Six Characters มายาพิศวง

“Six Characters มายาพิศวง” ภาพยนตร์ไทยน้ำดี สุดประณีตของ “หม่อมน้อย”

Alternative Textaccount_circle
Six Characters มายาพิศวง
Six Characters มายาพิศวง

ห่างหายจากการกำกับภาพยนตร์ไปนานถึง 7 ปี ในที่สุดปีนี้ ผู้กำกับระดับอาจารย์ “หม่อมน้อย” ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล ได้หวนกลับมาสร้างผลงานอีกครั้งกับภาพยนตร์เรื่อง “Six Characters มายาพิศวง” ซึ่งสร้างมาจากสุดยอดบทประพันธ์ สุดคลาสสิกจากฝั่งยุโรปที่มีอายุร่วม 100 ปี เรื่อง “Six Characters in Search of an Author” หรือ “ตัวละครทั้งหกตามหานักประพันธ์” ซึ่งเป็นผลงานสร้างชื่อของ ลุยจิ ปิรันเดลโล นักประพันธ์บทละครชาวอิตาลี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ประจำปี 1934

“หม่อมน้อย” ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล

ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล : ผมรู้จักเรื่อง Six Characters in Search of an Author ของ ลุยจิ ปิรันเดลโล ในปี พ.ศ.2515 อาจารย์สดใส พันธุโกมล ท่านเป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เรื่องนี้เป็นละครประจำปีของภาพวิชา ลุยจิ ปิรันเดลโล เป็นนักประพันธ์ชาวอิตตาเลียนซึ่งเขียนเรื่องนี้เมื่อ 101 ปีที่แล้ว งานของ ปิรันเดลโล สะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของมนุษย์ทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนี้ชัดเจนมาก ปิรันเดลโล พูดถึงความแตกต่างระหว่างความจริงกับมายาภาพ แปลกไม่ว่า แต่เรามักจะมองภาพยนตร์หรือมองละครว่าเป็นเรื่องไม่จริง ส่วนชีวิตของเราที่ดำเนินอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริง แต่เราลืมไปว่าในความเป็นจริงของชีวิตเราเราจะสร้างภาพลักษณ์ที่อยากให้คนอื่นเห็นเรา ไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่เป็นตัวตนที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องมีคุณค่ามากแน่ๆ และคุณค่าอย่างยาวนานด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน

ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล

ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล : มันสะท้อนหลายอย่างว่า อะไรคือความจริงและอะไรคือความไม่จริง ในเหตุการณ์เดียวกันทุกคนพูดไม่ตรงกัน และพูดเอาความดีเข้าตัวหมด ซึ่งเราก็รู้สึกว่านี่แหละคือคุณค่าของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเราถึงตัดสินใจทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งคิดว่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตเสียด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้นเราถึงตัดสินใจทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งคิดว่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตเสียด้วยซ้ำไป

ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล : เรื่องนี้เคยสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง แต่มันทำคล้ายกับละครเวที ซึ่งเราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น คือเราพยายามมองว่ามีวิธีนำเสนอภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นศิลปะภาพยนตร์และศิลปะการละครพร้อมๆ กัน มันเลยเป็นการชนกันระหว่างสองศิลปะในภาพยนตร์ หลังจากนั้นก็พยายามคิดถึงทีมงานหลัก ว่าใครเหมาะที่จะมาทำเรื่องนี้ เช่น Cameraman เราได้ สอง-สยมพูล ที่เขาถ่ายหนังฮอลลีวู้ด ส่วนทางก้าน Art เราได้ จ๊ะ-ศศวัต โดยทั้งสองอ่านบทก่อนที่จะตอบตกลง ส่วนเสื้อผ้าก็ได้ โจ้ เซอร์เฟซ ที่เขาทำเสื้อผ้าให้การประกวดมิสยูนิเวิร์ส แต่หน้าก็มีพี่ขวด ก็มาร่วมงานกันโดยที่ตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง

ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล

ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล : สำหรับนักแสดงบทที่ยากที่สุดคือผู้กำกับ คือ มาริโอ้ เมาเร่อ เรื่องมันคืออยู่ๆ ในโรงถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งมาริโอ้กำลังกำกับ ก็มีคนนิรนาม 6 คนเข้ามา บอกว่าเขาเป็นคาแร็คเตอร์นะ เขาอยากให้ผูักำกับแต่งเรื่องของเขาให้จบ ทุกคนนึกว่าผีด้วยซ้ำไป ซึ่งอันนี้มันเป็นมายาพิศวงจริงๆ เรื่องนี้ซ้อมนานมาก ยาวนานถึง 10 เดือน ถึงจะมีการเปิดกล้อง รวมๆ สำหรับการเตรียมการแล้วประมาณ 1 ปีเต็มๆ ทุกคนตั้งใจทำกันมาก เพราะว่ามันเข้าใจยาก จึงต้องค่อยๆ พยายามทำความเข้าใจกับมัน ด้วยความยากมันเลยต้องมีการ Pre Production เยอะ การซ้อมกับนักแสดงเยอะ แต่เราก็มีกฎเกณฑ์ว่าถ้าไม่ซ้อมไม่ต้องเล่น เราไม่ได้คิดว่าใครเป็นใคร คือคนที่เหมาะสมเท่านั้นถึงจะได้เล่น

ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล

ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล : ความมุ่งหวังไม่ได้มุ่งหวังอะไร คือถ้าคนไทยดูแล้วเข้าใจ คุณก็จะมีพุทธิปัญญาเกิดขึ้น คุณจะเข้าใจตัวคุณเอง คุณจะเข้าใจคนรอบข้าง คุณจะมีชีวิตที่มีความสุข มันจะไม่เหมือนตัวละครในเรื่องนี้ ทั้ง 6 คนที่มีความทุกข์ทรมาน เพราะว่าก็ยึดติดภาพภาพลักษณ์ของตัวเอง แล้วก็ความมหัศจรรย์ของ ปิรันเดลโล ก็คือว่า มันไม่ใช่แค่คนมีปัญหาเท่นั้นที่จะดูเรื่องนี้สนุก ไม่มีความรู้ดูก็สนุกได้

มาริโอ้ เมาเร่อ

มาริโอ้ :  เรื่องนี้โอ้รับบทเป็นผู้กำกับที่ชื่อ คำรณ สิงหะ เป็นผู้กำกับที่ยังวัยรุ่นอยู่ เป็นเด็กนักเรียนนอก เป็นเจ้าของสตูดิโอ แล้วก็มือกำลังขึ้นครับ นอกเหนือจากนี้คือเป็นคนแอบโมโหร้ายนิดหนึ่ง

มาริโอ้ : ตอนที่อ่านบทครั้งแรก ค่อนข้างงง ไม่รู้เรื่องเลย ผมไม่เข้าใจเมสเซสของหนังเพราะว่ามันค่อนข้างที่จะซ้อน แต่พอได้รับคำอธิบายและค่อยๆ ศึกษาตัวละครจากบทไป 10 รอบ ก็รู้สึกว่าบทนี้เจ๋งมาก ตัวโอ้เป็นนักแสดงอยู่ใกล้ผู้กำกับดังๆ มานาน แต่ก็ไม่เคยเป็นผู้กำกับเอง พอเรื่องนี้ก็คือได้มาเป็นผู้กำกับก็ตื่นเต้น โดยเฉพาะบทนี้เขาเป็นหัวใจของเรื่องเลย เป็นจุดศูนย์กลาง

มาริโอ้ เมาเร่อ

มาริโอ้ :  สำหรับเรื่องนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก นะครับเพราะว่าไม่ได้ร่วมงานกับอาจารย์มานาน ผมห่างหายจากอาจารย์ไปหลายปีเหมือนกัน แต่พอคิดถึงงานของอาจารย์แล้วก็ตื่นเต้นครับ ยิ่งเรื่องนี้ลุ้นมากรู้สึกเหมือนเป็นการมาสอบพาร์ทชั้นเรียน ซึ่งอาจารย์เองก็พูดกับผมว่า “เธอกำลังจะเรียนปริญญาโทกันนะ”

แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ 

แต้ว : เรื่องนี้แต้วรับบทเป็น น้ำฟ้า-ดารณี ดาราหญิงยอดนิยมของประเทศไทย แต่เทียบกับแต้วไม่ได้เลยค่ะ เพราะสมัยนั้นกว่าคนที่จะเป็นนักแสดงเป็นดาราได้คือแบบมันไม่ง่ายเลย แล้วการที่จะได้การยอมรับจนเป็นแบบยอดนิยมของประเทศ เลยคือเทียบเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงอะไรอย่างนั้นเลยค่ะ

แต้ว : ถามว่ากดดันไหมก็ไม่ได้เชิงกดดัน แต่ว่ามันท้าทายมากกว่าว่าเราจะแสดงออกไปยังไง แต้วมองว่าเรฟเฟอร์เร้นซ์ของตัวละครตัวนี้คล้ายกับ คุณเพชรา เชาวราษฎร์ แต่ละคนก็จะมีมุมมองกับนักแสดงในสมัยนั้นแบบหนึ่ง แต่เราต้องเล่นไม่ใช่จากมุมมองของคนที่มองเข้าไป เราต้องคิดเลยว่าเขาแบบคิดยังไง เขาใช้ชีวิตยังไง เขามองวงการบันเทิงยังไง อันนั้นก็เป็นความยากมากกว่า

แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ 

แต้ว : ถ้าถามว่าเรื่องนี้ดูยากไหม แต้วมองว่าจุดสูงสุดของแบบความตั้งใจของทุกๆ ชิ้นงาน คือการให้อะไรกับคนดู ถึงจะเรียกว่าเป็นแบบงานศิลปะที่มีคุณค่า แต้วคิดว่านอกจากความตื่นเต้น ความใหม่ของการเล่าเรื่องแล้ว ผู้ชมจะเอนจอยระหว่างการดู พอกลับไปบ้านเมื่อเราได้นั่งคิดทบทวนสิ่งที่เรารับรู้มาจากหนัง อาจทำให้เราตกผลึกความคิดอะไรบางอย่าง แต้วว่าสำหรับแต้วคิดว่าอันนั้นคือความสนุกแล้วไม่ได้ดูยากเลย แล้วก็เนื้อเรื่องเท่าที่แต้วดู ตั้งแต่อ่านน่าติดตามตลอดว่าแต่ละตัวละครเขาต้องการจะสื่ออะไรแล้วมันเกิดอะไรขึ้น แต้วมองว่าไม่ได้แบบดูยากย่อยยากเลย แล้วก็แถมว่าคนดูก็จะได้อะไรกลับไปด้วยค่ะ

แต้ว : ส่วนสิ่งที่จะได้ข้อคิดกลับไปก็คือการมองว่า ความจริงในชีวิตของเราที่เราเกิดมาเป็นคนเนี่ย อะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่เราอุปโลกน์กันขึ้นมา แม้แต่ตัวละครที่ได้รับการยอมรับเขาอาจจะยังต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเขาเองเลยว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูกผิดยังไง เพราะฉะนั้นแบบคนที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็อาจจะได้รับมาย้อนคิดว่าจริงๆแล้วแบบเราเป็นแบบตัวละครแบบไหนเรากำลังหลงผิดอะไรอยู่รึเปล่า แล้วก็มองหาความเป็นจริงในชีวิตค่ะ

แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์

แพนเค้ก : สำหรับตัวละครตัวนี้ เป็นหนึ่งในหกตัวละคร ที่ออกมามีชีวิตจริงๆ เนื่องจากผู้เขียนผู้ประพันธ์แต่งไม่จบ เราจึงตามหาเขาเพื่อที่จะให้แต่งเรื่องเราให้จบให้ได้ ซึ่งอัมราเป็นหนึ่งตัวละครที่ออกมาตามหานักประพันธ์ สำหรับคาแรกเตอร์ของผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างท้าทายแพนมาก เพราะเรื่องนี้ต้องเล่นเป็นโสเภณีชั้นสูง ส่วนตัวแพนคิดว่านอกจากบทโสเภณีที่หลายคนค่อนข้างเซอร์ไพรส์แล้ว มันยังมีอีกหลากหลายมุมที่นำเสนอ มีปมน่าสงสาร มีทั้งต้องแก้แค้น มีส่วนเศร้า เรียกว่าหลากหลายอย่างเข้ามาอยู่ในเรื่องนี้พร้อมๆ กันค่ะ

แพนเค้ก : ยอมรับว่าเรื่องนี้กดดันมากค่ะ คือตั้งแต่แรกที่หม่อมจะทำหนังเรื่องใหม่ เราก็รู้สึกว่าอยากมีส่วนร่วม แพนเองได้เรียนกับหม่อมมานานก็มีความรู้สึกว่าอยากทำงานกับหม่อมบ้าง ไม่เคยได้มีโอกาสเล่นหนังของหม่อมเรื่องไหนเลยแต่ไม่ใช่ว่าอยากเล่นแล้วจะได้เลยนะคะ คือหม่อมบอกว่าแพนเค้กมาแคสติ้งก่อน มาดูว่าบทว่าเล่นได้ไหม เราก็โอเคค่ะมาลองอ่านบทดู หม่อมจะบอกว่า คิดว่ามันเป็นการเรียนเรียนแล้วมาสอบ เมื่อเราได้ซ้อมพอถึงวันจริงเรามาสอบ ถ้าแพนทำได้หม่อมก็ให้ผ่าน ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องกลับมาปรับแก้ไข ซึ่งตอนอ่านบทเสร็จหม่อมทักว่าทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้นน่ะอยากเล่นหรือเปล่า ก็เลยบอกว่าอยากค่ะ หม่อมก็เลยบอกว่าโอเค ถ้าอยากเล่นก็จะให้เล่น ก็เลยแบบค่อยยิ้มออก

แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์

แพนเค้ก : อันที่จริงสิ่งที่เรากังวลมากๆ คือไม่รู้ว่าคาแรคเตอร์ของเราจะเหมาะกับสิ่งที่หม่อมวางไว้หรือเปล่า เพราะเป็นบทที่ไกลตัวมาก คือไม่ใช่แค่สิ่งที่เขาเป็นนะคะ แต่ว่าสิ่งที่เขาต้องเจอะเจอในชีวิต ความหนัก ความดาร์กในชีวิตเขามันคือสิ่งที่เราต้องปรับตัว ต้องเรียนรู้ หม่อมเลยบอกว่าต้องซ้อมนะ ต้องเวิร์คช้อป แล้วก็ต้องเปลี่ยนเพื่อเป็นอัมราให้ได้ทั้งชีวิตและจิตใจค่ะ ก็เลยเราใช้เวลาเกือบปีค่ะในการเวิร์คช็อปก่อนที่เราจะได้เริ่มถ่ายทำกัน พอเริ่มใกล้ถ่ายแพนรู้สึกว่าเหมือนถูกขับเคลื่อนด้วยการดุ (หัวเราะ) ดุจนร้องไห้ในฉาก จนแบบร้องเดี๋ยวนั้นเลย จริงๆ ทุกคนเห็นหมดโดนดุกันแบบถ้วนหน้า แต่ว่าสิ่งเหล่านี้แหละพอเราทำงานจบแล้วการขับเคลื่อนด้วยการดุแบบนี้แหละมันเหมือนเป็นการที่ให้ความรู้สึกเราได้เจ็บช้ำ เหมือนตัวละครตัวนี้ที่เขาต้องเจ็บช้ำ เขาเสียใจเขามีปมในใจ คือไม่ใช่ทำให้เราเป็นแค่แพนเค้กที่มาเป็นอัมรา แต่ว่าเราเข้าใจชีวิตจิตใจของอัมรา แล้วก็ถ่ายทอดมันออกมา มันก็เลยค่อนข้างแบบกว่าจะผ่านไปแต่ละฉากทรหดมากค่ะ

ฮัท-จิรวิชญ์ พงษ์ไพจิตร

ฮัท : ก็สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทที่อมตะมากๆ แล้วบทละครบทภาพยนตร์เรื่องนี้เนี่ยก็มาจากบทละครเวทีที่เขียนโดยนักเขียนประพันธ์รางวัลโนเบลของโลกนะครับก็เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกอยู่ในนะครับในเรื่องของซิกซ์คาแรคเตอร์เนี่ย เพราะฉะนั้นบทเนี่ยไม่ต้องพูดถึงนะครับก็แปลไทยโดย อาจารย์สดใส พันธุมโกมล ซึ่งผลประพันธ์ก็มาจากภาษาอิตาลีแล้วก็มาแปลเป็นไทยทุกอย่างก็ยังคงเดิมครับผม แล้วหมอมก็ได้เอามาเรียบเรียงให้ออกมาเข้ากับยุคสมัย เข้ากับภาพยนตร์ของไทย เพราะฉะนั้นก็เป็นบทเรียกได้ว่าเหมือนเราก็เป็นนักแสดงเป็นหน้าตาของประเทศเพราะเรื่องนี้คือรู้จักกันทั่วโลกแล้วมันก็จะได้ส่งต่อออกไปสู่สากลโลกด้วยนะครับ

ฮัท : ก็สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทที่อมตะมากๆ ตัวละครทุกตัวมีความหมาย มีสิ่งที่ต้องการสื่อ มีความรู้สึก ก็ไม่ต่างอะไรจากคนในโลกในชีวิตจริงไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน มันก็มีความเทามีความขาวมีความดาร์ก คือทุกคนมนุษย์ปกติทั่วไปก็มีอยู่แล้วบางทีอาจจะมากกว่าตัวละครด้วยซ้ำนะครับ เพราะฉะนั้นในหน้าที่ของตัวละครก็มีแค่หน้าที่ถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด

ฮัท : ในเรื่องนี้ตัวละครแต่ละตัวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าใคร ขาดใครคนหนึ่งไปก็ไม่สามารถเพราะฉะนั้นเราจะช่วยกันแคร์รี่ในเรื่องเนี่ยในการที่จะพาร์ทเนอร์ในการแอ็คชั่น ในการไดอะล็อกทั้งหมดเลย ก็ค่อนข้างที่จะทำงานหนักด้วยครับแล้วก็ทำเต็มที่อยู่แล้วนะครับ
ฮัท : สำหรับสิ่งที่ผู้ชมจะได้รับเนี่ย แน่นอนครับว่าบทละครเรื่องเนี่ยเป็นบทภาพยนตร์ที่อมตะ แล้วเป็นผลงานที่มีมาแล้ว100 ปีแล้วนะครับ แน่นอนนะครับว่าต้องสนุก มีก็ครบทุกรสชาติ มีการฟาดฟันกันเพราะฉะนั้นก็จะน่าติดตามทุกตัวละคร ทุกการเล่าอย่างนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ สนุกแน่นอนแล้วสิ่งที่จะได้คือได้ข้อคิดดีๆ แน่นอนข้อคิดสำหรับการใช้ชีวิต ข้อคิดในวงการภาพยนตร์ ในวงการละครตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตรงนี้เนี่ยเรื่องนี้ก็จะเหมือนถ่ายทอดออกมาก็จะได้แง่คิดดีๆ กลับไปแน่นอน

ฮัท-จิรวิชญ์ พงษ์ไพจิตร

ฮัท : สุดท้ายถ้าพูดถึงความหักมุมถ้าเต็ม10ก็ให้10 ครับ มี100ก็ให้100 เพราะว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะหักมุมแบบมากกว่าที่เราแบบคาดหวังไว้อีก ตรงนี้ก็บอกมากไม่ได้นะครับก็อยากจะให้เข้าไปชมกันในโรงภาพยนตร์ มันจะแบบว่าสุดๆ เลยว่าแบบ อุ้ย โห แบบนี้เลยหรอแล้วยังไงต่อแล้วตัวละครนี้เป็นยังไงคือเหมือนเราถูกดูดกลืนเข้าไปเลยในเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ตรงนี้ก็เกิน10ครับผม

บอย: ผมรับบทเป็นนที ในเรื่องเป็นลูกบุญธรรมของท่านสุริยาก็คือ พี่เจี๊ยบ-ศักราช ฤกษ์ธำรงค์ นะครับก็คือเป็นเด็กที่เติบโตมาในบ้านของพี่เจี๊ยบ ในฐานะลูกบุญธรรมของเขา เรารักเขาเหมือนพ่อ เขาก็รักเราเหมือนลูก คาแรคเตอร์ก็คือเป็นเด็กที่บริสุทธิ์มากๆ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เป็นคนที่กตัญญูรู้คุณคน แต่ว่าวันหนึ่งสุริยาก็ไปแต่งงานกับนางงามประจำจังหวัด ซึ่งรับบทโดย “แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” แต่แล้วพอเราได้เจอพี่แอฟครั้งแรกก็ตกลงหลุมรัก จนวันหนึ่งสุริยาล่วงรู้เรื่องราวเหล่านี้เข้า ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้มีการขับไล่เราสองคนออกจากบ้าน

บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์

บอย : ร่วมงานกับพี่แอฟครั้งแรกค่อนข้างตื่นเต้น เพราะว่าคือเราเติบโตมากับยุคที่พี่แอฟเขาแบบตั้งแต่โด่งดังเป็นพลุแตก เอาจริงเคยทำงานด้วยกันเล็กๆ น้อยๆ เคยถ่ายปฏิทินช่องด้วยกันอะไรอย่างงี้ครับ แต่ว่าก็จะแบบไม่ได้พูดคุยกันเยอะมาก เคยเจอกันตามอีเว้นท์ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำงานด้วยกันเยอะหน่อยเพราะว่าการทำงานกับหม่อมน้อยก็คืออย่างที่ทุกคนรู้ก็ต้องทำการเวิร์คช็อป มีการซ้อมกันเยอะเพื่อที่จะได้มาทำงานด้วยกันก็รู้สึกดีครับ พี่แอฟเป็นคนที่น่ารักอยู่แล้วด้วยตัวของเขาเอง แล้วก็เรื่องของการทำงานนี่คือก็สำหรับผมก็โชคดีที่ได้เจอพี่แอฟคือเราเข้าฉากกับเขาก็สบายเลย คือเขามาเต็ม100อยู่แล้ว แล้วเราก็แค่รับจากสิ่งที่เขาส่งมาแล้วก็ผลักส่งกลับไป ทำงานง่ายมีความเป็นมืออาชีพครับ

บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์

บอย : สำหรับการร่วมงานกับหม่อมน้อย ผมเองก็เป็นนักเรียนของหม่อมน้อยอยู่แล้ว ตั้งแต่ผมเข้าวงการมา ถามว่าโดนดุไหมของผมโดนบ้างแต่ไม่เยอะมาก อาจจะโชคดีที่ว่าคาแรคเตอร์ที่ผมได้รับมา ผมตีความจากที่หม่อมให้ คืออันนี้ผมว่าเรื่องของการที่ว่าโดนบี้มากน้อยไม่ใช่เรื่องของว่าใครเก่งไม่เก่งอะไร อย่างของผมอะอาจจะโชคดีที่ว่าคาแรคเตอร์ที่หม่อมบรีฟมาปุ๊บอะแล้วผมพอผมตีความออกมามันค่อนข้างใกล้เคียงกับสิ่งที่หม่อมเขาต้องการอยู่แล้วเลยทำให้เราเข้าถึงตัวละครได้ไวหน่อย ไม่ได้โดนกดดันอะไรมาก แล้วก็ตัวละครของเราเป็นตัวละครที่ค่อนข้างนิ่ง ไม่ได้ที่จะต้องมีเรียกว่าการใช้ภาษากายหรือว่าอะไรที่มากมาย เรื่องนี้ส่วนใหญ่แล้วหม่อมก็จะเน้นให้ผมใช้ข้างในให้เยอะที่สุดนะครับผม ไม่ว่าจะรู้สึกอะไรยังไงก็ตามจะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่ค่อยแสดงออกมา ถามว่ายากไหมก็ยากแหละครับ ถามว่าการทำงานเรื่องเนี่ยหลายๆ อาจจะถามว่าพอไปถ่ายที่หน้าฉากเนี่ยไม่เคยทำงานกับหม่อมมาเลยไปถ่ายหน้าเซ็ตเนี่ยยากไหม ถ้าถามผมแล้วผมก็เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะรู้สึกเหมือนกันก็คือถ่ายที่หน้าฉากไม่อยากเท่าตอนมาซ้อมหรือว่าเวิร์คช้อปครับ ความยาก ความหนักความหน่วงมันอยู่ตอนเวิร์คช้อปแล้ว เพราะว่าการทำงานกับหม่อมคือการเวิร์คช้อปเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดก่อนมาถ่ายอยู่แล้ว

บอย : สำหรับใครที่กังวลว่าหนังของหม่อมอาจจะดูยาก ส่วนตัวมองว่า ไม่อยากครับเพราะว่าเรื่องนี้คือเรื่องราวมันไม่ได้ซับซ้อนมันเป็นเรื่องเป็นราวของ 6 ตัวละครอะครับที่หลุดออกมาจากโลกของอะไรไม่รู้อะ โลกของเรียกว่าโลกของตัวละคร หลุดออกมาในชีวิตจริงนะครับผม คล้ายโศกนาฏกรรมความรัก ดูไม่ยากแต่สำหรับคนที่อยู่ในสายวิชาชีพนี้อันนี้ผมเน้นเฉพาะย้ำสำหรับคนที่อยู่ในสายวิชาชีพตรงนี้ คนที่ชอบเรื่องการแสดกฌสามารถนำไปวิเคราะห์ เรื่องนี้เหมาะมากเลยเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ดูแล้วสอนด้วยนะครับ มีเกร็ดความรู้อะไรที่สอนอยู่ตลอด

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง มายาพิศวงออกฉายทั่วประเทศเป็นวันแรกในวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา และแน่นอนว่าได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมรวมถึงนักวิจารณ์เป็นอย่างดี สมกับที่ได้คัดเลือกเข้าชิงในสาขา รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture) ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ครั้งที่ 27

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่ผู้ที่เป็นส่วนสำคัญ “หม่อมน้อย” ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล ไม่ได้ชื่นชมความสำเร็จเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 กันยายน เวลา 01.00 น. “หม่อมน้อย” ได้ถึงแก่กรรมในวัย 68 ปี ทำให้ผลงานภาพยนตร์เรื่อง มายาพิศวง เป็นผลงานชิ้นสุดท้าย แพรวขอระลึกถึงและขอแสดงความเสียใจไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up