รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา "เต-นิว" ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้

รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา “เต-นิว” ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้

Alternative Textaccount_circle
รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา "เต-นิว" ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้
รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา "เต-นิว" ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้

รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา “เต-ตะวัน วิหครัตน์” และ “นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ” ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้

“เต-ตะวัน วิหครัตน์” และ “นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ” คู่จิ้นสายฮาที่ครองใจแฟนๆ ชาว Polca (เป็นคำที่มาจากเตชอบวาฬออร์กา นิวชอบหมีขาวโพลาร์) ด้วยเสน่ห์ความน่ารักขี้เล่น แต่บทจะจริงจังก็ขั้นสุด วันนี้ แพรว จึงจัดเต็มตัวตนอีกมุมของทั้งคู่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้มาฝากกันจ้า

ย้อนกลับไปวันแรกที่รู้จักกันหน่อยค่ะ

นิว : “เรารู้จักกันมา 6 ปีแล้วครับ ตั้งแต่สมัยที่เรียนปี 2 ที่จุฬาฯ (นิวเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนเตเรียนคณะเศรษฐศาสตร์) แต่เราไม่ได้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะ บังเอิญว่าทำรายการ Five Live ด้วยกัน จึงรู้ว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่แปลกที่ไม่เคยเจอกันเลย

เต : “ตอนทำรายการ Five Live ออฟโตสุด รองมาเป็นผม (เตโตกว่านิว 2 ปี) และมีบางคนที่อายุน้อยกว่าผมประมาณ 3-4 ปี แต่พวกเราไม่เคยเรียกกันว่าพี่ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดความเกรงใจแล้วรายการไม่สนุก เล่นเป็นเพื่อนกันไปเลยดีกว่า นานวันเข้าผมก็เลยไม่คิดว่าตัวเองโตกว่าหรือเป็นรุ่นพี่นิว (หัวเราะ) คือไม่ได้วางตัวเป็นพี่ แค่ว่ามีอะไรก็เล่าให้กันฟัง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงาน ถ้ามีจุดไหนที่ไม่โอเคก็จะพูดเตือนกันเล็กๆ น้อยๆ ครับ”

 

ช่วงนี้คู่เตนิวอินกับอะไรคะ

นิว : “ถ่ายซีรี่ส์ครับ ตอนนี้ฮิตมากเลย” (หัวเราะ)

เต : “เนี่ย เขาจะชอบเล่นมุกอย่างนี้ตลอดครับ ผมเองแต่ก่อนก็ไม่กล้าเล่น ตอนนี้คือปล่อยไปก่อน ถ้าแป้กก็ช่างมัน ให้เพื่อนด่าไป ถ้าไม่มีใครขำก็ขำเอง และเริ่มรู้วิธีรับมือกับความแป้กของเพื่อนด้วย อย่างนิวแป้ก ผมก็จะเงียบ ยิ้มๆ แต่ถ้าออฟอยู่ เขาจะช่วยด่าอีกแรง” (หัวเราะ)รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา "เต-นิว" ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้

อยู่ในวงการมาสักพัก มีเรื่องอะไรที่ยังต้องปรับตัวปรับใจอยู่ไหมคะ

นิว : “ผมยังคงไม่ชอบการแต่งหน้าครับ อยากให้เหมือนดาราต่างประเทศ คือบางบทนักแสดงบางคนเข้ากล้องแบบหน้าสดเพื่อให้ดูสมจริง แต่ผมก็รู้นะว่าถ้าไม่แต่งหน้าอาจจะออกมาดูไม่ดี ก็ต้องยอม

“ที่จริงเดี๋ยวนี้ผมดูแลตัวเองเยอะขึ้นแล้วแหละ เช่น เริ่มหลบแดด ทาครีมกันแดด ไม่ใช่ว่าจะสำอาง เพราะผมโตที่หาดใหญ่ ขับมอเตอร์ไซค์ไปโน่นมานี่ตลอด แต่พอเข้าวงการก็ต้องดูแลตัวเอง เพราะไม่อยากให้มีปัญหาผิวตามมา

“ส่วนเรื่องการแสดง ความที่ผมเรียนวิศวะ ไม่ได้เรียนทางการแสดงโดยตรง ก็ต้องปรับตัวเยอะ ผมพยายามฝึกดูบทและตีความ คือผมว่าหลายคนสามารถตีความได้นะ แต่ตอนอยู่หน้ากล้องจะเป็นอีกเรื่อง บางคนอยู่หน้ากล้องแล้วชิล แต่ผมเครียด บางทีเล่นออกมาแล้วดูไม่ลื่นไหล จึงอยากให้ตัวเองเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทุกวันนี้ก็ยังฝึกอยู่ เป้าหมายในการแสดงของผมคืออยากรับละครทีละเรื่อง แล้วถ่ายไปเลยยาวๆ 4-5 เดือน อยู่กับบทตรงนั้นให้เต็มที่ ละครเรื่องนั้นอาจจะไม่ต้องดังก็ได้นะ แต่อยากดูตัวเองในทีวีแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างโอเค ตอนนี้บางทีรู้สึกว่าบางฉากอารมณ์ยังไม่ใช่ แต่เราจะมัวแก้ของตัวเองแล้วไม่สนใจคนอื่นๆ ไม่ได้ ก็ต้องปล่อยผ่าน

“ถ้าเป็นเรื่องนิสัย บางครั้งผมก็กล้าแสดงออก บางครั้งผมก็เก็บตัว โดยนิสัยผมมีโลกส่วนตัวประมาณหนึ่ง ไปดูหนังคนเดียว กินข้าวคนเดียวได้ ถ้าไปสนุกสนานกับเพื่อนก็ได้ คือเป็นคนกลางๆ แต่สิ่งที่การทำงานทำให้ผมเปลี่ยนแปลงมากที่สุด น่าจะเป็นเรื่องการแต่งตัวครับ จากที่เคยใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ใส่เสื้อยืดวนซ้ำจนขาด ตอนนี้ก็ต้องแต่งตัวให้โอเคมากขึ้น แต่ก็ขอเป็นสไตล์มินิมัล ใส่เชิ้ตหรือสูท แค่นั้นเลย”

เต : “ส่วนผมเมื่อก่อนนิสัยตรงข้ามกับตอนนี้เลย คือไม่กล้าแสดงออก ตอนที่มาทำงานใหม่ๆ ไม่กล้ามองกล้องด้วยซ้ำ มือไม้วางไม่ถูก กลัวทำผิด แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพูดเยอะขึ้นมากๆ พูดคล่อง เปิดใจรับคนทุกแบบ ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้ผมชอบงานในวงการที่ช่วยเปลี่ยนผมจากคนเก็บตัวสุดโต่ง กลายเป็นผมที่อยู่ตรงกลางมากขึ้น เพราะเวลาเล่นเป็นตัวละครคนอื่น เราต้องเข้าใจตัวละคร บวกกับการทำงานที่ต้องเจอคนหลากหลาย จึงทำให้เราต้องปรับตัวเข้าหา อีกอย่างคือผมชอบมองและสังเกตความแตกต่างของผู้คน นิสัยที่แตกต่างกัน มันกลายเป็นเรื่องสนุก เลยไม่ปิดกั้นตัวเองเหมือนเมื่อก่อน

“อีกอย่างที่วงการนี้เปลี่ยนนิสัยผมมากๆ คือสอนให้ผม Just do it เมื่อก่อนผมไม่ยอมปล่อยอะไรสักอย่าง ต้องทำให้ดีที่สุด ต้องเป๊ะ เช่น ร้องเพลงก็ต้องจำเนื้อให้แม่น โน้ตเสียงสูงก็ต้องร้องให้ถึง การแสดงจึงดูเครียด แต่บางทีเรามีเวลาซ้อมจำกัด ก็ต้อง The show must go on เคยมีคนบอกผมว่าแฟนคลับแค่อยากเห็นผมร้องเพลงอย่างมีความสุข เขาแค่อยากสนุกกับเรา ไม่ได้คาดหวังว่าผมจะต้องร้องเพราะมากๆ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

“แม้ทุกวันนี้ผมสนุกกับการทำงานมากขึ้น แต่ก็มีแว่บหนึ่งที่อยากกลับไปอยู่นิ่งๆ เหมือนเดิม เหมือนชีวิตมันไม่บาลานซ์ บางคนเห็นเราแค่ในทีวี เขาจะติดภาพว่าในทีวีเราเป็นยังไง ตัวจริงต้องเป็นอย่างนั้น คือบางมุมผมก็อาจเป็นอย่างนั้นแหละ แต่คนเราก็มีหลายมุมในชีวิตนะ เราทำงานทุกวัน ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา ขณะที่การถ่ายรายการเราต้องบิลด์ตัวเองให้สนุกมากๆ เหมือนดึงพลังล่วงหน้ามาใช้ พอเราจบจากงานตรงนั้นก็อยากรักษาพลังตัวเอง ปกติเวลาเข้าออฟฟิศผมจะร่าเริง ทักทายทุกคน แต่ถ้าวันไหนเหนื่อยมาก จะรีบๆ เดินก้มหน้า เพราะถ้าเจอใคร ต้องเล่น ต้องคุย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเวลากลับถึงบ้าน เพื่อนๆ จะรู้ดีว่าผมจะไม่ค่อยตอบไลน์ ไม่รับสาย อยู่กับตัวเองเพื่อชาร์จพลังครับ”

รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา "เต-นิว" ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้

วงการบันเทิงยุคนี้มีเรื่องดราม่าบ่อย มีวิธีรับมือยังไงคะ

นิว : “ส่วนมากผมจะเฉยๆ บวกกับปกติผมไม่ค่อยได้เสพสื่อโซเชียล แต่ข่าวก็เข้าหูผมอยู่ดี เพราะจะมีคนมาบอก ซึ่งผมจะตอบเขาทำนองว่าไม่มีอะไรหรอก จริงๆ คือผมไม่ค่อยสนใจครับ บวกกับผมสายชิลอยู่แล้ว เวลาเครียดใช้วิธีเล่นเกม เดี๋ยวก็ลืม”

เต : “จริง แค่เราเปลี่ยนจุดโฟกัสซะ ผมก็ใช้วิธีเล่นเกมเหมือนกัน คือเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ และเราไม่ได้ผิดในเรื่องนั้น ใช้วิธีออกมาอยู่กับโลกความจริงก่อน อย่าเพิ่งไปเล่นโซเชียล บางทีผมก็เคยมีเรื่องที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำพูด เพราะในโซเชียลคนเห็นเราแค่มุมเล็กๆ แต่ถ้าเป็นแฟนคลับจะเข้าใจว่าสิ่งที่เราพูดหมายถึงอะไร แต่คนอื่นๆ อาจไม่รู้ ซึ่งผมเครียดนะ เพราะไม่ชอบให้ใครเข้าใจผิด ตอนแรกที่เจอแบบนี้ ก็เคยคิดว่าเราควรจะพิมพ์อะไรชี้แจงไหม อารมณ์แบบคันไม้คันมือมาก ยิ่งอ่านคอมเมนต์ยิ่งนอยด์ นอนไม่หลับ แต่คิดไปคิดมา ถ้าตอบกลับจะยิ่งเลยเถิด ทางเดียวก็คือออกจากโลกโซเชียลไปเลยครับ

“เวลาเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ผมมักจะปรึกษาหลวงพี่โตน (จักรธร ขจรไชยกูล อดีตนักร้องนำวงโซฟา) ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรฯ เมื่อ 2 ปีที่แล้วผมไปบวชที่นั่น และบังเอิญว่าหลวงพี่โตนเป็นพระพี่เลี้ยงผม ท่านเคยทำงานในวงการบันเทิง จึงรู้ว่าเราจะเจออะไรที่ทำให้ใจแกว่งตลอดเวลา ท่านสอนว่าใจคนเรามีพลังมาก เวลาเราอยากได้อะไร ใจสั่งได้ทั้งนั้น การทำสมาธิคือการสั่งใจให้หยุดนิ่ง ผมจึงสวดมนต์ทุกคืนและพยายามนั่งสมาธิให้ได้ บวกกับตั้งแต่บวชผมก็สัญญากับตัวเองว่าจะพยายามเข้าวัดให้ได้เดือนละ 4 ครั้ง เพื่อสงบใจตัวเองด้วย”รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา "เต-นิว" ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้

ไม่ค่อยเจอมุมซีเรียสขั้นนี้ของเตนิว มีเรื่องจริงจังอื่นๆ อีกไหมที่คนไม่ค่อยรู้

นิว : “สิ่งหนึ่งที่ทุกคนอาจจะไม่รู้คือ ผมอยากให้ทุกคนเท่าเทียมกัน เคารพสิทธิ์กันและกัน ผมไม่ชอบเวลาที่ใครบังคับให้คนอื่นคิดตาม เพราะจริงๆ ทุกคนมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แค่นั้นเลย”

เต : “ผมเป็นโรคไม่กล้ายินดียินร้ายกับความสำเร็จ จริงๆ คือเป็นกับทุกเรื่อง ไม่กล้าสุขสุดๆ กับอะไรสักอย่าง เพราะกลัวว่าวันหนึ่งจะผิดหวัง ซึ่งผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนะ อย่างมีครูคนหนึ่งที่ปกติเขาจะดุมาก แต่เขากลับใจดีกับผมมาก ผมก็จะคิดมากว่าเขาไม่เป็นแบบนี้ เดี๋ยวเขาก็ดุเราแล้ว (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเวลาที่คนชมว่าช่วงนี้ในวงการบันเทิงของผมพีคมาก ดังมาก ก็มักจะไม่กล้าเหลิงไปกับมัน เพราะฉะนั้นถ้าวันหนึ่งผมจะกลายเป็นคนไม่ดัง ก็ไม่เคยกลัวเลยนะ เพราะเราเผื่อใจไว้ อาจจะเพราะอยู่วงการนี้มานาน จึงเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติของโลก เก่าไปใหม่มา ก็รู้ว่าวันหนึ่งจะมีขึ้นและมีลง อย่าไปยึดติดกับมัน อนาคตไม่ได้ยั่งยืน จริงจังไปไหมครับ” (หัวเราะ)

ไหนๆ มาทางนี้แล้ว ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ นิวที่จบปริญญาโทด้านบริหาร ส่วนเตก็จบด้านเศรษฐศาสตร์ ทั้งสองคนมีวิธีการใช้เงินอย่างไรคะ

นิว : “ผมจะใช้เท่าที่มีครับ มีเยอะใช้เยอะ มีน้อยก็ใช้น้อย แต่ไม่ใช่ว่ามีเงินพอจะซื้อนาฬิกาแพงๆ ได้สัก 20 เรือนก็ซื้อเลยนะ ถ้าอยากซื้อของราคาสูง ก็ต้องมีเงินขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องเกินตัว

“ส่วนใหญ่ผมมักจะใช้เงินไปกับการลงทุน เช่น ซื้อหุ้น กองทุน ตราสารหนี้ ซึ่งผมชอบการลงทุนมาตั้งแต่สมัยเรียนปี 1 แล้ว เพราะอยากโตกว่าคนอื่น อยากให้ตัวเองมั่นคง ได้เงินปันผลที่แน่นอน อาจจะไม่ต้องรวยก็ได้ แค่ไม่ลำบาก เพราะมีฐานเงินตรงนี้รองรับ เพราะถ้าวันหนึ่งผมรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากทำงาน ก็จะหยุดพักได้ เพราะตัวเองก็ไม่ใช่คนอยู่ยาก กินยาก หรือใช้ของแพง แค่มีเงินปันผลจากการลงทุนเข้ามาสม่ำเสมอก็พออยู่ได้แล้ว

“แต่เรื่องความอยาก ผมก็มีเหมือนคนทั่วไปครับ เคยยอมตัดใจซื้อรองเท้า Balenciaga ราคา 2 หมื่นกว่าบาท แต่ก็ไม่ค่อยใช้ เนื่องจากชอบจนเสียดาย หรือเห็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมบางตัวก็อยากได้มาก แต่พอคิดว่าซื้อมาแล้วไม่คุ้ม บางตัวใส่ได้ครั้งเดียว ก็จะเสียดาย ต้องยับยั้งใจตัวเอง เพราะถ้าเกิดสถานการณ์แบบโควิด ต้องหยุดงานนานๆ อีก ก็ต้องคำนวณว่าจะอยู่ได้ไหม”

เต : “ของผมก็มีลงทุนบ้าง เพราะรู้ว่างานสายนี้ไม่ยั่งยืน ต้องหารายได้ทางอื่นด้วย เพื่อสร้างความมั่นคง ส่วนไลฟ์สไตล์การใช้เงินของผมจะเป็นแบบไบโพลาร์ครับ บทจะขี้งกก็งกมาก แต่ถ้าจะซื้อก็เป็นชิ้นใหญ่ที่แพงไปเลย อย่างน้ำขวดเล็กๆ ไม่ซื้อเพราะรู้สึกว่าเปลือง แต่ถ้าเจอน้ำขวดขนาด 1.5 ลิตร ลดราคา 2 ขวด 20 บาท จะซื้อทันที บางครั้งถ้าไม่ลืมก็จะใช้วิธีพกขวดเปล่าไปกรอกน้ำที่ตึกแกรมมี่ครับ เวลาซื้อของจะศึกษาก่อน เพราะไม่ยอมเสียเงินโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคุ้มค่าไหม เพราะผมเรียนเศรษฐศาสตร์มา ก็จะดูว่ามีทางไหนที่จะซื้อได้ถูกกว่านี้ไหม ของชิ้นนี้แพงเพราะอะไร และเราใช้ความแพงนั้นคุ้มไหม แต่ถ้าบทจะอยากได้และเป็นสิ่งที่ผมชอบ ก็จะซื้อแบบไม่มีเหตุผลนะ เช่น กล้อง มือถือ ล่าสุดคือตัดสินใจซื้อมือถือมาเครื่องละ 65,000 บาท คือแพงมาก (ลากเสียง) แต่อยากลอง อยากใช้เป็นคนแรกๆ กับผมจะแพ้ของลดราคา แม้จะไม่ได้ใช้ก็จะหาเรื่องจินตนาการว่าเดี๋ยวต้องได้ใช้ เช่น เครื่องดักยุง ผมอยู่ชั้น 4 จริงๆ ไม่ค่อยมียุง แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวยุงบางตัวก็บินขึ้นมาแหละ (หัวเราะ) เนี่ยคือการใช้เงินแบบไบโพลาร์ที่แท้จริง”

รู้จักตัวตนอีกมุมของคู่จิ้นสายฮา "เต-นิว" ที่แฟนๆ ชาว Polca ไม่ค่อยรู้

เตและนิวมองภาพตัวเองตอนเป็นผู้ใหญ่วัย 40 ยังไงบ้าง

นิว : “ตอนนั้นผมคงภูมิฐาน มั่นคงแล้ว คงเลี้ยงลูก ผมอยากมีลูกผู้หญิง เพราะน่ารัก แต่คงหวงลูกน่าดู” (หัวเราะ)

เต : “ส่วนผมอยากมีบ้านที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ตอนนี้จึงอินกับการดูในโซเชียล ชอบแชร์รูปการแต่งบ้าน พยายามใช้เงินอย่างอื่นให้น้อยลง เพื่อเก็บไว้ซื้อบ้าน คือบ้านที่อยู่ตอนนี้คุณปู่คุณย่าสร้าง ผมอยากได้บ้านที่ดูมินิมัล ต้นไม้เยอะๆ ไม่ต้องใหญ่มาก เพราะดูแลยาก แต่ก็อยากมีหลายชั้นหน่อย เพราะชอบมองวิวข้างบน อีกอย่างคืออยากมีงานที่มั่นคง อาจจะเป็นธุรกิจส่วนตัวสักอย่าง ซึ่งยังนึกไม่ออกนะ แต่อยากทำอะไรที่ตัวเองชอบจริงๆ จะได้มีแพสชั่นกับสิ่งนั้น”

นิว : “ผมก็อยากมีธุรกิจส่วนตัวนะ อยากทำเกี่ยวกับธุรกิจนำเข้าหรือส่งออก แต่ยังไม่รู้นะว่าสินค้าจะเป็นอะไร คือผมเรียนด้านบริหารมา ก็ยังไม่อยากทิ้ง ส่วนงานในวงการผมอยากเป็นโปรดิวเซอร์หรือไม่ก็พิธีกรเหมือนเดิม จริงๆ ผมว่าการบริหารก็เอามาใช้กับงานในวงการได้นะ ไม่ว่าจะเป็นการคุมงบประมาณ หรือการคุมคุณภาพคน เราอาจจะไปอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นแทนมากกว่า”

เต : “จริง ผมก็คงทำงานเบื้องหลังหรือไม่ก็เป็นพิธีกร เพราะเราเติบโตจากด้านนี้ แต่ตอนนี้ที่ตั้งใจไว้คือจะพัฒนาสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะร้องเพลง หรือการแสดง อยากทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ วันครับ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 962

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

รุ่นใหม่ไฟแรง! เปิดทัศนคติการทำงานของ “ออฟ-กัน” คู่จิ้นสายวายสุดฮ็อต

รู้จักกันเกือบ 10 ปี! เปิดมุมซี้ปึ้ก “คริส-สิงโต” คู่จิ้นสายวายเบอร์ต้นของเมืองไทย

ขยันไม่หยุด! “วิน-เมธวิน” เผยแม้งานในวงการบันเทิงจะแน่น แต่ก็ทำธุรกิจส่วนตัวด้วย

Praew Recommend

keyboard_arrow_up