YETI Flagship Store

เปิดตัว YETI Flagship Store แห่งแรกในเอเชียที่ประเทศไทย

Alternative Textaccount_circle
YETI Flagship Store
YETI Flagship Store

Element 72 ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายแบรนด์ Urban Lifestyle และ Urban Outdoor ระดับพรีเมียมของประเทศไทย สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ! ด้วยการผนึกกำลังกับแบรนด์ Drinkware อันดับ 1 ของโลกอย่าง YETI แบรนด์คู่ใจสำหรับคนที่รักกิจกรรม Outdoor ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น King Of Cooler จัดงาน Grand Opening เปิดตัวร้าน YETI FLAGSHIP STORE แห่งแรกในเอเชียที่ประเทศไทย อย่างเป็นทางการ บริเวณชั้น 2 โซน Parade ณ ศูนย์การค้า One Bangkok

แบรนด์ YETI ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดยสองพี่น้อง Roy และ Ryan Seiders ผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมแอดเวนเจอร์ และการตกปลาเป็นชีวิตจิตใจ ที่กำลังมองหาคูลเลอร์เก็บความเย็น และได้เจอกับคูลเลอร์จากโรงงานในไทย จากนั้นได้เปิดบริษัทนำเข้าคูลเลอร์จากไทย ต่อมาทั้งสองจึงอยากพัฒนาคูลเลอร์ให้ดีกว่าเดิม เพราะปัญหาคูลเลอร์ที่มีขายกันอยู่นั้นไม่แข็งแรงทนทานพอ จึงคิดที่จะทำให้ถังคูลเลอร์มีความแข็งแรงมากที่สุด จนได้มาเป็นคูลเลอร์ที่แข็งแรงมากจนใช้นั่งแทนเก้าอี้ได้ หรือไว้ยืนขึ้นเหยียบเวลาตกปลาโดยไม่ต้องกลัวพัง คูลเลอร์ของ YETI แข็งแรงมากถึงถึงขนาดหมีกริซลี่ก็ไม่สามารถทุบมันได้ และยังผ่านการทดสอบ และได้รับการอนุมัติจาก Interagency Grizzly Bear Committee และผลพลอยได้คือ มันดันเก็บความเย็นได้ดีกว่าคูลเลอร์ทั่วไป จึงเป็นที่มาที่ทำให้ทั้งสองคิดหาชื่อให้แบรนด์สินค้า จนสุดท้ายก็ออกมาเป็น YETI หรือสัตว์ประหลาดยักษ์หิมะ หลังจากนั้น YETI ก็ได้พัฒนาสินค้าออกมาอย่างมากมาย โดยเป็นสินค้าที่สามารถรองรับการผจญภัยที่ท้าทายที่สุด ตั้งแต่คูลเลอร์ไปจนถึงแก้วเก็บอุณหภูมิระดับพรีเมี่ยม YETI กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความทนทาน ประสิทธิภาพ ดีไซน์ที่เหมาะสมต่อการใช้งาน จนกลายเป็นแบรนด์ Drinkware ระดับพรีเมี่ยม

YETI Flagship Store

สำหรับ YETI FLAGSHIP STORE แห่งแรกในเอเชียที่ประเทศไทย พร้อมเดินหน้าสู่การมอบประสบการณ์เต็มรูปแบบจาก YETI ให้กับลูกค้า โดยจะนำเสนอสินค้าทุกรุ่นจาก YETI รวมถึงคอลเลกชั่นสุดพิเศษ ที่จะวางจำหน่ายเป็นที่แรกในประเทศไทย อาทิ Thailand Special Collection อย่าง YETI Rambler Tumbler Thailand’s Edition ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของประเทศไทย ที่มีจำกัดเพียง 150 ชิ้นเท่านั้น,YETI Sticker เวอร์ชั่นพิเศษ ลายธงชาติไทย, YETI V Series คูลเลอร์ระดับ Hi-End ที่ทำจาก Stainless Steel ทั้งใบ การันตีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ที่ไม่เคยขายนอกประเทศสหรัฐอเมริกามาก่อน มีวางจำหน่ายที่นี่เป็นที่แรก, สินค้า Collection ใหม่อย่างสี Fire Fly Yellow, Big Sky Blue และที่พิเศษสุดๆคือ บริการ Customize ชื่อให้ฟรี แบบรอรับได้เลย ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดของ YETI ในภูมิภาคเอเชียและประเทศไทย

โดยบรรยากาศงานเปิดตัว YETI FLAGSHIP STORE ได้รับเกียรติจากแขกรับเชิญสุดพิเศษ ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม, น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, ว่าน-ธนกฤต พานิชวิทย์ (Soloist), คุณเคน-นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ (The Standard), ฟรอยด์ ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์, เรย์ แมคโดนัล พร้อมเหล่าคนดัง มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกที่ YETI Flagship Store แห่งแรกในเอเชียที่ประเทศไทย กันอย่างคับคั่ง ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ของเหล่าสาวก YETI ที่จะได้สัมผัสประสบการณ์แห่งไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับอย่างแท้จริง

พบกับ YETI FLAGSHIP STORE แห่งแรกในเอเชียที่ประเทศไทย ที่ชั้น 2 โซน Parade ณ ศูนย์การค้า One Bangkok ได้แล้ววันนี้

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ YETI.com และ Official Facebook / Instagram Account ของ YETI และ Element 72

PUMA เปิดตัวคอลเล็คชั่น SS2025 พร้อมดึง “วิน-ตู” ร่วมถ่ายทอดสไตล์

account_circle

หลังจากสร้างความฮือฮาด้วยคอลเล็คชั่น Spring Summer 2025 ไปเมื่อต้นปี PUMA ยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านแฟชั่นสไตล์ไอคอนิค ด้วยการเปิดตัวไอเท็มใหม่ล่าสุดที่ได้สองแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง “วิน เมธวิน” และ “ตู ต้นตะวัน” มาร่วมถ่ายทอดสไตล์สุดล้ำ

ไฮไลท์แรกอยู่ที่รองเท้า PUMA Palermo Premium รองเท้าสไตล์เทอเรซสุดคลาสสิกที่โดดเด่นด้วยดีไซน์หัวรองเท้าแบบ T-toe อันเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมการตัดสีที่สะดุดตาและวัสดุระดับพรีเมียม

โดยวินและตูได้นำเสนอรองเท้าคู่นี้ในลุคสุดเท่ด้วยการแมทช์กับเสื้อแจ็คเก็ตหนัง โดยตูเลือกสวมแจ็คเก็ตนักแข่งรุ่น PUMA ARCHIVE SEASONAL Relaxed Racer Jacket สี Glacial Gray และสะพายกระเป๋า PUMA Hobo สี Frosted Dew

ต่อมาคือรองเท้า Palermo Weathered Unisex Sneakers ที่วินมาในลุควินเทจด้วยแจ็คเก็ตสีขาวและเสื้อยืด PUMA คอมพลีทลุคด้วยรองเท้าสี Green Moon-Sunny Yellow ส่วนตูมาในลุคทอลล์ลุคด้วยแจ็คเก็ตยีนส์ เสื้อคอร์เซ็ต Dare To สี Alpine Snow กระโปรงพลีทผ้าทอจากคอลเลคชั่น ROAD TO UNITY Midi AOP และรองเท้า Palermo Weathered สี Green Moon-Sunny Yellow

นอกจากนี้ PUMA ยังเอาใจสายสปอร์ตด้วยชุดออกกำลังกายสีดำและสีเขียวที่วินและตูสวมใส่ พร้อมรองเท้า PUMA x HYROX Velocity NITRO™ 3 สี White-Green Glare ที่มาพร้อมเทคโนโลยี NITROFOAM™ และ PUMAGRIP เพื่อการตอบสนองและการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม

คอลเล็คชั่น Spring Summer 2025 ของ PUMA ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงสไตล์ที่โดดเด่น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว


Coccinelle

Coccinelle Fall/Winter 2025 ความสมดุลแห่งความหรูหราผ่านแนวคิด Lagom

account_circle
Coccinelle
Coccinelle

Coccinelle เปิดตัวคอลเล็คชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2025 ที่ Terrazza Martini โดยใช้แรงบันดาลใจจากแนวคิด “Lagom” ซึ่งเน้นความสมดุลและความเรียบง่าย แต่หรูหราและลงตัว การออกแบบมุ่งมั่นผสมผสานระหว่างความงามและการใช้งานอย่างลงตัว คอลเล็คชั่นนี้นำเสนอวัสดุประณีตและสีสันหรูหราที่สะท้อนถึงสไตล์ที่มีความทันสมัยและความคลาสสิก โดยเฉพาะกระเป๋าและเครื่องประดับที่ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงที่มีชีวิตชีวาและรักแฟชั่น

งานนี้เปิดในช่วง Milan Fashion Week และจัดขึ้นในสถานที่ที่มีวิวที่สวยงามของมิลาน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม ความสง่างาม และประเพณี ด้วยการต้อนรับแขกพิเศษจากวงการแฟชั่น ก่อนปิดงานด้วยค็อกเทลที่ชั้นบนสุดของ Terrazza Martini พร้อมบรรยากาศจาก DJ Curly Brothers

Coccinelle Fall/Winter 2025 ความสมดุลแห่งความหรูหราผ่านแนวคิด Lagom

แรงบันดาลใจของ “Lagom”

คอลเล็คชั่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาสแกนดิเนเวียน “Lagom” ซึ่งเชื่อในความสมดุลที่ไม่มากไปหรือน้อยเกินไป โดยมุ่งเน้นความหรูหราที่เรียบง่ายและยั่งยืน กระเป๋าและเครื่องประดับมีการออกแบบที่หรูหราแต่ใช้วัสดุคุณภาพสูง พร้อมกับรูปทรงที่เหนือกาลเวลา

วัสดุและการออกแบบ

คอลเลคชั่นนี้มีการใช้วัสดุที่ผสมผสานสีและลวดลายที่สวยงาม เช่น สี Greenery, Ribes, Arctic Blue และ Cognac พร้อมกับงานฝีมือที่ประณีต ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นมุ่งเน้นการใช้งานที่หลากหลายและสะท้อนถึงความเรียบง่าย แต่มีความซับซ้อนในรายละเอียด

  • Coccinelle Double Beat: กระเป๋าที่สามารถใช้งานได้หลายแบบ ทั้งสะพายข้างหรือไหล่ พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ทันสมัย
  • Coccinelle Beat: กระเป๋าสไตล์ดนตรีร็อกยุค 1970 ที่สะท้อนความสบายและความเท่
  • รองเท้า Coccinelle: สไตล์หลากหลายที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายและความสง่างาม เช่น รองเท้าบูท C-Saddle Vintage, รองเท้าโลฟเฟอร์ C-Penny และรองเท้าบูท Coccinelle Nora ที่ผสมผสานการออกแบบคลาสสิกและทันสมัย

คอลเลคชั่นนี้เป็นการเชิญชวนให้ผู้หญิงกอดรับความหรูหราและความงามของสิ่งที่จำเป็นอย่างมีสไตล์และความตั้งใจ


Tiffany & Co.

Bird on a Pearl เมื่อ Tiffany & Co. นำตำนานมาสู่มิติใหม่ของความงาม

account_circle
Tiffany & Co.
Tiffany & Co.

ในโลกแห่งเครื่องประดับชั้นสูง มีเพียงไม่กี่ชิ้นที่สามารถกลายเป็นตำนานได้ และ Bird on a Rock ของ Jean Schlumberger คือหนึ่งในนั้น ปี 2025 นี้ Tiffany & Co. ได้เผยโฉม Bird on a Pearl คอลเล็คชั่นเครื่องประดับสุดวิจิตรที่นำไข่มุกน้ำเค็มธรรมชาติอันหายาก มาผสานเข้ากับดีไซน์เหนือกาลเวลา ภายใต้การนำของ Nathalie Verdeille Chief Artistic Officer แห่ง Tiffany & Co.

จากตำนานสู่บทใหม่ของความงดงาม

Bird on a Pearl ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับ แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็นเลิศทางศิลปะของ ทิฟฟานี่ แอนด์ โค โดยยังคงจิตวิญญาณแห่ง Jean Schlumberger ไว้อย่างครบถ้วน นกตัวจิ๋วที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาถูกนำมาถ่ายทอดใหม่ ให้โฉบเฉี่ยวขึ้น ล้ำลึกขึ้น และที่สำคัญคือผสานเข้ากับไข่มุกน้ำเค็มธรรมชาติที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันจาก Hussein Al Fardan นักสะสมไข่มุกระดับโลกจากภูมิภาคอ่าวอาหรับ ซึ่งมีคลังไข่มุกธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การจับคู่กันระหว่างงานศิลปะและสมบัติจากท้องทะเลทำให้คอลเล็คชั่นนี้งดงามเหนือจินตนาการ บางชิ้นถ่ายทอดภาพนกเกาะอยู่บนไข่มุกทรงบาโรก บางชิ้นเชื่อมไข่มุกเข้ากับโครงสร้างของนกโดยตรง สีสันของไข่มุกไล่เฉดอ่อนโยนราวกับสะท้อนฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง ไล่ตั้งแต่แสงแดดอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ ไปจนถึงโทนนุ่มนวลของฤดูใบไม้ร่วง

การตีความใหม่ผ่านดีไซน์ระดับมาสเตอร์พีซ

Bird on a Pearl ไม่ใช่แค่คอลเล็คชั่นเดียว แต่เป็นจักรวาลของแรงบันดาลใจที่ถูกแบ่งออกเป็นบทต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนธรรมชาติและงานออกแบบใน archive ของ Jean Schlumberger ได้แก่

Acorn & Oak Leaf – ดีไซน์ที่นำความสง่างามของธรรมชาติมาสู่เครื่องประดับ สร้อยคอและต่างหูชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากลูกโอ๊กและใบโอ๊กอันวิจิตร โดยมีไข่มุกน้ำเค็มธรรมชาติเป็นหัวใจหลัก เติมเต็มด้วยงานฝังเพชรสุดประณีต

Cascade – แรงบันดาลใจจากความอสมมาตรของธรรมชาติที่งดงาม หนึ่งในไฮไลต์ของเซ็ตนี้คือแหวนไข่มุกสีเทาทรงหยดน้ำที่ดูราวกับลอยอยู่ท่ามกลางใบไม้ประดับเพชร นอกจากนี้ ยังมีต่างหูที่ผสานระหว่างไข่มุกสีขาวและสีเทา กับงานฝังเพชรสุดละเมียด

Ribbons – ถ่ายทอดความหลงใหลในสิ่งทอของ Jean Schlumberger ผ่านสร้อยคอสุดตระการตา สร้อยคอไข่มุกน้ำเค็มสีครีมอ่อนถูกร้อยประดับด้วยริบบิ้นฝังเพชร พร้อมเสริมด้วยเพชรสีน้ำตาลคอนญัก Fancy Pink, Fancy Yellow และเพชรขาว สร้างมิติที่งดงามและเต็มไปด้วยรายละเอียด

เมื่อศิลปะและธรรมชาติหลอมรวมเป็นหนึ่ง

คอลเล็คชั่น 2025 Bird on a Pearl เป็นมากกว่าความงาม แต่คือการหลอมรวมกันของงานศิลปะและธรรมชาติในระดับที่หาใครเทียบได้ โดยแต่ละชิ้นเป็นผลงานมาสเตอร์พีซที่สะท้อนถึงจุดสูงสุดของความเชี่ยวชาญของ ทิฟฟานี่ แอนด์ โคไม่ใช่เพียงเครื่องประดับที่ประดับกาย แต่คือบทกวีที่บอกเล่าเรื่องราวของไข่มุกอันหายาก ผ่านการออกแบบที่งดงามเหนือกาลเวลา นี่คือ Bird on a Pearl มรดกแห่งงานศิลป์ที่ถูกตีความใหม่ ให้สง่างามและเป็นอมตะไปอีกนานเท่านาน


The White Lotus Season 3

เปิดที่มายูนิฟอร์ม “น้องมุก” หรือ “ลิซ่า” ใน The White Lotus Season 3

account_circle
The White Lotus Season 3
The White Lotus Season 3

เปิดที่มายูนิฟอร์ม “น้องมุก” หรือ “ลิซ่า” ใน The White Lotus Season 3 ใช้ผ้าจากแบรนด์ไทย! “จิม ทอมป์สัน” อวดลวดลายผ้าสุดไอคอนิกโลดแล่นในซีรีส์ระดับโลก

หลังจากที่ออนแอร์ไปแล้ว 2 อีพี น้องมุก ที่รับบทโดย ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล ซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกจากเมืองไทยที่ได้มาโลดแล่นอยู่บนซีรีส์ The White Lotus Season 3 ด้วยความเป็นลิซ่าหยิบจับอะไรก็เป็นกระแส และแน่นอนว่าอีกหนึ่งทอปปิกที่ใครก็สนใจคือเสื้อผ้าที่ลิซ่าใส่ในซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งวงในวงการแฟชั่นเล่าว่าลิซ่าไม่ได้เพียงรับบทที่สำคัญใน
ซีรีส์แต่ยังสวมใส่ชุดที่เสนอศิลปะที่มีเรื่องราวไม่ธรรมดาอยู่เบื้องหลัง แฟนซีรีส์หลายคนคงจะสะดุดตากับลายเสื้อบนยูนิฟอร์ม น้องมุกในบทพนักงานโรงแรม The White Lotus Thailand

โดยเบื้องหลังของลายผ้าสีเหลืองนี้เป็นผลงานจากแบรนด์ไทยอย่าง จิม ทอมป์สัน โดยนำผ้าลวดลายระดับตำนาน DUQUETTERIE ในเฉดสี “Sunflower” ผลงานคอลแลบระหว่างจิม ทอมป์สันและดีไซเนอร์ชั้นครูอย่าง โทนี่ ดูเกตต์ (Tony Duquette) ศิลปินและดีไซเนอร์ชื่อดังผู้แต่งแต้มชีวิตชีวาให้วงการออกแบบทั่วโลกด้วยสไตล์แม็กซิมัลลิสต์ นำมาคัสตอมเป็นยูนิฟอร์มของตัวละครหลักอย่าง มุก และ พรชัย ที่รับบทโดย ดอม เหตระกูล

ล่าสุด! จิม ทอมป์สัน ได้ปล่อยคอลเล็คชั่น The Sunflower Limited-Edition Collection ที่นำแรงบันดาลใจจากลวดลายผ้า DUQUETTERIE ในเฉดสี “Sunflower” มารังสรรค์เป็นหลากหลายแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ไอเท็มที่ฉีกกฎความเรียบง่ายแบบเดิม ๆ ทั้งยังแฝงบรรยากาศสไตล์ทรอปิคัลสุดรีแล็กซ์ไว้ได้อย่างลงตัว

ไฮไลต์ไอเท็ม ได้แก่ Obi Belt เข็มขัดผ้าดีไซน์เก๋แบบ Unisex, Oversized Tote กระเป๋าโท้ตใบใหญ่ในทรงสุดคลาสสิก และ Cushion Covers ปลอกหมอนอิงสีเหลืองทานตะวัน แค่ยูนิฟอร์มยังมีเรื่องราวมากมายขนาดนี้ เหล่าแฟชั่นนิสต้า นักสะสมที่หลงใหลงานดีไซน์ และแฟน ๆ ของซีรีส์ต้องรอติดตามว่าซีรีส์จะเผยความงดงามของศิลปะและแฟชั่นอะไรให้ผู้ชมได้ดูกันต่อ


สยาม ทาคาชิมายะ อวดโฉม “Beauty Garden” อัตลักษณ์ใหม่แห่งความงามจุดประกายความงามจากภายในสู่ภายนอก

account_circle

“สยาม ทาคาชิมายะ” ห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นขนานแท้แห่งเดียวในไทย ณ ไอคอนสยาม เนรมิตโซนความงามสุดหรู “Beauty Garden” ยกเอาบรรยากาศสวนดอกไม้ที่รายล้อมด้วยบิวตี้แบรนด์ระดับโลกมากมายมาไว้บนชั้น 1 ให้คนรักความงามได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในการช็อปปิงผลิตภัณฑ์และบริการความงามแบบเหนือระดับ ท่ามกลางความสวยตระการตาของบรรดาดอกไม้หลากสีสัน พร้อมจัดแคมเปญโปรโมชั่นแบบจัดเต็ม ฉลองการเปิดโซนใหม่อย่างยิ่งใหญ่

มร.อัตสึชิ โอะคูโมริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม ทาคาชิมายะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “Beauty Garden เป็นโซนความงามใหม่ล่าสุด บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร ของชั้น 1 ที่รวบรวมเครื่องสำอาง น้ำหอมและชุดชั้นในสตรีมาไว้ด้วยกันมากกว่า 40 แบรนด์ ภายใต้การออกแบบพื้นที่โดยบริษัท Urban Architects ที่เคยสร้างชื่อระดับโลกจากการออกแบบโครงการไอคอนสยาม จนคว้ารางวัล World Retail Awards 2019 ในสาขา Best Store Design of the Year จากสภาการค้าปลีกโลก โดย “Beauty Garden” ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ “Be Enchanted” ที่ศิลปิน คุณสันติพงษ์ คงรักษ์ นำปรากฏการณ์แสงเหนือ (Aurora) มาเป็นแรงบันดาลใจในการตกแต่ง โดยใช้ดอกไม้ประดับหลากสีสันสร้างเป็นเส้นสายที่มีมิติ มีความเคลื่อนไหวและไหลลื่น ดูร่วมสมัย ด้วยโทนสีอบอุ่นอ่อนหวานแบบเฟมินีน โดยมีไฮไลต์เป็นพื้นที่ตรงกลางที่เปรียบเหมือนสวนดอกไม้ขนาดยักษ์กว่า 500 ตารางเมตร รายล้อมด้วยบิ้วตี้แบรนด์ชั้นนำ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลินไปกับความงดงามของดอกไม้ สื่อถึงผลิตภัณฑ์อันเปี่ยมด้วยเสน่ห์และน่าหลงใหลที่ให้บริการในพื้นที่แห่งนี้” นอกจากการออกแบบและตกแต่งที่สุดอลังการ ภายในโซน “Beauty Garden” ยังรวบรวมผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการเกี่ยวกับความงามมาให้เลือกสรรอย่างครบครัน ทั้งแผนกเครื่องสำอางและชุดชั้นในสตรี ยังมีความพิเศษที่การออกแบบร้านค้าแผนกเครื่องสำอางในรูปแบบ Shop In Shop มาพร้อมห้องทรีตเมนต์ให้สามารถบริการได้ครบจบในพื้นที่เดียว โดยมีสินค้าครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว, เครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม, แอคเซสซอรี่ และน้ำหอม รวมกว่า 50,000 รายการ รวมถึงเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์จากญี่ปุ่นอย่าง “HAKUHODO” แปรงแต่งหน้าระดับช่างมืออาชีพ ที่เปิดสาขาในประเทศไทยครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

พบกับความเอ็กซ์คลูซีฟ อาทิ แบรนด์ “TOM FORD” ที่เปิดตัวช็อปในคอนเซปต์ใหม่ สาขาแรกของประเทศไทย ณ “Beauty Garden” สยาม ทาคาชิมายะ โดยผนวกรวมผลิตภัณฑ์บิวตี้และอายแวร์เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมพื้นที่ให้คำปรึกษาส่วนตัวจาก Tom Ford Specialist และยังเปิด Runway Table Animation เป็นครั้งแรก เพื่อมอบประสบการณ์ The World of Tom Ford อย่างแท้จริง ด้าน “LA MER” นำเสนอประสบการณ์การช็อปปิงสุดหรูหราด้วยการออกแบบช็อปที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความงามของมหาสมุทร พร้อมเชิญสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษที่ Spa de La Mer ห้องทรีตเมนต์ที่จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายขั้นสูงสุด ด้วยบรรยากาศและเทคนิคการนวดอันเป็นเอกลักษณ์ของ La Mer และอีกหนึ่งแบรนด์ที่ไม่อยากให้พลาดคือ “JO MALONE” ที่รังสรรค์คอนเซปต์ร้านใหม่เพื่อตอกย้ำความงามเลอค่าสไตล์อังกฤษ ด้วยการตกแต่ง Cologne Intense Bay และจุดทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ Bath & Body Sink Bay ให้หรูหรา ยกระดับการค้นหากลิ่นหอมที่ไม่เหมือนใคร

สุดยอดแห่งการรอคอย! “CHARLOTTE TILBURY” แบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกจากอังกฤษที่ได้รับรางวัลมากมายยกขบวนบิวตี้ไอเทมระดับตำนาน ทั้งเมคอัพหลากสีสันไปจนถึง สกินแคร์ตัวท็อปเตรียมเสิร์ฟให้สาวกบิวตี้ระดับลักชูรีได้ทดลอง เลือกใช้ และรับบริการความงามที่เสกลุคคุณให้ดูสวยเจิดจรัส และเปล่งประกายด้วยผลิตภัณฑ์ความงามระดับเวิลด์คลาส จากการสร้างสรรค์ของเมคอัพอาร์ทิสต์ชื่อดังระดับโลก Charlotte Tilbury MBE ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปีในการแต่งหน้าให้เหล่าซุปเปอร์สตาร์ เซเลบริตี้ และนางแบบชั้นนำ พร้อมสัมผัสความหรูหราเหนือระดับกับ “ESTEE LAUDER” ที่เปิด Skin Longevity Institute Concept ELX ครั้งแรกในประเทศไทย รวมถึง Facial Room ดีไซน์ใหม่ที่เรียบง่ายและมีระดับมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ “L’OCCITANE” ซึ่งเปิด New Concept Shop-in-Shop แห่งแรกในไทย โดยออกแบบให้มีความหรูหราและมินิมัลลิสติก ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เข้าถึงง่าย และอบอุ่น สะท้อนถึงความเป็น Provence ต้นกำเนิดของแบรนด์ ส่วน “BALMAIN PARIS HAIR COUTURE” แบรนด์ทรงอิทธิพลระดับโลกที่มีมรดกตกทอดมายาวนานกว่า 50 ปี รังสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับแส้นผมเปิด GLAM STATION ชวนสัมผัสประสบการณ์พิเศษกับ COUTURE STYLE EXPERIENCE บริการจัดแต่งทรงผมโดยช่างทำผมผู้เชี่ยวชาญ

นอกจากนี้ยังมี “POLA” แบรนด์เครื่องสำอางระดับเพรสทีจจากญี่ปุ่น กับ POLA Flagship Store แห่งแรกที่พร้อมจะพาทุกคนดำดิ่งสู่ความนิ่งสงบและเป็นส่วนตัว พร้อมคืนความงามให้ผิวพรรณและจิตใจอย่างสมดุลด้วยผลิตภัณฑ์อันเลอค่าและศาสตร์การนวดแบบฉบับของโพลา รวมถึง “SISLEY” ผู้นำผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม เมคอัพ และน้ำหอม จากประเทศฝรั่งเศส กับสุดยอดบริการการปรนนิบัตรผิวขั้นสุดและ HAIR RITUAL SERVICE เต็มรูปแบบเร็วๆ นี้ ด้านผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในสตรีนำโดยแบรนด์ระดับท็อป “WACOAL” ที่ยกเอา LINGERIE SALON โฉมใหม่ภายใต้คอนเซปต์ The Beauty Of Lines มาไว้ใน “Beauty Garden” พร้อมคอลเลกชันหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์สำหรับทุกคน ทุกวัย และพบกับความพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำอีกมากมาย อาทิ CLE DE PEAU BEAUTE, DECORTE, HOURGLASS, LAVELIER, M.A.C, TRIUMPH, SABINA, GUY LAROCHE และ VINTEL

และเพื่อเป็นการฉลองเปิดโซนใหม่ “Beauty Garden” สยาม ทาคาชิมายะ มอบโปรโมชั่น 5 ต่อ ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568

  • ต่อที่ 1 ลดสูงสุด 20% (เฉพาะแบรนด์ที่ร่วมรายการ)
  • ต่อที่ 2 สำหรับสมาชิก สยาม ทาคาชิมายะ รับ E-Coupon สูงสุด 12% เมื่อช็อปทุก 4,000 บาท รับ E-Coupon
    มูลค่า 200 บาท, ช็อปทุก 15,000 บาท รับ E-Coupon มูลค่า 1,000 บาท, ช็อปทุก 40,000 บาท รับ E-Coupon
    มูลค่า 3,500 บาท, ช็อปทุก 65,000 บาท รับ E-Coupon มูลค่า 6,500 บาท และช็อปทุก 100,000 บาท รับ E-
    Coupon มูลค่า 12,000 บาท
  • ต่อที่ 3 สำหรับสมาชิก ONESIAM รับ SIAM GIFT CARD สูงสุด 2,000 บาท เมื่อช็อป 100,000 บาทขึ้นไป
  • ต่อที่ 4 รับทันที บัตรกำนัลสยาม ทาคาชิมายะ สูงสุด 3,800 บาท เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสยาม ทาคาชิมายะ (เฉพาะแบรนด์ที่ร่วมรายการ)
  • ต่อที่ 5 พิเศษ ช็อปครบ 4,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มฟรี! เครื่องดื่มมัทฉะชาเขียวญี่ปุ่นจากร้าน BOTANICO มูลค่า 200 – 240 บาท จำนวน 1 แก้ว (จำกัด 800 สิทธิ์ ตลอดรายการ วันที่ 14 ก.พ. – 31 มี.ค. 68)

มาเพลิดเพลินไปกับสวนแห่งความงามที่จะมอบความสุขและความสวยให้กับทุกคนได้ที่โซน “Beauty Garden” ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้า สยาม ทาคาชิมายะ ไอคอนสยาม ไม่อยากพลาดข้อมูลดี ๆ ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ที่ Facebook: SIAM Takashimaya


“PRIME Skin Recovery Concentrate” โปรแกรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก THE KLINIQUE และ LA MER

account_circle

เริ่มต้นปี 2025 ด้วยงานผิวระดับไฮเอนด์กับ THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) หนึ่งในผู้นำเรื่องการดูแลผิวพรรณของเอเชีย ซึ่งชวนเปิดประสบการณ์ลิฟต์ผิวด้วยโปรแกรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Ulthera PRIME Recovery Concentrate และการบำรุงผิวอย่างล้ำลึกหลังทำหัตถการด้วย LA MER สูตรพิเศษเฉพาะที่ THE KLINIQUE

THE KLINIQUE เปิดตัวโปรแกรมยกกระชับผิวล่าสุดที่มาพร้อมกับนวัตกรรมอัปเดตใหม่ Ulthera PRIME ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ในการลิฟต์ผิวและปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับได้ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลผิวหลังการรักษาด้วย The NEW Night Recovery Concentrate จาก LA MER ที่มีนวัตกรรม Barrier Wrap ทำหน้าที่โอบอุ้มผิวที่มีความเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยปลอบประโลมผิวและฟื้นบำรุงผิวหลังการทำหัตถการได้อย่างล้ำลึก ซึ่งพบกับความเอ็กซ์คลูซีฟนี้ได้เฉพาะที่ THE KLINIQUE เท่านั้น เรียกว่าเป็นพิกัดหนึ่งเดียวของไทย

THE KLINIQUE เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงความงาม ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความประทับใจในการรักษาปัญหาผิวพรรณ รูปร่างและสุขภาพให้กับเหล่าคนรักสวย รวมถึงเซเลบและดารา ต่อเนื่องมากกว่า 15 ปี จนได้รับมอบรางวัลระดับนานาชาติมากมาย เช่น The Winner of Golden Records Award: ASIA PACIFIC Highest Achievement for Ulthera และครั้งนี้ THE KLINIQUE ยังคงเดินหน้าในการเป็นผู้นำด้วยการเปิดตัว Ulthera PRIME นวัตกรรมการกระตุ้นคอลลาเจน เพื่อการยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าใหม่ส่งตรงจากสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Ulthera PRIME เป็น The Newest Generation ที่ได้รับการรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัยจาก US FDA นับว่า THE KLINIQUE เป็นกลุ่มแรกในภูมิภาคเอเชียที่ได้รับการเปิดตัวต่อจากสหรัฐอเมริกาทันที นำหน้าประเทศชั้นนำอื่นๆ ในเอเชียอย่างเกาหลี โดยจุดเด่นของโปรแกรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ ได้แก่

  • แพทย์ให้พลังงานลงลึกได้แม่นยำกว่า ด้วยจอแสดงผลของระบบ Real-Time Visualization ที่ใหญ่ขึ้น 35% แสดงภาพที่คมชัดจากทุกมุมระดับ Full HD ทำให้แพทย์กำหนดความลึกในการรักษาถึงชั้น SMAS ได้จำเพาะมากขึ้น
  • แพทย์รักษาได้รวดเร็วขึ้น ด้วยระบบประมวลผลและการทำงานที่เร็วขึ้น 20% ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและเจ็บน้อยลง ทำให้มีประสบการณ์ที่ดีในการรักษา
  • ผู้รับบริการได้รับการออกแบบการรักษาตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic design) เมื่อผสานกับเทคนิคในการรักษาที่ถูกออกแบบโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะทางของ THE KLINIQUE ให้มีความเหมาะสมกับปัญหาผิวและความกังวลของแต่ละคน นำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจยิ่งขึ้น

การดูแลผิวหลังทำหัตถการเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการรักษาด้วยนวัตกรรมที่ดีที่สุด เพราะการดูแลผิวอย่างเหมาะสมจะเป็นส่วนสำคัญที่สามารถเร่งการฟื้นฟูของเซลล์ผิวได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งการปรนนิบัติผิวหลังทำ Ulthera PRIME ด้วย The NEW Night Recovery Concentrate ที่มี Barrier Wrap นวัตกรรมขั้นสูงในการบำรุงผิวใหม่ล่าสุดของ LA MER จะช่วยโอบอุ้มผิวที่มีความเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยปลอบประโลมผิวและช่วยฟื้นฟูผิวหลังทำหัตถการได้เร็วยิ่งขึ้น โดยมีผลการทดสอบแล้วว่า The NEW Night Recovery Concentrate มีคุณสมบัติดังนี้

  • +116% ฟื้นบำรุงผิวหลังการทำหัตถการได้ดีขึ้น*    
  • 89% รู้สึกว่ารอยแดงดูลดเลือนทันที**
  • ฟื้นบำรุงผิวที่มีรอยแดงได้ 19% และช่วยปลอบประโลมผิวมากขึ้น 2 เท่า

*ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการในกลุ่มอาสาสมัครหญิง 36 ราย โดยวัดค่าการสูญเสียน้ำจากชั้นผิว (TEWL) เมื่อใช้ La Mer The Night Recovery Concentrate ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการทำ Derm Skincare  เป็นเวลา 1 วัน (เช้าและเย็น) เปรียบเทียบกับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป

**ผลการทดสอบความพึงพอใจในกลุ่มอาสาสมัครหญิง 151 ราย หลังการใช้ผลิตภัณฑ์เพียง 1 ครั้ง

*** ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการในกลุ่มอาสาสมัครหญิง 26 ราย หลังการใช้ La Mer The Night Recovery Concentrate ร่วมกับ La Mer The Concentrate เพียง 1 ครั้ง เปรียบเทียบกับการใช้ La Mer The Night Recovery Concentrate เพียงอย่างเดียว

ความเอ็กซ์คลูซีฟในการดูแลผิวตามแบบฉบับของ THE KLINIQUE ไม่เพียงเน้นการสร้างความประทับใจในผลลัพธ์หลังการทำหัตถการด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลร่วมกับเทคนิคเฉพาะโดยทีมแพทย์ชำนาญการ แต่ยังให้ความสำคัญกับการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง การฟื้นบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะการดูแลผิวหลังทำหัตถการเป็นสิ่งที่ THE KLINIQUE ใส่ใจ และ LA MER “The NEW Night Recovery Concentrate” ถือเป็นอีกหนึ่งการดูแลผิวที่ THE KLINIQUE แนะนำ


Tom Dixon  เยือนประเทศไทยครั้งแรกพร้อมเปิดตัว Tom Dixon Experience  ถ่ายทอดวิสัยทัศน์แห่งดีไซน์ระดับโลก

account_circle

MOTIF ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ Tom Dixon ไลท์ติ้งเฟอร์นิเจอร์ ในประเทศไทยมากว่า 13 ปี เปิดบ้านต้อนรับ Tom Dixon ดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลกสู่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ซึ่งการเยือนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกจะได้พบปะกับเหล่าคนรักงานออกแบบชาวไทย พร้อมเปิดตัว Tom Dixon Experience แห่งแรกในประเทศไทย นำเสนอเฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ และของแต่งบ้านดีไซน์โดดเด่นจากหลากหลายคอลเลคชั่นมาให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ณ  MOTIF ชั้น 4 ศูนย์การค้า Central Embassy  ที่ออกแบบภายใต้แนวคิดของความคิดที่ร่วมสมัยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Tom Dixon Experience ที่ประเทศไทยนี้ นับเป็นพื้นที่แห่งที่ 2 ในเอเชียที่จะรวบรวมดีไซน์โปรดักส์ของทอม ดิกซัน ดีไซน์เนอร์หัวขบถแห่งวงการเฟอร์นิเจอร์มาไว้ด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านได้พบกับชิ้นงานที่ถูกดีไซน์มาเป็นอย่างดีด้วยตนเอง มาประกอบกับการจัดวางเฟอร์นิเจอร์จากแต่ละคอลเลคชั่น ไม่ว่าจะเป็น MELT Lights, ที่เป็นที่หนึ่งในใจของทุกคน PLUMP Sofa, UNBEATEN Lights, SLAB Lounge Chair และ GROOVE Outdoor Furniture ที่หลายคนรอคอย อีกทั้งยังถือเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวพื้นที่ของการโชว์ระดับโลกที่ออกแบบ ที่มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์เลือกซื้อที่แปลกใหม่และดื่มด่ำไปกับดีไซน์สุดล้ำ

นอกจากการเปิดตัว Tom Dixon Experience แล้ว การมาเยือนเมืองไทยของผู้ก่อตั้งแบรนด์ออกแบบชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษครั้งนี้  ซึ่งในปี 2025 ทางแบรนด์เลือกปักหมุดในโซนเอเชียเพื่อจัดกิจกรรม Tom Dixon’s 48 Hours และเลือกประเทศไทยเป็นหมุดหมายแรกสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งนักออกแบบไทยและผู้ที่ชื่นชอบงานดีไซน์ทุกคน ได้รับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟผ่านการร่วมพูดคุยภายใต้บรรยากาศช่วง Design Talk ที่ทุกคนจะได้แลกเปลี่ยนแนวคิดในการออกแบบ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจนำไปต่อยอดไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ต่อด้วยช่วง Cocktail Reception ที่มาพร้อมเมนูเครื่องดื่มสุดพิเศษ รังสรรค์โดย Tom Dixon

โดยอีเว้นต์นี้ได้เกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ทั่วโลกที่มีทั้งความเป็นดีไซน์ และ ความเป็นเมืองสำคัญ เช่น Tom Dixon’s 24 Hours ที่เคยจัดขึ้น ณ เมืองอันเป็นศูนย์กลางการออกแบบทั่วโลกอย่าง โคเปนฮาเกน ปารีส มิลาน สตอล์กโฮล์ม และเซี่ยงไฮ้ ในส่วนของผลงานจากแบรนด์ที่กลายเป็นไอคอนในวงการออกแบบคือ S Chair ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1980s ซึ่งนำโครงสร้างของเก้าอี้แบบดั้งเดิมมาตีความใหม่ให้โค้งเว้าเป็นรูปตัว S จนกลายเป็นซิกเนเจอร์อันโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ผสมผสานความ

เรียบง่ายแต่มีพลัง และรองรับสรีระของผู้นั่งได้อย่างสมบูรณ์ จนถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ระดับโลก เช่น Museum of Modern Art (MoMA) ในนิวยอร์ก รวมถึงเคยรังสรรค์ S-CHAIR Special Edition จากผ้าลายราชวัตรโบราณทอหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ผลงานชิ้นเดียวในโลกสำหรับนิตยสาร Vogue ประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมประมูลในงาน Vogue Gala ที่จัดขึ้นเพื่อสืบสานผ้าไทยตามรอยพระราชปณิธานของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ MELT Pendant Light โคมไฟที่มีพื้นผิวสะท้อนแสงราวกับกำลังหลอมละลาย ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นงานที่สร้างปรากฏการณ์ในวงการออกแบบแสงไฟและได้รับความนิยมไปทั่วโลก

ยิ่งไปกว่านั้น Tom Dixon ตอกย้ำความเป็น Design Icon ของโลกเบอร์ต้นๆ  กับการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบขวดสำหรับ Johnnie Walker Blue Label ที่ถ่ายทอดทั้งความหรูหรา  หรือการร่วมมือกับ Adidas ในการสร้างสรรค์คอลเลคชั่นเสื้อผ้า ฟังก์ชันนอลแวร์ และเฟอร์นิเจอร์แบบพกพาสุดล้ำที่สะท้อนแนวคิดนวัตกรรมการออกแบบและความยั่งยืน (Sustainability) ที่เขาให้ความสำคัญมาตลอด นอกจากนี้ เขายังเคยทำงานร่วมกับ Tesla ในการออกแบบเก้าอี้รุ่นลิมิเต็ดที่เรียกว่า HYDRO chair ที่สะท้อนปรัชญาของแบรนด์ด้านเทคโนโลยีอลูมิเนียม ที่พัฒนาขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อผลิตรูปทรงที่ลึกและซับซ้อน

นอกจากนี้ผลงานของเขายังปรากฏอยู่ในโปรเจ็กต์โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ทั่วโลก เช่น Mondrian Hotel London และล่าสุดกับโครงการที่พักสุดหรูริมชายหาดสุดตระการตาบนหมู่เกาะดูไบทั้ง 108 หลังอย่าง Villa del DIVO ที่ออกแบบโดย Mr. Eight Development ซึ่งเป็นผลงานเหล่าที่ตอกย้ำถึงเอกลักษณ์ของ Tom Dixon ที่ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นความสวยงาม แต่ยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและแนวคิดที่ล้ำสมัย ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่ยอมรับในฐานะหนึ่งในนักออกแบบชั้นนำของโลก

และสำหรับตัวผลงานชิ้นเด่นที่ขึ้นชื่อในประเทศไทยที่ใคร ๆ ก็อยากจับจอง จนกลายเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่น Best Seller ตลอดกาลของ MOTIF นั้น ได้แก่ MELT โคมไฟซึ่งเปิดตัวครั้งแรกที่ Milan Fair ในปี 2015 ที่เกิดจากการร่วมมือระหว่าง Tom Dixon และ FRONT กลุ่มนักออกแบบจากสวีเดน จากไอเดียที่ต้องการสร้างโคมไฟที่ดูเหมือนรูปร่างไม่สมบูรณ์ เพื่อให้ใกล้เคียงกับความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากกระจกหลอมละลาย ธารน้ำแข็ง และภาพจากอวกาศ ถ่ายทอดผ่านเทคนิคการผลิตที่ซับซ้อน โดยนำวัสดุประเภทพลาสติกมาตีความใหม่ เติมลูกเล่น พร้อมสอดแทรกความคิดสร้างสรรค์จนสามารถเพิ่มมูลค่าให้ทัดเทียมกับเหล่าโคมไฟที่ทำจากแก้วได้อย่างน่าสนใจ และกลายเป็นที่ยอมรับของสายเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลกตลอดมา

เช่นเดียวกับการเส้นทางการออกแบบตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในปี 2025 นี้ Tom Dixon ยังคงมุ่งสร้างสรรค์ผลงานที่จะสะเทือนวงการงานออกแบบต่อไป โดยจะให้ความสำคัญไปที่ Upholstery Furniture หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีการบุผ้า หนัง หรือวัสดุอื่น ๆ เช่น โซฟา เก้าอี้ที่มีเบาะ หรืออาร์มแชร์ ดังที่หลายคนเคยเห็นกับคอลเลคชั่น PLUMP อีกทั้งยังมีคอลเลคชั่นเฟอร์นิเจอร์เอาท์ดอร์อื่น ๆ อย่าง GROOVE ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลาย ปี 2024 นั่นเอง

ฟ่านปิงปิง

จริงหรือไม่? เกิดเป็น ฟ่านปิงปิง (Fan Bing Bing)  ทำอะไรก็ผิด

Alternative Textaccount_circle
ฟ่านปิงปิง
ฟ่านปิงปิง

ถึงแม้ ฟ่านปิงปิง จะพ้นข้อกล่าวหา การเลี่ยงภาษี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในอดีตที่ติดตัวมา เห็นได้ชัดจากการที่ดาราสาวไม่สามารถเข้าร่วมในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ของจีนได้ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

ฟ่านปิงปิง

ซึ่งไม่เพียงแค่เส้นทางวงการบันเทิงจะเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่งานใหม่เช่นการขายผลิตภัณ์ความงามบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซก็ยังถูกสกัดดาวรุ่ง นั่นจึงทำให้เธอหันไปมุ่งเน้นการทำงานในระดับนานาชาติมากขึ้นเพื่อขยายฐานแฟนคลับและเปิดโอกาสให้ตัวเองได้กลับมาโลดแล่นในวงการบันเทิงอีกครั้ง

ฟ่านปิงปิง

และเมื่อปี 2023 นักแสดงสาว Fan Bing Bing ได้กลับมาเฉิดฉายบนพรมแดงอีกครั้ง จากผลงานภาพยนตร์แนว  Feminist Thriller เรื่อง Green Night โดยฟ่านปิงปิงทุ่มเทอย่างมากในการโปรโมทภาพยนตร์ ด้วยการร่วมเดินสายไปโชว์ตัวในเทศกาลต่างๆ จนทำให้ผลงานเรื่องนี้เป็นที่กล่าวถึง ทว่าแม้จะเป็นผลงานคัมแบ็คเรื่องแรกของอดีตซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของจีน แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเลย

ล่าสุดเป็นเรื่องน่าเซอร์ไพร้ส์เมื่อ Fan Bing Bing ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการที่เป็นชาวเอเชียเพียงคนเดียวสำหรับงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน โดยดาราสาวกล่าวว่า “นี่เป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม ฉันรอคอยที่จะได้ชมภาพยนตร์และการแสดงที่มีความหมาย”

อย่างไรก็ตามแม้ที่ผ่านมาสื่อจีนจะไม่สนใจ Fan Bing Bing เลย แต่ล่าสุดกลับให้ความสนใจเกี่ยวกับลุคบนพรมแดงของเธออีกครั้ง แต่ในแง่มุมที่ว่า “ลุคที่น่าอับอาย”

HK01 ได้พูดถึงชุดล่าสุดของ Fan Bing Bing ว่าดีไซน์นี้ทำให้เลือดพลุ่งพล่าน โดยเฉพาะเมื่อเคลื่อนไหวทำให้เปิดเผยให้เห็นผิวเนื้อซึ่งไม่น่าดู

ขณะเดียวกับมีการเปิดเผยว่าชุดล่าสุดของ Fan Bing Bing ที่ถูกพูดถึงในขณะนี้เป็นผลงานใหม่ของ Stéphane Rolland ดีไซน์เนอร์ฝรั่งเศส โดเด่นวัสดุแบบ Threaded ผสมผสานกับกระโปรงเข้ารูปที่เน้นสรีระของเธอได้อย่างสง่างาม

แม้เส้นทางในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ของจีนจะมืดมนแต่ Fan Bing Bing ก็พยายามต่อสู้ และในเร็วๆ นี้ Fan Bing Bing กำลังจะมีผลงานใหม่ ภาพยนตร์เรื่อง “Earth Mother” ที่กำกับโดยผู้กำกับชาวมาเลเซีย จางเจี้ยน โดยในเรื่องนี้เธอต้องเพิ่มน้ำหนัก 6 กิโลกรัม สำหรับการรับบทเป็นหญิงชาวนาผู้ขับไล่ปีศาจ นอกจากนี้ในฤดูร้อนนี้ เธอจะร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องใหม่ “Diary of a Mad Old Man” ที่กำกับโดย หวังหยิง และร่วมงานกับนักแสดงชาวอังกฤษ กาเบรียล เบิร์น ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอจะได้ท้าทายในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับนานาชาติ

3 น้ำหอม แบรนด์ดังสุดยูนีค ช่วยเพิ่มเสน่ห์ แถมบิ้วอารมณ์ให้สดชื่น

3 น้ำหอม แบรนด์ดังสุดยูนีค ช่วยเพิ่มเสน่ห์ แถมบิ้วอารมณ์ให้สดชื่น

Alternative Textaccount_circle
3 น้ำหอม แบรนด์ดังสุดยูนีค ช่วยเพิ่มเสน่ห์ แถมบิ้วอารมณ์ให้สดชื่น
3 น้ำหอม แบรนด์ดังสุดยูนีค ช่วยเพิ่มเสน่ห์ แถมบิ้วอารมณ์ให้สดชื่น

#PraewSurvey #ItemsOfTheWeek อีซี่ๆ และเห็นผลที่สุดเมื่อต้องการปรับอารมณ์ให้แฮปปี้สดใสคือการใช้ น้ำหอม กลิ่นที่สดชื่น สะอาด มีความโปร่งเบาไม่ชวนให้ถอยหนี วีคนี้เลยเซอร์เวย์น้ำหอมกลิ่นใหม่ล่าสุดจาก 3 แบรนด์ดังอย่าง Aesop และ NONFICTION สองนิชแบรนด์สุดคูล ตามด้วย divana แบรนด์สปาลักซ์ชัวรี่ มาเติมความหอมละมุนฟุ้งๆ เบาๆ เข้าใจง่าย ปลอบประโลมใจให้เรื่องหนักๆ ในวีคนี้ได้เบาลง และแน่นอนโลกของน้ำหอมยุคนี้แล้ว เปิดกว้างด้วยกลิ่นแบบไม่จำกัดเพศ ความหอมแบบใดก็ได้ที่แสดงออกถึงตัวตนอันมีเอกลักษณ์ นาทีนี้กุหลาบก็ไม่ใช่แค่สำหรับผู้หญิง และมัสก์ก็ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ชายอีกต่อไป แต่คือไอเท็มเพิ่มเสน่ห์ที่บ่งบอกถึงเทสหรือรสนิยมของคนนั้นๆ ได้ดี และเผื่อใครกำลังมองหาน้ำหอมที่มีความเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ต้องรีบไปเปิดซิงค์กลิ่นใหม่นี้ด่วนๆ เลย

AESOP Aurner Eau de Parfum (50 ml. / 6,300 THB)
หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นฟลอรัลที่ไม่เหมือนใคร ต่างจากกลิ่นฟลอรัลทั่วไปที่มักนุ่มนวลและสุภาพ ผ่านการปรุงกลิ่นหอมที่แตกต่างกันอย่างลงตัวจากเครื่องเทศที่เจือด้วยสมุนไพรเขียวสดชื่นอย่างคาร์ดามอมและพริกไทยชมพู คลุ้งด้วยโรมันคาโมมายล์ ก่อนจะเข้าสู่กลิ่นหอมฟลอรัลเข้มข้น สดชื่นเพียงชั่วครู่ก็พาสู่ความหนักแน่นของฮาร์ทโน้ตกลิ่นดอกไม้ และกลิ่นหอมของใบแมกโนเลียผสานเจอราเนียม ขณะที่คาร์ดามอมแฝงด้วยกลิ่นไม้หอมที่เด่นขึ้นในตอนท้าย ส่วนชื่อ Aurner มาจากภาษาเยอรมันยุคแรก มีความหมายว่า “การประดับประดาด้วยดอกไม้” สะท้อนถึงกลิ่นหอมที่แต่งแต้มอยู่บนผิวกาย

อีกหนึ่งความพิเศษของน้ำหอม Aurner กลิ่นล่าสุดนี้ Aesop และ Patcharavipa ได้ร่วมรังสรรค์ไอเท็มต่างหูหนีบ (ear cuff) จำกัดจำนวน ได้แรงบันดาลใจมาจากความบานสะพรั่งของดอกแมกโนเลีย ซึ่งผลิตจากวัสดุโรเดียม 925 Sterling Silver ทำมือโดยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญที่่ส่งผ่านความชำนาญมาจากรุ่นสู่รุ่น เกิดเป็นชิ้นงานเครื่องประดับที่สวยยูนีค

NONFICTION The New Musk Collection EDPTHE BEIGE | THE GREY (30 ml. / 3,100 THB I 100 ml. / 6,300 THB)
สองกลิ่นหอมใหม่จากคอลเล็คชั่น ‘NONFICTION Musk Collection’ กลิ่นซิกเนเจอร์ THE BEIGE | THE GREY ที่มาพร้อมเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของ NONFICTION แบรนด์น้ำหอมสายคลีนจากเกาหลี ผสานแรงบันดาลใจจากกลิ่นหอมที่รังสรรค์โดยปรมาจารย์ด้านการปรุงน้ำหอมมอริส รูแซล (Maurice Roucel) ที่เล็งเห็นว่า “โน้ตกลิ่นมัสท์” เป็นสื่อกลางสำคัญของคอลฯ นี้ เขาใช้ความแตกต่างของไวท์มัสก์เเละดาร์กมัสก์ในการรังสรรค์ THE BEIGE ซึ่งมีกลิ่นหอมนุ่มนวลและอบอุ่นชวนให้หลงไหล และ THE GREYมีเสน่ห์ลุ่มลึกละเอียดอ่อนชวนให้ค้นหา ซึ่งเสน่ห์ตราตรึงของน้ำหอมมัสก์ทั้งสองสไตล์นี้ยังมาพร้อมผลิตภัณฑ์ Hand Cream ไอเท็มสุดฮิตของแบรนด์กับสองกลิ่นเหมือนกันเป๊ะ ลองสัมผัสได้ที่ NONFICTION Pop-Up Store ชั้น 2, Central Embassy

divana Perfume Oil (95 ml. / 4,350 THB)
น้ำหอมแบบออยล์จากคอลเล็คชั่นพิเศษฉลองครบรอบ 25 ปี divana ผสานกลิ่นหอมละมุน พร้อมส่วนผสมของออยล์ธรรมชาติ ทั้ง น้ำมันมะกอก น้ำมันโจโจบา น้ำมันเมล็ดองุ่น และน้ำมันอะโวคาโด ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นไปในตัว ทั้งยังอ่อนโยนต่อผิวตอบโจทย์คนที่มีผิวแพ้ง่าย มีให้เลือกถึง 5 กลิ่นใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ ได้แก่ Sunriseกลิ่นหอมสดชื่นที่กักเก็บความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติในยามเช้า Queen of The Nightหอมเย้ายวนจากดอกไม้ที่บานในยามค่ำคืน ผสานความสดชื่นของผลส้มSnow Drop สดชื่นจากเกล็ดหิมะแรกLaguna สัมผัสความสงบและความกลมกลืนของธรรมชาติ Foresta หอมจากผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และยั่งยืน เป็นน้ำหอมที่ไม่ได้เพียงมอบกลิ่นหอมอย่างเดียวแต่ยังมาจากส่วนผสมธรรมชาติ เพียงสเปรย์แล้วนวดเบาๆ ที่จุดชีพจร นอกจากจะให้กลิ่นหอม ยังผ่อนคลายและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตด้วยคุณสมบัติจากธรรมชาติ


สำรวจ 5 เทรนด์แฟชั่นพรมแดงในงาน SAG Awards 2025

Alternative Textaccount_circle

เวลานี้คงเป็นช่วงที่ชุกชุมไปด้วยงานประกาศรางวัลมากที่สุด ล่าสุด SAG Awards หรือ Screen Actors Guild Awards ประจำปี 2025 ก็เพิ่งจัดขึ้นไปหมาดๆ มอบรางวัลให้กับนักแสดงมากมายเพื่อเป็นเกียรติ และขวัญกำลังใจต่อการสร้างสรรค์ผลงานทางการแสดง

แน่นอนว่างานสำคัญ เหล่าคนดังก็ต้องจัดเต็มลุคพรมแดงมาให้เราได้ชมอีกเช่นเคย เมื่อส่องดูแล้วเราพบ 5 เทรนด์แฟชั่นที่อยู่บนชุดราตรีของบรรดาเซเลบริตี้ มีอะไรบ้างตามไปดู

Sparkle

ความวิบวับที่ชวนให้ทุกคนหันมอง สำหรับงานที่ต้องการความโดดเด่น ดีเทลคริสตัลเล่นแสงไฟเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด เหมือนที่ Anna Sawai, Moeka Hoshi และ Marissa Bode สวมใส่มาในงาน

Off-Shoulder

นี่แหละคือความเคล็ดลับเผยเสน่ห์ของผู้หญิง เพราะไหปลาร้าเป็นหนึ่งในจุดที่ชวนหลงใหลมากที่สุด และการสวมเดรสหรือเสื้อปาดไหล่นั้น ยังมีความลึกลับ ประมาณว่าจะเซ็กซี่ก็ใช่ แต่ก็ไม่ทั้งหมด เหมือนชวนให้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของผู้สวมใส่ โดยงานนี้ก็เดรสเปิดไหล่ก็มีหลักหลายแบบ ทั้งข้างเดียว และเปิดทั้งสองข้าง

Floral

ความโรแมนติกได้รวมตัวไว้ที่ตรงนี้ ดอกไม้ละลานตาปักอยู่บนเดรสออกงานของเซเลบริตี้หลายคน ส่วนใหญ่ลุคที่ได้มักถ่ายทอดผ่านผู้หญิงที่มีคาแร็คเตอร์อ่อนหวาน ล้นเหลือด้วยความเฟมีนิน

Classy, Black & Red!

ความคลาสสิกเป็นสิ่งอมตะที่สุด และคงเป็นดีเทลไหนไม่ได้ ถ้าใช่สีแดงและดำ แม้ผู้สวมใส่จะมาในซิลลูเอตที่เรียบง่ายหรือสะดุดตามากแค่ไหน ก็รับรองได้ว่าผ่านไปกี่ปีลุคนี้ก็ไม่มีทางเอ้าท์

Like a Bird

นี่แหละลุคของนางพญา ใครอยากเล่นใหญ่ในงานไหน ขนนกคือคำตอบ เพราะเป็นสิ่งที่จะสร้างความโดดเด่นให้กับลุคได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังถ่ายทอดวามสนุกสนาน และความเป็นแฟชั่นนิสต้าในตัวผู้สวมใส่ออกมาได้เป็นอย่างดี


ภาพ: Getty Image

ตามเทรนด์งานผิวปี 2025 พร้อมเจาะทริคดูแลผิวปัง! กับ “หมอหยก Merz Aesthetics Med Friend”

account_circle

ด้วยเทรนด์การดูแลผิวสวยแลดูเป็นธรรมชาติมาแรงข้ามปี ดังนั้นจึงต้องตามกันต่อกับหัตถการยอดนิยมที่ช่วยดูแลผิวสวยอย่างยั่งยืน แพรว จึงพาไปอัปเดตความรู้และทริคดีๆ กับ “คุณหมอหยก – พญ.ฉัตรบงกช เขมาชีวะกุล” (ว.35619) Merz Aesthetics Med Friend เพื่อนหมอของเมิร์ซ ที่หลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีทางโซเชียลมีเดีย เพราะคุณหมอหยกเป็น KOL และเทรนเนอร์ของ Merz Aesthetics ในการให้คำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องแก่เหล่าแพทย์ความงาม รวมถึงยังประจำหน้าจอเพื่อแชร์ความรู้และคอยตอบคำถามให้กับคนรักสวย ติดตามได้ที่ TikTok : @merzaestheticsthailand สำหรับครั้งนี้คุณหมอหยกจะมาแชร์ทริคการดูแลผิวด้วยหัตถการตัวเด็ด! เพื่อเป็นไอเดียให้กับคนรักผิวก่อนตัดสินใจทำสวยในปี 2025

เทรนด์ผิวสวยยั่งยืน

“ในมุมมองของหมอ คาดว่าปีนี้ผู้คนน่าจะหันมาสนใจในเรื่องของความงามที่ยั่งยืนและแลดูเป็นธรรมชาติกันมากขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วเทรนด์ดังกล่าวเป็นกระแสนิยมมาหลายปีแล้ว โดยส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่แนวคิด The best version of me หรือการเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด พร้อมให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว ดังนั้นในส่วนของเทรนด์การดูแลผิวจึงเน้นไปที่การเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง การปรับปรุงคุณภาพผิว ซึ่งเป็นการดูแลผิวตามกระบวนการธรรมชาติ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว”

ทริคดูแลผิว…เริ่มง่ายๆ ด้วยตัวเอง

“วิธีการดูแลผิวของหมอที่ปฏิบัติจริงมาตลอด และมักจะแนะนำกับผู้รับบริการอยู่เสมอ หลักๆ จะมี 3 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือดูแลเรื่องการใช้ชีวิตในประจำวัน ตั้งแต่การพักผ่อนให้เพียงพอ นอนอย่างน้อยวันละ 7 – 9 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมระบบภายใน ส่วนอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่ดีจากภายในสู่ภายนอก เช่น คาร์ดิโอที่เน้นการเสริมความแข็งแรงของหัวใจและปอดให้สามารถนำออกซิเจนมาใช้ได้มากขึ้น เวทเทรนนิ่งที่ช่วยในการลดน้ำหนักและลดไขมัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นการออกกำลังกายแบบบาลานซ์ ไม่ควรที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งหนักมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยได้ง่าย

“อย่างที่สองคือการใช้สกินแคร์อย่างสม่ำเสมอ หลักๆ ที่ห้ามขาดคือมอยเจอร์ไรเซอร์และกันแดด สำหรับมอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เมื่อผิวชุ่มชื้นก็จะแข็งแรง เต่งตึง เรียบเนียน ช่วยลดปัญหาริ้วรอย ส่วนกันแดดถือเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะแสงแดดเป็นสาเหตุของปัญหาผิวทั้งความหมองคล้ำ จุดด่างดำ และริ้วรอย อีกทั้งนอกจากแสงแดดแล้ว สมัยนี้ผู้คนยังใช้เวลาอยู่กับหน้าจอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์ ซึ่งแสงจากหน้าจอเหล่านี้สามารถทำร้ายผิวของเราได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันแสงสีฟ้าด้วย

“อย่างที่สามคือเรื่องอาหารการกิน โดยสิ่งที่เน้นคือการรับประทานโปรตีนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สัดส่วนโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะโปรตีนเป็นตัวตั้งต้นในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิว ซึ่งหลายคนน่าจะทราบกันดีว่าคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิว แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องซื้ออาหารเสริมโปรตีนมาทาน แค่เน้นการทานอาหารจำพวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ให้ได้สัดส่วนตามที่ร่างกายต้องการก็เพียงพอแล้วค่ะ”

หัตถการงานผิว…ต้องปักหมุด!

“นอกจากการดูแลผิวขั้นพื้นฐานด้วยตัวเองแล้ว ผู้คนยุคนี้ยังเลือกอาศัยตัวช่วยอย่างหัตถการที่เป็นอีกหนึ่งทางลัดในการดูแลผิวกันมากขึ้น ซึ่งหัตถการที่หมอมองว่าช่วยดูแลผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าด้วยผลลัพธ์ที่ยั่งยืน เรียกว่าจะไม่พูดถึงไม่ได้คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน ฟิลเลอร์งานผิว สารลดเลือนริ้วรอย และเครื่องยกกระชับใบหน้า เพราะถือเป็นหัตถการงานผิวยอดนิยมแห่งยุค และมีหลากหลายให้เลือก ดังนั้นในการเลือกทำจึงต้องศึกษาให้ดีๆ  

“สำหรับสารกระตุ้นคอลลาเจน หมอขอแนะนำให้เลือกตัวที่สามารถช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้ครบทั้ง 5 ประการคือ คอลลาเจนชนิดที่ 1 , คอลลาเจนชนิดที่ 3 , อีลาสติน , หลอดเลือดเล็กๆ ที่นำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิว และสารน้ำหล่อเลี้ยงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เพราะสารกระตุ้นคอลลาเจนบางตัวจะกระตุ้นแค่คอลลาเจนอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วโครงสร้างผิวของเรามีองค์ประกอบมากกว่านั้น

“ถ้าเน้นเรื่อง Skin Quality ก็ต้องฟิลเลอร์งานผิวที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ซึ่งควรเลือกตัวที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid และ Glycerol เพราะ Glycerol จะช่วยให้โครงตาข่ายคอลลาเจนแข็งแรงขึ้น และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยช่วยดึงน้ำจากสิ่งแวดล้อมบริเวณรอบๆ ทำให้ผิวฉ่ำวาวแบบกลาสสกิน

“มาถึงสารลดเลือนริ้วรอยที่หลายคนรู้จักกันดี  เรื่องต้องรู้คือถ้าร่างกายของเราได้รับโปรตีนที่ผสมอยู่ในสารลดเลือนริ้วรอยเข้าไปเรื่อยๆ ร่างกายจะเกิดการกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทาน ทำให้สารลดเลือนริ้วรอยแสดงผลลัพธ์น้อยลง เช่น ปกติอยู่ได้ 4 – 6 เดือน แต่ตอนนี้อยู่ได้เพียง 2 เดือน หรือเรียกว่าการดื้อโบนั่นเอง ดังนั้นสำหรับผู้รับบริการที่ทำหัตถการนี้มานานแล้วไม่ค่อยเห็นผล หรือผู้รับบริการมือใหม่ เดี๋ยวนี้เรามีทางเลือกอย่างโบเจนเนอเรชั่นใหม่ที่ปราศจาก Complexing Protein ซึ่งช่วยลดการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะดื้อโบ

“สุดท้ายคือเครื่องยกกระชับใบหน้า ซึ่งในปัจจุบันมีเยอะมากและมีหลากหลายช่วงคลื่น แต่เครื่องยกกระชับใบหน้าที่ดีควรจะได้รับการรับรองว่าเป็น Gold Standard คือการยอมรับทางการแพทย์ว่าที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม และควรจะสามารถยกกระชับได้ทั้งชั้นผิวและชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิว ที่สำคัญควรมีหน้าจอแสดงผลแบบ Real-time Visualization เพื่อให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ผิวได้ตรงจุด เพราะแต่ละคนมีลักษณะชั้นผิวที่ต่างกัน การมีหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ช่วยให้สามารถปรับคลื่นให้ลึกตามความเหมาะสมกับชั้นผิวของแต่ละคน ทำให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม่นยำ ตรงจุด และอยู่ได้นานประมาณ 1 – 2 ปี โดยขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละคน”

เช็กชัวร์…ก่อนทำสวย

“สิ่งสำคัญในการดูแลตัวเองด้วยหัตถการความงามใดๆ ก็ตาม ข้อแรกคือควรศึกษาหาข้อมูลก่อนว่าหัตถการหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ คืออะไร ช่วยตอบโจทย์ปัญหาของเราได้อย่างไร เพราะการมีความรู้เบื้องต้นก่อนเข้าไปปรึกษาแพทย์จะทำให้เราตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น   

“ข้อสองคือระมัดระวังของปลอม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์ ซึ่งในการตรวจเช็กว่าเป็นของแท้หรือไม่ เราสามารถดูได้จากตัวเครื่องมือหรือกล่องผลิตภัณฑ์นั้นๆ ที่จะมีคิวอาร์โค้ดให้สแกนตรวจสอบที่มาที่ไปว่าเป็นเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์ที่ซื้อจากบริษัทผู้นำเข้าจริงหรือไม่ รวมถึงสามารถเข้าไปเช็กในเว็บไซต์ของบริษัทผู้นำเข้า ซึ่งจะระบุการรับรองสถานบริการที่ซื้อเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ เอาไว้

“ข้อสามคือการเลือกสถานบริการที่ได้รับมาตรฐาน มีแพทย์ที่มีความสามารถเฉพาะทาง และเรายังสามารถตรวจสอบว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่ ซึ่งสามารถเช็กได้ในเว็บไซต์ของแพทยสภา รวมถึงควรตรวจสอบประวัติการทำงานและความเชี่ยวชาญของแพทย์ เช่น ได้รับการอบรมจากบริษัทผู้นำเข้าเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ ยิ่งถ้าได้รับประกาศนียบัตรรับรองการอบรมก็จะยิ่งดี เรียกว่าถือเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้การใช้เครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์เป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีนั่นเองค่ะ”


Hearts2Hearts

แกะกล่องเกิร์ลกรุ๊ปวงใหม่ Hearts2Hearts ดาวรุ่งแห่งวงการ K-POP

Alternative Textaccount_circle
Hearts2Hearts
Hearts2Hearts

ทำความรู้จัก Hearts2Hearts (ฮาร์ตส์ทูฮาร์ตส์) เกิร์ลกรุ๊ปวงใหม่จาก SM ENTERTAINMENT ในรอบ 5 ปี ดาวรุ่งแห่งวงการ K-POP

เกิร์ลกรุ๊ปวงใหม่จาก SM ENTERTAINMENT ในรอบ 5 ปี

“ฮาร์ตส์ทูฮาร์ตส์” เกิร์ลกรุ๊ปวงใหม่ในรอบเกือบ 5 ปี หลังจาก aespa (เอสป้า) ที่เดบิวต์เมื่อปี 2563 จากค่าย SM ENTERTAINMENT (เอสเอ็ม เอนเทอร์เทนเมนต์) โดยพวกเธอได้เดบิวต์อย่างเป็นทางการพร้อมเริ่มต้นก้าวแรกสุดทรงพลังไปสู่ความฝันในซิงเกิลแรกชื่อว่า ‘The Chase’ (เดอะ เชส) ซึ่งประกอบด้วย 2 เพลง ได้แก่ เพลงเดบิวต์และเพลงไตเติลอย่าง ‘The Chase’ (เดอะ เชส) และเพลงประกอบอัลบั้มชื่อว่า ‘Butterflies’ (บัตเตอร์ฟลาย) ทั้งหมดถูกปล่อยออกมาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ตามเวลาประเทศไทย 16:00 น. ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลงทางออนไลน์ต่าง ๆ ทั่วโลก

Hearts2Hearts

8 สมาชิกที่มีเสน่ห์หลากหลาย

ชื่อวง “ฮาร์ตส์ทูฮาร์ตส์” หมายถึงการเชื่อมใจกับแฟน ๆ ทั่วโลกผ่านโลกดนตรีที่น่าค้นหาและสวยงามตามแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ และข้อความที่จริงใจ พร้อมก้าวไปข้างหน้าด้วยกันในฐานะ ‘พวกเรา’ ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยประกอบด้วยทั้งหมด 8 สมาชิกที่มีเสน่ห์หลากหลายและความสามารถอันไร้ขีดจำกัด ได้แก่ หัวหน้าวง JIWOO (จีอู), CARMEN (คาร์เมน), YUHA (ยูฮา), STELLA (สเตลล่า), JUUN (จูอึน), A-NA (เอ-นา), IAN (อีอัน) และน้องเล็กสุด YE-ON (เย-อน)

YE-ON (เย-อน), JUUN (จูอึน), A-NA (เอ-นา), IAN (อีอัน), YUHA (ยูฮา), STELLA (สเตลล่า), JIWOO (จีอู), CARMEN (คาร์เมน)


ผลงานเดบิวต์ครั้งแรก

สำหรับเพลงเดบิวต์และเพลงไตเติล ‘The Chase’ (เดอะ เชส) เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายความลึกลับและน่าค้นหาเสริมด้วยองค์ประกอบเสียงที่เหมือนฝันและทำนองเสียงร้อง จุดเด่นอยู่ตรงการเปลี่ยนอารมณ์ของเพลงซึ่งเน้นไปที่เสียงเบสสังเคราะห์อันหนักหน่วงและเป็นเอกลักษณ์ ไม่เพียงเท่านี้ ฮิตเมเกอร์ KENZIE (เคนซี) ยังเป็นผู้แต่งเนื้อร้องของเพลงนี้ โดยมีการยืมเรื่องราวจาก ‘Alice in Wonderland’ (อลิซ อิน วันเดอร์แลนด์) มาใช้ ซึ่งมีคีย์เวิร์ดอันโดดเด่นเกี่ยวกับ ‘ทางเลือกและการผจญภัย’ ทำให้เรื่องราวแรกในแบบฉบับของ “ฮาร์ตส์ทูฮาร์ตส์” สมบูรณ์แบบ ในเนื้อเพลงนี้ถ่ายทอดข้อความที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่า “ฉันจะสร้างเส้นทางที่ฉันจะเดินไป” ควบคู่ไปกับความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นเต้นเกี่ยวกับโลกใหม่ที่จะเปิดเผยต่อไป ด้านมิวสิกวิดีโอของเพลงไตเติล ‘The Chase’ (เดอะ เชส) นำเสนอเรื่องราวที่ทั้ง 8 สมาชิกไปทัศนศึกษาแล้วได้สัมผัสกับปรากฏการณ์ลึกลับที่ทำให้หลุดพ้นจากความจำเจ และมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง ขณะเดียวกันก็สร้างพิมพ์เขียวตามแบบฉบับของพวกเธอ

อีกหนึ่งเพลงที่รวมอยู่ในอัลบั้มอย่าง ‘Butterflies’ (บัตเตอร์ฟลาย) เพลงแนว Mid-tempo R&B ที่เพิ่มเสียงประสานเข้ากับไลน์เบสอันสมบูรณ์แบบและทำนองกีตาร์เพื่อถ่ายทอดอารมณ์สุดอบอุ่น เนื้อเพลงแสดงถึงช่วงเวลาของ ‘วันนี้’ ที่พวกเธอได้จินตนาการไว้ด้วยกันพร้อมหัวใจอันเป็นหนึ่งเดียวกัน


ศิลปินวงแรกของโปรเจกต์ ‘SMGC’

นอกจากนี้ “ฮาร์ตส์ทูฮาร์ตส์” เดบิวต์พร้อมได้รับเลือกให้เป็นโมเดลแคมเปญคอลเล็กชันประจำฤดูใบไม้ผลิสำหรับสตรีของแพลตฟอร์มแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี MUSINSA (มูชินซา) ยิ่งไปกว่านั้น “ฮาร์ตส์ทูฮาร์ตส์”ยังเป็นศิลปินวงแรกของโปรเจกต์ ‘SMGC’ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SM และ MEGA MGC COFFEE โดยพวกเธอจะร้องเพลงประกอบโฆษณา, แนะนำเมนูโปรดที่เลือกโดยสมาชิก และจัดกิจกรรมถ่ายภาพยืนยันที่นั่งติดประตูที่ร้าน MEGA MGC COFFEE กว่า 3,500 แห่งทั่วประเทศเกาหลีใต้ ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568

เจ้าหญิงแห่งเวลส์

เหตุผลสำคัญที่ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงเก็บเรื่องมะเร็งเป็นความลับ

account_circle
เจ้าหญิงแห่งเวลส์
เจ้าหญิงแห่งเวลส์

Jason Knauf อดีตที่ปรึกษาราชสำนักผู้เคยทำงานใกล้ชิดกับเจ้าชายวิลเลียม และ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้เปิดใจถึงประสบการณ์ของเขากับราชวงศ์อังกฤษในการสัมภาษณ์ล่าสุด นอกจากจะแสดงทัศนะเกี่ยวกับบทบาทของเจ้าชายวิลเลียมในฐานะพระมหากษัตริย์ในอนาคตแล้ว เขายังกล่าวถึงการตัดสินใจที่ยากลำบากของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ หลังจากที่พระองค์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง

เหตุผลสำคัญที่ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงเก็บเรื่องมะเร็งเป็นความลับ

(Photo by Samir Hussein/WireImage)

เมื่อต้นปี 2024 ข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเจ้าหญิงแห่งเวลส์แพร่สะพัดบนโลกออนไลน์ หลังจากที่พระองค์หายไปจากสาธารณะ โดยที่พระราชวังเคนซิงตันยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ จนกระทั่งเดือนมีนาคม 2024 ในการสัมภาษณ์กับ 60 Minutes Australia (อ้างอิงจาก GB News) Knauf เปิดเผยถึงเหตุผลที่เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ตัดสินใจเลื่อนการประกาศข่าวนี้ออกไป

“พวกเขายังไม่ต้องการบอกว่าพระองค์เป็นมะเร็ง เพราะตอนนั้นยังไม่ได้แจ้งข่าวแก่พระโอรสและพระธิดา และยังอยู่ในช่วงคิดหาวิธีที่จะบอกลูกๆ ของพวกเขา” Knauf อธิบาย

อดีตที่ปรึกษาราชสำนักยังเล่าถึงปฏิกิริยาของเจ้าชายวิลเลียมต่อข่าวร้ายนี้ว่า “มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่ผมเคยเห็นพระองค์เผชิญ”

(Photo by Mark Cuthbert/UK Press via Getty Images)

Knauf กล่าวต่อว่า “ลองนึกภาพว่าในช่วงเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ คุณเป็นเจ้าชายวิลเลียมและต้องรับรู้ว่าทั้งพระชายาและพระบิดาของคุณป่วยเป็นมะเร็ง ผมแทบไม่อยากเชื่อเลย”

ด้วยความเงียบของราชวงศ์ท่ามกลางกระแสข่าวลือ การหายไปจากสาธารณะของเจ้าหญิงแห่งเวลส์กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ “ปัญหาคือข่าวลือและทฤษฎีสมคบคิดอันไร้สาระเหล่านี้กลับแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว” Knauf กล่าว

นอกจากนี้ ในตัวอย่างบทสัมภาษณ์พิเศษของ Knauf เขายังกล่าวถึงบทบาทของเจ้าชายวิลเลียมในฐานะพระมหากษัตริย์ในอนาคตว่า “สิ่งที่คุณเห็นก็คือสิ่งที่พระองค์เป็นจริงๆ” พร้อมเสริมว่า “ในทุกยุคสมัย ราชวงศ์จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับประชาชนในยุคนั้น และเจ้าชายวิลเลียมก็ได้เริ่มทำสิ่งนั้นแล้ว”


ที่มา : www.marieclaire.com

Royal Ivy Regatta

Royal Ivy Regatta เปิดคอลเล็กชั่น แรงบันดาลใจจาก The White Lotus

account_circle
Royal Ivy Regatta
Royal Ivy Regatta

แบรนด์แฟชั่น Royal Ivy Regatta (รอยัล ไอวี รีกัตตา) เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ Royal Ivy RegattaxThe White Lotus Spring/Summer Collection ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ระดับโลก The White Lotus นำเสนอเสื้อผ้าหลากหลายดีไซน์เหนือกาลเวลาที่สะท้อนถึงบรรยากาศของรีสอร์ตสุดหรูและเสน่ห์ของตัวละครในซีรีส์

สำหรับการออกแบบในคอลเลกชันนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ รอยัล ไอวี รีกัตตา ในการสร้างสรรค์แฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีคุณค่าอย่างยั่งยืน โดยใช้ผ้าคุณภาพสูงที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลที่ทนทาน ดูแลรักษาง่าย ทำให้เกิดเป็นความงามเหนือระดับ โทนสีของคอลเลกชันถูกออกแบบมาให้สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ได้ง่าย เหมาะกับหลากหลายสไตล์ ตั้งแต่ลุคลำลองสำหรับวันพักผ่อน ไปจนถึงลุคเรียบหรูสำหรับงานสำคัญและโอกาสพิเศษ

คอลเลกชันนี้มีให้เลือกถึง 46 รายการ ทั้งเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย อาทิ เสื้อโปโล เสื้อฮาวาย และเสื้อทีเชิ้ต เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง อาทิ เสื้อเชิ้ต เสื้อทีเชิ้ต เสื้อท็อป กางเกงขาสั้น กางเกงขายาว เดรส และหมวก ทุกชิ้นได้รับการออกแบบมาให้สามารถปรับลุคได้ง่าย บาลานซ์ลุคให้ดูสบาย แต่ให้ความรู้สึกหรูหราแบบกึ่งลำลอง โดยแบ่งออกเป็น 3 คอนเซ็ปต์หลัก ได้แก่

  • CRUISE CONCEPT การผสมผสานของความเรียบง่ายที่แฝงไปด้วยความหรูหรา ในโทนสีขาว และน้ำเงินเข้ม
  • BEACH CLUB CONCEPT โดดเด่นด้วยสีสันสดใสและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ จับคู่กับซิลลูเอตที่สวมใส่สบาย เหมาะสำหรับวันพักผ่อนริมทะเล
  • HOLIDAY RESORT CONCEPT เน้นเฉดสีน้ำเงินและลายพิมพ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบรรยากาศของรีสอร์ตสุดหรู 

Royal Ivy RegattaxThe White Lotus Spring/Summer Collection เป็นการผสมผสานระหว่างความหรูหราและความยั่งยืนอย่างลงตัว ด้วยความประณีตในงานฝีมือ วัสดุระดับพรีเมียม และการออกแบบที่รองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ทำให้คอลเลกชันนี้เหมาะกับทุกโอกาส

คอลเลกชันนี้จะวางจำหน่ายพิเศษที่แรกในงาน รอยัล ไอวี รีกัตตา Pop-up Store ที่ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่ วันที่ 20-24 กุมภาพันธ์ 2568 และจะเริ่มวางจำหน่ายที่ร้าน Royal Ivy Regatta ทุกสาขา หรือออนไลน์ www.royalivyregatta.com ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป

รู้จัก 5 โครงการมิกซ์ยูสระดับโลก

account_circle

เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ทุกพื้นที่จึงมีการพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้ทันยุคสมัยและตอบรับความต้องการของคนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ “มิกซ์ยูส (mixed-use)” ซึ่งนับว่าเป็นทิศทางในการพัฒนาพื้นที่เพื่อจัดสรรให้องค์ประกอบและทรัพยากรต่างๆ ประสานประโยชน์ร่วมกัน ทั้งโรงแรม สำนักงาน ศูนย์การค้า และที่อยู่อาศัย เป็นต้น รวมทั้งสามารถวางแผนเพื่อให้ใช้ประโยชน์ของพื้นที่ได้เต็มศักยภาพมากที่สุด แต่โจทย์ความท้าทายที่สำคัญคือ การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ ความทรงจำ และเรื่องราวของพื้นที่นั้นๆ ให้ยังคงคุณค่าความทรงจำที่สวยงามจากอดีต และต่อเติมความทันสมัยเพื่อฟื้นชีวิตชีวาและนำพาทั้งพื้นที่สู่ความสมบูรณ์แบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน

โดยวันนี้ เราขอชวนคุณมาพบกับ 5 โครงการมิกซ์ยูสระดับโลก ที่นอกจากจะสร้างสรรค์บนพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีความน่าสนใจด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติผ่านการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ให้แก่ชุมชนโดยรอบ รวมถึงประสบการณ์ใหม่บนพื้นที่โครงการ Dusit Central Park

Battersea Power Station – กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร 

ความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรม สู่อาณาจักรแห่งไลฟ์สไตล์ของมหานครลอนดอน 

ผู้ดำเนินการพัฒนา โดย Battersea Power Station Development Company 

The Battersea Power Station คือโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่ตั้งตระหง่านในย่าน Nine Elms ทางทิศใต้ของแม่น้ำเทมส์  ณ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความรุ่งโรจน์แห่งอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร ที่ครั้งหนึ่งเคยผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อส่งต่อความสว่างไสวให้ชาวเมืองลอนดอนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 โดยตัวอาคารเดิมเป็นสถาปัตยกรรมอิฐสูงใหญ่เป็นวัสดุหลักเสริมโครงสร้างเหล็ก ภายนอกใช้ปูนมอร์ตาร์เพื่อให้รูปลักษณ์ของโรงไฟฟ้าลดความเป็น ‘อุตสาหกรรม’ บนอาคารขนาดมหึมาริมแม่น้ำ พร้อมสร้างความ ‘เป็นมิตร’ ทางสายตาแก่ผู้พบเห็นมากขึ้น ที่โดดเด่นคือไอคอนสำคัญอย่าง ปล่องไฟขนาดใหญ่ทั้ง 4 ปล่องที่มีควันไฟพวยพุ่ง ก่อนปิดตัวลงอย่างถาวรในปี ค.ศ.1983 อย่างไรก็ตาม รูปแบบสถาปัตยกรรมของ The Battersea Power Station ได้รับการพิสูจน์ด้านคุณค่าด้านสถาปัตยกรรม โดยในปี ค.ศ. 2007 The Battersea Power Station ได้รับเลือกให้เป็นอาคารอนุรักษ์ Grade II และ Grade II* ปัจจุบัน ได้ถูกวางแผนพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กขนาดใหญ่ เพื่อสร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญและพื้นที่ไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ให้กับชาวลอนดอน กับโครงการมิกซ์ยูสที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1.65 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 570,000 ล้านบาท) ซึ่งประกอบด้วย ที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า และสำนักงาน โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 7 เฟส จากปี ค.ศ. 2014 และจะแล้วเสร็จปี ค.ศ. 2025 บนพื้นที่ก่อสร้างกว่า 169,968 ตารางเมตร ถือเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ประวัติศาสตร์รอบมหานครลอนดอนอีกด้วย พื้นที่ของโครงการฯ ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ได้แก่ ศูนย์การค้าตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างของโครงการ ศูนย์ความบันเทิงต่างๆ อย่างโรงภาพยนตร์และโถงจัดกิจกรรมขนาดใหญ่อยู่บริเวณชั้น 2 และมีสำนักงานต่างๆ โดยพื้นที่ชั้น 6 จะเป็นส่วนของสำนักงาน Apple ด้านบนสุดของตัวอาคารจะเป็นพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ปล่องไฟได้เปลี่ยนเป็นปล่องลิฟต์ ที่นำผู้คนขึ้นไปสู่ลานโล่ง ณ ปลายปล่องเพื่อชมวิวของเมืองลอนดอน นอกจากนี้ บริเวณดาดฟ้าโครงการได้ปรับเป็นสวนลอยฟ้ารวบรวมพันธุ์ไม้กว่า 55 ชนิด ขนาด 29,000 ตารางเมตร เพื่อให้ชาวเมืองได้ใช้ประโยชน์สูงสุด และเชื่อมโยงระหว่างโครงการ ผู้คน และเมืองลอนดอนได้เป็นอย่างดี

The Refinery at Domino – นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

จากโรงงานกลั่นน้ำตาลที่เก่าแก่ที่สุดในนิวยอร์ก สู่โครงการมิกซ์ยูสทันสมัยริมแม่น้ำ

ผู้ดำเนินการพัฒนาโครงการ โดย Two Trees Management

บรูคลิน หนึ่งในโบโรห์ของมหานครนิวยอร์ก ‘เมืองหลวงของโลก’ คือ เขตที่มีชื่อเสียงในฐานะเขตธุรกิจและเขตที่อยู่อาศัยที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรม รวมไปถึงสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์มากมาย หนึ่งในสถาปัตยกรรมเก่าแก่เหล่านั้น คือ อาคาร Domino Sugar Refinery ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอีสต์ย่านวิลเลียมสเบิร์กในบรูคลิน เดิมได้ก่อสร้างขึ้นเป็นโรงกลั่นน้ำตาลในปี ค.ศ. 1856 โดยบริษัท Domino Foods บริษัทน้ำตาลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19  โดยพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำอีสต์นับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจ ซึ่ง ณ เวลานั้นใช้การขนส่งทางน้ำเป็นหลัก ต่อมาความต้องการน้ำตาลลดลง ทำให้ปิดตัวลงในปี ค.ศ. 2004 ด้วยสถาปัตยกรรมของฟาซาดในยุคโรมาเนสก์ จึงถูกอนุรักษ์ไว้และกลายเป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในนิวยอร์ก ต่อมาในปี ค.ศ. 2014  แผนการคืนชีวิตให้แก่พื้นที่นี้ในฐานะโครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่ ‘The Refinery at Domino’ จึงเริ่มขึ้น  โดยบริษัท Two Trees Management โครงการดังกล่าวมูลค่าการลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) ถูกออกแบบให้มีทั้งส่วนของร้านค้า อพาร์ตเมนต์จำนวน 3,415 ยูนิต อาคารสำนักงาน ขนาด 43,000 ตารางเมตร และพื้นที่สาธารณะสีเขียวแม่น้ำขนาด 20,000 ตารางเมตร พื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 330,000 ตารางเมตร โดยพื้นที่ยังถูกออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อกับถนนได้โดยง่าย เพื่อเพิ่ม accessibility ให้แก่พื้นที่ที่ต้องการสร้างความกลมกลืนระหว่างโครงการฯ และชุมชนเข้าด้วยกัน สำหรับตัวโครงการ แบ่งออกเป็น 5 อาคาร โดยมีอาคาร Refinery ที่เป็นอาคารสำนักงาน ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานงานศิลปะเพื่อให้อาคารกระจกกลมกลืนกับฟาซาดอิฐของโรงงานกลั่นน้ำตาลด้านใน เสริมความทันสมัยด้วยโดมเรือนกระจก ในส่วนของ ‘The Vault’ พื้นที่ Multi-use วางดีไซน์ไว้ชั้นบนสุดสูงถึง 9 เมตร มอบวิวท้องฟ้าและทิวทัศน์ของแม่น้ำอีสต์แบบ 360 องศา โดยตัวอาคารนับเป็นจุดศูนย์กลางที่ถูกห้อมล้อมด้วยอาคารสำหรับที่อยู่อาศัย ร้านค้า โรงเรียน ฟิตเนส co-working space และมีพื้นที่ริมน้ำสาธารณะวางให้เป็นลานวิ่งออกกำลังกาย เครื่องเล่นสำหรับเด็ก และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย และทุกไลฟ์สไตล์ กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของชาวนิวยอร์ก โดยโครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ ในปี ค.ศ. 2030

Azabudai Hills – กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

การเติบโตของเมืองสู่เส้นทางชีวิตวิถีใหม่ที่เชื่อมโยงผู้คนและธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน

ผู้ดำเนินการพัฒนาโครงการ โดย Mori Building

ท่ามกลางการเติบโตที่ไม่หยุดนิ่งของมหานครโตเกียว ยังมีพื้นที่ที่กำลังรอการพัฒนาอยู่อย่างย่าน Toranomon-Azabudai พื้นที่รอบนอกของเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านไม้และอาคารเก่าที่รอคอยการเปลี่ยนแปลง โดย Mori Building ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้ร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและชุมชนในพื้นที่โดยใช้เวลามากกว่า 30 ปี ในการวางแผนเพื่อยกระดับพื้นที่สู่มิติใหม่ ด้วยการสร้างสรรค์โครงการมิกซ์ยูส ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Modern Urban Village’ ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างหมู่บ้านในพื้นที่เมืองสมัยใหม่ ที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวมากกว่า 20,000 ตารางเมตร เปรียบเสมือนโอเอซิสคลายร้อนกลางเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และสายน้ำ เป็นต้น ความโดดเด่นของโครงการ Azabudai Hills คือ อาคารที่อยู่อาศัย 4 อาคาร รวมจำนวนกว่า 1,400 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยรวม 860,400 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุนกว่า 4.4 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) ที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งภายในพื้นที่ของแต่ละอาคารจะมี Center Court เป็นพื้นที่มิกซ์ยูสที่นำเสนอไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ทั้งพื้นที่เชิงพาณิชย์ พื้นที่อาคารสำนักงาน พื้นที่โรงแรม พื้นที่สำหรับ เล่นกีฬาและสันทนาการ รวมไปถึงพื้นที่จัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมอบความเชื่อมโยงของคอมมิวนิตี้ภายในโครงการฯ ด้วยการเชื่อมต่อของพื้นที่แบบ Walkable design ที่ทำให้สามารถเดินถึงกันได้อย่างสะดวกสบายไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ภายในโครงการฯ ยังมีพื้นที่ศูนย์เวชศาสตร์ป้องกัน ‘Keio University Center for Preventive Medicine’ ที่ให้ความรู้และออกแบบกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพเพื่อคนในชุมชน อาทิ ฟิตเนส สปา ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ พื้นที่พืชสวนครัว และตลาดผักและผลไม้สด สำหรับภายนอกโครงการฯ ยังรายล้อมด้วยสถานที่สำคัญและจำเป็นต่อไลฟ์สไตล์ ทั้งโรงแรมชั้นนำ สถานพยาบาล และโรงเรียนนานาชาติ รวมทั้งสามารถเดินทางเชื่อมต่อสู่พื้นที่อื่นๆ ด้วยระบบสถานีรถไฟใต้ดินที่ตั้งอยู่ข้างโครงการฯ 2 สาย ทั้งสาย Tokyo Metro Namboku Line และสาย Tokyo Metro Hibiya Line

Tian An 1000 Trees – มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน

การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมัยใหม่ ความศิวิไลซ์ที่ไม่เคยลืมรกราก

ผู้ดำเนินการพัฒนา โดย Tian An China Investment​

นครเซี่ยงไฮ้ หนึ่งในสี่นครปกครองโดยตรงของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในเมืองที่พัฒนา มากที่สุดในโลก และหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกนั้น ในช่วงปี ค.ศ. 1930 เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและเป็นที่ตั้งของโกดังและโรงงานจำนวนมาก เพื่อใช้ประโยชน์จากการที่มี Suzhou Creek หรือ แม่น้ำอู่ซ่ง ไหลพาดผ่านเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่ช่วยรองรับการขนส่งสินค้าไปยังตัวเมืองชั้นในของประเทศจีน ในเวลาต่อมา จากการขยายตัวของเมืองที่มีผู้คนย้ายเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ โรงงานเหล่านี้จึงได้ย้ายออกไปตั้งที่อื่น เหลือทิ้งไว้เพียงเศษซากอาคารโรงงานและโกดังริมแม่น้ำ เมื่อเวลาผ่านไป ซากอุตสาหกรรมและน้ำเสียจากการขยายตัวของเมืองก็ได้สร้างมลพิษให้แก่แม่น้ำอู่ซ่งเป็นอย่างมาก ในปี ค.ศ. 1992 รัฐบาลประชาชนเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาเมืองในแถบนี้ จนเกิดเป็นโครงการ Suzhou Creek Rehabilitation ในปี ค.ศ. 1998 เพื่อพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำที่มีความยาวกว่า 40 กิโลเมตรสายนี้ โดยโครงการ Tian An 1000 Trees เริ่มต้นก่อสร้างในปี ค.ศ. 2014 และด้วยแรงบันดาลใจจากทัศนียภาพ ที่สวยงามของเทือกเขาหวงซาน โครงการแห่งนี้จึงมีสถาปัตยกรรมคล้ายภูเขาสวยงามแปลกตา ทว่ามีความลื่นไหลและดูไร้ขอบเขต ที่ทุกองค์ประกอบรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวจากโครงสร้างคล้ายเสากว่า 1,000 ต้น ที่ทุกต้นมีพืชพรรณปลูกบนยอดรวมกว่า 70 สายพันธุ์ โดย Tian An 1000 Trees เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่กว่า 300,000 ตารางเมตร รายล้อมไปด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์หลากหลายรูปแบบเพื่อความต้องการของทุกๆ คน เช่นร้านอาหาร คาเฟ่ สตรีทฟู้ด ซูเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงร้านค้าระดับลักชูรี่ พื้นที่เพื่อความบันเทิงอย่างโรงภาพยนตร์ ทั้งภายในและภายนอกอาคาร พื้นที่สำนักงาน และโรงแรมบูทีคหรูที่มอบวิวสวนและวิวแม่น้ำอู่ซ่งที่สวยงามสุดสายตา นอกจากไลฟ์สไตล์สมัยใหม่แล้ว ผู้มาเยือนจะยังได้สัมผัสกับประสบการณ์รูปแบบใหม่ ผ่านไฮไลต์สำคัญอย่าง M50 Arts District เขตศิลปะร่วมสมัยที่จัดแสดงศิลปะจากทั่วโลกและเป็นที่ตั้งของสตูดิโอศิลปะนับร้อยแห่ง ซึ่งได้รับการยกย่องทัดเทียมกับย่านโซโหของนครนิวยอร์ก และ 798 Art Zone ของกรุงปักกิ่ง รวมไปถึงการอนุรักษ์อาคารเก่าแก่บางส่วนที่มีมาแต่เดิมอย่างโรงโม่แป้งฟู่เฟิง (Fufeng Flour Mill) และโกดังเก็บของเก่า ด้วยแนวคิดของการฟื้นคืนชีวิตเพื่อแสดงความเคารพต่อวัฒนธรรมที่รุ่มรวยของเซี่ยงไฮ้ในอดีต โครงการ Tian An 1000 Trees จึงเป็นมากกว่าโครงการพัฒนาทั่วไป คือเป็นโครงการที่นำธรรมชาติกลับคืนมาสู่มนุษย์ที่แสดงออกถึงชีวิตชีวาและความอบอุ่นของสายสัมพันธ์ที่กลมเกลียวระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติมาตั้งแต่อดีตกาล เกิดเป็นโอเอซิสสีเขียวแห่งใหม่ที่จะเป็นปอดของเมือง และเป็นที่นัดพบแห่งใหม่ของชาวเซี่ยงไฮ้และนักท่องเที่ยว

Dusit Central Park – กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย  

Here for Bangkok จะอยู่ที่นี่…เพื่อกรุงเทพฯ 

ผู้ดำเนินการพัฒนา โดย บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) 

สีลม คือ 1 ใน 3 ของถนนสายแรกที่ก่อสร้างขึ้นในกรุงเทพฯ เส้นทางแห่งการค้าและพาณิชย์ของชาวต่างชาติ ตลอดจนที่ที่พำนักของขุนนางและคหบดีชั้นสูง ดังนั้น บนพื้นที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยบ้านไม้สไตล์ฝรั่งที่สวยงาม รวมไปถึงโบสถ์ โรงเรียนคริสเตียน และยุคสมัยของรถรางที่เข้ามาช่วยเรื่องความสะดวกสบายในการสัญจรมากขึ้น ต่อมาด้วยวิสัยทัศน์ของ รัชกาลที่ 6 ได้มีการสร้างสวนสาธารณะ “สวนลุมพินี” ขึ้นเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพาณิชย์ทั้งการก่อสร้างอาคารสูง 3 – 5 ชั้น จนถึง 10 ชั้น และการเข้ามาของบริษัทข้ามชาติมากมาย จนถูกขนานนามว่าเป็น “วอลล์สตรีท” ของประเทศไทย และถูกพัฒนาจนกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและไลฟ์สไตล์ที่มีความหลากหลายสำหรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ยังคงอยู่เมื่อมีการพัฒนาในแต่ละยุคสมัย นั่นคือ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ด้วยความสูง 23 ชั้น ทำให้เป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทย ณ ขณะนั้น และเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยใหม่ที่โดดเด่นเป็นสง่า และอยู่เคียงคู่คนไทยจนเป็นแลนด์มาร์กสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นหนึ่งในโครงการที่คอยต้อนรับคนไทยและต่างชาติ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของถนนสีลมเสมอมา

ตลอดจนปัจจุบัน โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ได้ก้าวข้ามแต่ยังคงสานต่อความงดงามของไทย สู่การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่ไม่เหมือนใครด้วยแนวคิด Here for Bangkok สร้างสรรค์บริบทใหม่แห่งการใช้ชีวิตของคนเมืองและนำกรุงเทพฯ ไปสู่ยุคสมัยใหม่อีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นในพัฒนาเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครที่ดีสุดอีกแห่งหนึ่งของโลก บนพื้นที่กว่า 23 ไร่ (440,000 ตารางเมตร) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท โดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่

  • Dusit Thani Bangkok โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ หรูระดับ 5 ดาว บนตึกความสูง 39 ชั้น ที่มอบประสบการณ์พักผ่อนเหนือระดับในภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยความหรูหราอันมีเอกลักษณ์ของห้องพักและห้องสวีท 257 ห้อง เบื้องหน้าทัศนียภาพอันงดงามของสวนลุมพินีและขอบฟ้ากรุงเทพมหานคร พร้อมสร้างสรรค์บริการอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศจากห้องอาหารและบาร์หรู อาทิ คานนูบี บาย อุมแบร์โต บอมบานา, พาวิลเลียน,  สไปร์ รูฟท็อป บาร์, 1970 บาร์, แกรนด์ ล็อบบี้ บาร์ และดุสิตกูร์เมต์ ผสานการบริการอย่างไทยที่สง่างามและทรงเสน่ห์ของดุสิต โดยได้เปิดต้อนรับแขกให้เข้ารับบริการแล้วเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา
  • The Residences at Dusit Central Park โครงการที่อยู่อาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ที่นำเสนอลีฟวิ่งไลฟ์สไตล์ 2 รูปแบบภายในอาคารเดียว ทั้ง Living Concept เป็น Dusit Residences (ดุสิตเรสซิเดนเซส) และ Dusit Parkside (ดุสิตพาร์คไซด์) ที่โดดเด่นด้วยการดีไซน์ที่ผสมผสานกับศาสตร์ของฮวงจุ้ยที่คำนึงถึงแสงและทิศทางลมเป็นอย่างดี มาพร้อมการรองรับด้วย Branded Residences การบริการเหนือระดับแบบ Gracious Hospitality และมาตรฐานรับรองอาคารเขียวระดับโลก LEED Gold V.4.1 Residence Multi-Family เป็นอาคารที่พักอาศัยแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับมาตรฐานรับรองนี้ และด้วยความสูงถึง 299 เมตร จึงเป็นอาคารที่สูงที่สุด 1 ใน 5 ของประเทศไทย รับรองโดย สภาตึกสูงและที่อยู่อาศัยในเมือง CTBUH
  • Central Park Offices ตึกออฟฟิศระดับพรีเมี่ยมของคนเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันและนวัตกรรมอันทันสมัย บนทำเล Super Core CBD ดีที่สุดใจกลางเมือง พร้อมมอบคุณภาพชีวิตเหนือระดับ The Future Work/Life for Global Visionaries
  • และพื้นที่เชิงพาณิชย์ Central Park Retail ศูนย์การค้าคอนเซ็ปต์ใหม่ ที่รวบรวมแบรนด์ชั้นนำทั้งจากในไทยและแบรนด์ระดับโลก พร้อมทั้งมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ผสมผสาน Curated Experience เข้ากับ Park Life เพื่อสร้างสรรค์ The New Luxury คอนเซ็ปต์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยทั้ง Central Park Offices และ Central Park Retail จะเปิดให้บริการภายในปีนี้

นอกจากนี้ ยังได้มอบพื้นที่สีเขียว คือ สวนสาธารณะลอยฟ้าขนาดใหญ่ 7 ไร่ (11,200 ตารางเมตร) “Roof Park” ที่มี
พรรณไม้ทั้งน้อยใหญ่ ที่โครงการฯ ได้ศึกษาและคัดเลือกมาเป็นอย่างดี อาทิ ทับทิมสยาม เล็บมือนาง  เฟิร์นบอสตัน
ลิ้นมังกร พลูด่าง เจอราเนียม สนหอม ดาวเรือง จามจุรี และพิทูเนีย เป็นต้น ที่ถูกออกแบบให้เป็นโอเอซิสสีเขียวขนาด
ใหญ่แลดูคล้ายเนินเขาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่เมื่อมองลงมาจากยอดจะพบกับทัศนียภาพที่สวยงามและรื่นรมย์ของสี
เขียวที่เชื่อมต่อกับสวนลุมพินี อย่างไร้ที่สิ้นสุด (Infinity Park) ซึ่งภายในมีพื้นที่กิจกรรม อาทิ Natural Trail และ
Jogging Track รวมไปถึงจุดสันทนาการรูปแบบต่างๆ เช่น อัฒจันทร์ สนามเด็กเล่น Food Passage พื้นที่ปิกนิก และ
พื้นที่สำหรับจัดอีเวนต์ โดยวางจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานชีวิตของสังคมเมืองผ่านการสร้างระบบนิเวศ
(Ecosystem) และนิเวศเมือง (Urban Ecology) ที่มอบความสุขและสุขภาพที่ดีให้แก่คน และเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้าง
คุณภาพเมือง ที่จะเปิดให้บริการภายในปีนี้เช่นกัน ให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองวัฒนธรรมแห่งอนาคตที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน และ
กลายเป็นหมุดหมายใหม่ของชาวกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

สนใจโครงการ The Residences at Dusit Central Park โทร 02-233-5889

หรืออีเมล [email protected]


แพทย์ดังอัพเดทเทรนด์ความงามมาแรง ในงานเปิดตัวโปรไฟโล (Profhilo) กับเทคโนโลยีปรับโครงสร้างผิว (Bio-Remodeling) สู่ผิวสุขภาพดีย้อนวัยระดับเซลล์

account_circle

Alma ผู้นำระดับโลกด้านเวชศาสตร์ความงามและเลเซอร์ เปิดตัว โปรไฟโล (Profhilo®) ที่มาพร้อมเทคโนโลยีปรับโครงสร้างผิว (Bio-Remodeling) สู่ตลาดความงามไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเฉลิมฉลองความสำเร็จในระดับโลกที่มีมากว่า 10 ปี  ในงาน “Alma Lasers (Thailand) Ltd. Gala Dinner Launching Night” โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.พญ. รังสิมา วณิชภักดีเดชา หัวหน้าภาควิชาตจวิทยาและหัวหน้าสาขาตจศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, ดร.เอดิตตา บุตตูรา ดา ปราโต (ศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล, อิตาลี) วิทยากรให้ข้อมูลประจำ IBSA ที่ให้คำปรึกษาและบรรยายในระดับนานาชาติ, ดร.พญ.พลินี รัตนศิริวิไล แพทย์ที่ปรึกษาศูนย์ผิวหนัง และความงาม รพ. พญาไท 1 และ 2, นายอลอน ซีโอนิท ประธาน Alma Thailand และแพทย์ความงามชื่อดังจากทั่วประเทศ ตลอดจนเซเลบริตี้ และอินฟลูเอนเซอร์สายบิวตี้ร่วมงานคับคั่ง  ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพผิวของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาผลลัพธ์เป็นธรรมชาติและยั่งยืน

เทรนด์ความงามเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย พร้อมกับความก้าวหน้าทางการแพทย์และเทคโนโลยีความงามที่ล้ำหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามต่างให้ข้อมูลตรงกันว่า ผู้บริโภคยุคใหม่มุ่งเน้นความเป็นธรรมชาติ ยั่งยืน และหลีกเลี่ยงการฉีดสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งผลิตภัณฑ์ปรับโครงสร้างผิวโปรไฟโล (Profhilo®) เป็นผลิตภัณฑ์จากสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี NAHYCO® ที่จดสิทธิบัตร และเทคโนโลยี Bio-Remodeling  ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมในต่างประเทศมากว่า 10 ปีสามารถนำมาใช้ได้ทั้งแบบป้องกันและฟื้นฟู (Regenerative Medicine) ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นและทำงานได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการป้องกันริ้วรอยก่อนวัย หรือคนที่เริ่มมีสัญญาณแห่งวัย   

ศ.ดร.พญ. รังสิมา วณิชภักดีเดชา หัวหน้าภาควิชาตจวิทยาและหัวหน้าสาขาตจศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการนวัตกรรมการปรับโครงสร้างผิวล่าสุด หรือ Bio-Remodeling ว่า “เทรนด์ของการดูแลคุณภาพผิวในยุคนี้ ผู้บริโภคเริ่มหลีกเลี่ยงการใช้สารแปลกปลอมเพื่อเพิ่มวอลลุ่ม เพราะหากเติมมากเกินไปก็จะดูแปลกและให้ผลลัพธ์ที่ไม่คงทน ดังนั้นการฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ผิวตามธรรมชาติจึงได้รับความสนใจมากกว่า ซึ่งแนวคิดของ Bio-Remodeling คือการปรับสมดุลผิว กระตุ้นให้เซลล์ผิวกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เปรียบเสมือนเซลล์ผิวของวัยหนุ่มสาว ซึ่งคีย์หลักของเทคโนโลยีนี้คือการใช้กรดไฮยาลูโรนิกที่เกาะกันเป็นพิเศษ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้วสามารถกระจายตัวในชั้นผิวได้ดี ทำให้ไม่ต้องฉีดหลายจุด จึงลดความเจ็บและทำให้เกิดแผลน้อยลง ถือเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้รับบริการที่ต้องการผลลัพธ์แลดูเป็นธรรมชาติ และการปรับปรุงคุณภาพผิวอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

ดร.พญ.พลินี รัตนศิริวิไล แพทย์ที่ปรึกษาศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลพญาไท 1 และ 2 กล่าวว่า “ปัจจุบันเทรนด์ความงามเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับแนวทาง ‘Natural Beauty’ มากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ คือการดูแลตัวเองให้สวยขึ้น แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติไว้โดยไม่ดูโป๊ะ ซึ่งเป็นเทรนด์ต่อเนื่องมาจาก 10-20 ปีก่อนที่ฟิลเลอร์เป็นหัตถการยอดนิยม แต่เมื่อเทคโนโลยีการแพทย์พัฒนาขึ้นกระแสนิยมความงามก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยหลายคนเริ่มกลัว “Overfilled Syndrome” หรือภาวะที่ใบหน้าดูบวมเกินไปจากการฉีดสารเติมเต็ม ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ที่ไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียงในระยะยาว หรือความเสี่ยงจากสารแปลกปลอมที่ฉีดเข้าสู่ร่างกาย พวกเขาจึงมองหาวิธีการที่ปลอดภัย เป็นธรรมชาติ และยังสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นแนวทางที่เรียกว่า ‘Settle but Significant'”

ดร.เอดิตตา บุตตูรา ดา ปราโต (ศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล, อิตาลี) วิทยากรให้ข้อมูลประจำ IBSA ที่ให้คำปรึกษาและบรรยายในระดับนานาชาติ ได้แชร์ประสบการณ์การใช้ Profhilo ในผู้รับบริการทั่วโลกว่า “เป้าหมายหลักของโปรไฟโล คือการกระตุ้นเซลล์ให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น  ช่วยเปลี่ยนแปลงกระบวนการเสื่อมของผิวและชั้นหนังแท้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่เพิ่มปริมาตรให้ผิวหน้า เพราะ โปรไฟโลไม่ใช่สารเติมเต็ม (Filler) แต่คือผลิตภัณฑ์ Bio-Remodeling ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่  นอกจากนี้ยังมีการนำโปรไฟโลไปใช้ในหลายสาขาทางการแพทย์ เช่น การรักษารอยแผลเป็นจากสิว (Acne Scars), โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) และยังมีการศึกษาในด้านนรีเวชวิทยา (Gynecology) เช่น การฟื้นฟูเยื่อบุภายในทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์  ดังนั้นโปรไฟโลจึงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่เราจะค้นพบจากผลิตภัณฑ์นี้ในอนาคต”

สรุป 7 ผลลัพธ์จากโปรไฟโล (Profhilo®) ที่แตกต่างและเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคยุคใหม่

1️. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวแน่นกระชับและลดริ้วรอยอย่างเป็นธรรมชาติ
2️. ฟื้นฟูโครงสร้างผิวทุกระดับชั้น ตั้งแต่ลึกถึงตื้น (Bio-Remodeling)
3️. เพิ่มความชุ่มชื้นสูงสุด ด้วย HA เข้มข้น ให้ผิวดูฉ่ำโกลว์ สุขภาพดี
4️. ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยบริเวณใบหน้าและลำคอ ด้วยคุณสมบัติที่กระจายตัวได้ดี ไม่เป็นก้อน
5️. ช่วยฟื้นฟูรอยแผลเป็นและหลุมสิว จากการกระตุ้นเซลล์ Keratinocyte
6️. ออกฤทธิ์ยาวนาน 6-12 เดือน โดยไม่ต้องใช้สารเคมีเพื่อเชื่อม HA ลดความเสี่ยงต่อการแพ้ บวม หรือแดง
7️. เจ็บน้อย ฉีดเพียง 5 จุดต่อข้าง เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์หรือสกินบูสเตอร์ทั่วไปที่ต้องฉีดมากกว่า 30 จุด

งานเปิดตัว Profhilo® ในประเทศไทยจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีตัวแทนแพทย์ชั้นนำในวงการความงาม อาทิ แพทย์หญิงอัญชลี อมรรุ่งมีธรรม ผู้บริหาร Anjali Clinic, นายแพทย์ศิวะดล เลิศพรภวิชญ์ Head of Medical Specialist รัสภูมิคลินิค, แพทย์หญิงปรณีย์ ฉัตรธานี Hospital & Clinic Aesthetic Physician, Apex และแพทย์หญิงพิมพิดา วรัญญรัตนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SLC Group ร่วมเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคนิคใหม่ ๆ โดยมีแพทย์ความงามและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 250 ท่าน และได้รับความสนใจจากเซเลบริตี้ อาทิ คุณมูนา อัล ซารูณีย์ และบิวตี้อินฟลูเอนเซอร์ที่มาร่วมสัมผัสนวัตกรรมความงามแห่งอนาคต  ปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก Bowkylion ที่มาร่วมสร้างสีสันและความประทับใจให้กับงาน

เปิดประสบการณ์ย้อนวัยผิว สู่ผิวสุขภาพดีไปอีกขั้นกับ Profhilo® ได้แล้ววันนี้ที่คลินิกความงามชั้นนำทั่วประเทศ




Aurner Eau de Parfum กลิ่นหอมแนวฟลอรัล ล่าสุดจาก Aesop พร้อม ear cuff คอลพิเศษร่วมกับ Patcharavipa

Aurner Eau de Parfum กลิ่นหอมแนวฟลอรัล ล่าสุดจาก Aesop พร้อม ear cuff คอลพิเศษร่วมกับ Patcharavipa

Alternative Textaccount_circle
Aurner Eau de Parfum กลิ่นหอมแนวฟลอรัล ล่าสุดจาก Aesop พร้อม ear cuff คอลพิเศษร่วมกับ Patcharavipa
Aurner Eau de Parfum กลิ่นหอมแนวฟลอรัล ล่าสุดจาก Aesop พร้อม ear cuff คอลพิเศษร่วมกับ Patcharavipa

ปลุกเร้ามิติใหม่แห่ง กลิ่นหอมแนวฟลอรัล ผ่านน้ำหอมใหม่ล่าสุด Aurner Eau de Parfum จาก Aesop ที่บานสะพรั่งอย่างท้าทาย ถ่ายทอดบทกวีสอดประสานกับความนุ่มนวลและตึงเครียดเข้าด้วยกัน ผ่านการปรุงกลิ่นหอมที่แตกต่างกันอย่างลงตัว จากเครื่องเทศที่เจือด้วยสมุนไพรเขียวสดชื่น ผสานกลิ่นดอกไม้และไม้หอมอันอบอุ่น

พร้อมรังสรรค์เครื่องประดับคอลเล็คชั่นแรกของแบรนด์ร่วมกับ @patcharavipa ถ่ายทอดกลิ่นหอมและอารมณ์ตึงเครียดผ่านการออกแบบ ear cuff โลหะแวววาวรูปทรงกลีบดอกไม้อันบอบบาง หากแต่แข็งแกร่งด้วยการเลือกใช้วัสดุ อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยงานฝีมือแห่งภูมิปัญญาไทย

สัมผัสความหอมที่ไม่เหมือนใครของน้ำหอม Aurner Eau de Parfum ได้ที่ร้าน aesop ทุกสาขา พร้อมค้นพบคอลเล็คชั่นเครื่องประดับสุดพิเศษ Aurner Ear Cuff by Patcharavipa ที่วางขายแบบจำนวนจำกัดเฉพาะร้านค้า aesop ในบางสาขา

Aurner Eau de Parfum กลิ่นหอมแนวฟลอรัล ล่าสุดจาก Aesop พร้อม ear cuff คอลพิเศษร่วมกับ Patcharavipa


keyboard_arrow_up