมองว่าในฐานะศิลปิน เรามีหน้าที่จริงใจกับงานที่ออกไป”

บิวกิ้นเคยเล่าว่าใช้ความรู้สึกนำทาง ทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน อยากรู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกอยู่ในโหมดไหนคะ

“ทุกอย่างที่ผมทำนำด้วยความรู้สึกทั้งหมด เพราะถ้าไม่ได้เป็นตัวเอง ไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารักหรือชอบ เราก็คงทำมันด้วยกายหยาบหรือด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่ผมรู้สึกว่า Combination ที่พิเศษคือลอจิกบวกแพสชั่น คือถ้าทั้งสองอย่างนี้ไปด้วยกันจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด ไม่ว่าเราจะทำอะไรเราจะสนุกกับมันและทำอย่างมีหลักการ มีแพสชั่น มีความรู้สึก และมีตัวตนอยู่ในนั้นด้วย (ยิ้ม)

“ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ ผมว่าโดยรวมแฮ็ปปี้นะ (ยิ้ม) ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ แต่ถามว่าในเชิง KPI หรือความคาดหวังในแต่ละปี มันก็มีทั้งผิดหวังบ้าง สมหวังบ้าง หรือเกินความคาดหวังบ้าง ผมมองว่าเป็นรสชาติของชีวิตที่เราต้องเจออะไรหลายๆ อย่าง บางครั้งก็เฮ้ย! ทำไมไม่ได้สักที  หรือบางครั้ง…ทำไมมันพิเศษขนาดนี้ เป็นสิ่งที่พบเจอได้ในการทำงานครับ”

คิดว่าข้อดีที่สุดของตัวเองคืออะไรคะ

“ผมมีเหตุผล ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จ ล้มเหลว หรือไม่ว่าจะเจออะไรในชีวิต ถ้าทำความเข้าใจลงไปแคะมันลึกๆ จะทำให้เราเข้าใจถึงฟันเฟืองของแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ผมสบายใจขึ้นนะ

“ผมไม่รู้ว่าคนอื่นต้องการแบบนี้หรือเปล่า แต่ผมจะหาคำตอบ อะไรที่ไม่เข้าใจแล้วเราหาจนเจอคำตอบ เราจะใช้เหตุผลอธิบายสิ่งนั้นได้ จะไม่ค้างคากับเรื่องนั้น เราจะได้รู้ว่าอะไรสมเหตุสมผล อันไหนไม่ใช่”

กับคำบอกที่ว่า “บางเรื่องไม่มีเหตุผลหรอก อย่าหาคำตอบเลย”

“ไม่นะ ผมว่าทุกอย่างที่ทำหรือสิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นในเชิงส่วนตัวหรือเหตุผลแบบทั่วไป เพียงแต่สุดท้ายแล้วเราเลือกที่จะเข้าใจหรือยอมรับเหตุผลของใครได้แค่ไหน”

บิวกิ้น พุฒิพงศ์

นอกจากงาน ในพาร์ตชีวิตส่วนตัวมีอะไรใหม่ๆ หรือพิเศษบ้างไหม

“ปีนี้ผมยุ่งมากเลยน่ะ (หัวเราะ) ทำงานเกือบทุกวัน แค่ว่าขณะที่บางคนอาจจะรู้สึกว่าการทำงานคืองานจริงๆ การมีงานอดิเรกคือการพักผ่อน คือสิ่งที่เขาอิน เป็นตัวตนของเขา แต่สำหรับผม อย่างที่บอกว่าผมโชคดีที่ได้ทำงานที่เป็นแพสชั่น ทุกครั้งที่ได้ร้องเพลง ได้แสดง หรือได้ทำอะไรที่เป็นแพสชั่น ใจจึงได้ความสุขจากตรงนั้นมาด้วย เหมือนเป็นงานอดิเรกไปพร้อมๆ กัน

“โอเคว่าธรรมดาของมนุษย์ ช่วงไหนทำงานเยอะ นอนน้อย ก็เหนื่อย อยากพัก มีช่วงเวลาอยู่กับตัวเอง อยากอยู่เฉยๆ บ้าง แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าเราแฮ็ปปี้กับการทำงานแล้วเห็นปลายทางของงานที่ทำจริงๆ ช่วงเวลาที่เราจะงอแงจริงๆ ก็มีแค่ตอนตื่นเท่านั้นแหละครับ ยากที่สุดคือการตื่นแล้วลุกออกจากเตียง (หัวเราะ)

“เพราะพอได้ออกมาทำงาน ได้ลงไปอยู่ในเนื้องานแล้ว ก็เหมือนเราทำงานอดิเรก มีความสุขกับมัน แม้นอนน้อยแต่ก็เอนจอยนะ (หัวเราะ) ในแง่จิตใจไม่มีปัญหาเลย แต่กายภาพอาจมีบ้าง นอนน้อยก็ง่วงเป็นธรรมดาครับ (หัวเราะ) ส่วนวันว่างของผมก็อาจจะไปเจอเพื่อน ไปเตะฟุตบอล ถ้าอยู่บ้านก็ชงกาแฟ แค่นั้นเลย”

ที่บอกว่าอยากมีเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง เวลาอยู่คนเดียวทำอะไรคะ

“ถ้าผมได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ผมก็ทำเหมือนทุกคนแหละ ผมก็ Self-learning ดูข่าวสารบ้านเมือง ดูหนังเติม Inspiration ฟังเพลง อ่านบทความเกี่ยวกับเพลง บทความศิลปะ ก็คือวนอยู่กับความชอบ ซึ่งอาจจะไม่ได้ส่งผลทางตรง แต่ผมมองว่าอาจจะให้อะไรกับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างผมสนใจเรื่องกาแฟ ผมก็ไปลงคอร์สเรียนเลยนะ ลองดู”

คือถ้าสนใจอะไร จะศึกษาให้รู้ลึก?

“ผมแปลกตรงที่ไม่ค่อยชอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง อธิบายก่อนว่าเรียนรู้ด้วยตัวเองสำหรับผม คือการลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ซึ่งผมไม่ชอบลองผิด แต่ชอบลองถูก ผมไม่อยากทำแล้วล่ม ฉะนั้นก่อนจะเริ่มทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลหรือทฤษฎีให้ดีก่อน จะได้ไม่เสียเวลา ไม่เสียความรู้สึก และไม่เสียทรัพยากรด้วย”

เป็นแบบนี้กับทุกเรื่องเลยไหม

“ทุกเรื่องครับ อาจจะเป็นความบ้าบอของตัวเองอย่างหนึ่ง ทั้งที่เรื่องเล็กน้อย บางอย่างไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าอยากทำให้ได้ อยากรู้ทุกดีเทล”

มีเรื่องอะไรที่ทำแล้วรู้สึกว่าไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้

“มีครับ (ยิ้ม) ช่วงหนึ่งผมชอบกินมาการอง ก็อยากทำเป็น จัดการเสิร์ชวิธีทำในยูทูบ ออกไปซื้อของมาเตรียมจะทำ แล้วพอจะเริ่มทำ…ไม่ดีกว่า เก็บของ อีกวันหนึ่งก็ไปสมัครเรียนเลย ซึ่งจริงๆ ผมแค่อยากมีความรู้สึกที่ทำมาการองเป็น เพราะหลังจากเรียนจบก็ไม่ได้ทำอีกเลยนะ (หัวเราะ) แค่ว่าอยากรู้ต้องรู้ อยากทำให้ได้ก็ต้องทำให้เต็มที่ ลุยเลย”

บิวกิ้น พุฒิพงศ์

ต่กาแฟน่าจะยังเป็นสิ่งที่สนใจและทำต่อเนื่องใช่ไหม

“ใช่ครับ ความจริงมีแพลนอยากไปเรียนคอร์สบาริสต้าด้วย พยายามจัดการเวลาอยู่ เพราะตารางแน่นมาก แต่ผมก็ Self-learning ทุกวันนะ ดูคลิปไปเรื่อยๆ สนุกดีครับ (ยิ้ม) ผมรู้สึกว่าการชงกาแฟเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง มีความละเอียดอ่อน มีเรื่องของทฤษฎีที่ต้องเป๊ะ แต่พอเป็นเครื่องดื่มหรืออาหาร ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและรสนิยมของแต่ละคนว่าใครชอบอะไรแบบไหน

“ฉะนั้นเราจะได้เห็นคนสอน 10 คน มี 10 สูตรที่ไม่เหมือนกัน พอเราลองทำในแบบของเราก็จะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง ผมก็ลองไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ซึ่งสุดท้ายไม่มีอะไรดีที่สุดหรืออร่อยที่สุด แต่ก็ได้ลอง ได้เรียนรู้กับตัวเองว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร”

กาแฟแก้วโปรดของบิวกิ้นคือ…

“อเมริกาโนเย็นครับ ผมชอบดื่มกาแฟเย็น ลองไปเรื่อย บางทีก็ไอซ์ดริป แอโร่เพรสบ้าง แต่หลักๆ เป็นแบบเย็น ถ้าอยู่บ้านจะทำเฟรนซ์เพรส (French Press) หรือโมก้าพ็อต (Moka Pot) ถ้าต้มไม่ดีจะมีกาก ต้องคุมไฟไม่ให้กาแฟไหม้ ความสนุกคือตอนที่ไอน้ำพุ่งออกมาจากรู พอเราได้ต้มเอง ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกดีครับ” (ยิ้ม)

นอกจากชงกาแฟ มีมุมพ่อบ้านมุมอื่นอีกไหมคะ

“ผมทำกับข้าวนะ (ยิ้ม) และเก็บบ้านเป็นระเบียบมาก ทุกอย่างต้องเข้าที่ แต่ช่วงนี้ห้องนอนจะรกหน่อย เพราะเตรียมจัดของไปไว้ที่อื่น ซึ่งผมจะแบ่งโซนไว้เรียบร้อยว่าของประเภทนี้กองไว้ตรงนี้ ของอีกประเภทก็จะไว้อีกที่ เวลาหาก็ง่าย หรือแม้กระทั่งของในตู้เสื้อผ้า เสื้อยืดต้องตรงนี้ กางเกงมุมนี้ ทุกอย่างถูกจัดไว้เป็นระเบียบมาก

“ถ้ามีใครหยิบไปแล้วไม่เก็บเข้าที่ ถ้าเป็นของตัวเองก็หงุดหงิดนิดหน่อย (หัวเราะ) ขนาดเวลาจอดรถในบ้านก็ต้องให้ตรงเส้นกระเบื้อง จอดแล้วต้องลงมาดู ถ้าไม่ตรงผมต้องเลื่อนขยับให้ตรง นิดเดียวก็ไม่ได้ คือก็หนักอยู่ (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นรถคนอื่นผมพยายามจะข้ามผ่านไป

“ในชีวิตจริงผมก็ไม่ได้ตึงกับทุกอย่างนะ บางเรื่องยังไงก็ได้ แต่บางเรื่องก็ซีเรียส อย่างเรื่องจอดรถนี่แหละ” (หัวเราะ)

ในการทำงาน อะไรที่ปล่อยผ่านไม่ได้เลย

“อืม…(หยุดนึก) อาจจะดูนามธรรมนะครับ คือคุณภาพ ซึ่งคำว่าคุณภาพของแต่ละคนก็อาจจะไม่เหมือนกัน อยู่ที่ว่าใครให้ความสำคัญกับอะไร ซึ่งก็แล้วแต่งานนั้นๆ  รวมถึงคุณภาพของตัวเองด้วยครับ

“อย่างเวลาทำเพลง ผมค่อนข้างซีเรียสกับเสียงที่ร้องตอนอัดมาก ผมต้องฟังเอง หรือแม้กระทั่งคนที่ช่วยฟังก็ต้องเป็นคนนี้เท่านั้น รวมถึงทุกๆ ดีเทล ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงาน อีกเรื่องที่ผมค่อนข้างให้ความสำคัญคือตั้งแต่ทำงานเป็นศิลปิน ทำเพลง ผมพยายามจะทำให้เพลงที่ออกไปตรงกับความรู้สึกที่ผมอยากจะสื่อสารมากที่สุด พยายามจะไม่ให้หลุดไปจากตัวตนของเรามากนัก”

ตัวตน “บิวกิ้น” ตอนนี้ตรงกับเพลงอะไรที่สุดคะ

“คิดว่าเพลง การเดินทางที่สวยงาม ผมรู้สึกว่าผมเดินทางอย่างมีความสุข ท่ามกลางผู้คนรอบตัวที่เป็นพลังบวก คอยผลักดันกันและกัน ได้อยู่ในบรรยากาศที่ดี สิ่งแวดล้อมดีๆ ตอนนี้ผมค่อนข้างมีความสุขและพอใจกับชีวิตนะ แม้จะยังมีความคาดหวังหลายๆ อย่างที่พยายามจะไปให้ได้ แต่โดยรวมแล้วรู้สึกว่าไม่ได้ Suffer อะไรกับชีวิต เป็นชีวิตที่แฮ็ปปี้ครับ”

การเดินบนเส้นทางนี้กว่า 6 ปี ให้บทเรียนอะโรกับเราบ้าง

“เยอะเลยครับ แต่ถ้าชัดที่สุดคือ Maturity ผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 16 – 17 ปี ได้เข้ามาสู่โลกของการทำงานจริงกับผู้ใหญ่ ได้รับคำแนะนำ คำสอนมากมาย เปรียบเหมือนตอนผมเรียนเรื่องธุรกิจ (คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ผมได้เห็นวิธีการทำงานจริง จึงเหมือนได้ฝึกงานอยู่ตลอดเวลา รวมถึงพาร์ตที่ไม่ใช่งานของเราโดยตรงด้วย อย่างเวลาไปถ่ายงาน ผมก็ได้เรียนรู้งานโปรดักชั่น งานเบื้องหลัง ได้เรียนรู้วิธีคิด การสื่อสาร หรืองานโฆษณาว่าเขาคิดแคมเปญกันอย่างไร

“เหมือนเราได้เห็นตัวอย่างจริงๆ จากทฤษฎีที่เราเรียนมา หรือบางครั้งได้เจอของจริงก่อน พอไปเรียนเราก็เข้าใจได้ทันที่ ซึ่งทำให้ผมเข้าใจหลายๆ อย่างได้มากขึ้น พอเรียนจบ เริ่มทำธุรกิจจริงๆ ทุกอย่างที่ผมได้เรียนรู้ระหว่างทาง ก็สามารถนำไปใช้และเป็นประโยชน์กับตัวเราด้วย สิ่งที่ผมได้จากการทำงานตรงนี้คือได้เริ่มทำงานก่อนคนอื่น และอีกมุมหนึ่งเราก็สนุกกับการทำงานด้วย”

บิวกิ้น พุฒิพงศ์

ตอนนี้บิวกิ้นในวัย 23 ปี เป็นเวอร์ชั่นที่ตัวเองพอใจหรือเหมือนภาพที่คิดไว้ไหม

“ผมว่าก็สมวัยนะ (ยิ้ม) ในวันนี้มีโอกาสได้ทำอะไรหลายอย่าง ได้สร้าง ได้พัฒนา ได้เป็นแบบนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปบนเส้นทางที่เดินมาจนถึงวันนี้ ผมรู้สึกว่าก็สมเหตุสมผลของมัน แต่ถ้าถามว่าเหมือนกับที่คิดตอนเด็กไหม ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้เยอะขนาดนี้

“อย่างเวลามีคนถามว่าอีก 5 ปี 10 ปี เห็นตัวเองเป็นยังไง เอาจริงๆ ผมไม่รู้เลย เพราะชีวิตดำเนินไปข้างหน้าทุกวัน เราได้เรียนรู้ ได้ทำ ได้เจอสิ่งใหม่ตลอด และสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้เราเปลี่ยนไปตลอดเวลา ผมเป็นผมในวันนี้ได้ ก็เพราะผมได้รับและซึมซับสิ่งรอบตัวมาเรื่อยๆ

“ย้อนกลับไป 3 ปีที่แล้ว ผมยังไม่ได้มีความรู้ ไม่มีข้อมูล และยังไม่มีประสบการณ์เท่าตอนนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ชีวิตมันเปลี่ยนตลอด หรือตอนนี้ผมทำงานแสดง ทำงานเพลง ทำธุรกิจ แต่ในอนาคตวันหนึ่งผมก็อาจจะไม่ทำแล้วก็ได้ เพราะวันนี้เราก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดในวันนั้น

“ผมว่าชีวิตสนุกกว่าการที่จะล็อกตัวเองไว้กับอะไร ถ้าเรามีความฝันและยังมีแรง มีความตั้งใจจะเดินไปถึงจุดนั้น วันหนึ่งแรงนั้นจะพาเราไปถึงจุดนั้นเอง โดยที่ไม่ต้องผูกมัดตัวเอง เราทุกคนสามารถเปลี่ยนเป้าหมายได้ตลอด

“อย่างตอนนี้เรามีความรู้เท่านี้ มีประสบการณ์เท่านี้ เราก็คิดแบบนี้ แต่พอเติบโตขึ้น เห็นเป้าหมายชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้รู้ว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ  ก็เปลี่ยนทางได้ เจออะไรใหม่ระหว่างทางก็เปลี่ยนทางได้ แค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุดก็พอ

“ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แค่ตื่นมาชงกาแฟก็แฮ็ปปี้แล้ว หรือกลับมาตัวเหนียวๆ ได้อาบน้ำก็มีความสุขแล้ว ความสุขเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ผมไม่ได้เป็นแบบมุ่งมั่นจะไปปลายทางแล้วลืมโมเมนต์ระหว่างทาง

“จริงอยู่ที่การมุ่งมั่นเดินทางไปปลายทางอาจทำให้มีเวลาว่างน้อยลง มีช่วงเวลาหาความสุขแบบอื่นน้อยลง แต่สุดท้ายผมก็ยังมีความสุขได้อยู่ดี และยิ่งโตขึ้น ผมรู้แล้วว่าเวลาเจออะไรที่ไม่ใช่หรือเจอปัญหาควรรีบแก้ทันที่ อย่าให้ค้างคาและอย่าจมอยู่กับพลังงานไม่ดีนานๆ ใช้ชีวิตให้มีอิสระ มีความสุขกับทุกๆ โมเมนต์ แค่นั้นก็พอแล้ว”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 995

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up