ภูมิแพ้

ไขข้อสงสัยความต่างระหว่าง ภูมิแพ้ ไข้หวัด และโควิด-19

Alternative Textaccount_circle
ภูมิแพ้
ภูมิแพ้

ตื่นเช้ามาวันนี้ คุณรู้สึกตัวรุมๆ ปวดหัว ปวดเมื่อย แสบจมูก หรือ เจ็บคอบ้างไหม? อาการแบบนี้อาจทำหลายคนสงสัยว่ากำลังป่วยจริงๆ หรือเป็น ภูมิแพ้ กันแน่ ฉะนั้น บทความนี้จะพามาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับลักษณะของอาการป่วยแต่ละประเภท การดูแลรักษา และป้องกัน เพื่อจะได้สังเกตตนเองและคนรอบข้าง นำไปสู่กระบวนการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม

ลักษณะอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ การใช้ชีวิตที่มีมลภาวะอย่างฝุ่นพิษ PM 2.5 ไปจนถึงการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ อาการเล็กๆ น้อยๆ ในตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา อาจทำให้ตื่นตระหนกได้ว่าเป็นเพียงแค่ไข้หวัด หรือเป็นโควิด-19 หรือเป็นแค่ภูมิแพ้ ซึ่งในความเป็นจริงอาการคล้ายกันจนน่าสงสัยมากๆ ลักษณะอาการของกลุ่มโรคเหล่านี้ เป็นอาการของระบบทางเดินหายใจ มีอาการได้ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงอาการรุนแรงได้

ไข้หวัด เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสทางเดินหายใจ มักพบในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงในทุกฤดู

  • อาการไม่รุนแรง ในคนสุขภาพแข็งแรงสามารถหายได้เองใน 2-5 วัน ติดต่อโดยการหายใจรับละอองสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ที่มีอาการ ผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสโดยตรง
  • อาการที่พบ คัดจมูก มีน้ำมูกใสถึงขุ่น จาม ไอมีเสมหะ เจ็บคอ เสียงแหบ ไปจนถึง อาจมีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะเล็กน้อย การเป็นไข้หวัดเป็นๆ หายๆ บ่อยแสดงว่าเป็นไข้หวัดแบบเรื้อรัง นอกจากส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การเรียน การทำงาน การนอนหลับพักผ่อน การกินอาหารแล้ว บางครั้งอาจเกิดอาการแทรกซ้อนของโรคบางอย่างที่เราไม่ทันได้รู้ตัว เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ภาวะต่อมอะดรีนอยด์โต ไปจนถึงภาวะหลอดลมไว ได้อีกด้วย

โควิด-19 บางครั้งอาการเริ่มต้นเหมือนการเป็นไข้หวัด บางครั้งไม่มีอาการบังเอิญตรวจ ATK แล้วเจอผลบวก

  • อาการที่มีได้นั้น คือ ไข้ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก มีน้ำมูก ไปจนถึงมีผื่นผิวหนัง ตาแดง หายใจลำบากร่วมกับอาการปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย ในบางรายมีอาการไม่ได้กลิ่น ไม่รับรสร่วมได้
  • อาการค่อนข้างเป็นมาก เช่น ไอมาก เจ็บหน้าอก หอบ หายใจเหนื่อย เนื่องจากมีอาการของปอดอักเสบร่วมได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว ซึ่งต่างจากในเด็กในระยะหลังๆ พบว่ามีอาการน้อยมากหรือไม่มีอาการเลย

ภูมิแพ้อากาศ
อาการที่พบได้บ่อย คือ จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก คันจมูก คันตา ซึ่ง เป็นไปตามช่วงเวลาของวัน ในเช้าตรู่ เย็นๆ ค่ำๆ หรือก่อนนอน อาการเหล่านี้ พบได้ตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุได้ ในขณะที่มีรายงานว่า พบในเด็กที่อายุน้อยลงที่อายุ 1-2 ปี โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นไรฝุ่น ละอองหญ้า เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ แมลงสาบ และเชื้อรา การสัมผัสสารก่อระคายเคือง PM 2.5 นั้น เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ไวขึ้น หรือกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันประชากรไทยพบแนวโน้มของอาการภูมิแพ้อากาศสูงขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตมากขึ้น

การดูแลรักษา และป้องกัน

  • ไข้หวัด สามารถหายได้เอง ภายใน 2-5 วันในผู้มีสุขภาพแข็งแรง เราสามารถใช้ยาเพียงเล็กน้อย เพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาลดไข้แก้ปวดพาราเซตามอล ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก ยาแก้ไอชนิด พ่นคอ อมแก้ เจ็บคอ ชนิดกินละลายเสมหะ ไปจนถึงวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินซี เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มภูมิต้านทานไปพร้อมๆ กับการพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน
  • โควิด-19 ในกลุ่มที่มีอาการระบบทางเดินหายใจมาก มีปอดอักเสบ หรือมีโรคเรื้อรังนั้น จำเป็นต้องได้รับ การรักษาด้วยยาต้านไวรัสร่วมกับการรักษาแบบประคับประคอง แต่ในขณะที่กลุ่มที่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อย คล้ายไข้หวัด พบได้เป็นส่วนใหญ่นั้น สามารถหายได้เองภายใน 5 วัน การดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงคล้ายกับการดูแลไข้หวัดนั่นเอง

ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดของการเจ็บป่วย นั้นคือ
1. สวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะในพื้นที่แออัด หรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
2. รักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม social distancing
3. กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด ผัก ผลไม้ งดเว้นอาหารหมักดอง และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ หรือแอลกอฮอลล์ล้างมือ
5. พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สดใส และออกกำลังกายเป็นประจำ

สำหรับอาการภูมิแพ้นั้น เน้นการรักษาอย่างต่อเนื่อง และการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
การรักษาควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางภูมิแพ้ เนื่องจากการรักษาด้วยยา มีทั้งรูปแบบกินยาบรรเทาอาการ กินยารักษาอย่างต่อเนื่อง รูปแบบยาพ่นจมูก ยาพ่นละอองฝอย ร่วมไปกับการล้างจมูกเป็นประจำ และในปัจจุบันมีการรักษาด้วย Imunotherapy วัคซีนรักษาภูมิแพ้ ซึ่งมีประสิทธิภาพและควบคุม บรรเทาอาการได้มากยิ่งขึ้น โดยในผู้ป่วยภูมิแพ้ควรได้รับการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ ที่เป็นสาเหตุของอาการได้ทั้งวิธีสะกิดผิวหนัง skin prick test หรือการตรวจเลือด specific IgE เพื่อหลีกเลี่ยงควบคู่ไปกับการรักษา ทั้งนี้การหลีกเลี่ยงสารก่อระคายเคือง เช่น มลภาวะ ควันธูป ควันบุหรี่ และ PM 2.5 ก็สำคัญเช่นกัน

Source: พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา ศูนย์สุขภาพเด็ก (Children’s Health Center) โรงพยาบาลนวเวช
Photo: Pexels


Praew Recommend

keyboard_arrow_up