คริปโตเคอร์เรนซี่

ส่องโลกอินไซต์ คริปโตเคอร์เรนซี่ 2021 โดย ดร.เอกลาภ ยิ้มวิไล

Alternative Textaccount_circle
คริปโตเคอร์เรนซี่
คริปโตเคอร์เรนซี่

วันนี้ “คริปโตเคอร์เรนซี่” (Cryptocurrency) เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่โลกขอการเงินสมัยใหม่ก็ยังมีอะไรให้ศึกษาอีกมาก เพื่อไม่ให้คุณๆ ตกรถด่วนแห่งโลกเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งกว่าเทรนด์แฟชั่น แพรว จึงพามาอัพเดตความรู้เรื่องการเงินดิจิทัลกับ “คุณแบงค์ – ดร.เอกลาภ ยิ้มวิไล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง ซิปเม็กซ์ (Zipmex) ประเทศไทย ที่คร่ำหวอดในแวดวงคริปโตเคอร์เรนซี่มาหลายปี เพื่อตามให้ทันโลกสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบันว่าไปถึงไหนกันแล้ว

ส่องโลกอินไซต์ คริปโตเคอร์เรนซี่ 2021 โดย ดร.เอกลาภ ยิ้มวิไล

Q 1 : ประเภทของคริปโตเคอร์เรนซี่หรือสินทรัพย์ดิจิทัลมีอะไรบ้างคะ

“คริปโตเคอร์เรนซี่ คืออะไรก็ตามที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชน [การเก็บข้อมูลในรูปแบบบล็อก (Block) ซึ่งเชื่อมโยงกันบนเครือข่ายเหมือนห่วงโซ่ (Chain) โดยทุกคนในเครือข่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลชุดเดียวกัน เมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ข้อมูลจะถูกบันทึกลงในบล็อก] แล้วมีการออกเหรียญขึ้นมาเพื่อนำไปใช้บนบล็อกเชนนั้น เราจะเรียกสิ่งนั้นว่า ‘คริปโตเคอร์เรนซี่’

“แต่ในประเทศไทยสำนักงาน ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ได้แยกสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ 3 ประเภท 1. คือคริปโตเคอร์เรนซี่ เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน สามารถนำไปใช้จ่าย โอน ซื้อสินค้าและบริการได้ เช่น บิทคอยน์, Litecoin, Ripple เป็นต้น

2. คือ Digital Token ซึ่งจะมีทั้ง Utility Tokenและ Investment Token โดย Utility Token เป็นเหรียญที่นำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างบนแพลตฟอร์มที่ผู้ออกเหรียญนั้นๆ กำหนดไว้ เช่น เหรียญ Ethereum สามารถนำไปจ่ายเป็นค่าน้ำมัน (Gas) ในการทำธุรกรรมในบล็อกเชนของ Ethereum เช่น ฝากถอน กู้ ปล่อยกู้โดยเหรียญที่เป็น Utility Token ได้แก่ Ethereum, Cardano, Solana, NEAR Protocol เป็นต้น

“นอกจากนี้ยังมีเหรียญอื่นๆ ที่นำมาใช้ได้มากกว่าแค่เป็น Utility เช่น Zipmex Token (ZMT) ซึ่งเป็นเหรียญที่จะมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้ลูกค้าที่อยู่ในระบบแพลตฟอร์มของ Zipmex เช่น หากคุณมี ZMT คุณก็จะได้รับโบนัสหรือผลตอบแทนจาก ZipUp เพิ่มเติม และในอนาคตก็จะมีสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นอีก เช่น นำไปเป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสามารถนำ ZMT ไปแลกซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์บริการต่างๆ ใน ZipWorld ได้

3. คือ Investment Token เป็นดิจิทัลโทเคนที่มีให้ผู้ร่วมลงทุนในโปรเจ็กต์นั้นๆ เช่น หากใครอยากลงทุน ก็ต้องถือ Investment Token ของโปรเจ็กต์นี้ไว้ และเมื่อธุรกิจนี้ได้ผลตอบแทนดีก็จะมีการจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้ที่ถือโทเคนนั้น หรือบางโทเคนก็มีหลักประกันหรือสินทรัพย์หนุนหลัง เช่น แสนสิริ ที่ล่าสุดเพิ่งออกเหรียญมา โดยใครที่ถือเหรียญนี้ไว้ก็จะได้ผลตอบแทนจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่แสนสิริทำอยู่ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าในรายละเอียดจะเป็นอะไร

“ส่วนเหรียญอีกประเภทที่เราจะได้เห็นมากขึ้นในอนาคตคือ NFT หรือ Non-Fungible Token เป็นเหรียญที่สามารถสร้างทรัพย์สินขึ้นมาชิ้นเดียวในโลกและไม่มีใครทำซ้ำได้ อาจเป็นงานศิลปะหรือบัตรคอนเสิร์ตแบบดิจิทัล ซึ่งจะถือเป็นสมบัติส่วนตัวของคุณเลย หากเข้าไปดูข้อมูลในบล็อกเชนก็จะตรวจสอบได้ว่าเป็นของจริง เจ้าของคือใคร มีสิทธิพิเศษอะไรบ้าง และสามารถนำไปซื้อขายต่อและโอนสิทธิ์ได้ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดดิจิทัล”

คริปโตเคอร์เรนซี่

Q 2 : ทำความรู้จักกับโลกของ De-Fi 

“ก่อนจะพูดถึง De-Fi คงต้องย้อนกลับไปที่เทคโนโลยีบล็อกเชนของบิทคอยน์ก่อน คือบิทคอยน์นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราโอนเงินให้กันได้ โดยคนที่อยู่ในบล็อกเชนนั้นๆ เป็นผู้ยืนยันธุรกรรมผ่านรหัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้ยืนยันจะได้รางวัลเป็นบิทคอยน์ ซึ่งระบบบล็อกเชนนี้จะช่วยตัดคนกลางอย่างธนาคารออกไป ทำให้กระบวนการในการทำธุรกรรมเร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมลดลง

“ต่อมาเมื่อ Ethereum เริ่มเข้ามาในปี 2015 ก็มีการคิดกันว่าน่าจะเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์หรือทำโปรแกรมลงบนบล็อกเชน โดยกำหนดว่าให้สามารถทำธุรกรรมอย่างอื่นได้นอกจากการโอน จึงเกิดเป็น Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะที่ระบุข้อบังคับกฎเกณฑ์ต่างๆ และสามารถบังคับใช้ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีคนกลางมาคอยกำกับดูแล หากผู้ใช้กดโอเคตามเงื่อนไขนี้ สัญญาก็จะบังคับใช้อัตโนมัติ จึงเป็นการก้าวกระโดดสู่โลกของ De-Fi หรือ De-Centralized Finance โลกการเงินที่ไร้ตัวกลาง สามารถปล่อยกู้และยืมเงินกันได้ โดยนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาวางค้ำประกันแล้วยืมเงินไปได้เลยและอาจได้ผลตอบแทนเป็นกำไรด้วย โดยมีตัว Smart Contract รันระบบให้เอง ทีนี้อนาคตก็ขึ้นอยู่กับว่า Smart Contract นั้นเขียนออกมาดีแค่ไหน ถ้าดี ยุติธรรม ให้ผลตอบแทนดี มีปัญหาอะไรระบบก็ช่วยแก้ได้ คนก็เข้าไปใช้เยอะ เพียงแต่ปัจจุบันยังไม่มีแพลตฟอร์มไหนที่เขียน Smart Contract ออกมาแล้วใช้ได้ดีจริงๆ แต่อนาคตนั้น เชื่อว่าจะมี Killer App หรือแอพพลิเคชั่นที่ทำ Smart Contract ที่ดีมากๆ ออกมา ข้อดีก็คือจะช่วยตัดคนกลาง สร้างผลตอบแทนได้สูง ทำธุรกรรมได้เร็ว อีกทั้งยังเข้าถึงคนได้เยอะและง่ายขึ้นด้วย”

 

Q 3 : ข้อดีของสินทรัพย์ดิจิทัลและข้อควรรู้ก่อนการลงทุน

“สินทรัพย์ดิจิทัลก็ไม่ต่างจากสินทรัพย์ประเภทอื่น แต่ดีกว่าตรงที่

  1. มีการซื้อขายกันทั่วโลก
  2. เป็นการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีอนาคตอย่าง Ethereum นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่เหมือนกับ iOS หรือ Android ที่มีคนนำแอพฯต่างๆ มาสร้างบนนั้น ถ้าเราคิดว่าแพลตฟอร์มนี้จะมีคนใช้เยอะและได้รับความนิยมในอนาคต ก็ลงทุนตรงนี้ไปได้เลย
  3. อย่างที่รู้กันว่าบิทคอยน์มีจำนวนจำกัด จึงไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อ ไม่เหมือนสกุลเงินทั่วไปที่มีการผลิตออกมาตลอดจนเกิดเงินเฟ้อ นักลงทุนจึงมองว่าบิทคอยน์เป็นแหล่งพักเงินที่ดี
  4. แต่ละเหรียญมีประโยชน์ในการใช้งานต่างกันไป บ้างก็เป็นเหมือนน้ำมันที่ใช้ในการอัดฉีดระบบ ยิ่งมีคนใช้มากก็ยิ่งมีคนต้องการมาก เช่น Ethereum หรือบางเหรียญก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไร มีไว้เก็งกำไรขายกันอย่างเดียว อย่างเหรียญน้องหมา Dogecoin

“และอย่าลืมว่าบิทคอยน์มีอิทธิพลต่อราคาของคริปโตเคอร์เรนซี่อื่นๆ มาก ถ้าบิทคอยน์ขึ้น เหรียญส่วนใหญ่ก็จะขึ้นตาม เพราะบิทคอยน์เป็นเหรียญที่มีมานานที่สุดและซื้อได้ง่ายที่สุดในตลาดดิจิทัล เงินที่เข้าออกในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่จะอยู่ที่บิทคอยน์ ราคาบิทคอยน์จึงเป็นเหมือนดัชนีวัดสภาพคล่องของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไปในตัว ถ้าราคาขึ้นสภาพตลาดก็จะดี คึกคัก แต่ถ้าราคาลง สภาพก็จะแย่ตาม รู้ตรงนี้ไว้ก็ดีครับ”

คริปโตเคอร์เรนซี่

Tips รู้ก่อนเทรด! 

“คริปโตเคอร์เรนซี่เป็นเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงควรศึกษาให้เข้าใจจริงๆ แล้วทยอยลงทุน อาจเริ่มจากซื้อบิทคอยน์ก่อน แล้วค่อยซื้อ Ethereum พอเริ่มรู้จักและศึกษาเหรียญอื่นๆ มากขึ้น ก็ค่อยไปลงทุนตรงนั้น เป็นการกระจายความเสี่ยง แต่ขอให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่เข้าใจ ซึ่งคุณสามารถหาช่องทางศึกษาได้ทั้งจากเพจ Zipmex เองที่มีแง่มุมใหม่ๆ มาบอกกันตลอด กับมีเวิร์คชอปชื่อ ZipU ที่ฝ่ายรีเสิร์ชจะมาไลฟ์แชร์ความรู้ ส่วนในเว็บไซต์ www.zipmex.com ก็มีหน้า Learn ให้เข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติมได้

“สิ่งที่ต้องย้ำเตือนกันคือการลงทุนไม่ควรมีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง ควรใจเย็น มีวินัย รู้จักวางแผน มีเป้าหมายและตัดสินใจให้เฉียบขาด ถ้าถึงจุดหนึ่งที่ทนขาดทุนไม่ไหวแล้ว ก็ตัดสินใจขายไปเลย การไม่ขาดทุนเพิ่มถือเป็นกำไรระดับหนึ่ง หรือถ้าได้กำไรมา 2 – 3 เท่าแล้ว ควรขายเพื่อเรียกทุนคืนบ้าง ต้องบริหารความเสี่ยงและอารมณ์ให้ดี ถ้าควบคุมความโลภได้ ก็จะบริหารเงินได้สำเร็จครับ”


 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up