โรคเส้นประสาทตาอักเสบ

อาการแบบไหนเสี่ยงเป็น ‘โรคเส้นประสาทตาอักเสบ’ ภัยเงียบที่ไม่ควรปล่อยผ่าน

Alternative Textaccount_circle
โรคเส้นประสาทตาอักเสบ
โรคเส้นประสาทตาอักเสบ

โรคเส้นประสาทตาอักเสบ จะมีอาการตามัวแบบเฉียบพลันร่วมกับอาการปวดตา โดยเฉพาะเวลากลอกตาหรือเคลื่อนไหวลูกตา โดยลักษณะตามัวอาจจะเริ่มจากมัวตรงกลางและมัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในสัปดาห์แรกได้จนอาจมองไม่เห็นได้ โดยในช่วงแรกหากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะทำให้สามารถกลับมามองเห็นได้ดีขึ้น แต่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วทันท่วงที

โรคเส้นประสาทตาอักเสบ (optic neuritis : ON) เป็นภาวะที่มีการอักเสบร่วมกับการเสื่อมของปลอกหุ้มเส้นประสาทตา โดยผู้ป่วยโรคนี้อาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคทางกายที่มีการเสื่อมของเส้นประสาทสมอง และไขสันหลังร่วมด้วยที่เรียกว่า multiple sclerosis ( MS ) แต่อย่างไรก็ตาม โรคเส้นประสาทตาอักเสบอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีโรคทางกายอื่นๆ ได้สำหรับผู้ป่วยที่เป็น MS หลายรายที่มีอาการแสดงครั้งแรกที่ตาจากเส้นประสาทตาอักเสบ ฉะนั้นหากพบผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องเส้นประสาทตาอักเสบ จำต้องพิจารณาหาว่ามีโรคทางกาย โดยเฉพาะ MS ร่วมด้วยหรือไม่ เนื่องจากโรคนี้อาจนำไปสู่ความพิการทางกายอย่างถาวรได้

เส้นประสาทตาหรือเส้นประสาทสมองคู่ที่สอง (optic nerve) เป็นเส้นประสาทที่ทำหน้าที่รับภาพจากจอตา เพื่อไปแปลผลที่สมองส่วนควบคุมการมองเห็นที่อยู่บริเวณท้ายทอยโรคของเส้นประสาทตาที่พบมากที่สุดได้แก่ โรคเส้นประสาทตาอักเสบ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ หรือจากการติดเชื้อที่ส่งผลถึงประสาทตา ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะตามัวแบบเฉียบพลันร่วมกับอาการปวดตา โดยเฉพาะเวลากลอกตาหรือเคลื่อนไหวลูกตา ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตความสามารถในการมองเห็นของตัวเองเป็นระยะทั้งการมองทั้งสองข้างและมองแบบปิดตามองทีละข้าง เพื่อเปรียบเทียบกัน หรือมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าตาข้างใดมีปัญหา ต้องทดสอบและรักษาอย่างทันท่วงที

โรคเส้นประสาทตาอักเสบ(optic neuritis) เป็นภาวะที่มีการอักเสบของเส้นประสาทตา ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคทางระบบประสาทที่มีปลอกหุ้มประสาทอักเสบ (demyelination) เช่น โรคMultiple Sclerosis ( MS ) ,NeuromyelitisOpticaSpeetrum Disorder(NMOSD) และ Myelodendrocyte Glycoprotein Antibody (MOG-IgG)-Associated Disease (MOGAD) โดยสาเหตุเกิดจากการอักเสบ หรือการเสื่อมของเยื่อมัยอิลินที่หุ้มเส้นประสาทตา หรืออาจเกิดจากภาวะอื่นได้เช่นจากระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ โดยมักพบในผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชายอายุเฉลี่ยประมาณ 20-50 ปี ทำให้การนำสัญญาณประสาทจากลูกตาไปยังสมองเสียไป จึงทำให้การมองเห็นแย่ลง

นอกจากนี้ ยังสามารถพบได้ตามหลังจากการฉีดวัคซีนหรือติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสงูสวัดหรือพบเส้นประสาทตาอักเสบร่วมกับมีการอักเสบของโพรงไซนัส และเบ้าตาได้ แต่ที่พบได้บ่อยคือ เส้นประสาทตาอักเสบเอง โดยอาจมาแสดงอาการเป็นอาการแสดงแรกของผู้ป่วยระบบประสาทที่มีปลอกประสาทอักเสบของระบบประสาทส่วนกลาง โดยมีอาการและอาการแสดงทางตามาก่อนรอยโรคตามตำแหน่งอื่นๆ ของระบบประสาท เช่น สมอง และ ไขสันหลัง

ดังนั้น ในผู้ป่วยที่เป็นเส้นประสาทตาอักเสบ จึงจำเป็นต้องตรวจเพื่อดูว่ามีโรคทางระบบประสาทอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เนื่องจากโรคในกลุ่มนี้ (MS NMOSD MOGAD) อาจนำไปสู่ความพิการทางกายถาวรได้ ซึ่งในปัจจุบันพบว่าคนไทยมักพบร่วมกับภาวะ NMOSDและ MOGAD ได้บ่อยขึ้น โดยที่อาการมักพบมีลักษณะตามัวลงอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาประมาณ 3-10 วัน ส่วนใหญ่พบเป็นข้างเดียวแต่อาจพบเป็นทั้งสองข้างได้ และพบร่วมกับการมองเห็นสีมีลักษณะผิดเพี้ยนไป เช่น มีลักษณะสีหม่นลงไป ที่สังเกตเห็นได้ชัด คือสีแดงสดจะจางลงจนเป็นสีเทาๆ มีอาการปวดตาลึกๆ โดยจะเป็นมากเวลากลอกตา ในบางครั้งเวลาออกกำลังกายหรืออยู่ในที่อากาศร้อนอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น จะมีอาการตามัวลงได้ การตรวจการทำงานของเส้นประสาทตาจะพบมีลักษณะของลานสายตาผิดปกติไป ในบางรายอาจตรวจพบมีเส้นประสาทตาบวมจากการตรวจจอประสาทตา

ดังนั้น การรักษาเส้นประสาทตาอักเสบในกรณีที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อของอวัยวะข้างเคียงหรือจากการติดเชื้อที่ทราบสาเหตุให้การรักษาเฉพาะเจาะจงตามชนิดของการติดเชื้อนั้นๆ ส่วนกรณีที่เป็นเส้นประสาทตาอักเสบที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคปลอกหุ้มประสาทส่วนกลางอักเสบ (MS NMOSD MOGAD) การให้ยาทางเส้นเลือดในกลุ่มของสเตียรอยด์อาจช่วยให้การฟื้นคืนของการมองเห็นดีขึ้นได้ โดยหากมีอาการผิดปกติกับดวงตา เพื่อไม่ให้ผิดพลาดหรือช้าเกินไป ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด และจะได้รับการรักษาได้ทันท่วงที

ข้อมูล : โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง)
ภาพ : Pexels


Praew Recommend

keyboard_arrow_up