ใต้ร่มฉัตร เปิดเรื่องราวชีวประวัติ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ เด็กนักเรียนฝรั่งเศส (ตอนที่ 7)

ใต้ร่มฉัตร เปิดเรื่องราวชีวประวัติ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ เด็กนักเรียนฝรั่งเศส (ตอนที่ 7)

ใต้ร่มฉัตร เปิดเรื่องราวชีวประวัติ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ เด็กนักเรียนฝรั่งเศส 

ใต้ร่มฉัตร ดำเนินมาถึงตอนที่7 หลังจากรอนแรมในการเดินทางด้วยเรือโดยสารข้ามทวีปมานาน ในที่สุด หม่อมเจ้าการวิก ก็เสด็จถึงประเทศฝรั่งเศส อันเป็นสถานที่ที่จะทรงใช้ชีวิตในการศึกษาเป็นขั้นลำดับต่อไปของชีวิต

เรือใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 เดือน จึงถึงท่าเมืองมาร์เซลย์ (MARSEILLE) ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2472 วินาทีแรกที่เห็นเมืองนี้ก็รู้สึกผิดหวัง เพราะมีเรือใหญ่ๆ เก่าๆ โทรมๆ และมีฝรั่งเป็นกุลีขนถ่านแบกมาเหงื่อไหลมีผงถ่านดำๆติดมอมแมม ที่ตกใจที่สุดคือ เห็นม้าลากรถบรรทุกของหนักๆ ตัวใหญ่เท่าช้าง ภาพเมืองนอกที่เห็นไม่เหมือนในหนังฝรั่งที่มีทิวทัศน์สวยงามชวนฝัน อย่างที่เคยดูที่เมืองไทยเลย…แล้วคณะของเราก็จำต้องแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง หม่อมเจ้าดำรัสดำรงพร้อมคณะของท่านเสด็จประทับแรมที่โรงแรมคืนหนึ่ง แล้วจึงเสด็จต่อยังอังกฤษโดยทางรถไฟ ส่วนคุณเฉลิม คุณอั๋น และคุณพื้นทอง ต่างก็แยกกันไป

สำหรับผมอยู่ที่เมืองมาร์เซลย์ โดยทางครอบครัวเดอลาโฟรี (DE LAFAURIE) ซึ่งผมต้องมาอยู่ด้วยให้เกียรติมาก ขับรถเรโนลท์ขนาด 8 สูบ คันใหญ่เบ้อเริ่มมารับถึงที่ท่าเรือ ซึ่งสมัยนั้นรถเรโนลท์ของฝรั่งเศสมีความใหญ่และโก้เหมือนเป็นรถเบนซ์ในสมัยนี้ ไปที่ไหนคนเห็นก็รู้ว่าเศรษฐีมาแล้ว

หม่อมเจ้าการวิก ทรงฝึกยืงปีน วัยเด็ก

การที่ผมต้องมาอยู่กับครอบครัวซึ่งมีเชื้อสายขุนนางเก่านี้ เพราะว่าเป็นญาติกับพันเอก เดอลาโปมาแรด์ ทูตทหารที่มากราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ส่งนักเรียนไทยมานั่นเอง

ครอบครัวเดอลาโฟรีมีทั้งหมด 6 คน ทุกคนเอ็นดูผมมาก เสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน ตัวคุณพ่อหรือปาป๊า (MONSIEUR RENE) เป็นผู้จัดการใหญ่ของห้างสรรพสินค้าที่เมืองมาร์เซลย์ คุณแม่หรือมามอง (MADAME MARGARITE) เป็นแม่บ้าน และได้สอนหนังสือกับการพูดออกเสียงและคำศัพท์ต่างๆแก่ผมจนจำได้แม่น พี่สาวคนโต (LOUISE) แต่งงานแล้วไปอยู่กับสามีที่อียิปต์ พี่สาวคนรอง (GEORETTE) เป็นคนสอนวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์แก่ผม พี่สาวคนที่สาม (BERTRANDE) ก็สอนการพูด และพาไปเดินเล่นดูสิ่งต่างๆ ส่วนน้องชายคนเล็ก (PIERRE) อายุน้อยกว่าผมเป็นเด็กอ่อนปวกเปียก ไม่กินข้าวผอมกะหร่อง พอผมมาอยู่ก็เป็นเหมือนลูกชายคนโตของบ้าน และมักพาน้องชายออกไปเล่นปีนต้นไม้หรือเล่นผาดโผน ไม่นานเขาก็แข็งแรง รับประทานอาหารได้เยอะ ทำให้คุณแม่ดีใจมาก

ผมจำได้ว่าวันแรกที่มาถึง เขาจัดอาหารให้กิน เขาเห็นว่าผมเป็นคนไทยและเคยรับรู้มาว่า เมืองไทยเป็นเมืองที่กินข้าวและขายข้าวไปทั่วโลก เขาจึงต้มข้าวต้มใส่นมโรยน้ำตาล มีรสหวานๆเอียนๆพิลึก ผมตักชิมไปสองคำก็หยุด ทั้งที่คิดว่าจะกินหมดก็ได้ แต่ความที่ถูกสอนมาว่า เวลากินอะไรให้กินแต่น้อย เพื่อเป็นการแสดงมารยาทไม่ให้เขาดูถูกคนไทยได้ว่าตะกละ ผมจึงไม่กินอีก เขาก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไร ไม่กินอีกหรือ ผมไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เลยตอบว่ามีรสขม! เขาตกใจกันทั้งบ้านที่เจ้าเด็กไทยคนนี้มีลิ้นชิมรสไม่เหมือนพวกเขา

หม่อมเจ้าการวิก ทรงฝึกยืดหยุ่น

แต่รุ่งเช้าผมเห็นเขามีขนมปังร้อนๆทาเนยคนละตั้งใหญ่ราว 20-30 ชิ้น แล้วจุ้มกาแฟกิน ผมก็ลองดู อร่อย…กินหมดเลย เพราะหิวมาตั้งแต่เมื่อคืน พวกเขาดีใจกันใหญ่ว่าเจ้าเด็กป่าคนนี้ไม่อดตายแน่แล้ว ตอนกลางวันมีเนื้อทอดกับเส้นบะหมี่ ผมก็กินหมดอีก ลืมไปหมดแล้วว่าไม่ให้ตะกละ เขาก็ยิ่งดีใจ ผมใช้เวลาปรับตัวสัก 2 สัปดาห์ ก็พอพูดฝรั่งเศสได้คล่อง แต่อาจออกเสียงผิดเพี้ยนไปบ้าง เขาก็ไม่ว่าอะไรเลย

ต่อมา คุณพ่อคุณแม่จัดให้ผมไปเรียนหนังสือในระดับชั้นมัธยมก่อนที่โรงเรียนเปริเย่ (LYCEE PERIER) ซึ่งเป็นชื่อของถนนด้วย เป็นโรงเรียนของรัฐบาล ไม่ต้องเสียเงิน นอกจากค่าสมุดดินสอเท่านั้น โรงเรียนนี้เป็นสังคมใหม่ที่ผมได้เรียนรู้ เพราะห้องที่ผมเรียนอยู่นั้น มีทั้งลูกของคนส่งนม คนขายเสื้อผ้า คนขายหนังสือพิมพ์ คนขายหมู กระทั่งลูกของผู้ว่าฯ นายอำเภอ เรียกว่ามีความหลากหลายของชนชั้นในสังคมมารวมอยู่ที่นี่ โดยมีผมเป็นนักเรียนคนไทยคนเดียว แต่ไม่ได้บอกใครว่าเป็นเจ้า และความเป็นคนไทยนี่เอง ทำให้ผมได้รับอะไรหลายอย่างที่เป็นประสบการณ์ในชีวิต…

 

วันแรกที่ผมไปโรงเรียนสังเกตว่ามีเด็กคนหนึ่งตัวโตกว่าคนอื่นๆ เขาเดินเข้ามาขอจับมือกับเด็กที่ยืนๆกันอยู่ แล้วก็ต่อยท้องตุ้บ! ลงไปนั่งคุกเข่ากองอยู่กับพื้น ต่อยคนนี้เสร็จก็แกล้งทำไก๋เดินมาหาคนต่อไป พอใกล้ถึงผม  เขาก็เหล่มา ผมก็จับมือด้วยแต่เกร็งท้องให้แข็งไว้ก่อน พอเขาต่อยตุ้บ ผมก็สวนพลั่ก! เข้าที่ลิ้นปี่ของเขา จนลงไปนั่งร้องโอดโอย…ตั้งแต่นั้นผมนึกถึงคำพูดของครูที่โรงเรียนวชิราวุธฯว่า ทำอะไรแล้ว ‘ต้องพัฒนา’ จึงเก็บสตางค์ไปซื้อนวมมาฝึกชกมวยกับเพื่อนที่ริมถนนก่อน ตอนหลังคุณแม่รู้ บอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะไม่ใช่เด็กริมถนน ให้พาเพื่อนมาที่บ้าน แล้วคุณแม่ก็จัดห้องห้องหนึ่งไว้ให้ซ้อม ผมบอกอยากมีเวที เขาก็สั่งเชือกมากั้นทำเป็นเวที ผมก็ชวนเพื่อนมาฝึกซ้อมทุกค่ำ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและรู้จักป้องกันตัว โดยมิได้มุ่งหวังที่จะไปแสดงฝีหมัดทำร้ายใคร

หม่อมเจ้าการวิก ทรงซ้อมมวยที่บ้านฝรั่งเศส

ระหว่างนั้นผมได้ไปปารีสอยู่หลายครั้ง เพราะพี่คัสตาวัส ซึ่งทรงเรียนเสนาธิการที่อังกฤษเสด็จมาพาผมไปชมการชกมวยของแชมเปี้ยนโลกชาวฝรั่งเศสซึ่งมีอยู่ 2-3 คนในตอนนั้น ผมก็ได้จดจำท่าทางเขามาฝึกฝนกับเพื่อนๆจนชำนาญ

ในสมัยนั้นประเทศฝรั่งเศสได้ประเทศต่างๆเป็นอาณานิคมเยอะ ทำให้คนที่ด้อยการศึกษาของเขารู้สึกและแสดงอาการเหยียดหยามคนผิวเหลืองมากกว่าคนผิวดำ เพราะคนผิวดำใช้งานได้ดี ขยันกว่า โดยเฉพาะเห็นคนญวนคนจีนนี่ไม่ได้ ต้องเรียกอย่างดูถูกว่าไอ้ญวน ไอ้เจ๊ก เขาจะดูถูกวัฒนธรรมของคนตะวันออกมาก ผมเป็นคนไทยแต่พอถูกเรียกอย่างนี้ก็โกรธ อยากจะเตะอยากสู้แต่ต้องอดกลั้นใจไว้ เพราะสำนึกในพระบรมราโชวาทของพระเจ้าอยู่หัว พระโอวาทของเสด็จพ่อ และคำสั่งสอนของแม่และยายอยู่เสมอว่า อย่าไปมีเรื่องรังแกต่อต้านอะไรกับใครถ้าไม่จำเป็น หลีกได้ก็หลีก หลีกไม่ได้จึงคิดสู้เพื่อป้องกันสิทธิความถูกต้องของเรา กระทั่งวันหนึ่งทนไม่ไหว

ตอนนั้นผมอายุราว 14 ปีครึ่ง มีเด็กหนุ่มนักฟุตบอลรุ่นใหญ่อายุสัก 20-21 ปี ตัวสูงใหญ่กว่าผม เดินมาด้วยกัน 5 คน ชี้ข้ามถนนมาที่ผมกับเพื่อนที่กำลังเดินอยู่ว่า

 

“เห็นไอ้ลูกเจ๊กไหม ตอนนี้แม่มันนั่งกินบะหมี่อยู่บนขดหางเปียที่เมืองจีน”

ผมได้ยินก็โกรธมากที่ถูกเรียกว่าเจ๊ก แล้วยังพูดถึงแม่อีก จึงฮึดขึ้นมาตะโกนเรียก

“ไหนเอ็งเก่งจริง เข้ามาพูดใกล้ๆหน่อยซิ ได้ยินไม่ถนัด” พวกเขาก็เดินเข้ามาทั้งหมดถามว่า เอ็งว่าอะไรนะ ผมบอกพูดอีกทีซิ เจ้าหัวหน้าก็เข้ามาจับข้อมือผมไว้แล้วพูดซ้ำ ผมสะบัดมือออก เขาก็ควักลูกนัยน์ตาผมแล้วชกเปรี้ยง! ผมรู้สึกมันมืดคล้ายๆดับไปเลย

หม่อมเจ้าการวิก ทรงสกี

พอมีเสียงดังวี้ดๆผมก็หน้ามืด เห็นเป็นภาพเหมือนในหนัง ที่มีตัวเองนุ่งกางเกงนักมวยใส่นวมเต้นอยู่บนเวที ต่อยกับยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นตัวหัวหน้า ชกกันอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง เอาไม่ลงจนมันเพลียติดเชือก ผมก็นึก เอ! ชักไม่ค่อยดี เจอของจริงแล้วหรือเปล่า ใจหายวูบ จึงลืมตาตื่นคืนสติ เห็นเจ้ายักษ์นั่งพิงอยู่ที่ประตูเหล็กดัดบ้านคนอื่น  อ้าว! นี่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่หนัง ผมต่อยท้องเขาจนเจ็บมือ ชกปากกับจมูกจนเลือดสาดก็ยังไม่ลง คิดในใจว่าต้องหาทางวิ่งหนีแล้ว แต่ยังเหลืออีกตั้งสี่คนที่ยืนขวางอยู่ ตัดสินใจเสี่ยงเดินเข้าไปหา แถมดึงแขนเสื้อขึ้นอีกนิด ถามว่า

“ใครจะเข้ามาเป็นคนต่อไป หรือเข้ามาทั้งหมดก็ได้” พวกนั้นกลับบอกว่า พอแล้ว…จะเอาหมอนี่กลับบ้าน แล้วเขาก็อุ้มกันไป ปรากฏว่าเสื้อเกี่ยวอยู่บนปุ่มเหล็กดัด ตัวเขาถึงไม่ล้มทรุดลงกองพื้น พอเขาหิ้วปีกกันไปปุ๊บ ผมได้ยินเสียงประตูรถยนต์ปิดดังปัง แล้วมีหญิงแก่คนหนึ่งนุ่งกระโปรงดำวิ่งผ่านหน้าผมไปจนเกือบจะชนผม ผมยืนนิ่งตะลึงที่เห็นแกถือร่มไล่ฟาดหลังเจ้าพวกนั้น พลางร้องว่า

“พวกแกรังแกเด็ก ฉันเห็นตั้งแต่ต้น สมน้ำหน้า” หญิงแก่คนนี้เป็นเจ้าของประตูเหล็กดัดบ้านหลังนั้นและเข้าบ้านไม่ได้ จึงเห็นมวยสดตลอด…ผมเหลียวมองหาเจ้าเพื่อนคนที่เดินมาด้วยกันก็ไม่พบ สักครู่ถึงเห็นเขากระโดดข้ามกำแพงบ้านที่มีเหล็กดัดนั้นออกมา หลังจากที่หนีไปแอบซุ่มดูอยู่ ผมบอกกับเขาว่า

“แหม! รู้สึกใจเสีย ชกอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมงเอาไม่ลง”

“ครึ่งชั่วโมงที่ไหน ไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ”

ผมพาสังขารอันสะบักสะบอมกลับมาบ้าน คุณแม่เห็นเข้าตกใจร้องห่มร้องไห้ เพราะเห็นตาของผมโปน มีเนื้อห้อยออกมานิดหนึ่ง คงเป็นเพราะถูกเล็บขูด มีเลือดไหลซิบๆ คุณแม่ก็เอาเนื้อดิบๆมาโปะให้ เพื่อจะได้ไม่เป็นรอยดำเมื่อแผลแห้ง และบอกว่าทีหลังอย่าไปต่อยกับเขานะ ผมบอกจะพยายาม แต่คราวนี้หนีไม่พ้นจริงๆ

วันรุ่งขึ้นไปโรงเรียน มีข่าวลือไปทั่ว พวกนักเรียนทั้งเด็กเล็กเด็กโตเข้ามาขอผมจับมือกันใหญ่ ตั้งแต่นั้นผมกลายเป็นคนสำคัญ มีลูกน้องเยอะ เดินไปไหนสบาย หากมีใครอ้าปากจะเรียกคำไม่ดีต่อผม ก็มีคนจัดการให้เสร็จ

 

 

 

 

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up