การวิ่งถือเป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา และในวงการวิ่งต้องรู้จักชื่อของ บีม เลิศศิริ โตสิงห์ ที่หลายคนยกให้เธอเป็นนางฟ้านักวิ่ง ไม่ใช่แค่ความน่ารักที่ชวนใจละลาย แต่เพราะความมุ่งมั่น ทุ่มเท และตั้งใจ ยืนยันได้จากผลงานการวิ่งมากกว่า 100 สนาม
แค่วิ่ง…ชีวิตก็เปลี่ยน
จากอดีตนักวิ่งประจำโรงเรียนที่ห่างหายจากลู่ไปนานในช่วงมหาวิทยาลัย ก่อนจะกลับมาหลงรักการวิ่งอีกครั้งในวัยทำงาน
“การวิ่งมีเสน่ห์หลายๆ อย่างที่ทำให้บีมหลงรักค่ะ ทำให้วิ่งต่อเนื่องมาถึง 5 ปีแล้ว ซึ่งต้องย้อนกลับไปสมัยเด็ก บีมเป็นนักกีฬาวิ่งของโรงเรียนนะคะ ซึ่งตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบหรือเปล่า แค่รู้สึกว่าทำได้ดี วิ่งคนเดียวได้ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไร บวกกับด้วยความที่ชอบเอาชนะเป้าหมาย อยากได้เหรียญ จึงตั้งใจซ้อมมากช่วงที่มีงานกีฬา แต่ก็ไม่ได้เก่งขนาดได้เหรียญทองทุกครั้งนะคะ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ร้างลาไปเพราะเรียนหนักขึ้น แล้วก็ไม่ได้มีแข่งกีฬาสีเหมือนตอนมัธยมแล้ว
“กระทั่งเรียนจบ บีมอยากเข้าทำงานที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เพราะคุณพ่อเป็นหมอ คุณแม่เป็นพยาบาล ท่านจึงอยากให้ทำงานในโรงพยาบาล ตอนนั้นคิดว่านอกจากความสามารถแล้ว ขอพึ่งไสยศาสตร์เพิ่มไว้หน่อยละกัน จึงไปบนขอพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ที่โรงพยาบาลว่าขอให้ได้งานนี้ โดยจะวิ่งแก้บน 10 กิโลเมตร (หัวเราะ) คือเราไม่ได้วิ่งมานานมาก ระยะทางเท่านั้นจึงดูเป็นเรื่องยาก ท่านน่าจะเห็นใจ (ยิ้ม)
“และแล้วก็ได้งานจริงๆ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์ สื่อสารการแพทย์ ทำงานไปสักพักที่โรงพยาบาลมีงานวิ่งประจำปี ‘ศิริราช เดิน-วิ่ง ผสานชุมชน’ จึงถือโอกาสนั้นสมัครลงวิ่ง 10 กิโลเมตรเพื่อแก้บนไปด้วยเลย
“แม้จะห่างหายจากการวิ่งไปนาน แต่บีมก็มีเข้าฟิตเนส ซิตอัพอยู่เรื่อยๆ เพราะค่อนข้างรักสวยรักงาม กลัวอ้วน จึงพอมีพื้นฐานการวอร์มร่างกายอยู่บ้าง ผลคือเข้าเส้นชัยมาคนสุดท้ายเลยค่ะ (หัวเราะ) เกือบจะโดนคัตออฟแล้ว (Cut off Time เวลาสิ้นสุดสภาพการแข่ง) เพราะแทบไม่ได้วิ่งเลย คือวิ่งนิดหนึ่ง แล้วก็สลับเดินมาเรื่อยๆ แบบแทบจะหมดแรง (หัวเราะ) ระหว่างทางได้เห็นคุณลุงที่วิ่งผ่านไปหันมาถามบีมว่า ทำไมหนูไม่วิ่งเลย บีมบอกว่า ไม่ไหวแล้วค่ะ สุดท้ายคุณลุงคนนั้นวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมได้ถ้วยด้วยนะคะ
“การวิ่งแก้บนครั้งนั้นเปลี่ยนมุมมองของบีมไปเลยค่ะ จากตอนแรกที่คิดว่าตัวเองจะทำไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ถึงเส้นชัยจนได้ รู้สึกภูมิใจมากๆ และจากที่เวลาเห็นหลายๆ คนวิ่ง เคยคิดว่าร้อนก็ร้อน สนุกตรงไหน แต่ครั้งนั้นทำให้บีมเข้าใจและรู้สึกถึงความสนุก โดยเฉพาะเวลาที่วิ่งผ่านป้ายบอกระยะแต่ละจุด ไปได้ มันตื่นเต้นและมีกำลังใจ อีกอย่างคือมิตรภาพในสนามที่ทุกคนจะคอยให้กำลังใจกัน แม้จะไม่รู้จักกันก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนั้นสร้างแรงบันดาลใจให้บีมมากๆ”
วิ่งเปลี่ยนชีวิต “บีม เลิศศิริ โตสิงห์” จากวิ่งแก้บน สู่นางฟ้านักวิ่งผู้สร้างแรงบันดาลใจ
วิ่ง…ชนเป้าหมาย!
“ชอบเอาชนะ” บีมบอกว่าเป็นด้านดีของนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆ สำหรับการวิ่งเธอจะตั้งเป้าหมายและวิ่งไปให้ถึงให้ได้ เหมือนการวิ่งในเกมที่เอาชนะไปทีละด่าน
“พอจบงานวิ่งครั้งแรก บีมตั้งใจว่าอยากลงสนามอีก ทีแรกให้เหตุผลกับตัวเองว่าเราทำงานด้านสุขภาพ ถ้ารู้เรื่องการวิ่ง มีข้อมูลจริงๆ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงานด้วย บวกกับมีรุ่นพี่ที่วิ่งในงานนั้นชวนให้ลงวิ่งรายการ มินิมาราธอน (10.5 กิโลเมตร) และคราวนี้บีมไม่อยากเดินในสนามแล้ว แต่อยากวิ่งให้จบตั้งแต่กิโลเมตรแรกถึงเส้นชัย
“จึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการวิ่ง และซ้อมด้วยตัวเองสัปดาห์ละ 2-3 วัน หลังเลิกงาน เริ่มจาก 3-5 กิโลเมตร จากนั้นค่อยๆ เพิ่มสถิติตัวเองไปเรื่อยๆ ซึ่งครั้งที่ 2 บีมวิ่งจนจบได้จริงๆ ยิ่งทำให้มีกำลังใจและรู้สึกสนุก บวกกับมีพี่ๆ เชียร์ว่าบีมทำเวลาได้ดีนะ ถ้าซ้อมอีกนิดน่าจะคว้าเหรียญได้ ทำให้ทุกครั้งที่ลงวิ่ง บีมจะตั้งเป้าของตัวเอง ทำเวลาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ ลดลงไปทีละนิด อาจจะครั้งละ 5 นาที ซึ่งในการวิ่ง 1 นาที 2 นาที ก็ถือว่ามีผลเยอะแล้ว
“ช่วงนั้นบีมจึงลงสมัครวิ่งทุกสัปดาห์ (หัวเราะ) ผลพลอยได้คือทำให้เลิกติดเกมไปเลย จากเมื่อก่อนติดมือถือมาก ว่างปุ๊บเล่นเกมปั๊บ และเวลาติดอะไรแล้วบีมจะทุ่มมาก เคยเติมเงินในเกมเป็นหมื่นบาท (หัวเราะ) พอหันมาติด การวิ่งแทน ชีวิตดีกว่าเยอะเลย (ยิ้ม)
“บีมวิ่งมินิมาราธอนอยู่ประมาณ 1 ปี เพราะอยากทำเวลาในระยะนี้ให้ดี ก่อน แต่พอเห็นคนวิ่งจบระยะฮาล์ฟมาราธอน (Half Marathon ระยะทาง 21 กิโลเมตร) โพสต์รูปในเฟซบุ๊ก เขียนบรรยายความรู้สึกหลังการแข่งขัน ก็อยาก สัมผัสประสบการณ์แบบนั้นบ้าง จึงขยับตัวเองไปลงวิ่งระยะฮาล์ฟมาราธอน โดยสามารถเข้าเส้นชัยได้ในเวลาที่โอเค
“ซึ่งพอทำได้…ใจก็เริ่มห้าวขึ้นค่ะ (หัวเราะ) จึงสมัครลงซูเปอร์ฮาล์ฟ มาราธอน (Super Half Marathon ระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร) คิดว่าเรา ผ่าน 21 กิโลเมตรมาได้แล้ว เพิ่มอีกหน่อยก็น่าจะไหวน่า ปรากฏว่าพอวิ่งจริง ๆ เป็นครั้งแรกที่ไปไม่ถึงเส้นชัยค่ะ เพราะบีมลืมความจริงที่ว่าเราเพิ่งผ่าน 21 กิโลเมตรมาครั้งเดียวและไม่เคยวิ่งไกลกว่านั้นเลย พอลงสนามจริง ผ่านมาถึง ระยะ 25 กิโลเมตร ร่างกายก็ฟ้องว่าไม่ไหวแล้ว เริ่มล้า ปวดข้อเท้า เจ็บตัว ไปหมด ดูนาฬิกาแล้วยังไงก็ไม่ทันเวลาแน่ ๆ จึงถือเป็นการ DNF (Did Not Finish) แรกในการแข่ง และเป็นจุดที่เปลี่ยนความคิดและการซ้อมใหม่ เพราะ ในการวิ่งเราใช้ใจอย่างเดียวไม่ได้ ร่างกายกับใจต้องไปด้วยกัน
“หลังจากหายเจ็บ บีมก็ทำตารางการซ้อมใหม่ วิเคราะห์ตัวเองว่าถ้าอยาก วิ่งได้ระยะไกล ต้องซ้อมอย่างไรบ้าง เรียกว่าหาข้อมูลจริงจัง และจากเมื่อก่อน ซ้อมแบบเรื่อย ๆ ตามสะดวกบ้าง เปลี่ยนมาเป็นมีแบบแผนมากขึ้น มีเวต ซ้อม วิ่งเร็วสลับช้า คือวิ่งเร็วเพื่อเร่งสปีดทำเวลา สลับกับวิ่งเหยาะ ๆ และวิ่งระยะยาว เป็นโค้ชให้ตัวเองในทุก ๆ วัน (ยิ้ม)
“ผลคือผ่านซูเปอร์ฮาล์ฟมาราธอนได้แบบไม่เจ็บ รวมถึงทำเวลาได้ดีขึ้น เรื่อย ๆ ซึ่งมาจากการซ้อมอย่างมีวินัย โดยไม่มากเกินไป เพราะจะทำให้ร่างกาย บอบช้ำ เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนวิ่ง ดูแลสุขภาพ กินอาหาร ทุกอย่างต้อง บาลานซ์กัน
“พอผ่านมา 2 ปี จึงตัดสินใจลงรายการจอมบึงมาราธอน (ระยะทาง 42.195 กิโลเมตร) มีคนไปวิ่งเยอะ บรรยากาศคึกคักมาก ซึ่งระยะแรก ก็ฟิตดีค่ะ แต่พอจะถึงระยะ 30 กิโลเมตรคือช่วงหนังชีวิตจริง ๆ (หัวเราะ) ความรู้สึกคือเราต้องทลายกำแพงตัวเองให้ได้ ยอมรับว่ามีวิ่งสลับเดินไปบ้าง จนเข้าเส้นชัยที่เวลา 4 ชั่วโมง 57 นาทีตามที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ (ยิ้ม)
“ถึงตอนนี้บีมผ่านการวิ่งมาแล้วกว่า 100 สนาม เป็นวิ่งมาราธอน 10 สนาม มีทั้งในไทยและต่างประเทศ อย่างมอสโก เบอร์ลิน และเกียวโต ในอนาคต ตั้งใจจะวิ่งให้ครบ World Marathon Majors (โตเกียว บอสตัน ลอนดอน เบอร์ลิน ชิคาโก และนิวยอร์ก) โดยตั้งใจจะทำเวลาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ สถิติที่ดีที่สุดอยู่ที่ 10 กิโลเมตร เวลา 46 นาที, งาน adidas Half Marathon ระยะทาง 21 กิโลเมตร เวลา 1.51 ชั่วโมง และงาน Belin Marathon ระยะทาง 42.195 กิโลเมตร เวลา 4.06.34 ชั่วโมง” (ยิ้ม)
วิ่ง…หาสิ่งที่รัก
นอกจากการวิ่งจะทำให้สุขภาพดีขึ้น ได้มิตรภาพใหม่ ๆ แล้ว ยังสามารถ ส่งต่อพลังเหล่านี้ให้คนอื่น ๆ ได้ด้วย
“รายการวิ่งที่บีมประทับใจที่สุดคือ โครงการ 1 ล้าน 5 แสนก้าว วิ่งเพื่อชีวิต เชียงใหม่ – ศิริราช ซึ่งเป็นการวิ่งเพื่อระดมทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช เพื่อผู้ป่วยด้อยโอกาส ถือเป็นรายการวิ่งที่โหดที่สุด เช่นกันค่ะ เพราะใช้เวลาวิ่งติดกัน 7 วันจากเชียงใหม่มาถึงกรุงเทพฯ (ยิ้ม) แต่ ก็ทำให้เห็นว่าการวิ่งสามารถสร้างประโยชน์ให้คนอื่น ๆ ได้ด้วย
“และถือเป็นจุดที่เปลี่ยนชีวิตเลยนะคะ จากเมื่อก่อนที่อยู่เซฟโซน ทำงาน อยู่ในกรอบ พอมาเจอการวิ่ง เจอสิ่งที่ชอบ ทำให้กล้าที่จะก้าวออกมาทำตามฝัน บีมจึงลาออกจากงานที่โรงพยาบาลมาเป็น Project Manager ที่ ThaiRun เพจที่รวบรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับการวิ่ง ทั้งเขียนคอนเทนต์ ทำคลิปแนะนำการวิ่ง และดูแลเกี่ยวกับการจัดงานวิ่งทั้งหมด รวมถึงเปิดบริษัทออร์แกไนซ์ของตัวเอง สำหรับรับจัดงานวิ่งด้วย (ยิ้ม)
“เพราะการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก นอกจากช่วยสร้างความสุขแล้ว ถ้าสามารถเป็นงานเลี้ยงชีพได้ด้วย นั่นคือที่สุดเลยค่ะ ไม่มีวันไหนที่ไม่อยากตื่น ไปทำงาน ทุกวันนี้ยังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำอะไรใหม่ ๆ ได้ทำสิ่งที่รัก ตอนนี้จึง ชัดเจนมาก ๆ ว่าการวิ่งไม่ได้ให้เฉพาะเรื่องสุขภาพ แต่ยังมอบโอกาสดี ๆ ช่วย เปลี่ยนให้บีมเป็นคนใหม่อีกด้วย
“และการที่บีมทำเนื้อหาแชร์ประสบการณ์การวิ่งของตัวเองลงในเพจก็ ทำให้มีคนรู้จักมากขึ้น สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ได้อีกต่อหนึ่ง ซึ่งมี หลายคนส่งข้อความมาขอคำปรึกษาว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี ซึ่งบีมก็ให้คำแนะนำ ส่งตารางซ้อมให้เขา อย่างรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อพี่ปอ อยู่ที่เชียงใหม่ เขาเริ่มติดตามบีม ตั้งแต่ตอนวิ่งโครงการ 1 ล้าน 5 แสนก้าว วิ่งเพื่อชีวิต เชียงใหม่-ศิริราช จากเดิมที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย เขาเห็นบีมแล้วรู้สึกมีกำลังใจ บีมก็ให้ คำแนะนำไป จนตอนนี้เขาเป็นนักวิ่งระดับได้ถ้วยแล้ว (ยิ้ม)
“หรือน้องอีกคนมีรูปร่างอ้วน โดนเพื่อนล้อเลียนจนเกือบจะซึมเศร้า เขา ปรึกษาว่าควรทำอย่างไรดี บีมแนะนำให้เขาเริ่มจากการเดิน จากนั้นค่อยเปลี่ยน เป็นวิ่งเบา ๆ คอยให้กำลังใจเขาเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งที่เขาลงระยะ 5 กิโลเมตร สำเร็จ แล้วส่งรูปเหรียญรางวัลมาให้เราดู บอกว่า พี่บีม…ผมทำได้แล้วนะ จากนั้น น้ำหนักก็ค่อย ๆ ลดลง สุขภาพดีขึ้น จนตอนนี้มีรูปร่างสมส่วน สภาพจิตใจ ก็ดีขึ้นด้วย (ยิ้ม)
“เรื่องราวเหล่านี้ช่วยทำให้บีมมีกำลังใจและมีพลังเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ ดีใจ ที่เราสามารถทำให้ใครสักคนที่อาจจะไม่สนใจการออกกำลังกาย ได้ลุกขึ้นมาวิ่ง ใส่ใจดูแลตัวเอง และมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีเป้าหมายที่จะทำอะไรดี ๆ เพื่อตัวเอง อย่างนี้ยิ่งกว่าความสุขอีกค่ะ”
ฟิต & เฟิร์มก่อนลงสนาม
• วิ่งครั้งละ 10 กิโลเมตร 4 ครั้ง / สัปดาห์
• ออกกำลังกายด้วยการบอดี้เวตในห้อง เช่น แพลงก์ (Plank) สควอต (Squat) ซิตอัพ (Sit up) และลั้นจ์ (Lunge) อย่างละ 45 วินาที โดยทำต่อเนื่องเป็นเซต ประมาณ 4 เซต
• กินอาหารทุกอย่าง แต่เน้นผัก และดื่มน้ำอย่างน้อย 3 ลิตร / วัน เพราะช่วยเรื่องผิวได้เยอะมาก
• เครื่องดื่มแก้วโปรดยามเช้า : สมู้ตทีผักรวม
• ก่อนวิ่ง 2 ชั่วโมงควรกินอาหารที่ย่อยง่าย เช่น กล้วย ไข่ต้ม หรือขนมปัง
• เวลาวิ่งกลางแจ้ง ร่างกายต้องเจอแสงแดดนานหลายชั่วโมง ฉะนั้นห้ามลืมทาครีมกันแดดเด็ดขาด! และควรเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำ
ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 957
ภาพ : beam_mer
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
สาวสายลุยที่แท้ทรู “พลอยไพลิน ตั้งประภาพร” เที่ยว 8 ประเทศ 37 วัน คนเดียว!
เปิดวาร์ป 6 เซเลบหนุ่มคลื่นลูกใหม่ รูปหล่อ นามสกุลดัง โปรไฟล์ดีมาก-ก-ก
ชีวิตจริงยิ่งกว่าซีรีส์ “ผึ้ง-ประภาภรณ์” ธุรกิจโดนโกง สามีนอกใจ ฮึดสู้สู่เจ้าของแฟรนไชส์