หากมีโจทย์ยื่นมาตรงหน้าให้เล่าถึงวันพิเศษของคุณ คุณจะเล่าถึงวันใด วันที่แฟนสารภาพรัก วันที่เขาขอแต่งงาน วันคลอดลูก ฯลฯ โจทย์นี้ถูกส่งไปถึง นางเอก 2 คน 2 รุ่น คือคริส หอวัง กับสายป่าน-อภิญญา และนี่คือคำตอบของเธอ
คริส หอวัง : วันที่เรามีความสุข
บ่ายวันหนึ่งคริสขับรถไปกินอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งย่านแจ้งวัฒนะ โดยจอดรถไว้ที่ลานโล่งหน้าร้าน แล้วรีบวิ่งไปพึ่งเครื่องปรับอากาศข้างในทันที คริสเลือกที่นั่งติดกระจกด้านหน้า ทำให้เห็นผู้ชายคนหนึ่งทำงานอย่างขันแข็งอยู่ที่ลานจอดรถ เขาใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว กางเกงขายาว และหมวกสานใบใหญ่ กำลังโบกมือให้รถจอดอย่างเป็นระเบียบ ถ้าคันไหนออกก็ช่วยดูทางให้จนปลอดภัย หนึ่งชั่วโมงที่คริสอยู่ในร้านเห็นเขาวิ่งไปมาไม่หยุด แม้รู้ว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบ แต่ก็อดชื่นชมและเป็นห่วงไม่ได้ เพราะข้างนอกอากาศร้อนมาก ร่มกันแดดสักคันก็ไม่มี
หลังจากกินเสร็จ คริสรีบเดินกลับขึ้นรถ พอดีกับพี่คนนั้นเดินมาถึงแล้วโบกมือบอกสัญญาณให้เราถอยรถได้ คริสยื่นเงินออกไปให้เขาสิบบาทเหมือนที่ให้กับคนอื่นทุกครั้ง แต่พอเห็นเหงื่อที่ออกท่วมหน้าและเสื้อจนเปียกชุ่ม จึงตัดสินใจหยิบเงินในกระเป๋าออกมา 200 บาท แล้วยื่นให้อีกครั้งพร้อมบอกว่า อากาศร้อนมาก คงเหนื่อยแย่ เป็นกำลังใจให้ สู้ๆ นะคะ
เขารับเงินและอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนตอบว่า ขอบคุณครับ ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเบ้า ภาพที่เห็นทำให้คริสน้ำตาไหลตามไปด้วย ก่อนจากกันคริสอวยพรให้เขาโชคดี เขายิ้มรับแล้วช่วยดูทางจนรถออกไปถึงถนนใหญ่ ระหว่างขับรถกลับบ้านคริสรู้สึกอิ่มใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะได้ทำให้คนๆ หนึ่งมีความสุขขึ้น
หลังจากวันนั้นถ้าเจอพนักงานที่ลานจอดรถ หรือเดินผ่านเจ้าหน้าที่เปิดประตูห้างสรรพสินค้า คริสจะหันไปยิ้มและขอบคุณเขาทุกครั้ง เพราะคริสเชื่อว่าแค่รอยยิ้มหรือคำพูดดีๆ เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก แต่ทำให้ทั้งผู้รับและผู้ให้มีความสุขมาก เหมือนเหตุการณ์ในลานจอดรถที่ไม่ใช่แต่เพียงผู้ชายคนนั้นรู้สึกดีใจอยู่คนเดียว
เพราะคริสก็สุขใจมากไม่แพ้กัน
สายป่าน-อภิญญา : บ้านของเรา
ป่านรักหมามาตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าอ้อนให้แม่ซื้อมาเลี้ยงที่บ้าน หลังจากนั้นแม่ก็ตกหลุมรักเพื่อนสี่ขาไปด้วย พอย้ายบ้านมาอยู่จังหวัดปทุมธานี เส้นทางที่ป่านไปโรงเรียนทุกเช้าต้องผ่านวัดแห่งหนึ่งที่มีหมาจรจัดอยู่เยอะ หลายตัวผอมจนเหลือแค่หนังติดกระดูก ป่านจึงบอกแม่ว่าพรุ่งนี้เราหาข้าวมาให้พวกมันกินกันเถอะ
รุ่งขึ้นป่านกับแม่ช่วยกันคลุกข้าวกับปลากระป๋อง พอไปโรงเรียนก็หยุดวางจานข้าวที่หน้าวัด ป่านรออยู่สักพักจนเห็นว่าพวกเขาเดินมารุมกินข้าวจึงเดินกลับขึ้นรถ ภาพนั้นทำให้ป่านกับแม่คิดตรงกันว่าต่อจากนี้จะนำข้าวมาให้ทุกวัน แล้วพอได้ช่วยหมาวัดกลุ่มใหญ่ เราสังเกตว่าตามตรอกซอกซอยแถวนั้นยังมีหมาเร่ร่อนอีกหลายตัวที่ไม่มีเจ้าของดูแล ป่านจึงเพิ่มจุดวางจานข้าวไปตามที่ต่างๆ ด้วย และพอทำอย่างนี้นานขึ้น กลายเป็นว่าพอรถป่านมาถึง หมาเหล่านั้นจะวิ่งกรูมาหาและเล่นกับเราอย่างดีใจ ในขณะที่ป่านก็รู้สึกผูกพันและรักพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งวันหนึ่งป่านกลับขึ้นรถตามปกติ จู่ๆ ก็มีหมาตัวหนึ่งวิ่งตามมาไม่หยุด ป่านรู้สึกสงสารจึงถามแม่ว่า เราเก็บไปเลี้ยงที่บ้านได้ไหม แม่คงรู้สึกเหมือนกันจึงตอบตกลง ป่านจึงอุ้มหมาตัวนั้นกลับบ้าน และเมื่อมีตัวแรก ตัวอื่นๆ ก็ตามมา ป่านเก็บหมามาเลี้ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีมากถึง 30 กว่าตัว เพราะคิดว่าไหนๆ เราต้องให้ข้าวทุกวันอยู่แล้ว ถ้ามาอยู่ด้วยกัน เราน่าจะรู้สึกอุ่นใจมากกว่าว่าเขาจะมีที่หลบฝน มีข้าวกิน ไม่ถูกรถชน หรือไปเจอเรื่องไม่ดี
ผ่านมาหลายปี ครอบครัวป่านมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวไหนเป็นขี้เรื้อนหรือป่วยหนักก็พาไปรักษาจนหายบางตัวติดสัด หนีออกจากบ้านก็ขับรถตามหา ป่านเคยเจอลูกหมาแรกเกิดสามตัวถูกแม่ทิ้ง นอนตากฝนอยู่ในดงไมยราบ ตามตัวมีแต่รอยแผลจากหนาม ป่านรีบพากลับบ้าน ทายา และให้กินนม จนอาการดีขึ้น วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ได้
สำหรับป่าน การทำแบบนี้เป็นทั้งความสุขและสบายใจ ในเมื่อเราพอมีกำลังก็อยากช่วย และทุกครั้งเวลากลับบ้าน หลังจากทำงานเหนื่อยๆ แล้วได้เห็นพวกเขากระโดดโลดเต้นเข้ามาหา
เท่านี้ก็สุขใจมากๆ แล้วค่ะ
ข้อมูล : คอลัมน์ วันพิเศษ นิตยสารแพรว
ภาพ : IG@apinnya, นิตยสาร lemonade