ป้อ กรกนก เจ้าของแบรนด์ Shu

ป้อ – กรกนก ดีไซเนอร์ผู้พลิกชีวิตจากโรครองช้ำ ไปสู่การมัดใจคนดังระดับโลก

ป้อ กรกนก เจ้าของแบรนด์ Shu
ป้อ กรกนก เจ้าของแบรนด์ Shu

เผยเรื่องราวของ ป้อ – กรกนก สว่างรวมโชค หัวเรือใหญ่แห่ง SHU แบรนด์รองเท้าชื่อดังของไทย ใครจะรู้ว่าอุบัติเหตุข้อเท้าหักที่ทำให้เธอรู้สึกท้อ จะกลับกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนพลิกชีวิตของตัวเองและธุรกิจให้พุ่งทะยาน จนล่าสุดสามารถครองใจคนดังระดับโลกได้สำเร็จ 

ซึ่งคุณป้อ – กรกนก ได้เปิดเผยถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของชีวิตไทยดีไซเนอร์กับ แพรวดอทคอม ว่าต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อตามให้ทันกระแส ที่สำคัญอยากให้คนดังเปิดใจต้องทำการบ้านอย่างหนัก เรามาฟังเรื่องราวที่น่าสนใจตั้งแต่จุดเริ่มต้น จุดเปลี่ยน จนถึงจุดมุ่งหมายใหม่ในอนาคตของรองเท้าแบรนด์ไทยที่กำลังฮ็อตที่สุดในขณะนี้กันค่ะ

ป้อ – กรกนก ดีไซเนอร์ผู้พลิกชีวิตจากโรครองช้ำ ไปสู่การมัดใจคนดังระดับโลก

 

ป้อ กรกนก เจ้าของแบรนด์ Shu

เริ่มต้นจากการออกแบบกระเป๋า จนกลายมาเป็นธุรกิจรองเท้า

“ตอนที่ทำกระเป๋าป้อยังเป็นนักศึกษา เริ่มทำจากกระเป๋าตัวอย่างแค่ใบเดียว แล้วก็ไปรับออเดอร์ จนสามารถมีรายได้มาเปิดร้าน พอเปิดร้านก็เลยเพิ่มสินค้านอกจากกระเป๋าก็มีเข็มขัด มีการออกแบบเสื้อผ้าเพิ่ม เพราะทุกอย่างมันครบแล้ว มีเสื้อผ้ากระเป๋า เข็มขัด แต่มันยังขาดรองเท้า

ช่วงนั้นที่ป้อมีร้าน มันไม่ค่อยมีความหลากหลายในเรื่องของรองเท้า ไม่ได้มีรองเท้าให้เลือกมากนัก รองเท้าที่สวยๆ ในตอนนั้นก็จะเป็นรองเท้าที่คนนำเข้ามาจากฮ่องกง และมีราคาแพง เราเลยรู้สึกว่ามันมีช่องว่างตรงนี้ เราก็เลยคิดทำรองเท้าที่ตอบโจทย์ตัวเราเองด้วย จริงๆ ป้อเป็นคนที่เน้นเรื่องรองเท้ามาก เพราะเป็นคนที่ตัวเล็ก ดังนั้นรองเท้าส้นสูงจึงมีความสำคัญมาก นอกจากมีความสูงต้องมีความสวย และเราต้องยืนบนส้นสูงได้ทั้งวัน และตัวเลือกในตอนนั้นมันมีน้อย เราเลยเลือกที่จะจับธุรกิจนี้”

ป้อ กรกนก เจ้าของแบรนด์ Shu

โรครองช้ำที่เกิดจากข้อเท้าหัก สามารถพลิกชีวิตและธุรกิจให้พุ่งทะยาน

“เหตุการณ์นี้ทำให้รองเท้า Sofa shoes เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว และเป็นรองเท้าที่ได้รับรางวัลนวัตกรรม เพราะตอนนั้นป้อประสบอุบัติเหตุข้อเท้าหัก หลังจากนั้นก็มีปัญหาเป็นโรครองช้ำ (โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ) ทำให้เจ็บส้นเท้ามาก และหาซื้อรองเท้ามาปรนนิบัติตรงนี้ไม่ได้ เราก็เลยออกแบบรองเท้าเพื่อใส่เอง จนออกมาเป็นรองเท้า Sofa shoes

นอกจากจะเป็นรองเท้าที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตแล้ว ต้องบอกว่าตอนเป็นโรครองช้ำ หลายคนที่เป็นแบบนี้จะเข้าใจดีว่ามันมีความยากลำบากในการใช้ชีวิตมาก หารองเท้าใส่ยากมาก เพราะมันจะเจ็บส้นเท้ามาก ทำให้การใช้ชีวิต การออกสังคม ออกไปทำงานมันลำบาก และรูปแบบรองเท้าเพื่อสุขภาพบางครั้งดีไซน์อาจจะไม่ถูกใจ

ป้ออยากได้รองเท้าที่เน้นทั้งเรื่องของสุขภาพและความสวยงาม พอทำรองเท้ารุ่นนี้ขึ้นมาได้ก็เป็นจุดเปลี่ยนชีวิต ทำให้หายจากโรครองช้ำไปเลย กลับมาใส่รองเท้าส้นสูงได้อย่างมั่นใจ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยที่ไม่ต้องหาคุณหมอเลย ใช้รองเท้าเป็นตัวช่วยอย่างเดียวที่ทำให้เรากลับมาใช้ชีวิตได้ปกติและหายจากโรครองช้ำ

พอรองเท้ารุ่นนี้รักษาเราหาย ก็เลยได้รับรางวัล ทำให้กลายเป็นรองเท้าที่ทุกคนรู้จักมากขึ้น นอกจากจะเป็นรองเท้าที่เปลี่ยนชีวิตเราแล้ว ยังเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจด้วย ต้องบอกตรงๆ ว่าตอนนั้นธุรกิจเราก็ประสบปัญหาเหมือนกัน ช่วงนั้นเศรษฐกิจซบเซามาก บวกกับมีอินเตอร์แบรนด์ต่างๆ เข้ามาในประเทศเยอะมาก ถือว่าเป็นจุดที่เปลี่ยนจากขาลงพลิกขึ้นมาเป็นทะยานเลยก็ว่าได้”

ป้อ กรกนก รองเท้า Shu Sofa shoes
รองเท้า Sofa shoes

รองเท้าเป็นมากกว่าแค่รองเท้า

“จิตวิญญาณของรองเท้าจริงๆ จุดประสงค์ของมันก็เพื่อปกป้องเท้า ให้เราใส่เดินได้โดยไม่มีอะไรขีดข่วน แต่ในการทำแบรนด์ ป้อมองว่ารองเท้ามีความสำคัญมากกว่าแค่การปกป้อง มันไม่ใช่แค่ใส่เดิน แต่ยังช่วยเสริมบุคลิกเรา เสริมความมั่นใจ บางครั้งแต่งตัวดีหน้าผมดี แต่ถ้ารองเท้าไม่ได้ก็จะเสียลุคไปเลย กลับกันถ้าเราแต่งตัวที่ดูเรียบธรรมดา แต่รองเท้าดีมันจะช่วยเสริมลุคให้เราดูดีขึ้น

จากประสบการณ์ดูด้วยสายตาก็รู้เลยค่ะว่ารองเท้าทรงไหนใส่แล้วจะให้ความรู้สึกยังไง สโลปของรองเท้าประมาณไหนที่ใส่แล้วจะสบาย มันจะมีสโลปที่ใส่แล้วสบายหรือสโลปที่ใส่แล้วดูสง่า”

รองเท้า Shu

ไฟไอเดียในการทํางานไม่เคยมอด

“เรื่องของเติมไฟ ถึงตรงนี้ป้อก็ทำแบรนด์มาประมาณ 20 ปีแล้ว ยังรู้สึกเหมือนเดิมเลย เหมือนตอนเพิ่งเริ่มทำแบรนด์ใหม่ๆ ยังคงรู้สึกสนุก รู้สึกยังอยากคิดสิ่งต่างๆ อยู่เรื่อยๆ เรื่องเติมไฟป้อมองว่าเวลาที่เราทำธุรกิจ เราต้องรู้สึกสนุกเวลาที่เห็นมันพัฒนาขึ้น สนุกกับความท้าทายที่เข้ามา ไม่ได้ทำเพื่อคาดหวังจะให้มันนิ่งหรือดีที่สุด เพราะดีที่สุดไม่ได้อยู่ตลอดไป ดีที่สุดมันจะใช้ได้แค่ช่วงเวลาหนึ่ง เราต้องรู้สึกสนุกและทำให้มันดีที่สุดในทุกๆ ช่วงที่เปลี่ยนไป

ส่วนเรื่องของการเติมไอเดียต่างๆ โลกทุกวันนี้ก็ช่วยเราเยอะ มีโซเชียลมีช่องทางต่างๆ ให้เราหาข้อมูล หาแรงบันดาลใจ บางทีเล่นโซเชียลเห็นเพื่อนโพสต์ภาพหรือเห็นรูปอะไรเราก็คิดไอเดียออกแล้ว แต่แหล่งที่จะทำให้คิดออกส่วนใหญ่จะเป็นที่ร้าน หรือบางทีแค่เข้าไปดู Inbox ของลูกค้า ที่ลูกค้าคุยกับทางแบรนด์ ดูจากความต้องการของลูกค้า หรือลูกค้ามีปัญหาอะไร เราก็จะคิดอะไรใหม่ๆ ได้จากตรงนั้นด้วย”

 ป้อ กรกนก เจ้าของแบรนด์ Shu

แฟชั่นไปไวมาไว การแข่งขันสูง แต่ SHU ยังยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้

“สิ่งที่ทำให้ยืนหยัดก็คือเราไม่เคยหยุดนิ่ง และก็ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด เรารู้สึกว่ามันต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา หลายคนอาจคิดว่าสินค้าแฟชั่นทำยังไงให้อยู่ได้นานขนาดนี้ การที่ไปไวมาไว จริงๆ ตรงนี้มันก็กลายเป็นจุดแข็งของเราด้วย เพราะการที่เราสามารถตามเทรนด์ได้ทัน ปรับเปลี่ยนตัวเองได้ทัน มันทำให้เราอยู่ตรงนี้ได้ตลอด

ถ้าเทียบกับคู่แข่งที่ไม่สามารถปรับตรงนี้ได้ ตอนนี้คู่แข่งเก่าๆ จะไม่ค่อยมี ส่วนมากที่จะเจอตามเวลาที่เปลี่ยนไป ก็คือคู่แข่งที่เกิดขึ้นใหม่มาในแต่ละยุค สิ่งที่เป็นจุดแข็งคือพอเราสามารถผ่านมาได้ในแต่ละยุคแล้ว มันเป็นเหมือนประสบการณ์ที่เรามีเหนือกว่า”

ป้อ กรกนก รองเท้า Shu Sofa shoes

จัดการกับความรู้สึกของตัวเองในช่วงที่รู้สึกท้อ

“ป้อว่าคนทำธุรกิจ ถ้าผ่านมาหลายยุคอาจจะไม่ได้รู้สึกท้อเท่าไหร่ ที่ผ่านมาไม่ได้รู้สึกท้ออะไรเกี่ยวกับการทำงาน แต่กลับเป็นปัจจัยภายนอกที่ทำให้รู้สึกท้อเหมือนกัน นั่นก็คือตอนที่ข้อเท้าหัก มันเป็นเหตุการณ์ภายนอกที่ทำให้เรารู้สึกว่า พอเราขาหักเราไม่ได้ลองรองเท้า ลองแล้วมันไม่ได้ความรู้สึกเดิม ในตอนนั้นเลยทำให้รู้สึกท้อไปช่วงหนึ่งเหมือนกัน

ตอนนั้นก็ต้องเบรคตัวเองออกมาจากสิ่งที่เครียดบ้าง ออกมาพักผ่อน นอนคิดไปคิดมาก็คิดขึ้นได้ว่า ทำไมเราไม่ทำรองเท้าขึ้นมาแก้ปัญหาของเราเอง เพราะก่อนหน้านั้นไม่ได้คิดว่าจะทำรองเท้าเพื่อสุขภาพ เพราะเราทำรองเท้าแฟชั่นมาตลอด เอาแต่ไปสรรหาซื้อรองเท้าเพื่อสุขภาพมาใส่ แต่พอเราได้พักได้คิด มันก็อยู่ใกล้ตัวแค่นี้เอง”

Position ของแบรนด์ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

“ใน 5-10 ปีข้างหน้ามองว่าอยากเป็นแบรนด์ที่เป็น Global Brand มีคนทั่วโลกอยากจะครอบครองเรา อยากจะสวมใส่รองเท้าของเรา และมีลูกค้าไปทั่วโลก ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่เราก้าวเดินไปทางนั้นแล้ว เริ่มมีดาราฮอลลีวู้ดหลายคนใส่ เป้าหมายที่เราอยากจะตั้งไว้เลยนอกจากเป็น Global Brand แล้ว อยากสรรสร้างรองเท้าที่ให้ทุกคนได้สวมใส่แล้วรู้สึกว่าเขาภาคภูมิใจ มีศักดิ์ศรีเทียบเท่าการใส่สินค้าไฮแบรนด์

ป้อ กรกนก เจ้าของแบรนด์ Shu

 

สิ่งที่มัดใจให้คนดังระดับโลกเลือกใส่รองเท้า SHU 

“ต้องบอกว่าเซเลบริตี้ระดับโลก เขามี Super Brand ที่ส่งรองเท้า ส่งสินค้าให้เขาอยู่แล้ว และเราก็ทำเช่นเดียวกัน เราก็พยายามส่งรองเท้าไปให้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการแค่ส่งไปให้ หลายๆ แบรนด์ก็ไม่ได้คาดหวังว่าดาราเหล่านั้นจะใส่ ขอแค่ได้ส่ง นั่นคือดีที่สุดแล้ว แต่การที่เขาหยิบขึ้นมาใส่ มันเป็นอะไรที่เกินความคาดหวังมากๆ ทำให้เรารู้สึกภูมิใจมากว่ารองเท้าเรา เขาหยิบไปใส่ในงานที่สำคัญมากๆ สำหรับเขา

จริงๆ เวลาเราส่งรองเท้าไปให้คนดัง เราจะมีการทำการบ้านอย่างดี ถึงแม้จะไม่ได้คาดหวัง แต่ในใจลึกๆ เราก็อยากให้เขาหยิบขึ้นมาลองก็ยังดี เราต้องศึกษาว่าเซเลบริตี้ระดับโลกเขาใส่รองเท้าแบบไหน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาใส่ออกงาน เราไม่ได้อยากให้เขาแค่ใส่เดินไปเดินมาในวันธรรมดา

รองเท้า Shu
ปารีส ฮิลตัน ใส่รองเท้า SHU รุ่น CELEB HEELS IN MILAN 4” SILVER COLORS

เราก็คิดว่าถ้าเขาใส่รองเท้าออกงาน เขาจะใส่แบบไหน ไปศึกษาแล้วก็มาดีไซน์ เพื่อให้รูปแบบมันตอบโจทย์ พอเขาเห็นแล้วต้องรู้สึกว่านี่คือดีไซน์ที่เขาชอบ ถึงจะเป็นรองเท้าที่มีดีไซน์คลาสสิกก็ตาม แต่ถ้าใครใส่รองเท้าสไตล์นี้อยู่แล้ว จะรู้ว่ามันทำยากที่จะให้ดูสวยโดดเด่นและแตกต่างกัน

ดังนั้นสิ่งที่เราดีไซน์จึงพยายามทำให้มันแตกต่างและสวย มันต้องสวยก่อน เขาถึงจะลองหยิบขึ้นมา แต่แค่ลองเฉยๆ แล้วถ้ามันใส่ไม่สบาย หรือไม่แตกต่างจาก Super Brand ก็ไม่มีทางที่เขาจะหยิบขึ้นมาใส่ ซึ่งฟังก์ชั่นด้านในเรามีตัวตนของความเป็น SHU อยู่แล้ว นั่นคือความใส่สบาย หลายแบรนด์จะทำได้ยาก เรารู้สึกมั่นใจว่าขอแค่เขาหยิบขึ้นมาลองเท่านั้นแหละ มันต้องมัดใจเขาได้เลย และก็ประสบความสำเร็จจริงๆ”

รองเท้า Shu

รองเท้า Shu

 

ทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ

“ป้อผ่านมาหลายวิกฤต ในทุกวิกฤตมันมีโอกาสจริงๆ ถ้าเรามองเห็นโอกาสตรงนั้น ทำอะไรก็ได้ที่มันไปตอบโจทย์ผู้คน แก้ปัญหาให้ผู้คนในช่วงเวลานั้นได้ มันก็เป็นโอกาสของเราที่จะเกิดทำเป็นธุรกิจได้ ตอนที่ป้อเริ่มต้นครั้งแรกตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ป้อเริ่มในช่วงวิกฤต 40 ช่วงนั้นเศรษฐกิจมหาโหดมาก แต่ป้อเกิดในช่วงวิกฤตนั้น เป็นช่วงที่เศรษฐีประสบปัญหา

ซึ่งต้องบอกว่าธุรกิจของไทยก่อนปี 40 นั้นบูมมาก ทุกคนจะใช้แบรนด์เนมกันถ้วนหน้า พอเกิดวิกฤต 40 คนก็เลยไม่ได้ใช้แบรนด์เนมมากเหมือนเมื่อก่อน คนเริ่มมองหาอะไรใหม่ๆ ที่มาตอบโจทย์ มันเลยเป็นโอกาสให้เราออกแบบสินค้าที่เน้นงานดีไซน์มาเป็นทางเลือก แล้วคนก็เริ่มเน้นใส่ใจเรื่องของดีไซน์มากกว่าเรื่องของแบรนด์”


เรื่อง : ฮานะ_แพรวนิสต้า

ภาพ : วรสันต์ ทวีวรรธนะ และกิติภูมิ เธียรโกศล

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ชุดนี้มีที่มา! โต๋ กระซิบสไตลิสต์ จัดชุดสวยให้ ไบรท์ เพื่อเตรียมขอแต่งงาน

#หวานไม่ไหวแล้วแม่ ชมพู่ ออกแบบรองเท้า ประดับดอกไม้ ส้นลายหินอ่อน

เผยดีเทลชุดไทยโบราณ ‘ครีม-ศุภากร’ เจ้าสาวของ ‘เปปเปอร์ UHT’ ในพิธีแต่งงาน

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up