ด้วยเทรนด์การดูแลผิวสวยแลดูเป็นธรรมชาติมาแรงข้ามปี ดังนั้นจึงต้องตามกันต่อกับหัตถการยอดนิยมที่ช่วยดูแลผิวสวยอย่างยั่งยืน แพรว จึงพาไปอัปเดตความรู้และทริคดีๆ กับ “คุณหมอหยก – พญ.ฉัตรบงกช เขมาชีวะกุล” (ว.35619) Merz Aesthetics Med Friend เพื่อนหมอของเมิร์ซ ที่หลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีทางโซเชียลมีเดีย เพราะคุณหมอหยกเป็น KOL และเทรนเนอร์ของ Merz Aesthetics ในการให้คำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องแก่เหล่าแพทย์ความงาม รวมถึงยังประจำหน้าจอเพื่อแชร์ความรู้และคอยตอบคำถามให้กับคนรักสวย ติดตามได้ที่ TikTok : @merzaestheticsthailand สำหรับครั้งนี้คุณหมอหยกจะมาแชร์ทริคการดูแลผิวด้วยหัตถการตัวเด็ด! เพื่อเป็นไอเดียให้กับคนรักผิวก่อนตัดสินใจทำสวยในปี 2025

เทรนด์ผิวสวยยั่งยืน
“ในมุมมองของหมอ คาดว่าปีนี้ผู้คนน่าจะหันมาสนใจในเรื่องของความงามที่ยั่งยืนและแลดูเป็นธรรมชาติกันมากขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วเทรนด์ดังกล่าวเป็นกระแสนิยมมาหลายปีแล้ว โดยส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่แนวคิด The best version of me หรือการเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด พร้อมให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว ดังนั้นในส่วนของเทรนด์การดูแลผิวจึงเน้นไปที่การเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง การปรับปรุงคุณภาพผิว ซึ่งเป็นการดูแลผิวตามกระบวนการธรรมชาติ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว”

ทริคดูแลผิว…เริ่มง่ายๆ ด้วยตัวเอง
“วิธีการดูแลผิวของหมอที่ปฏิบัติจริงมาตลอด และมักจะแนะนำกับผู้รับบริการอยู่เสมอ หลักๆ จะมี 3 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือดูแลเรื่องการใช้ชีวิตในประจำวัน ตั้งแต่การพักผ่อนให้เพียงพอ นอนอย่างน้อยวันละ 7 – 9 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมระบบภายใน ส่วนอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่ดีจากภายในสู่ภายนอก เช่น คาร์ดิโอที่เน้นการเสริมความแข็งแรงของหัวใจและปอดให้สามารถนำออกซิเจนมาใช้ได้มากขึ้น เวทเทรนนิ่งที่ช่วยในการลดน้ำหนักและลดไขมัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นการออกกำลังกายแบบบาลานซ์ ไม่ควรที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งหนักมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยได้ง่าย
“อย่างที่สองคือการใช้สกินแคร์อย่างสม่ำเสมอ หลักๆ ที่ห้ามขาดคือมอยเจอร์ไรเซอร์และกันแดด สำหรับมอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เมื่อผิวชุ่มชื้นก็จะแข็งแรง เต่งตึง เรียบเนียน ช่วยลดปัญหาริ้วรอย ส่วนกันแดดถือเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะแสงแดดเป็นสาเหตุของปัญหาผิวทั้งความหมองคล้ำ จุดด่างดำ และริ้วรอย อีกทั้งนอกจากแสงแดดแล้ว สมัยนี้ผู้คนยังใช้เวลาอยู่กับหน้าจอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์ ซึ่งแสงจากหน้าจอเหล่านี้สามารถทำร้ายผิวของเราได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันแสงสีฟ้าด้วย
“อย่างที่สามคือเรื่องอาหารการกิน โดยสิ่งที่เน้นคือการรับประทานโปรตีนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สัดส่วนโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะโปรตีนเป็นตัวตั้งต้นในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิว ซึ่งหลายคนน่าจะทราบกันดีว่าคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิว แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องซื้ออาหารเสริมโปรตีนมาทาน แค่เน้นการทานอาหารจำพวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ให้ได้สัดส่วนตามที่ร่างกายต้องการก็เพียงพอแล้วค่ะ”

หัตถการงานผิว…ต้องปักหมุด!
“นอกจากการดูแลผิวขั้นพื้นฐานด้วยตัวเองแล้ว ผู้คนยุคนี้ยังเลือกอาศัยตัวช่วยอย่างหัตถการที่เป็นอีกหนึ่งทางลัดในการดูแลผิวกันมากขึ้น ซึ่งหัตถการที่หมอมองว่าช่วยดูแลผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าด้วยผลลัพธ์ที่ยั่งยืน เรียกว่าจะไม่พูดถึงไม่ได้คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน ฟิลเลอร์งานผิว สารลดเลือนริ้วรอย และเครื่องยกกระชับใบหน้า เพราะถือเป็นหัตถการงานผิวยอดนิยมแห่งยุค และมีหลากหลายให้เลือก ดังนั้นในการเลือกทำจึงต้องศึกษาให้ดีๆ
“สำหรับสารกระตุ้นคอลลาเจน หมอขอแนะนำให้เลือกตัวที่สามารถช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้ครบทั้ง 5 ประการคือ คอลลาเจนชนิดที่ 1 , คอลลาเจนชนิดที่ 3 , อีลาสติน , หลอดเลือดเล็กๆ ที่นำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิว และสารน้ำหล่อเลี้ยงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เพราะสารกระตุ้นคอลลาเจนบางตัวจะกระตุ้นแค่คอลลาเจนอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วโครงสร้างผิวของเรามีองค์ประกอบมากกว่านั้น
“ถ้าเน้นเรื่อง Skin Quality ก็ต้องฟิลเลอร์งานผิวที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ซึ่งควรเลือกตัวที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid และ Glycerol เพราะ Glycerol จะช่วยให้โครงตาข่ายคอลลาเจนแข็งแรงขึ้น และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยช่วยดึงน้ำจากสิ่งแวดล้อมบริเวณรอบๆ ทำให้ผิวฉ่ำวาวแบบกลาสสกิน
“มาถึงสารลดเลือนริ้วรอยที่หลายคนรู้จักกันดี เรื่องต้องรู้คือถ้าร่างกายของเราได้รับโปรตีนที่ผสมอยู่ในสารลดเลือนริ้วรอยเข้าไปเรื่อยๆ ร่างกายจะเกิดการกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทาน ทำให้สารลดเลือนริ้วรอยแสดงผลลัพธ์น้อยลง เช่น ปกติอยู่ได้ 4 – 6 เดือน แต่ตอนนี้อยู่ได้เพียง 2 เดือน หรือเรียกว่าการดื้อโบนั่นเอง ดังนั้นสำหรับผู้รับบริการที่ทำหัตถการนี้มานานแล้วไม่ค่อยเห็นผล หรือผู้รับบริการมือใหม่ เดี๋ยวนี้เรามีทางเลือกอย่างโบเจนเนอเรชั่นใหม่ที่ปราศจาก Complexing Protein ซึ่งช่วยลดการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะดื้อโบ
“สุดท้ายคือเครื่องยกกระชับใบหน้า ซึ่งในปัจจุบันมีเยอะมากและมีหลากหลายช่วงคลื่น แต่เครื่องยกกระชับใบหน้าที่ดีควรจะได้รับการรับรองว่าเป็น Gold Standard คือการยอมรับทางการแพทย์ว่าที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม และควรจะสามารถยกกระชับได้ทั้งชั้นผิวและชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิว ที่สำคัญควรมีหน้าจอแสดงผลแบบ Real-time Visualization เพื่อให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ผิวได้ตรงจุด เพราะแต่ละคนมีลักษณะชั้นผิวที่ต่างกัน การมีหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ช่วยให้สามารถปรับคลื่นให้ลึกตามความเหมาะสมกับชั้นผิวของแต่ละคน ทำให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม่นยำ ตรงจุด และอยู่ได้นานประมาณ 1 – 2 ปี โดยขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละคน”

เช็กชัวร์…ก่อนทำสวย
“สิ่งสำคัญในการดูแลตัวเองด้วยหัตถการความงามใดๆ ก็ตาม ข้อแรกคือควรศึกษาหาข้อมูลก่อนว่าหัตถการหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ คืออะไร ช่วยตอบโจทย์ปัญหาของเราได้อย่างไร เพราะการมีความรู้เบื้องต้นก่อนเข้าไปปรึกษาแพทย์จะทำให้เราตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
“ข้อสองคือระมัดระวังของปลอม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์ ซึ่งในการตรวจเช็กว่าเป็นของแท้หรือไม่ เราสามารถดูได้จากตัวเครื่องมือหรือกล่องผลิตภัณฑ์นั้นๆ ที่จะมีคิวอาร์โค้ดให้สแกนตรวจสอบที่มาที่ไปว่าเป็นเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์ที่ซื้อจากบริษัทผู้นำเข้าจริงหรือไม่ รวมถึงสามารถเข้าไปเช็กในเว็บไซต์ของบริษัทผู้นำเข้า ซึ่งจะระบุการรับรองสถานบริการที่ซื้อเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ เอาไว้
“ข้อสามคือการเลือกสถานบริการที่ได้รับมาตรฐาน มีแพทย์ที่มีความสามารถเฉพาะทาง และเรายังสามารถตรวจสอบว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่ ซึ่งสามารถเช็กได้ในเว็บไซต์ของแพทยสภา รวมถึงควรตรวจสอบประวัติการทำงานและความเชี่ยวชาญของแพทย์ เช่น ได้รับการอบรมจากบริษัทผู้นำเข้าเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ ยิ่งถ้าได้รับประกาศนียบัตรรับรองการอบรมก็จะยิ่งดี เรียกว่าถือเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้การใช้เครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์เป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีนั่นเองค่ะ”