ความสูญเสียไม่ว่ารูปแบบใด ย่อมทิ้งบาดแผลไว้ในใจเสมอ หลายครั้งที่เราจมดิ่งอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ จนรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า การก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเส้นทางของการเยียวยาจิตใจ เรียนรู้ที่จะอยู่กับความเจ็บปวด และค้นพบหนทางที่จะ “มูฟออน” จากความสูญเสีย เพื่อกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเข้มแข็งและมีความหวังอีกครั้ง
เมื่อสมองอยู่ในภาวะวิกฤติ ความรู้สึกของคุณจะท่วมท้น ทั้งเหงา ไม่มี ความหมาย ไม่มีความสุข ณ วินาทีนั้นเราอาจจะรู้สึกไม่อยากรับรู้เรื่องใด ๆ อีกต่อไป แต่รู้ไหมว่าร่างกายมีวิธีจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ แค่ต้องฝืนตัวเองหน่อย
วิธีเรียบง่ายที่จะทําให้คุณหยุดอยู่ในภาวะสู้หรือหนีคือการหายใจเข้าออกลึกๆ โดยหายใจเข้า 4 วินาที กลั้นไว้ 4 วินาที จากนั้นค่อยหายใจออก 4 วินาที บางครั้งคุณอาจคุมสมองของตัวเองยาก แต่คุณสามารถควบคุมการหายใจ ของตัวเองได้ การบังคับให้ปอดขยายตัวและหดตัวลงอย่างช้า ๆ จะส่งสัญญาณ ที่ช่วยคลายความกังวลไปยังอมิกดาลา ทําให้คุณใจเย็นลง
หรือจะลองวิธีการของสเตฟานี คาซิออปโป นักประสาทวิทยาผู้เชี่ยวชาญ ด้านความรักดูก็ได้ ตอนที่เธอสูญเสียสามี สเตฟานีทนทุกข์มาเป็นปี ๆ เธอบรรยาย สภาพชีวิตตัวเองในหนังสือเรื่อง Weird for Love ไว้ว่า เหมือนคนซังกะตาย เพื่อนคนหนึ่งแนะนําให้เธอออกไปวิ่ง ซึ่งขัดกับสภาพร่างกายและจิตใจในขณะนั้น สุด ๆ เพราะเธอทั้งโทรม อ่อนแอ ไม่อยากยอมรับความจริงว่าสามีจากไป พยายามเลี่ยงการพูดถึง แต่สเตฟานีก็ลุกออกจากบ้าน คว้ารองเท้าออกไปวิ่งในสวนและเมื่อวิ่งได้แค่ครึ่งทางเธอก็หอบและเหงื่อตก
วันถัดมาแม้ร่างกายจะเจ็บปวดขนาดไหน เธอก็ออกวิ่งอีกครั้ง เธอวิ่งทุกวัน ตามที่เพื่อนบอกและวิ่งติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่งปี จนทําให้ค้นพบข้อดีของ ฮอร์โมนนักวิ่ง เพราะเมื่อเราได้ขยับร่างกาย เอนดอร์ฟิน โดพามีน และโซโรโทนินจะแผ่ซ่านไปทั่วสมองและร่างกาย ช่วยบรรเทาความเศร้าได้ ขณะเดียวกันเธอเปลี่ยนวิธีการรับข้อมูลข่าวสารให้สมอง เช่น อ่านเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต เพื่อให้โฟกัสกับเรื่องดี ๆ ปรับการกินให้ดีกับสุขภาพมากขึ้น วิธีการทั้งหมดนี้ ช่วยชีวิตเธอ สรุปแล้วมนุษย์เราสามารถรอดได้จากกลไกธรรมชาติในร่างกาย และอีกวิธีที่ได้ผลกับเธอมากคือการกรีดออกมา
สเตฟานีเล่าว่า หลังจากสามีเสียไปพักหนึ่ง เพื่อนเซอร์ไพรส์ด้วยการพาเธอ ไปกระโดดร่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอกลัวเป็นอันดับต้น ๆ แต่ครูฝึกสั่งให้เธอกรีดร้อง การกรี้ดจะช่วยเลี่ยงภาวะพร่องออกซิเจน (คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลําบาก) ทั้งยังช่วยจัดการกับความกลัว การกรีดร้องช่วยให้สมองยอมรับความเจ็บปวด เหมือนเวลาคุณโดนของแหลมบาด เมื่อคุณร้องโอ๊ย จะสังเกตว่าเราอดทนต่อ ความเจ็บได้มากกว่าการนั่งกัดฟันทนเจ็บต่อไป และการกรี๊ดยังช่วยให้คุณมีสมาธิกับเวลานั้นด้วย
สุดท้ายเมื่อสเตฟานีต้องกระโดดร่มลงมา เธอกรี๊ดดังที่สุดในชีวิต และรู้ว่านี่คือ 40 วินาทีที่ดีที่สุดในชีวิตนับจากที่สามีเสียไป เพราะเธอเข้าใจแล้วว่าความกลัว ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาในสมองไม่ต่างจากความสุข เราอาจจะคุมมันไม่ได้ เหมือนที่เรา ไม่สามารถห้ามไม่ให้ใครตายได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดได้ โดยเฉพาะการกล้ายอมรับ เผชิญหน้ากับความกลัวและการสูญเสีย ถ้าเธออยากนึกถึงสามีก็ต้องยอมรับว่า เขาจากไปแล้ว และเรียนรู้ที่จะเก็บเขาไว้ในจิตใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับความกลัวจัง ๆ ที่สุดมนุษย์จะเรียนรู้และยอมรับได้