7 วิธีดูแลตัวเอง + แก้ปัญหา เมื่อต้องรับมือกับคนรักที่อยู่ในช่วง วิกฤติวัยกลางคน

ทุกคนที่อยู่ในช่วง วิกฤติวัยกลางคน ต่างก็มีวิธีจัดการและการเผชิญปัญหาที่แตกต่างกันไป บางคนเผชิญกับปัญหาแต่ก็สามารถเรียนรู้ แก้ไขมันได้ และใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข แต่ก็มีอีกหลายคนที่เผชิญหน้ากับวิกฤติวัยกลางคน แล้วจมเข้าสู่จุดต่ำสุดของตัวเองจนหาทางกลับขึ้นมาได้ยาก แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนรับผลกระทบของปัญหานี้อยู่ฝ่ายเดียว หากว่าคนรักของคุณกำลังเผชิญกับปัญหา วิกฤติวัยกลางคน นี้อยู่ล่ะก็ นอกจากจะช่วยเป็นกำลังใจและเป็นพลังบวกให้กับเขาแล้ว ต้องนึกไว้เสมอว่า คุณไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบกับปัญหาเหล่านี้ คนรักของคุณจะต้องเผชิญหน้าและหาวิธีที่จะผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยตัวของเขาเอง ครั้งนี้ แพรวเวดดิ้ง  มีคำแนะนำดีๆ ช่วยให้คุณดูแลตัวเองและเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นไปได้ ในช่วงเวลาที่คนรักของคุณต้องรับมือกับ วิกฤติวัยกลางคน จะมีข้อในที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณและนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง ตามไปดูกันเลย 7 วิธีดูแลตัวเอง + แก้ปัญหา เมื่อต้องรับมือกับคนรักที่อยู่ในช่วง วิกฤติวัยกลางคน 1. ให้ความสำคัญกับตัวเอง การที่คุณหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ที่คนรักของคุณมีในช่วงเวลาวิกฤตินี้มันไม่ได้อะไรเลย อาจจะฟังดูทำได้ยากไปสักหน่อย แต่คุณต้องยอมรับว่าคุณไม่สามารถไปควบคุมความคิดหรือการกระทำของเขาได้ ที่คุณทำได้มีแค่ควบคุมการกระทำของตัวเองว่าคุณเลือกจะทำอะไรในช่วงเวลาแบบนี้ ในขณะที่คู่รักของคุณกำลังอยากใช้เวลาอยู่คนเดียว ก็เป็นจังหวะที่ดีที่คุณจะได้มีสมาธิและกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเองอย่างเต็มที่ หากิจกรรมยามว่าง งานอดิเรกใหม่ๆ ทำ ออกกำลังกาย ไปพบปะผู้คน อ่านหนังสือเล่มใหม่ อะไรก็ได้ที่จะทำให้คุณมีความสุขและรู้สึกดีกับตัวเอง 2. กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน วิธีหนึ่งที่จะช่วยกันไม่ได้พฤติกรรมด้านลบทั้งหลายในช่วงวิกฤติวัยกลางของคนรัก มามีผลกระทบกับชีวิตและสร้างความเครียดให้กับคุณ นั่นคือการขีดเส้นกำหนดขอบเขตของคุณให้ชัดเจน ถ้าเขานอกใจแอบไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับคนอื่น ต้องขีดเส้นแบ่งให้เขารู้ไว้ว่า คุณจะไม่ให้ปัญหาในเรื่องนี้มามีผลกระทบกับชีวิตของคุณ […]

ย้อนเล่า! ชีวิตแต่งงาน นุ่น-ดารัณ หลงคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิง

เรียกว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขจริงๆเพราะไม่น่าเชื่อว่านักแสดงรุ่นใหญ่ นุ่น-ดารัณ ฐิตะกวิน อายุจะเข้าสู่เลขห้าไปแล้ว แต่ความสวยของ สาวนุ่น ยังคงปิ๊งเหมือนเดิมคือเวลาไม่สามารถทำอะไรเธอได้แต่อย่างใด แต่สิ่งที่เธอผ่านมาพร้อมกับเวลาคือเรื่องราวในชีวิตที่เธอได้เจอนั้นเรียกว่าสาหัสทางใจอยู่ไม่น้อยเพราะความรักที่ผิดพลาด และ การมองข้ามคนดีที่อยู่ข้างๆ ตัวเองมาตลอด จนต้องเจอกับสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต ซึ่งนักแสดงรุ่นใหญ่ที่มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในเวลาใหม่ของรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 พร้อมจูงมือคู่ชีวิตสาวหล่อ คุณบี มานั่งเปิดใจทุกเรื่องราวเพราะอุ่นใจที่จะเล่าที่นี่ ถึงเรื่องราวในชีวิตคนที่คิดว่าใช่และรักมากจนยอมใช้ชีวิตคู่แต่งงานอยู่ด้วยกันคิดว่าตัวเองได้เป็นเจ้าหญิงแต่กับได้รับบทนางแบก คือ แบกรับค่าใช้จ่ายพร้อมหนี้สินสุดท้ายไปไม่รอดต้องหย่าขาด แถมชีวิตต่อมาต้องมาเจอกับโรคร้ายที่ชื่อว่า มะเร็ง ย้อนเล่า! ชีวิตแต่งงาน นุ่น-ดารัณ หลงคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิง “วันที่แต่งงานแล้วส่งตัวผู้ใหญ่ทางเขาพูดว่าดีใจนะได้เราไปเป็นสะใภ้เพราะว่าเราปรับตัวง่าย ปรับตัวเก่ง แต่ที่ไหนได้เราต้องไปแบกรับทุกอย่าง ถามว่าทางเขามีงานไหมเขามีงานแต่ว่างานเรารายรับเราเยอะกว่าวันหนึ่งก็มีหนี้สินของเขาผุดขึ้นมาว่าเป็นหนี้สินเดิมก็รักแล้วช่วยก็ช่วย แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในครอบครัวเขาแล้วเราต้องเจอกับปัญหาภายในครอบครัวเขาอีกหนักเลย จนเราทนไม่ไหวโทรไปปรึกษาคุณแม่เขาอยู่ที่อเมริกาคุณแม่เขาก็แนะนำว่าเขียนสัญญาลูกผู้ชายขึ้นมาเองไหม1 2 3 ลูกอยากได้อะไรเราก็บอกว่าแม่คุณแนะนำมาแบบนี้ คุณลองอ่านดูเขาก็ขยำกระดาษทิ้งแล้วพูดกับเราว่า อยากได้อะไรก็ฟ้องเอา และสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดที่ไม่อยากทำเลยทนายพูดว่าให้ไปเขียนมาว่าข้อบกพร่องของเขาที่ผ่านมามีอะไรบ้าง ใครบ้างที่อยากจำเขียนแล้วก็เจ็บตรงนั้นเรารู้สึกว่าเป็นช่วงที่สาหัสจริงๆ ชีวิตเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ และอีกสิ่งหนึ่งที่แย่ๆ ในชีวิตคือรู้ว่าเป็นมะเร็ง” กับชีวิตความรักที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่ในที่สุด นุ่น-ดารัณ ก็ได้เจอรักแท้ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมที่กลับมองไม่เห็น พร้อมเล่าชีวิตที่คาบเกี่ยวความตายรอดหรืออยู่ คือ การตัดสินใจครั้งใหญ่ของตัวเองตายก็โทษใครไม่ได้ ติดตาม Club Friday […]

เช็คกันหน่อย…8 เรื่องนี้คุณทำได้ดีแค่ไหนในปีแรกของ ชีวิตแต่งงาน

คู่ไหนบ้างที่กำลังจะครบรอบแต่งงาน 1 ปี เพราะวันนี้เราอยากให้คุณเช็คกันสักหน่อยว่า ความสัมพันธ์ของคุณกับคนที่คุณเรียกว่า “คู่ชีวิต” ในปีแรกของ ชีวิตแต่งงาน เป็นอย่างไรบ้าง

ข้าวใหม่ปลามันต้องอ่าน! 5 ความเข้าใจผิดในปีแรกของชีวิตแต่งงาน

ในช่วงปีแรกของ ชีวิตแต่งงาน คู่รักข้าวใหม่ปลามันอาจคิดว่ การปรับตัวจะเกิดขึ้นแน่นอนแต่เราอยากให้คุณเตรียมใจพบกับความจริงที่ว่าไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป

คิดจะแต่งงานกันทั้งที 5 เรื่องต่อไปนี้ต้องคุยกันให้ดีก่อนแต่งงาน

5 เรื่องสำคัญที่คู่รักทุกคู่ควรจะเปิดอกคุยก่อนจะตัดสินใจลงไปอยู่ในเรือลำเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการตัวใครตัวมันในอนาคต

18 เคล็ดลับที่คู่รักต้องมีเพื่อชีวิตแต่งงานอยู่ยืดอยู่ยาวไม่มีเบื่อ

หลังจากแต่งงานไปแล้วจะประคับประคองชีวิตคู่ให้ประสบความสำเร็จมันคงไม่ง่ายเหมือนตอนตกหลุมรัก วันนี้ฮีบินเลยมี 18 เคล็ดลับสำหรับคู่สามีภรรยาที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงานมาฝาก…

5 การยอมรับที่ต้องมั่นใจก่อนเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน

มีหลายคู่ที่พอแต่งกันไปแล้วเพิ่งมาค้นพบว่า ชีวิตแต่งงาน ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แม้จะพร่ำบอกตัวเองว่าก็มองสิ่งต่างๆ ก่อนการตัดสินใจรอบด้านแล้วนี่นา ทำไมยังเจอเรื่องแบบนี้ นั่นเพราะแค่มองรอบด้านยังไม่พอ คุณต้องตอบให้ได้ด้วยนะคะว่า การมองนั้นไม่ใช่แค่การรับรู้ แต่คุณ ‘ยอมรับ’ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้จริงไหม 1. ยอมรับรูปลักษณ์ภายนอก มีมาเยอะแล้วนี่ค่ะที่นิสัยดีมากแต่จีบไม่ติดเพราะหน้าตาไม่เข้าเกณฑ์ของอีกฝ่าย ฉะนั้นเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า คุณยอมรับรูปร่างหน้าตาของเขาได้จริงๆ ไม่สั่นสะเทือนไปกับคำแซวคำล้อของคนอื่นๆ และไม่คิดจะพาไปเกาหลีเหลาหน้า (ถ้าเขาไม่อยากไปเอง) ซึ่งถ้าคุณยอมรับได้ และเข้มแข็งไม่หวั่นไหวไปกับคำวิจารณ์คนรอบข้างก็เดินหน้าพิจารณาความรักด้วยใจเพื่อใช้ ชีวิตแต่งงาน ต่อไปได้เลยค่ะ 2. ยอมรับในความเป็นเขา ความเป็นเขาในที่นี่ ไม่ได้มีแค่เรื่องนิสัยพื้นๆ อย่างกินเหล้าสูบบุหรี่เข้าสังคมแบบนั้น แต่เราหมายถึงศักยภาพในตัวของเขาค่ะ เพราะอย่าลืมว่าไม่มีใครเก่งทุกอย่าง บางสิ่งที่คุณคาดหวังว่าเขาจะทำได้ดีอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด นั่นแปลว่าคุณยอมรับในคนๆ นั้นที่อาจมีความอ่อนแอ ไม่เก่งไปซะทุกอย่าง หรือบางทีคุณต้องเดินนำบ้างได้ไหม เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในมนุษย์ทุกคนโดยไม่เลือกเวลา ฉะนั้น พิจารณาภายในตัวตนเขาให้ดีๆ แล้วตอบตัวเองให้ได้ค่ะว่า ยอมรับในความเป็นเขาที่ไม่ถูกใจไปซะทุกอย่างได้ไหม 3. ยอมรับครอบครัวของอีกฝ่าย มีเยอะนะคะที่ยอมรับทุกเรื่องของแฟนตัวเองได้ แต่ไม่รวมครอบครัวของเขานะคะ ซึ่งถ้าคุณคิดจะแต่งงานกันละก็ คุณต้องยอมรับในครอบครัวของเขาซึ่งวันข้างหน้าคุณต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย คุณจึงต้องลองเข้าไปคลุกคลีทำความรู้จักสมาชิก วัฒนธรรมความเป็นอยู่และรูปแบบการพูดคุยในบ้านของอีกฝ่าย เพื่อจะได้นำมาเป็นข้อมูลในการถามตัวเองว่า ถ้าบ้านเขาคนละสไตล์กับบ้านคุณ คุณเข้าไปอยู่ร่วมได้ไหม ถ้าเขาพูดจาไม่ไพเราะคุณยอมรับได้ไหม […]

keyboard_arrow_up