ส่องทริปหรูเริ่ด! คู่หูนักธุรกิจ “ริว-อาร์ต” ในโหมดนักท่องเที่ยวสายเอ็กซ์คลูซีฟ

Alternative Textaccount_circle

ชีวิตดี๊ดี น่าจะตรงคอนเซ็ปต์การท่องเที่ยวของ 2 หนุ่มนักธุรกิจ “คุณริว-พิเชษฐ วงศ์ตระกูลกิจ” และ “คุณอาร์ต-ยศกร ประทีปะวณิช” ผู้ชื่นชอบแนวสุขนิยมเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะแต่ละทริปของเขาหรูเริ่ดอลังการ 5 ดาวเลยทีเดียว

คู่หูนักธุรกิจ

กิน-ดื่ม-เที่ยวเอ็กซ์คลูซีฟ

คุณอาร์ต-ยศกร เริ่มเรื่องให้ฟังว่า “ทุกครั้งที่เดินทาง ไม่ว่า ไปประเทศไหน เราจะดูก่อนว่าเมืองหรือประเทศนั้นมีร้านอาหารติดอันดับ The World’s 50 Best Restaurants หรือได้ดาวมิชลินกี่ร้าน เพราะสองรางวัลมีความแตกต่าง ภัตตาคารที่ติดอันดับโลกและได้ดาวมิชลินสามารถเปลี่ยนแปลงอันดับทุกปี บางร้านได้มิชลิน 3 ดาว แต่อาจได้อันดับไม่ดีใน The World’s 50 Best Restaurants ซึ่งร้านอาหารดีๆ เหล่านี้ต้องจองล่วงหน้า บางร้านต้องจองนาน 3 เดือนก็มี ถ้าร้านยังไม่เปิดรับจอง เราจะเข้าไปจองก่อนก็ไม่ได้ จึงต้องมีคนคอยมอนิเตอร์ว่าร้านเปิดรับจองเมื่อไหร่ ซึ่งผมมอบให้ American Express Platinum Service Center จัดการให้ เนื่องจากร้านอาหารเหล่านี้ต้องใช้เครดิตการ์ดการันตีว่าเราจะไปกินตามวันเวลาที่จองแน่ๆ การวางแผนเรื่องเวลาและการท่องเที่ยวแต่ละแห่งจึงต้องเป๊ะมาก เช่น ถ้าจองมื้อกลางวัน 3-5 คอร์ส ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เริ่มกินเที่ยงอาจเสร็จบ่ายสามโมง จึงต้องเผื่อเวลาให้ดี เพราะบางทีกินเสร็จแล้ว วันนั้นเราอาจไปเที่ยวที่ไหนต่ออีกไม่ได้ หรือมื้อดินเนอร์เสิร์ฟ 7-10 คอร์ส เริ่มกินหนึ่งทุ่ม กว่าจะเสร็จเกือบห้าทุ่ม บางร้านเปิดบริการสองรอบ รอบแรกหกโมงเย็นถึงสามทุ่มครึ่ง รอบสองเริ่มสามทุ่มครึ่งเป็นต้นไป

“ดังนั้นการเฟ้นหาร้าน Fine Dining ดีๆ ที่มีคาแร็คเตอร์แตกต่างกันสำหรับมื้อกลางวันและดินเนอร์ทุกวันตลอดทริปการเดินทาง รวมถึงการหาที่พักที่เป็นโรงแรม 5 ดาวในเครือ Starwood (ปัจจุบันควบรวมกับเครือ Marriott) ที่เราเป็นสมาชิกระดับแพลทินัม ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย จึงเป็นสิ่งที่เราสองคนให้ความสำคัญ”

Fine Dining ระดับโลก

คุณริว-พิเชษฐ ซึ่งเป็นฝ่ายเฟ้นหาร้านอาหารแต่ละทริปอธิบายว่า “การเดินทางไปแต่ละที่ เราควรเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีที่สุดของเมืองนั้นๆ ซึ่งผมมองว่าอาหารเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง อาหารรสชาติดี ได้ถ่ายรูปอาหารสวยๆ บรรยากาศร้านดูดี พนักงานบริการดี เราแฮ็ปปี้ที่ได้แต่งตัวไปนั่งกิน ทุกอย่างดูดีหมด

“ที่เมืองปีเยมอนเต ประเทศอิตาลี นอกจากจะเป็นเมืองผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมแล้ว ยังได้ชื่อว่ามีเห็ดทรัฟเฟิลที่ดีที่สุดในโลกด้วย ที่ร้าน ‘Piazza Duomo’ เป็นร้านมิชลิน 3 ดาว ซึ่งปี 2016 ติดอันดับ 17 ใน The World’s 50 Best Restaurants จองยากมาก แต่ไปแล้วประทับใจ อาหารอร่อย บรรยากาศร้านตกแต่งด้วยสีชมพูทั้งหมด ที่สำคัญคือบริการเป๊ะมาก

คู่หูนักธุรกิจ

“อีกร้านหนึ่ง ‘Enoteca Pinchiorri’ อยู่ใกล้มหาวิหารซันตาโกรเชในเมืองฟลอเรนซ์ ปีที่เราไปกินร้านนี้ได้ 3 ดาวมิชลิน ติดอันดับ 32 ของ The World’s 50 Best Restaurants โดยเชฟ Annie Fèolde เป็นเชฟผู้หญิงคนแรกของอิตาลีที่ได้รับมิชลิน 3 ดาว ร้านนี้เป๊ะอีกเหมือนกัน อาหารสวย รสชาติอร่อย บรรยากาศร้านสวย จึงจองยาก เพราะคนอยากไปกินเยอะ เจ้าของร้านเป็นสามี-ภรรยา ชอบเมืองไทยมาก พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย เขาจะพูดคุยต้อนรับเต็มที่ ภรรยาเป็นเชฟ สามีเป็น Sommelier (ผู้เชี่ยวชาญไวน์ที่มีคุณภาพ-Fine Wine) เราเปิดไวน์ชั้นเยี่ยม Cháteau Angèlus ปี 2005 ซึ่งโดยทั่วไปการดื่มไฟน์ไวน์ต้องมีพิธีรีตองเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ซอมเมอลิเยร์จะรู้ดีว่าไวน์แต่ละขวด แต่ละฉลาก แต่ละปีที่เขามี ต้องเปิดทิ้งไว้นานแค่ไหนเพื่อให้ไวน์ได้สัมผัสอากาศ เปิดขวดแล้วจะเทไวน์จากขวดใส่โถแก้วขนาดใหญ่ (Decanter) เพื่อให้สัมผัสอากาศได้มากขึ้น อย่าง Angèlus ทางร้านเสิร์ฟด้วยแก้วมาสเตอร์บอร์โด (ใหญ่พิเศษ) การดื่มไฟน์ไวน์จึงมีความเฉพาะตัว ซึ่งแทบทุกร้านที่เราไปค่าอาหารกับค่าไวน์แต่ละมื้อพอๆ กันเลยคือ อยู่ราวๆ 20,000-70,000 บาท แต่เทียบกับประสบการณ์ที่ได้ ถือว่าคุ้มค่า

คู่หูนักธุรกิจ

“อีกร้านอยู่ที่ประเทศออสเตรีย ‘Steirereck’ ได้ 2 ดาวมิชลิน ติดอันดับ 10 ใน The World’s 50 Best Restaurantsปี 2017 นำเสนอเมนูอาหารที่เคยปรุงถวายกษัตริย์และพระราชวงศ์ จุดเด่นร้านนี้คือตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยกระจกใส ทำให้มองเห็นต้นไม้สีเขียวโดยรอบ บรรยากาศดี ภายในตกแต่งโมเดิร์น พนักงานทุกคนบริการเป๊ะ รสชาติอาหารไม่จัดจ้าน มีไวน์ซีเล็คชั่นให้เลือกเยอะ ชอบมาก”

คู่หูนักธุรกิจ

คู่หูนักธุรกิจ

ส่วนคุณอาร์ตเล่าถึงความปลื้มร้านอาหารที่มีที่เก็บไวน์ชั้นล่าง “ที่ออสเตรียมีร้านอาหาร ‘Silvio Nickol Restaurants’ อยู่ที่โรงแรม Palais Coburg ได้ 2 ดาวมิชลินก็จริง แต่เอ็กซ์คลูซีฟ เพราะพอผมสั่งไวน์ Cháteau Ausone มาดื่ม ปรากฏว่าซอมเมอลิเยร์พาเดินลงไปชั้นล่างของร้านเพื่อไปหยิบไวน์ด้วยกัน ทำให้เราได้เห็นที่เก็บไวน์เก่าๆ ดีๆ เป็นหมื่นขวด ซึ่งผมทั้งตื่นเต้นและประทับใจ ไม่คิดมาก่อนว่าร้านอาหารจะมีที่เก็บไวน์จำนวนมากขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเมนูไวน์ที่นี่หนาเป็นตั้ง”

คู่หูนักธุรกิจ

Special Trip in Spain

“ประเทศสเปนถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่พิเศษ เพราะเราได้ไปกินร้าน ‘Azurmendi’ ที่ติดอันดับ 26 ในปี 2015 ซึ่งปีที่เราไปมีสไตล์และธีมการเสิร์ฟอาหารที่แปลกคือ มีกระเป๋าปิกนิกให้ ในนั้นมีอาหารเรียกน้ำย่อยพร้อมแชมเปญ และพาเราเดินไปในสวนที่เขาปลูกถั่วไว้ พร้อมกับมีถั่วที่กินได้ 3-4 อย่างเสิร์ฟให้เป็นกิมมิก จากนั้นพาไปกินซุปที่ห้องครัวในร้าน กึ่งๆ พาทัวร์ร้านไปในตัว เพื่อให้รู้ว่าอาหารที่เขาปรุงมาจากครัวที่สะอาด จากนั้นจึงพามานั่งที่โต๊ะเพื่อเสิร์ฟมื้อกลางวัน

คู่หูนักธุรกิจ

คู่หูนักธุรกิจ

“นอกจากนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยวซานเซบัสเตียน เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศสเปน พักที่ ‘Hotel de Londres y de Inglaterra’ มีจำนวนห้องไม่มาก แต่เป็นโรงแรมเดียวที่มองเห็นวิวพานอรามาของหาด La Concha ของซานเซบาสเตียนที่สวยที่สุด เราพักห้องสวีท มีเทอร์เรซกว้างสำหรับนั่งกินอาหารเช้าพร้อมชมวิวพานอรามา ถ่ายรูปก็สวย เพราะเป็นห้องวิวดีที่สุดของโรงแรมก็ว่าได้

คู่หูนักธุรกิจ

คู่หูนักธุรกิจ

คู่หูนักธุรกิจ

“อีกโรงแรมหนึ่ง ‘Marquès de Riscal Luxury’ เมืองเอลเซียโก ประเทศสเปน เป็นโรงแรมที่อยู่ในไร่ไวน์ชื่อเดียวกัน เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่เก่าแก่และดีที่สุดของแคว้น คนออกแบบโรงแรมคือ Frank Owen Gehry ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ เมืองบิลบาโอ ประเทศสเปน ห้องสวีทที่เราพักจึงชื่อ ‘Frank Gehry Suite’ เราสามารถเที่ยวและใช้เวลาภายในโรงแรมโดยไม่ต้องออกไปไหนเลย เพราะมีทุกอย่างครบ สามารถชมไร่ไวน์ ที่เก็บไวน์ และชิมไวน์ของเขา มีการนำไวน์มาประยุกต์เป็นทรีตเมนต์ให้บริการในสปา ตกค่ำก็ดินเนอร์ที่ห้องอาหารของโรงแรมซึ่งการันตีด้วย 1 ดาวมิชลินได้เลย”

คู่หูนักธุรกิจ

คู่หูนักธุรกิจ

Exclusive Winery VIP

คุณอาร์ตเสริมว่า “ความที่เราสองคนชอบดื่มไวน์ เข้าคลาสสอนเกี่ยวกับไวน์ ทำให้อยากเห็นแหล่งผลิตไวน์ดีๆ ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีประวัติความเป็นมาและกระบวนการผลิตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการได้เข้าไปชมไร่ไวน์ที่เปิดรับเฉพาะลูกค้าเอ็กซ์คลูซีฟ ถือเป็นความพิเศษสำหรับไวน์เลิฟเวอร์ เพราะปกติไร่ไวน์บางแห่งไม่ค่อยเปิดให้คนทั่วไปเข้าชม การติดต่อกับไร่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย การไปเยี่ยมชมไร่ไวน์จึงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายในการท่องเที่ยวของเรา โดยการจองผ่านร้านไวน์เจ้าประจำที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดซื้อ-ขายไวน์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก

คู่หูนักธุรกิจ

คู่หูนักธุรกิจ

“อย่างไร่ไวน์ ‘Roberto Voeizo’ เมืองปีเยมอนเต ประเทศอิตาลี เป็นผู้ผลิตไวน์ Barolo ที่นักดื่มไวน์ทราบดีว่าเป็นไวน์ดี มีราคาแพง เป็นไร่ไวน์บูติกที่เริ่มต้นด้วยพื้นที่แค่ 20 เฮคตาร์อยู่ในหมู่บ้าน เจ้าของไร่และลูกชายพาเราเดินดูวิธีปลูกองุ่น ชมกระบวนการหมักไวน์ ได้ชมสถานที่เก็บไวน์ แม้จะเพิ่งเกิดในปี 1986 ซึ่งถือว่าอายุน้อยมาก เพราะปกติไร่ไวน์จะมีอายุเป็นหลักร้อยปี แต่เขามีกิมมิกคือ เป็นไร่ไวน์ที่เกือบจะเรียกว่าเป็นออร์แกนิก เพราะด้วยวิธีปลูกองุ่นที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ใช้เฉพาะสเปรย์ฆ่าวัชพืช ส่วนการหมักไวน์ก็เติมซัลเฟอร์ (กำมะถัน- สารทำละลาย เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาในถังหมัก) ในปริมาณน้อยกว่าที่กำหนด แม้ไม่เรียกว่าเป็นออร์แกนิกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่รสชาติไวน์ถือว่าดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับรสชาติไวน์ออร์แกนิกหรือไวน์ Barolo ทั่วไป

คู่หูนักธุรกิจ

คู่หูนักธุรกิจ

“ส่วนไร่ไวน์ ‘Quintarelli Giuseppe’ ในอิตาลีมาจากชื่อเจ้าของและผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้ฉายาว่าเป็น God Father ของผู้ผลิตไวน์ประเภท Amarone จัดเป็นไวน์ราคาแพงที่สุด แต่ใช้กระบวนการผลิตน้อย ถ้าเป็นไวน์ปกติ เมื่อเก็บองุ่นมาแล้วจะนำไปหมักเลย แต่การผลิตไวน์ประเภทนี้ต้องนำองุ่นสดมาผึ่งลมให้มีความแห้ง เพื่อให้มีน้ำตาลมากขึ้น ทำให้ทั้งรสและกลิ่นไวน์ชนิดนี้ค่อนข้างหนัก โดยมีระดับแอลกอฮอล์ประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าไวน์แดงทั่วไปที่มีระดับเพียง 12-13 เปอร์เซ็นต์ ตอนเราไปเขากำลังรีโนเวตไร่ แต่ด้วยความที่เราไปแบบมีคอนเน็กชั่น เขาจึงพาเราลงไปห้องเทสต์ไวน์ที่อยู่ใต้ดิน เป็นเหมือนห้องทำงานของเขาไปในตัว พร้อมกับเปิดไวน์ทุกฉลากที่มีให้เราเทสต์ ซึ่งถือว่าสุดมากๆ ได้กินอาหารอร่อย ดื่มไวน์ดีๆ พักโรงแรมสวยๆ มีโอกาสช็อปปิ้งเล็กน้อย ถือเป็นความสุขจากการเดินทางของเรา”


 

ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 942

Praew Recommend

keyboard_arrow_up