เรียกว่าเป็นผู้หญิงที่สวยอย่างมีรสนิยมมากๆ สำหรับ “คุณทิปปี้ สุพรทิพย์ ช่วงรังษี” เซเลบริตี้สุดน่ารักของชาวแพรวที่วางตัวดีตั้งแต่แฟชั่นการแต่งตัว คำพูดคำจา ไปจนถึงไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งเธอยังมาพร้อมกับวลีเด็ดที่ว่า “เป็นคนเยอะ อย่ามาง่าย” แต่ต้องยอมรับเลยว่าเธอทำให้ความเยอะกลายเป็นความพอดีได้จริงๆ ด้วยเหตุนี้ แพรว จึงอยากเห็นพื้นที่ส่วนตัวของผู้หญิงคนนี้ว่าจะเริ่ดแค่ไหน และเชื่อว่าชาวแพรวก็คงอยากเห็นเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็ตามไปดูบ้านริมน้ำบางปะกง อาณาจักรแห่งความสุขของเธอกันเลย ซึ่งขอบอกเลยว่าเยอะแต่งดงามตามสไตล์ของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ค่ะ
พื้นที่ 19 ไร่ริมน้ำบางปะกงถูกตกแต่งให้สวยงามร่มรื่นตั้งแต่ทางเข้า มีบ่อน้ำและสวนสวยขนาดใหญ่ โดดเด่นด้วยบ้านสีขาวสไตล์อังกฤษ 3 หลังขนาดไล่เรียงลดหลั่นกันไป ตรงข้ามบ้านหลังใหญ่มีสวนสวยที่ตัดตกแต่งเป็นระเบียบสไตล์ฝรั่งเศส พร้อมบ้านพักรับรองแขกหลังเล็กๆ ไม่ว่ามองมุมไหนช่างอิ่มเอมไปด้วยความงาม ให้ความรู้สึกเสมือนหลุดเข้าสู่โลกของเจ้าหญิงที่งดงาม พรั่งพร้อม สวยๆ เก๋ๆ
“เวลาเพื่อนๆ มาบ้านนี้ชอบแซวว่าเหมือนบ้านในแถบแฮมป์ตัน อยู่ Long Island ทางตะวันออกของนิวยอร์ก คือมีหญ้าแฝก มองเห็นทะเลและทะเลสาบ ใครมาที่นี่มักถามว่า นี่บ้านสไตล์แฮมป์ตันใช่ไหม ที่จริงไม่ใช่หรอกค่ะ เราเรียกกันเอง” คุณสุพรทิพย์เปรยยิ้มๆ เมื่อเราถามถึงสไตล์บ้านเก๋ๆ หลังนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะเป็นบ้านในฝันของอีกหลายคน
“ตอนสร้างบ้านไม่ได้คิดจะทำแบบแฮมป์ตันหรือแบบไหน เพียงแต่ทิพบอกน้องชาย (ชาลี ช่วงรังษี) ว่าอยากได้บ้านที่มีระเบียงกว้างๆ ตัวบ้านเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเท่ากันทุกด้าน เดินเข้ามาในบ้านทางซ้ายเป็นห้องรับประทานอาหาร ด้านหลังเป็นครัว มีห้องน้ำแบ่งแยกชาย-หญิง ชั้นบนต้องการคลอเสตใหญ่เท่านั้นเท่านี้ ห้องนอนเล็กๆ ห้องหนังสือใหญ่ๆ ชาลีจึงออกแบบบ้านหลังนี้ให้ ประกอบกับเขามีบริษัทก่อสร้างของตัวเอง จึงทำให้ง่าย เพราะมีทุกสิ่งในมือหมดแล้ว เขาบอกว่าการขึ้นโครงสร้างบ้านโดยใช้ไม้เฌอร่าด้านนอกแบบนี้เป็นวิธีที่ง่าย เร็ว และประหยัดสุด จะได้ดูล้อกันไปกับบ้านอีกสองหลังที่สร้างก่อนหน้านี้ คือบ้านคุณแม่ (คุณมลิวัลย์) และน้องสาว (คุณโอ๋ – ชุลีพร) บ้านชาลี และบ้านทิพ แถมได้ห้องใต้หลังคาเป็นห้องนอนใหญ่ยักษ์อีกหนึ่ง เป็นห้องนอนให้พี่โต-ม.ล.จิราธร จิระประวัติ ซึ่งเคยมาบ้านนี้สองครั้งแล้ว แต่ไม่เคยนอนค้างเลย (ยิ้ม)

เป็นคนเยอะ อย่ามาง่าย! เปิดบ้านริมน้ำบางปะกง อาณาจักรความสุขของ “ทิปปี้ สุพรทิพย์”
“ส่วนสวนที่ดูคล้ายสวนฝรั่งเศส เนื่องจากน้ำแถบนี้เป็นน้ำกร่อย จากตอนแรกทำสวนอังกฤษสวยมาก แต่ต้นไม้อยู่ไม่ได้ ต้องปรับเป็นต้นชาดัด จึงดูลงตัวคล้ายสวนฝรั่งเศสไปโดยปริยาย เพราะเข้ากับสภาพแวดล้อมและความเป็นไปได้ เราแค่อยู่กับธรรมชาติที่เป็นให้ได้เท่านั้นเอง บ้านหลังนี้จึงสอนเราหลายเรื่อง ถ้ามาช่วงหน้าร้อนจะเห็นดอกหางนกยูงสีแดงส้มเรียงรายสองข้างทางก่อนเข้าบ้าน เมื่อก่อนถ้ามาช่วงอากาศหนาวจึงจะเห็นพวงครามออกดอก เราจะจัดโต๊ะนั่งจิบชาชมดอกพวงคราม ฉลองที่เขาออกดอก ตอนหลังพวงครามออกดอกให้ชมทั้งปี เลยไม่ค่อยได้นั่งจิบชาตรงนั้นแล้ว” คุณสุพรทิพย์เล่าพลางยิ้มอ่อนๆ
ความสุขรายวันในบ้านสไตล์อังกฤษ
คุณทิพเล่าว่า แต่เดิมที่ดินผืนนี้เป็นของคุณชวด (คุณเป้า ช่วงรังษี) ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยนั้นมีคนดังหลายตระกูลมาพักที่นี่เพื่อหลบภัย เพราะสามารถเลี้ยงเป็ดไว้กินไข่ ทำแปลงปลูกผัก เรียกว่ามีชีวิตอยู่รอดได้สบายๆ ในช่วงเกิดวิกฤติ พอคุณแม่ น้องสาว และครอบครัวน้องชายย้ายมาอยู่ที่นี่ก่อน จึงเริ่มทำแปลงผักออร์แกนิก ปลูกพืชตระกูลถั่ว มะเขือ กะเพรา โหระพา มีโรงเพาะเห็ด แถมมีคนให้ห่านมาสองตัว ชื่อ “กูฟฟี่” และ “ห่านน้อย” กลายเป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านโดยไม่ตั้งใจ
“เรารู้สึกดีที่ได้ทานผลผลิตบ้านเราเอง อาหารของเราอาจไม่สวยงาม แต่อร่อยจังเลย เคยเลี้ยงเป็ดก็ได้กินไข่เป็ด ตอนหลังเป็ดวิ่งหนีไป เพราะมีคนเอาหมามาฝากแล้วเห่าไล่เป็ด จนหมาไปแล้ว เป็ดก็ยังไม่กลับมา (หัวเราะ) ทุกวันนี้เหลือแต่ห่านที่มีคนเอามาให้ มีช่วงหนึ่งเขาเกเร ชอบกัดต้นไม้ของแม่ ทำให้ถูกกักบริเวณ แต่พอปล่อยออกมาก็กระโดดลงแม่น้ำบางปะกงจนไหลไปติดบ้านอื่น มีคนโทร.มาตามให้ไปรับห่านกลับ ตั้งแต่นั้นมาทั้งกูฟฟี่และห่านน้อยเข็ดไปเลย (ยิ้ม)

“ทิพอยู่บ้านนี้ได้ 7 ปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาได้อยู่เฉพาะวันหยุด เพราะเป็นคนเดียวที่ทำงานในกรุงเทพฯ เวลามาอยู่ที่นี่ทิพจะจมอยู่ในบ้านนี่แหละ นั่งอ่านหนังสือไปสงบๆ หรือไม่ก็เล่นกีฬา บ้านเราเป็นนักกีฬาทั้งบ้าน เคยมีกลุ่มน้องๆ ที่ไปวัดด้วยกันมาค้าง เขาได้ยินเสียงน็อกเทนนิสตั้งแต่ตี 5 ตกใจนึกว่าผีหลอก ปรากฏว่าภรรยาชาลีตื่นมาเล่นเทนนิสแต่เช้ามืด เพราะเขาต้องขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนต่อ สายหน่อยทิพก็เล่นเทนนิสหรือไม่ก็ว่ายน้ำ ล่าสุดชาลีน่ารักมาก เชิญครูโยคะมาสอนพนักงานที่บริษัท ถ้าว่างจะให้ครูโยคะมาสอนทิพต่อที่บ้าน เวลามาอยู่บ้านนี้ทิพเอาความสุขรายวันเป็นที่ตั้ง ไม่ได้มีระเบียบเป๊ะๆ ว่าต้องทำนั่นนี่ เป็นบ้านที่ลั้นลามาก” เธอเล่าพลางลากเสียงยาว

สไตลิ่งบ้านด้วยตัวเอง
“ทิพชอบแต่งบ้านมาตั้งแต่เด็กแล้ว พ่อ (คุณวชิระ) เล่าว่าตื่นเช้ามาสุพรทิพย์เก็บของทิ้งทั้งบ้าน เพราะไม่ชอบบ้านรก และประกาศให้ทุกคนในบ้านรู้แล้วด้วยว่าห้ามใครวางของเกะกะ ไม่อย่างนั้นจะเก็บทิ้งหมด ปรากฏว่าพอถึงเดดไลน์วันสุดท้าย ทิพตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้า เก็บของทุกอย่างที่รกใส่รถขนไปทิ้งกองขยะ (ยิ้ม) ความที่ชอบอยู่บ้านสะอาดๆ และชอบจัดวางข้าวของในบ้าน
“เคยมีคนให้ทำสไตลิ่งบ้านหลายหลังแล้ว แต่ละหลังทิพสไตลิ่งให้ไม่เหมือนกันเลย เพราะเราเอารสนิยมตัวเองผสมผสานกับความชอบของเจ้าของบ้านในการเลือกเฟอร์นิเจอร์ พรม วอลล์เปเปอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทิพทำได้ดีมาก อย่างบ้านหลังนี้ทิพตกแต่งโดยเลือกฟังก์ชันการใช้งานเป็นหลัก เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งกระจุกกระจิกส่วนใหญ่เป็นของที่มีอยู่แล้ว จึงทยอยย้ายจากบ้านสุขุมวิทมาไว้ที่นี่ บางชิ้นเดินเจอแล้วชอบก็ซื้อไว้จนแน่นบ้านสุขุมวิท

“การแต่งบ้านจะง่าย ถ้าเราชัดเจนและรู้ว่าชอบอะไร เพราะฉะนั้นเวลาซื้ออะไรมาไม่ผิดหรอก เพราะซื้อสิ่งที่ชอบ สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นของมาจากประเทศไหน เช่น การที่ทิพใช้โซฟาเดย์เบดสไตล์วินเทจที่โซนลิฟวิ่งรูม เพราะเวลาอยู่บ้านนี้ไม่ค่อยได้เปิดแอร์ เพราะดีไซน์บ้านให้ลมโฟลว์ แค่วางเดย์เบดหลีกช่องลมนิดหน่อย สามารถนอนกลิ้งไปมาได้ หรือเพราะอะไรจึงมีโต๊ะกลมที่โถงทางขึ้นบันไดชั้นสอง เพราะทิพชอบทานขนม จึงอยากเห็นขนมตลอดเวลา พอเจองานพอร์ซเลนเป็นรูปขนมเค้กและมาการอง ด้านในเป็นเทียนน่ารักๆ ของ Villari Porcelain จากอิตาลี จึงซื้อมาวางตกแต่งรวมกับต้นไม้ ดอกไม้ เห็นแค่นี้มีความสุขแล้ว

“ทิพอยากให้มีม้าหมุนในบ้าน เพราะตอนเด็กๆ พ่อมีรถถีบรูปม้าให้ลูกคนละคัน เวลาไปงานวัดจะเห็นม้าหมุน พอไปต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรป ทำให้เราเห็นม้าหมุนสวยๆ จนฝังใจเรื่อยมาว่าทำไมสวยขนาดนี้ บวกกับบ้านชาลีมีหีบเพลงม้าหมุนสามตัวเล็กๆ วางโชว์ ทิพเห็นม้าหมุนอันนี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงบอกทุกคนว่าเราจะทำม้าหมุนอันนี้ให้เป็นขนาดใหญ่ เพื่อให้มันโตตามเรา ปรากฏว่าพี่น้องทุกคนเงียบกริบ จนเราคิดว่าเขาคงสงสัยว่าทำไมบ้านต้องมีม้าหมุน แต่ไม่กล้าแย้ง (ยิ้ม) ทิพส่งหีบเพลงม้าหมุนไปให้ทีมทำฉากภาพยนตร์ หาเรเฟอเรนซ์และดีเทลม้าหมุนของฝรั่งเศสให้ทีมงานดู

“จากนั้นเขาขึ้นโมเดลเป็นโฟมก่อน ค่อยหล่อเรซิน ใช้เวลาทำหลายเดือนมากกว่าจะเสร็จ แล้วลงสี ส่วนอีกมุมหนึ่งทำเป็นที่ยิงปืนลม มีฉากเป็นตัวการ์ตูนและต้นไม้สวยๆ ให้หลานชาย เพราะเขาชอบเล่นกีฬา และขอให้ชาลีต่อเรือนริมน้ำสำหรับนั่งดื่มกาแฟตอนเช้ากับเป็นที่อาบน้ำเวลาขึ้นจากสระว่ายน้ำ ที่สุดกลายเป็นเรือนม้าหมุนและยิงปืน เป็นเหมือนอลิซอินวันเดอร์แลนด์ (ยิ้ม) เพราะบ้านคือตัวเรา เราถ่ายทอดทุกอย่างออกมาจากหัวใจ เราเป็นอย่างไร บ้านก็เป็นอย่างนั้น” คุณสุพรทิพย์สรุป

ถ้าถามถึงหลักการแต่งบ้านของเธอที่ทำให้ดูกลมกลืนสวยงามได้นั้น หลักๆ เลยคือ การเลือกธีมสีก่อนเป็นอย่างแรก จะสังเกตว่าบ้านชั้นล่างเน้นการใช้สี
นุ่มนวล อบอุ่น และกลมกลืนกัน
“บ้านอาจไม่ได้มีแขกมาบ่อย แต่คอนเซ็ปต์การแต่งบ้านด่านแรกต้องให้คนเข้ามาแล้วอบอุ่น เคยไหมเวลาไปบางบ้านเราไม่รู้จะนั่งตรงไหน รู้สึกเกร็งหรือรู้สึกว่าเขายินดีต้อนรับจริงหรือเปล่า อาจเพราะเจ้าของบ้านไม่ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์เอง แต่ให้อินทีเรียร์ซื้อหรือซื้อตามโชว์รูมกับแค็ตตาล็อก แต่ถ้าเราแต่งบ้านเอง เราจะใช้ความรู้สึกไปจับ เช่น รู้สึกรีแล็กซ์ สามารถนั่งจมกับกองหมอนสีสบายตา หรือดึงสภาพแวดล้อมนอกบ้านเข้ามาอยู่ในบ้านได้ จะสังเกตว่าบ้านนี้ใช้ดอกไม้ใบไม้เยอะ เพื่อผสมผสานและเชื่อมโยงในบ้านกับนอกบ้าน

“ส่วนชั้นบนตกแต่งด้วยสีคอนทราสต์ เพราะถ้าบ้านมีมุมเหมือนกัน คงไม่สนุก บวกกับทิพมีของตกแต่งสีจัด จึงลงตัว จุดที่เห็นเด่นสุดของบ้านชั้นสองคือ วอลล์เปเปอร์แฮนด์เพ้นต์ลายมังกรสีขาว ดำ และเงินของ Schumacher เพราะทิพชอบลายมังกรสีขาวดำอยู่แล้ว จึงเลือกลายนี้ ซึ่งสวยมากจริงๆ แต่พอรู้ราคาแล้วแทบตกเก้าอี้ (ยิ้ม) แต่ทำอย่างไรได้ หลงรักไปแล้ว แมตช์กับโถจีนลายมังกรที่เป็นงานโมเดิร์นจากปักกิ่ง วางบนสันหนังสือสีแดงลิมิเต็ดเอดิชั่นของ Rodney Smith ช่างดูเข้ากัน อย่าคิดว่าแต่งบ้านคลาสสิก แล้วต้องใช้ของที่เป็นคลาสสิกจริงๆ แต่เราควรมิกซ์แอนด์แมตช์กันเพื่อให้สนุกขึ้น มากกว่า

“นอกจากนี้การแต่งบ้านยังต้องมาจากธีมหลักแล้วค่อยใส่ดีเทล เช่น ถ้าแต่งห้องนอนต้องนึกถึงเตียงนอนก่อน แทนที่จะนึกถึงโต๊ะข้างเตียง หรือแต่งห้องรับแขกให้นึกถึงโซฟาหลักก่อน อย่าเพิ่งนึกถึงของตกแต่งกระจุกกระจิก

“ห้องสมุดเป็น My Most Favourite อีกห้องหนึ่งของทิพ เพราะใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นเยอะ ด้วยความที่ชอบหนังสือมาก โต๊ะกลางห้องที่วางหนังสือเดิมเป็นโต๊ะทานข้าว แต่ทิพรู้สึกว่าหนังสือไม่จำเป็นต้องอยู่บนชั้นเท่านั้น อยากให้สามารถหยิบตรงไหนก็หยิบได้ หนังสือจึงกลายเป็นของตกแต่งชนิดหนึ่งของบ้านนี้ วางรองแจกันบ้าง ได้เห็นสันหนังสือสวยๆ บ้างก็สนุกดี

“ก่อนนอนทิพชอบอ่านพ็อกเก็ตบุ๊กที่เป็นปรัชญา ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยดูละคร เพราะพ่อสอนว่าละครมีแต่เรื่องไม่น่าเอาอย่าง ขืนให้ลูกดูและติดนิสัยจากละคร บ้านเราคงมีแต่อิจฉากัน ทะเลาะกัน นางเอกต้องเศร้าตลอดชีวิตกว่าจะได้ดี ซึ่งพ่อบอกว่าไม่จริง เพราะชีวิตจริงทำดีต้องได้ดี ถ้าเราต่อสู้อดทน เราจะประสบความสำเร็จ บ้านเราจึงติดนิสัยไม่ดูละครหรือข่าวความรุนแรงน่ากลัว เพราะในชีวิตประจำวันบางเหตุการณ์เข้ามากระทบเราเยอะ แล้ว การรับเรื่องลบเข้ามาอีกคงไม่ไหว ทุกวันนี้อาศัยเสพข่าวด้วยการฟังเพื่อนเล่าก็พอ” เธอเล่าพลางขำเล็กน้อย
ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับ 943
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เปิดคฤหาสน์หรูสีส้ม บนพื้นที่แห่งความสุข 20 กว่าไร่ ของ ครอบครัว ว่องไววิทย์
อยากได้ ต้องได้! เจฟฟ์ เบซอส ควักเงิน 4.9 พันล้าน ซื้อคฤหาสน์หรูในเบเวอร์ลี่ฮิลส์
เบิกตากว้างเน้นๆ เปิด 10 บ้านหรู อลังการดาวล้านดวง ขึ้นชื่อว่า มีมูลค่าแพงที่สุดในโลก